Jump to content


Photo
- - - - -

‘น้ำท่วม’ทำ‘รัฐบาลยิ่งลักษณ์’เปียกปอนหนัก (ตอนแรก)


This topic has been archived. This means that you cannot reply to this topic.
1 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 phat21

phat21

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,969 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 10:18

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

It’s all wet in Thailand
By Shawn W Crispin
19/10/2011

อุทกภัยที่กำลังสร้างความเสียหายอย่างมากมายกว้างขวางในประเทศไทย ตลอดจนการรับมืออย่างบกพร่องผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งได้ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ แก่การปกป้องคุ้มครองบรรดานิคมอุตสาหกรรมตลอดจนทรัพย์สินในเขตใจกลางกรุงเทพมหานคร ยิ่งกว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนระดับรากหญ้านั้น กำลังทำให้นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกตั้งคำถามและถูกตรวจสอบในเรื่องภาวะผู้นำทั้งทางด้านการเมืองและทางด้านเศรษฐกิจ เมื่อตอนที่ได้รับเลือกตั้งโดยประสบชัยชนะอย่างถล่มทลายในช่วงกลางปีนี้ พรรคการเมืองของเธอได้เสนอนโยบายประชานิยมด้านต่างๆ ที่มุ่งเอาอกเอาใจคนยากคนจน จนกระทั่งได้ก่อให้เกิดความคาดหวังฝันหวานอันสวยหรูชนิดลอยล่องไม่ติดพื้น แต่เมื่อมาถึงเวลานี้ เป็นที่คาดหมายได้ว่า ศรัทธาความเชื่อถือตลอดจนความนิยมชมชอบในตัวเธอจะต้องจมดิ่งลงเหวอย่างแน่นอนในช่วงหลังน้ำลด

*รายงานข่าวชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *

กรุงเทพฯ – ขณะที่ประเทศไทยกำลังตรวจสอบคาดคำนวณความเสียหายอันเกิดจากอุทกภัยตามฤดูกาลของปีนี้ ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมหึมาและสร้างความเสียหายอย่างมากมายกว้างขวางยิ่ง ในอีกด้านหนึ่ง ภาวะความเป็นผู้นำทั้งทางด้านการเมืองและทางด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็กำลังตกอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างถี่ยิบเช่นเดียวกัน การที่พรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคการเมืองของเธอได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย และทำให้เธอก้าวขึ้นสู่อำนาจได้สำเร็จนั้น ได้มีการปลุกระดมเร้าอารมณ์มวลชนด้วยประเด็นเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น ตลอดจนด้วยนโยบายประชานิยมด้านต่างๆ ที่มุ่งเอาอกเอาใจคนยากคนจน ทว่าในการรับมือกับภัยพิบัติครั้งร้ายแรงยิ่งคราวนี้ รัฐบาลของเธอกลับให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ แก่เรื่องการปกป้องคุ้มครองบรรดานิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนทรัพย์สินในเขตใจกลางกรุงเทพมหานคร ยิ่งกว่าความเป็นอยู่ตลอดจนชีวิตของประชาชนระดับรากหญ้า

