ถ้อยแถลงของท่านผู้นำเมื่อวันที่ 2 สค. ที่ผ่านมา เกิดขึ้นภายหลังกระแสข่าวการเคลื่อนไหว
ของกลุ่มต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย
ที่ได้ประกาศชุมนุมใหญ่ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 4 สค. อันเป็นผลมาจาก จะมีการพิจารณาร่าง พรบ
นิรโทษกรรม ฉบับวรชัย วาระแรกในวันที่ 7 สค. ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทยและ
พรรคร่วมอย่างเป็นเอกฉันท์
ในขณะเดียวกัน ที่ประชุม ครม เมื่อวันที่ 31 กค. ที่ผ่านมา มีมติให้ประกาศใช้ พรบ มั่นคงฯ 2551
ใน 3 เขต รวม 12 เส้นทาง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1-10 สิงหาคม 2556 และมอบหมาย
ให้ ผบ.ตร เป็นผู้ดูแลการชุมนุม
ด้าน สตช ได้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องกีดขวางปิดเส้นทางการจราจรตามประกาศคำสั่ง
ปฏิบัติการ ศอ.รส. 3 ฉับบ
ฉบับที่ 1/2556 สรุปใจความพอสังเขป ความว่า
ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด เข้าหรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่อาคารทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา
รวมถึงห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ 12 เส้นทางโดยรอบ (ตามแผนที่แนบ)
ฉบับที่ 2/2556 สรุปใจความได้ว่า ห้ามใช้ 12 เส้นทางตามประกาศ และ ห้ามพกเครื่องกระสุนปืน
สิ่งเทียมอาวุธ วัตถุระเบิด รถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในเส้นทางตามที่ประกาศห้าม
ฉบับที่ 3/2556 สรุปใจความได้ว่า ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
หากลองพิจารณาด้วยหัวใจของนักประชาธิปไตย ตามที่ท่านผู้นำได้เคยกล่าวปาฐกถาที่มองโกเลีย
ในการประชุมประชาคมประชาธิปไตย ว่า ตนเองและพี่ชาย (ซึ่งปัจจุบันเป็นนักโทษหนีคดี) นั้นเป็น
นักประชาธิปไตย
การกระทำ พฤติกรรม ช่างขัดแย้ง กับถ้อยแถลง เมื่อวันที่ 2 สค. อย่างสิ้นเชิง
ถ้อยแถลง เรียกร้องอยากเห็นความปรองดอง แต่พฤติกรรมกลับปิดกั้นการแสดงความเห็นต่างของ
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย
หรือกาลเวลา และอำนาจ ทำให้ท่านผู้นำลืมไปแล้วว่า...ครั้งหนึ่งตัวเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุม
ของพลพรรคเสื่อแดงเช่นเดียวกัน...เป็นการชุมนุมที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมหาศาล
เพียงเพราะ..คำกล่าวอ้างที่ว่า...ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย...
แล้ววันนี้...เหตุใด ท่านผู้นำ.จึงกระทำให้สิ่งที่ตรงข้าม...ปิดกั้นประชาธิปไตยของประชาชน...
มาวันนี้..ท่านเรียกร้องหาความปรองดอง นิรโทษกรรม ให้กับผู้ที่กระทำการต่อชาติบ้างเมืองอย่าง
ไม่รู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี กระทำไปเพียงเพราะความสะใจ สาใจ มัวเมาในอารมณ์ ด้วยแรงยั่วยุ
ปลุกระดม ของเหล่าแกนนำ ที่ในวันนี้ ได้รับการปูนบำเหน็ดความดีความชอบ อย่างไร้สำนึก
นั้นคือ...สิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ
หากลองย้อนกลับไปดูร่าง พรบ นิรโทษกรรม และร่าง พรบ ปรองดอง ทั้งที่ได้รับการเสนอเข้า
รัฐสภาและที่ไม่ได้รับการเสนอ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2555 - ปัจจุบัน
รวมทั้งสิ้น 9 ร่าง แบ่งเป็น ร่าง พรบ.นิรโทษกรรม 4 ร่าง และ ร่าง พรบ ปรองดอง 5 ร่าง
1) ร่าง พรบ ว่าด้วยความปรองดองฯ ฉบับนายนิยมและคณะรวม 21 คน ลว. 23 พค. 55
2) ร่าง พรบ ว่าด้วยความปรองดองฯ ฉบับพลเอกสนธิและคณะรวม 35 คน ลว. 24 พค. 55
3) ร่าง พรบ ว่าด้วยความปรองดองฯ ฉบับนายสามารถและคณะรวม 50 คน ลว. 28 พค. 55
4) ร่าง พรบ ว่าด้วยความปรองดองฯ ฉบับนายณัฐวุฒิและคณะรวม 74 คน ลว. 28 พค. 55
5) ร่าง พรบ ว่าด้วยความปรองดองฯ ฉบับนายเฉลิม - ยังไม่ได้บรรจุเข้าในวาระการประชุม
6) ร่าง พรบ นิรโทษกรรมฯ ฉบับนายวรชัยและคณะรวม 40 คน ลว. 7 มีค. 56
7) ร่าง พรบ นิรโทษกรรมฯ ฉบับนายนิยมและคณะรวม 23 คน ลว. 13 มีค. 56
8) ร่าง พรบ นิรโทษกรรมฯ ฉบับคณะนิติราษฎร์ - ไม่ได้เสนอเข้ารัฐสภา
9) ร่าง พรบ นิรโทษกรรมฯ ฉบับแม่น้องเกดและญาติวีรชน - ยังไม่ได้บรรจุเข้าในวาระประชุม
ซึ่งเนื้อหารายละเอียดของแต่ละร่างแตกต่างกันไปตามทัศนคติของกลุ่มผู้เสนอร่าง แต่มีสิ่ง
หนึ่งที่ใกล้เคียงกัน คือ การนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่กระทำความผิดในช่วงเวลาที่มีการชุมนุม
ส่วนจะตีกรอบการนิรโทษไว้อย่างใด ก็ขึ้นอยู่กับแนวทางของกลุ่มผู้เสนอ
ขออนุญาตตั้งคำถามเพียงคำถามเดียวเท่านั้น...
แล้วผู้ที่ได้รับกระทบโดยตรง โดยที่มิได้มีส่วนได้เสียทางการเมืองเล่า...
พวกท่านจะไม่ถามความคิดเห็นบ้างหรือว่า....
ยินดีจะนิรโทษกรรมให้กับบุคคลที่กระทำความผิด โดยไม่สนใจต่อกฎหมายบ้านเมือง
เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่ใช้ผู้ที่ถูกกระทำ แต่เป็นผู้กระทำ...หรือไม่