สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง “ประชาชน”จะอยู่อย่างไร? ในยุค “ของแพง” เพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนในด้านชีวิตความเป็นอยู่พบว่า ค่าใช้จ่ายของประชาชนที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 เดือนนี้ อันดับ 1 คือในเรื่องของอาหารการกิน ร้อยละ 32.37 รองลงมาคือค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภค บริโภค /ของใช้ส่วนตัว ของใช้ในบ้าน ร้อยละ 25.09 // ค่าเดินทาง ยานพาหนะ ค่าน้ำมัน ร้อยละ 21.48 และ ค่าน้ำ ค่าไฟ ร้อยละ 18.36
โดยสินค้าที่แพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือ อาหาร /ของสด ของแห้ง / เนื้อสัตว์ ไข่ ผัก ผลไม้ ซอสปรุงรสต่างๆ ฯลฯ ถึงร้อยละ 49.64 รองลงมา ค่าเดินทาง น้ำมัน ร้อยละ 29.82 // ค่าน้ำ ค่าไฟ ร้อยละ 10.75 และ แก๊สหุงต้ม ร้อยละ 5.72
ทั้งนี้การแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนเองก็พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 48.79 บอกว่าต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย และยึดหลักพอเพียง รองลงมาร้อยละ 37.48 บอกว่าต้องลดปริมาณการซื้อลง โดยซื้อเฉพาะสิ่งของที่จำเป็นและราคาถูก ทั้งนี้ยังพบว่าประชาชนอีกร้อยละ 4.90 ระบุว่าต้องทำใจยอมรับกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามประชาชนร้อยละ 52.27 ยังมีความมั่นใจต่อการแก้ไขปัญหาของแพงของรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลมีอำนาจในการดูแลควบคุมดูแลราคาสินค้าไม่ให้สูงขึ้นได้ และถ้าสามารถแก้ปัญหาได้ก็จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเพิ่มขึ้น ฯลฯ ขณะที่ประชาชนร้อยละ 47.73 รู้สึกไม่มั่นใจต่อการแก้ไขปัญหาของแพงของรัฐบาล เนื่องจากเห็นว่า ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภคเกือบทุกประเภทมีราคาสูงขึ้น รัฐบาลไม่น่าจะควบคุมดูแลได้ทั้งหมด
ดังนั้นประชาชนร้อยละ 35.55 จึงอยากให้รัฐบาลต้องเด็ดขาดและเอาจริงเอาจัง ในการแก้ปัญหาสินค้าแพง รองลงมาร้อยละ 26.22 อยากให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงประชาชนเป็นสำคัญ /ค่าน้ำ ไฟฟรี รถเมล์ฟรี ระบบขนส่งมวลชนฟรี เพื่อลดภาระให้กับประชาชน // ร้อยละ 21.22 ดูแลกวดขันเรื่องการขึ้นเงินเดือน ขึ้นค่าแรงให้เพียงพอกับรายจ่าย เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน // ร้อยละ 13.65 มีการออกร้านธงฟ้าจัดจำหน่ายสินค้าราคาถูก และร้อยละ 3.36 รัฐบาลต้องรณรงค์ให้ประชาชนรู้จักประหยัด อดออม โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ผมว่า น่าจะบอกกลุ่มตัวอย่างด้วยนะว่ารายได้เท่าไร เฉลี่ยเท่าไร อ่านคร่าว ๆ เหมือนเป็นการสำรวจกลุ่มผู้มีรายได้สูง ผลโพลล์แปลกมาก