อุทกภัยใหญ่คราวนี้กำลังสร้างความเสียหายหนักให้แก่พืชผลทางการเกษตร, เข้าท่วมท้นโรงงานกว่า 14,000 แห่ง รวมทั้งโรงงานของบริษัทอุตสาหกรรมการผลิตระดับนานาชาติอย่างเช่น ฮอนด้า และโตโยต้า, และทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 300 คน เป็นที่คาดหมายกันว่า ผลผลิตข้าวที่ได้รับความเสียหายอาจจะสูงถึง 6 ล้านตันทีเดียว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะเท่ากับ 23% ของผลผลิตที่เคยคาดว่าจะเก็บเกี่ยวได้ทั้งหมดในช่วงปลูกข้าวนาปีของปี 2011 นี้ ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนเป็นหมื่นๆ แห่งก็มีหวังจะต้องขยายเวลาปิดโรงงานออกไปอีก ซึ่งกำลังสร้างความลำบากและความเสียหายให้แก่ระบบห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก (global supply chains) รวมทั้งสร้างความยุ่งยากให้แก่ฐานะการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของบรรดาโรงงานของคนไทย ซึ่งในปัจจุบันมีภาระหนี้สินทั้งในรูปเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่ในระดับมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากภัยพิบัติคราวนี้ จะยังไม่ทราบกันอย่างถูกต้องชัดเจน จนกว่าระดับน้ำที่ท่วมสูงอยู่ใน 14 จังหวัดที่เจอภัยคราวนี้เข้าไปเต็มๆ จะลดถอยลงมาเสียก่อน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ออกมาแถลงประมาณการว่า อุทกภัยคราวนี้จะทำให้อัตราความเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปีนี้ต้องหดหายไประหว่าง 1% ถึง 1.7% อันเป็นตัวเลขการประเมินที่สอดคล้องกับการคำนวณของพวกวาณิชธนกิจระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ได้ส่งสัญญาณว่ามีแผนการที่จะใช้จ่ายเงินอย่างน้อยที่สุด 130,000 ล้านบาทในเรื่องการบรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วม และงานฟื้นฟูบูรณะหลังน้ำลด ซึ่งจะผลักดันให้งบประมาณแผ่นดินขาดดุลมากขึ้นจนถึงระดับชนเพดานตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย นั่นก็คือ 20% ของยอดงบประมาณแผ่นดินประจำปี รัฐบาลชุดนี้ยังแสดงท่าทีด้วยว่าอาจจะหาทางขอเงินกู้จากต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้จ่ายสำหรับการดำเนินความพยายามด้านต่างๆ เพื่อแก้ไขสถานการณ์อันฉุกเฉินเร่งด่วน

สิ่งที่อาจจะมีความลำบากยุ่งยากในการคำนวณประมาณการ ยิ่งกว่าความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจเสียอีก เห็นจะได้แก่ความเสียหายในความน่าเชื่อถือและความนิยมชมชอบของประชาชนที่มีต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนหน้าที่จะเกิดอุทกภัยร้ายแรงคราวนี้ สืบเนื่องจากชัยชนะของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นชัยชนะชนิดหมดจดและขาดลอย ไม่ว่าจะเป็นความศรัทธาเชื่อมั่นหรือความชื่นชอบของประชาชนในตัวนายกรัฐมนตรีหญิงผู้นี้ ก็ล้วนอยู่ในระดับสูงมากทีเดียว แต่ภายหลังน้ำลดแล้วเป็นที่คาดหมายกันว่าความเชื่อถือและความนิยมดังกล่าวนี้ น่าที่จะอยู่ในสภาพทรุดต่ำจมดิ่ง ทั้งนี้รวมไปถึงบางจังหวัดที่เคยเป็นฐานที่มั่นอันแข็งแกร่งของพรรคเพื่อไทยของเธอ แล้วต้องมาประสบอุทกภัยอย่างเลวร้ายที่สุดในคราวนี้ด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะพิจารณากันในแง่มุมไหน ก็จะต้องบอกว่าการรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ของรัฐบาลของเธอ เป็นไปอย่างผิดพลาดบกพร่อง และขาดการร่วมมือประสานงานกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ จนทำให้มีรายงานว่าตัวนายกรัฐมนตรีเองถึงกับหลั่งน้ำตามาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันมันยังกลายเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ขาดไร้ประสบการณ์ความจัดเจนทางการเมือง และไม่สามารถกำกับควบคุมคณะรัฐบาลของเธอเองได้ มีรายงานข่าวปรากฏอย่างกว้างขวางว่า อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายแท้ๆ ของเธอซึ่งเวลานี้หลบลี้หนีภัยไปอยู่ต่างแดน คือผู้ที่บริหารสั่งการคณะทำงานรับมือวิกฤตของเธอ จากที่มั่นของเขาในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

น้ำท่วมหนักคราวนี้ยังก่อให้เกิดคำถามใหม่ๆ เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญในทางเศรษฐกิจของคณะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์อีกด้วย รวมทั้งปุจฉาข้อข้องใจต่อการที่เธอยังคงดึงดันที่จะดำเนินการตามนโยบายประชานิยมต่าง ๆ ตามที่พรรคเพื่อไทยได้เคยให้สัญญาไว้ในตอนรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ถึงแม้ในเวลานี้สถานการณ์ของประเทศไทยกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตระดับทั่วประเทศไปแล้วก็ตามที พวกนักวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐกิจจำนวนมากโต้แย้งว่า อุทกภัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นอันเร่งด่วนที่จะต้องใช้จ่ายงบประมาณให้มากขึ้นในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงยกระดับประสิทธิภาพของระบบจัดการน้ำโดยองค์รวม เพื่อจะได้สามารถหลีกหนีไม่ต้องประสบกับวิกฤตทำนองนี้อีกในอนาคต ตลอดจนเป็นการทำให้พวกนักลงทุนต่างชาติที่ไปลงทุนตั้งโรงงานเอาไว้ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เกิดความมั่นอกมั่นใจขึ้นมาใหม่ว่า น้ำท่วมปีนี้เป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติ ไม่ใช่ว่ากลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของประเทศไทย ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าในปีที่แล้วประเทศไทยก็ถูกกระหน่ำจากน้ำท่วมใหญ่มาแล้วเช่นกัน (ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ระบุในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า เขามีแผนการมูลค่า 400,000 ล้านบาท ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมใหญ่กันอีกในอนาคต อย่างไรก็ดี เขามิได้เปิดเผยรายละเอียดของแผนการดังกล่าวให้สื่อมวลชนได้ทราบ)

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ได้เสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี นำเอาเงินงบประมาณที่เตรียมเอาไว้สำหรับการดำเนินตามนโยบายประชานิยมชนิดที่ “เวอร์” เกินเหตุ อย่างเช่น โครงการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก และผู้ซื้อรถยนต์คันแรก ซึ่งได้ถูกนักวิจารณ์ตำหนิโจมตีว่าจะเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกธุรกิจบ้านจัดสรรของครอบครัวของเธอตลอดจนของเหล่าบริษั่ทบริวารของเธอ มาทำการจัดสรรกันเสียใหม่ โดยเอาไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบกระเทือนจากน้ำท่วม และจำเป็นต้องได้รับอาหารตลอดจนที่พักอาศัยขั้นพื้นฐาน ทว่าจวบจนถึงเวลานี้ เสียงเรียกร้องในทำนองนี้ได้ถูกละเลยเพิกเฉย โดยเห็นได้จากการที่คณะทำงานประชาสัมพันธ์ของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เผยแพร่แจกจ่ายคำแถลงฉบับหนึ่งที่กล่าวว่า “แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนทั้งหลาย” ที่ได้ประกาศออกมาก่อนหน้าเกิดอุทกภัย รัฐบาลยังจะดำเนินการต่อไปเพื่อ “ปรับปรุงฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย”

การที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงความมุ่งมั่นที่จะทำตามสัญญาและเดินหน้าดำเนินการโครงการเหล่านี้ คือสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่าเธอมีความจำเป็นที่จะต้องกอบกู้โมเมนตัมทางการเมืองที่จู่ๆ ก็เสียศูนย์หดหายไปอย่างฉันพลัน โดยที่ในช่วงก่อนที่จะเกิดอุทกภัยใหญ่ แรงขับดันทางการเมืองกำลังถูกผลักดันอย่างหนักหน่วงเพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อยู่ในฐานะผู้ถูกพิพากษาลงโทษในคดีความผิดทางอาญา สามารถเดินทางกลับคืนประเทศไทยได้ในฐานะเสรีชนภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยของเธอได้รับการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม โดยที่ได้เสนอนโยบายประชานิยมเรื่องต่างๆ อย่างมากมาย เป็นต้นว่า การรับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงลิ่วถึงตันละ 15,000 บาท, การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ, การแจกจ่ายเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตฟรีๆ ให้เด็กนักเรียนทุกคน นอกเหนือจากการแจกฟรีให้เปล่าในเรื่องเล็กเรื่องน้อยสัพเพเหระอย่างอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม อุทกภัยคราวนี้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากจำนวนของผู้เสียชีวิตและขอบเขตของความเสียหายอันกว้างขวาง ได้ทำให้เสน่ห์ของข้อเสนอประชานิยมแจกแหลกเหล่านี้เสื่อมมนตร์ขลังลงไปเป็นอันมาก อันที่จริงตั้งแต่ก่อนเกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้แล้ว แบรนด์ลัทธิประชานิยมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกมองกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นเพียงการลอกเลียนอย่างชนิดหยาบๆ ไร้ความประณีต จากแผนการเอาอกเอาใจคนยากคนจนฉบับดั้งเดิมของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น โดยที่โครงการดั้งเดิมในยุค พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นโครงการที่มุ่งไปยังเรื่องการส่งเสริมกองทุนพัฒนาหมู่บ้าน, การเลื่อนกำหนดการชำระหนี้สินให้เกษตรกร, และการให้การดูแลรักษาสุขภาพอย่างครอบคลุมโดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายถูกมากๆ นักวิจารณ์จำนวนมากทีเดียวแสดงความคิดเห็นว่า นโยบายประชานิยมแบบของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นอันตรายต่อคนยากจนในชนบทยิ่งที่จะให้ประโยชน์ นอกจากนั้นจากการที่รัฐเข้าไปแทรกแซงในเรื่องต่างๆ เป็นต้นว่า ราคาข้าว และค่าจ้างขั้นต่ำ ยังจะทำให้เกิดการบิดเบือนอย่างสำคัญทางด้านราคาขึ้นมาในตลอดทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจทีเดียว

ฌอน ดับเบิลยู คริสพิน เป็นบรรณาธิการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของเอเชียไทมส์ออนไลน์
(อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)

โดย ฌอน ดับเบิลยู คริสพิน


http://www.manager.c...D=9540000134011

20 ตุลาคม 2554 23:40 น.
‘น้ำท่วม’ทำ‘รัฐบาลยิ่งลักษณ์’เปียกปอนหนัก (ตอนจบ)

โดย ฌอน ดับเบิลยู คริสพิน
20 ตุลาคม 2554 23:40 น.
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

It’s all wet in Thailand
By Shawn W Crispin
19/10/2011

อุทกภัยที่กำลังสร้างความเสียหายอย่างมากมายกว้างขวางในประเทศไทย ตลอดจนการรับมืออย่างบกพร่องผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งได้ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ แก่การปกป้องคุ้มครองบรรดานิคมอุตสาหกรรมตลอดจนทรัพย์สินในเขตใจกลางกรุงเทพมหานคร ยิ่งกว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนระดับรากหญ้านั้น กำลังทำให้นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกตั้งคำถามและถูกตรวจสอบในเรื่องภาวะผู้นำทั้งทางด้านการเมืองและทางด้านเศรษฐกิจ เมื่อตอนที่ได้รับเลือกตั้งโดยประสบชัยชนะอย่างถล่มทลายในช่วงกลางปีนี้ พรรคการเมืองของเธอได้เสนอนโยบายประชานิยมด้านต่างๆ ที่มุ่งเอาอกเอาใจคนยากคนจน จนกระทั่งได้ก่อให้เกิดความคาดหวังฝันหวานอันสวยหรูชนิดลอยล่องไม่ติดพื้น แต่เมื่อมาถึงเวลานี้ เป็นที่คาดหมายได้ว่า ศรัทธาความเชื่อถือตลอดจนความนิยมชมชอบในตัวเธอจะต้องจมดิ่งลงเหวอย่างแน่นอนในช่วงหลังน้ำลด

*รายงานข่าวชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนจบ*

(ต่อจากตอนแรก)

**การแทรกแซงตลาดอย่างรุนแรง**

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หนักหน่วงที่สุดเกี่ยวกับนโยบายประชานิยมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะกลายเป็นการแทรกแซงตลาดอย่างร้ายแรง ส่วนใหญ่ทีเดียวรวมศูนย์อยู่ที่โครงการรับจำนำข้าว โดยที่รัฐบาลของเธอให้สัญญาที่จะจ่ายเงินรับจำนำข้าวในราคาตายตัวตันละ 15,000 บาท ในเวลาที่ราคาในตลาดโลกเคลื่อนไหวอยู่แถวๆ 10,000 บาทเท่านั้น ประเทศไทยในปัจจุบันมีฐานะเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ปกติแล้วจะเป็นผู้ควบคุมข้าวที่ซื้อขายกันในตลาดโลกอยู่ประมาณ 30% พวกนักวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐกิจเสนอความเห็นโต้แย้งว่า โครงการนี้จะกลายเป็นการกระตุ้นส่งเสริมให้เกิดการผลิตจนล้นเกิน ตลอดจนกระตุ้นส่งเสริมให้คนงานอพยพเคลื่อนย้ายจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการไปทำมาหากินในภาคเกษตรกรรมซึ่งอยู่ในสภาพที่ด้อยประสิทธิผลยิ่งกว่า นอกจากนั้นโครงการนี้ยังจะกลายเป็นภาระของรัฐบาลคิดเป็นมูลค่าหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ จากการที่จะต้องเกิดการขาดทุนอยู่ทุกปี รวมทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศของข้าวไทยด้อยลงไปมาก ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โครงการนี้ยังไม่ได้ช่วยเหลือคุ้มครองเกษตรกรจากภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ที่พวกเขากำลังประสบอยู่ในเวลานี้แต่อย่างใด

ในด้านการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ผลักดันจนกระทั่งคณะกรรมการค่าจ้างกลาง มีมติเดินหน้าเรื่องนี้ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ถึงแม้มีเสียงเรียกร้องจากบรรดาโรงงานอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้ระงับแผนการนี้เอาไว้ก่อน จนกว่าพวกเขาจะสามารถฟื้นตัวจากความเสียหายอันมากมายมหาศาลเนื่องจากน้ำท่วมได้ และมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง ตามมติของคณะกรรมการค่าจ้างกลางที่ออกมาในคราวนี้ จะมีการขยับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายวันขึ้นมาราว 40% เป็นวันละ 300 บาทในกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดที่มีฐานะมั่งคั่งอื่นๆ อีก 6 จังหวัด ขณะที่ตามจังหวัดอื่นๆ ที่มีฐานะยากจนกว่า ก็ให้ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจากระดับปัจจุบันขึ้นไปอีก 40% เฉกเช่นเดียวกับเรื่องการจำนำข้าว การปรับค่าจ้างขั้นต่ำอย่างแรงมากเช่นนี้ ทำให้เกิดความห่วงใยในทางเศรษฐกิจว่าจะกระทบกระเทือนความสามารถในการแข่งขันของราคาสินค้าออกของไทย ตลอดจนกระทบกระเทือนความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตของพวกอุตสาหกรรม ทั้งนี้โรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้กำลังต้องแข่งขันช่วงชิงทั้งตลาดและทั้งเม็ดเงินลงทุน กับพวกประเทศที่มีระดับค่าจ้างต่ำกว่าไทย ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม หรือ อินโดนีเซีย

ตามการประมาณการของธนาคารโลก ภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ เป็นผู้ที่ว่าจ้างกำลังแรงงานของประเทศไทยถึงประมาณ 60% ด้วยเหตุนี้นักวิเคราะห์หลายๆ รายจึงระบุว่า เอาเข้าใจจริงนโยบายเรื่องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะถูกนำมาบังคับใช้ให้ปฏิบัติกันอย่างเห็นมรรคเห็นผลในตลอดทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ ขณะที่นักวิเคราะห์อย่างเช่น ศรียาน ปิเอเทอร์ส (Sriyan Pietersz) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ บริษัทหลักทรัพย์ เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด ชี้ว่า พวกวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ตามต่างจังหวัด ซึ่งจำนวนมากเลยต้องดำเนินงานในสภาพที่มีอัตราผลกำไรบางเฉียบอยู่แล้ว แถมยังได้รับความเสียหายจากอุทกภัยคราวนี้ด้วย จะเป็นพวกที่รู้สึกถึงผลกระทบมากที่สุดจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำคราวนี้ ทั้งนี้นับเป็นเรื่องน่าประหลาดและน่าขบขันปนขมขื่นอยู่ไม่น้อย เนื่องจากพวกเอสเอ็มอีคือกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงระดับรากหญ้า ซึ่งมองเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้อุ้มชูช่วยเหลือพวกเขาเรื่อยมา จากการที่รัฐบาลในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณได้จัดทำโครงการให้เงินกู้ภาครัฐอัตราดอกเบี้ยต่ำแก่วิสาหกิจเหล่านี้ ทว่าจากนโยบายในเวลานี้ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับกำลังคุกคามที่จะทำให้เอสเอ็มอีต้องล้มละลายถอยหายออกไปจากแวดวงธุรกิจ

นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในคณะรัฐบาลชุดที่แล้วที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ เป็นผู้หนึ่งในบรรดานักวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่นายกรณ์เรียกว่าเป็น ลัทธิประชานิยม “เพื่อความตื่นเต้นเร้าใจแบบราคาถูก” ("cheap thrill" populism) ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผู้นี้ เปรียบเทียบนโยบายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลบักษณ์ กับนโยบายเพื่อชาวรากหญ้าของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วก็แสดงทัศนะว่า สิ่งที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เสนอออกมานั้น ค่อนข้าง “สิ้นเปลืองไร้ประโยชน์” และแสดงให้เห็นถึง “การหักเหอย่างร้ายแรง” ออกจากความพยายามของรัฐบาลของเขาซึ่งมุ่งทำการแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและความบกพร่องผิดพลาดเชิงโครงสร้างต่างๆ ด้วย “หนทางที่ยั่งยืนและสามารถใช้ปฏิบัติได้” มากยิ่งขึ้น

“ทักษิณยังมีไอเดียที่สดใหม่ แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่มีไอเดียเอาเลย” นายกรณ์ปล่อย “หมัด” ใส่รัฐบาลชุดปัจจุบัน

นโยบายแบบประชานิยมฉบับดั้งเดิมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจัดทำกันขึ้นมาภายหลังจากที่พรรคการเมืองของเขาชนะเลือกตั้งแล้วไม่ใช่ก่อนการเลือกตั้ง ได้ถูกนำมา “ทำการตลาด” อย่างหนัก เพื่อให้กลายเป็นเครื่องรับรองภาพลักษณ์ความเป็นผู้เอาอกเอาใจคนยากคนจนของเขา ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ใช้จ่ายเงินงบประมาณจำนวนมากกว่านั้นเสียอีก ไปในการช่วยเหลือฟื้นฟูพวกนักอุตสาหกรรม, นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, และผู้ประกอบการภาคธุรกิจรายอื่นๆ ซึ่งติดหนี้สินรุงรังและอยู่ในอาการล้มคว่ำคะมำหงายจากวิกฤตทางการเงินในเอเชียช่วงปี 1997-1998 นอกจากนั้นนโยบายประชานิยมเหล่านี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังถูกเข็นออกมาดำเนินการ โดยที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่า การใช้จ่ายเช่นนั้นมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่โตในทางการคลัง ทว่าคำเตือนเช่นนี้ไม่ได้กลายเป็นความจริงขึ้นมาแต่อย่างใด สืบเนื่องจากเขาหันไปอาศัยพวกธนาคารภาครัฐที่อยู่นอกงบประมาณแผ่นดิน มาเป็นผู้ออกเงินให้แก่โครงการจำนวนมากของเขา

รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็กำลังลอกเลียนขโมยใช้กลยุทธ์ต่างๆ จากวิถีทางแห่งนักประชานิยมของผู้เป็นพี่ชายของเธอ โดยที่โครงการจำนำข้าวซึ่งจะต้องใช้เงินประมาณ 114,000 ล้านบาท รัฐบาลชุดปัจจุบันได้กำหนดให้หน้าที่การหาเงินทุนมาใช้จ่ายเป็นความรับผิดชอบของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งเป็นกิจการรัฐวิสาหกิจ เธอยังแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญทางการเมืองอยู่หลายแวบเหมือนกัน ด้วยการยกเลิกหรือตัดทอนลดขนาดคำมั่นสัญญาแบบประชานิยมบางอย่างที่พรรคของเธอได้ประกาศไว้ในช่วงรณรงค์หาเสียง เป็นต้นว่า แผนการที่จะแจกจ่ายบัตรเครดิตซึ่งหนุนหลังโดยรัฐบาลให้แก่เกษตรกรที่ติดหนี้ติดสิน คำสัญญาในช่วงหาเสียงอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การแจกจ่ายเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่นักเรียนทุกคนตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศซึ่งมีจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 8 ล้านคน เวลานี้ก็ได้ลดขนาดลงมาเหลือเพียงจะแจกจ่ายให้แก่นักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เท่านั้น

จากการที่ในช่วงก่อนน้ำท่วม ยอดหนี้สินสาธารณะของประเทศไทยยังอยู่ในระดับไม่สูง คือ เท่ากับ 43% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขณะที่ในระดับโลกกำลังมีเสียงเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ที่มีศักยภาพ เพิ่มการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและต่อต้านวงจรขาลงทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อต่อสู้กับความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาลงลึกเป็นหนที่สอง (double dip recession) ขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรป รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงมีที่มีทางในด้านการคลังที่จะเคลื่อนไหวขยับตัว ทั้งนี้การสร้างความคาดหวังเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนกันอย่างเอิกเกริกเต็มที่ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในเบื้องต้นเลยมีจุดมุ่งหมายที่จะใช้สนับสนุนความนิยมชมชอบในตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ และขณะเดียวกันก็ทำให้ฝ่ายทหารตกอยู่ในฐานะกลายเป็นช้างเท้าหลังไม่ค่อยกล้าขยับตัว ในเวลาที่เธอเร่งรัดผลักดันประดามาตรการทางการเมืองที่ธรรมดาแล้วอาจก่อให้เกิดการโต้เถียงขัดแย้งกันอย่างสูง เป็นต้นว่า การทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถกลับประเทศไทยโดยไร้ความผิดใดๆ

แต่จากความเสียหายอย่างหนักหน่วงและกว้างขวางของอุทกภัยคราวนี้ กำลังก่อให้เกิดคำถามฉกาจฉกรรจ์ขึ้นมา เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญทั้งในทางเศรษฐกิจและในทางการเมืองของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยที่ไม่มีหลักประกันเลยว่า การยืนกรานยึดมั่นทำตามสัญญาด้านประชานิยมของนายกรัฐมนตรี“มือใหม่หัดขับ”ทางการเมืองผู้นี้ ในช่วงเวลาแห่งวิกฤตอย่างในปัจจุบันนี้ จะก่อให้เกิดดอกผลทางการเมืองอย่างเดียวกับนโยบายมุ่งเอาอกเอาใจคนยากคนจนของ พ.ต.ท.ทักษิณเคยทำได้หรือไม่

ฌอน ดับเบิลยู คริสพิน เป็นบรรณาธิการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของเอเชียไทมส์ออนไลน์

http://www.manager.c...D=9540000134010
Posted Image Posted Image Posted ImagePosted Image Posted Image Posted Image Posted Imageไอ้สนธิบังเละ ไอ้ขิงเน่า+ไอ้มาร์คไอ้เทพเทือกคือตัวการให้ระบอบทักษิณยังลอยนวล

#2 Ixora

Ixora

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,177 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 10:27

เอาอยู่ เอาอยู่ ตลอดเวลานี่หว่า มันเลยเปียกปอนไง
...ความชอบธรรมต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม...