Jump to content


Photo
- - - - -

บทความใน astv ผูจัดการสุดสัปดาห์


This topic has been archived. This means that you cannot reply to this topic.
8 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 phat21

phat21

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,969 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 10:25

เขื่อนภูมิพล-เขื่อนสิริกิติ์ ลัทธิแดงปั้น “แพะ” ฉุด “ปูนิ่ม” พ้นมหาอุทกภัย

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
5 พฤศจิกายน 2554 06:08 น.
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังจากที่ง่อยเปลี้ยเสียขาจนไม่สามารถบริหารจัดการมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทยได้ บรรดาลิ่วล้อ กองเชียร์ ตลอดรวมถึงเครือข่ายของระบอบทักษิณแห่งรัฐไทยใหม่ก็เริ่มปฏิบัติการหา “แพะ” เพื่อโบ้ยความผิดไปให้บุคคลอื่นก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

เพราะพวกเขาเริ่มตระหนักแล้วว่า มหาอุทกภัยดังกล่าวได้ทำให้สถานะภาพและความมั่นคงของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากขึ้นไปทุกที

แกนนำคนเสื้อแดงกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อลบภาพขบวนการเหลือบที่เกิดขึ้นในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ที่บรรดาหัวโจกเข้าไปแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในการบริหารจัดการของบริจาคจนแม้กระทั่งคนกันเองอย่าง “นายฉลอง เรี่ยวแรง” ยังทนไม่ได้จนต้องระเบิดอารมณ์ต่อหน้าสาธารณชนออกมา ก่อนที่จะพลิกลิ้นเพราะมีปัจจัยบางอย่างไปอุดปากไว้

แกนนำคนเสื้อแดงกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อลบภาพความเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีแห่งพรรคเพื่อไทยที่เวลานี้นอกจากจะเป็นตัวตลกในสายตาชายไทยและชาวโลกแล้ว ยังขยับนำรัฐบาลก้าวเข้าสู่ความเป็นรัฐล้มเหลวหรือ Failed State มากขึ้นทุกที

**จงใจกระทบชิ่งสถาบัน?

ปฏิบัติการหาแพะที่สร้างความเจ็บปวดในหัวใจปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ปรากฏขึ้นให้เห็นชัดเจนด้วยการที่ “สื่อเสื้อแดง” อย่าง “บางกอกทูเดย์” ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 พาดหัวตัวไม้เบ้อเริ่มเทิ้มว่า “2 เขื่อนยักษ์ ปริศนาลับ! กำจัดปู! บทพิสูจน์น้ำ “หมื่นล้านคิว” มาจากไหน? ใครวางยา?”

หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ฉบับนี้ มี “นายเผด็จ ภูริปฏิภาณ” เจ้าของนามปากกา “พญาไม้” ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด เป็นผู้ดูแล และมี “นายไพวงษ์ เตชะณรงค์” เจ้าของโบนันซ่า รีสอร์ท เขาใหญ่ และ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นนายทุน ซึ่งที่ผ่านมามีจุดยืนสนับสนุน นช.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด

บางกอกทูเดย์ต้องการสื่อสารในเชิงสัญญะให้สังคมเข้าใจว่า มหาอุทกภัยที่สร้างความพินาศฉิบหายและความเดือดร้อนให้กับปวงชนชาวไทยไปทุกหย่อมหญ้าครั้งนี้มิใช่ความห่วยแตกหรือความเฮงซวยในการบริหารจัดการของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีแห่งพรรคเพื่อไทย หากแต่ถูกวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า หรือถูกวางยาโดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัดปูแดงผู้นำสูงสุดของพวกเขา

พร้อมทั้งโบ้ยความผิดทั้งหมดโครมลงไปที่ 2 เขื่อนยักษ์ดังที่พวกเขาพาดหัวเอาไว้

พาดหัวเพื่อให้ประชาชนคิดต่อไปเองว่า ใครคิดกำจัดปู ใครคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วม เพราะทุกคนย่อมรับรู้ว่าชื่อของ 2 เขื่อนยักษ์ดังกล่าวคือ “เขื่อนภูมิพล” และ “เขื่อนสิริกิติ์”

แน่นอน นี่คืองานถนัดของ “แกนนำเสื้อแดง” ที่มิอาจประมาทได้โดยเด็ดขาด หลังจากก่อนหน้านี้เคยประสบความสำเร็จในการปลุกวาทกรรม “อำมาตย์” หรือ “สองมาตรฐาน” จนสามารถล้างสมองให้ประชาชนแห่งรัฐไทยใหม่ก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองและสามารถเถลิงอำนาจการปกครองแผ่นดินสำเร็จได้อีกครั้ง

ครั้งนี้ก็เช่นกัน พวกเขาพยายามสื่อเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นว่า ใครคือผู้ที่คิดกำจัดปู

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนเสื้อแดงมีเจตนาที่จะทำเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้ ถ้าหากใครมีโอกาสเข้าร่วมวงสนทนาของคนเสื้อแดงในพื้นที่ต่างๆ ก็จะพบข้อความหรือบทสนทนาในทำนองเดียวกันนี้อย่างแพร่หลาย รวมกระทั่งถึงเว็บไซต์ที่เป็นเครือข่ายของคนเสื้อแดง

บทสนทนาที่ว่านี้ คงไม่สามารถเปิดเผยอย่างชัดๆ ได้ แต่เชื่อว่า สังคมคงจะคาดเดาได้ว่า เป็นบทสนทนาที่เชื่อมโยงไปถึง “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” อย่างที่คนเสื้อแดงมิอาจปฏิเสธข้อเท็จจริงดังกล่าวได้

ทั้งนี้ ลัทธิความเชื่อดังกล่าวก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเมื่อ “สื่อค่ายประชาชื่น” ที่สนับสนุนลัทธิเสื้อแดงและกำลังถูกน้ำกรีฑาทัพเข้าถล่มได้นำภาพคนจมน้ำมิดหัวแล้วชูมือขึ้นมาเหนือน้ำ แล้วในมือของชายคนนั้นถือธนบัตรใบละ 100 บาทและใบละ 20 บาท อย่างละหนึ่งใบที่ปรากฏพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมพาดหัวว่า “พลีชีพเพื่อคน กทม.” ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วทั้งแผ่นดินถึงจิตเจตนาและความเหมาะสมในการนำเสนอ

ตามต่อด้วยการที่ “แกนนำหมายเลข 1 ของคนเสื้อแดง” ที่ชื่อ “จตุพร พรหมพันธุ์” ค่อยๆ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่อง 2 เขื่อนดังกล่าวมากขึ้นและชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ

"ผมติดตามสถานการณ์ พยายามมองโลกในแง่ดี ในการวางแผนจัดการระบบน้ำก่อนที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเข้ามาบริหารประเทศ มีเรื่องที่น่าสงสัยอยู่หลายประการ เพราะในทางวิชาการ ผมยกตัวอย่างว่าบริเวณท่าเรือทุกแห่งสามารถคาดการณ์น้ำขึ้นน้ำลงล่วงหน้าถึง 3 เดือน และในแต่ละชั่วโมงขึ้นเท่าไหร่ มีอัตรากันอย่างไร ในทางวิชาการไม่ว่ากรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา หรือว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการเก็บกักน้ำ อย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตทุกคนย่อมจะรู้เช่นกัน และคาดการณ์ที่จะเก็บกักน้ำเอาไว้ เมื่อฝนตกลงมาจะมีปริมาณที่พอดี แต่ทั้งหมดนั้น 1.ถ้าเป็นความบังเอิญหรือเป็นความเจตนาดี กลัวฝนจะไม่ตกก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ว่าไม่รู้ 2.ถ้าจะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา และคิดว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผมขอประณามเลยว่า เป็นการกระทำที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด"

จากนั้น นายจตุพรก็ตอกย้ำแนวความคิดนี้อีกครั้งในงาน “ไพร่แดง ลมหายใจที่ไม่แพ้”ที่จ.เชียงราย โดยระบุถึงสาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมว่า “สาเหตุที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่กทม.ในครั้งนี้นั้น เป็นเพราะรัฐบาลยุคพรรคประชาธิปัตย์ ได้วางยากักน้ำเอาไว้เต็มเขื่อนหลายแห่งนั่นเอง ส่วนการที่ทหารขอเข้ามาช่วยเหลือน้ำท่วม น.ส.ยิ่งลักษณ์ รู้ทันจึงให้ดูแลพื้นที่เพียง 5จังหวัด แต่ถ้าการช่วยเหลือน้ำท่วมล้มเหลวทหารต้องรับไป ถึง50%”

นอกจากนี้นายจตุพร ยังได้กล่าวต่ออีกว่า ในเดือน ธ.ค.นี้มีขบวนการที่เตรียมล้มรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรด้วย แต่มาเกิดน้ำท่วมเสียก่อนจึงทำไม่ได้และเลื่อนไปเป็นกลางปี 2555 แทน

แต่ความจริงที่ปรากฏก็คือ กระทรวงที่ควบคุมกรมชลประทานและคุมเขื่อนโดยตรงในรัฐบาลชุดที่แล้วก็คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มี “นายธีระ วงศ์สมุทร” อดีตอธิบดีกรมชลประทานจากพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นรัฐมนตรี และปัจจุบันก็ยังนั่งเก้าอี้ตัวเดิมอยู่ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปัจจุบัน

ส่วน “นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล” ในรัฐบาลชุดที่แล้วก็เป็น รมต.กระทรวงพลังงาน ซึ่งคุมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่ดูแลเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งในปัจจุบัน นพ.วรรณรัตน์ก็ยังเป็น รมต.อุตสาหกรรมร่วมรัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์

รวมทั้งก่อนหน้านี้ นายจตุพรยังตั้งข้อสงสัยว่า กองทัพไทยได้ใช้กำลังคน ยุทโธปกรณ์ครบถ้วนในพื้นที่รับผิดชอบแล้วหรือยัง ถ้าทหารได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือประชาชน ไม่มีการกั๊ก เทใจ และไม่คิดหวังผลรอวันหายนะ จากการแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่สำเร็จของรัฐบาล จะเป็นเหตุของการปฏิวัติรัฐประหารเอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นเหตุของการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่

แน่นอน ตรรกะของนายจตุพรคือตรรกะที่โหลยโท่ยเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาพที่ประชาชนคนไทยเห็นและสัมผัสได้ก็คือ ทหารคือองค์กรที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนจนสายตัวแทบขาดในทุกๆ พื้นที่ที่มีปัญหา ต่างจากรัฐบาลที่นอกจากมิได้ทำอะไรแล้ว ยังปลุกปั่นยุยงให้มวลชนของตนเองไปพังคันกั้นน้ำตามจุดต่างๆ อีกต่างหาก

และประจักษ์พยานที่ชัดเจนคือคำให้สัมภาษณ์ของ “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่กล่าวว่า “กองทัพต้องการให้ ศปภ.แบ่งหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจน เพราะขณะนี้ปัญหาได้ขยายพื้นที่เป็นวงกว้าง การกำหนดพื้นที่ที่รับผิดชอบจะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น ...ขาดการประสานงานและยังมีความล่าช้า หรือมีหน่วยงานอื่นมาเบิกของตัดหน้าไปก่อน ตัวอย่างน้ำเข้าในพื้นที่สนามบินดินเมือง ได้ประสาน ศปภ.เพื่อขอแบริเออร์ ทรายและกระสอบทราย กว่าจะได้ของผ่านไป 1 วัน”

แน่นอน ความคิดของนายจตุพรคือสิ่งที่เหมือนกับถ้อยคำที่กระเด็นหลุดออกมาจากปากของสองผัวเมียแกนนำคนสำคัญของคนเสื้อแดงอย่าง “นพ.เหวง โตจิราการ” และ “นางธิดา ถาวรเศรษฐ์” อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

กระทั่งในที่สุด ความชัดเจนก็ปรากฏเห็นเป็นรูปธรรมเมื่อ “บางกอกทูเดย์” สื่อสังกัดคนเสื้อแดงพาดหัวตัวไม้และลงรายละเอียดวิเคราะห์อย่างชัดแจ้ง ซึ่งนั่นทำให้สังคมเข้าใจเป้าหมายและปฏิบัติการของแกนนำคนเสื้อแดงที่กำลังมุ่งขยายแนวความคิดเพื่อหาทางช่วยเหลือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้รอดพ้นจากการขับไล่ของประชาชนและทำให้แผนการสถาปนารัฐไทยใหม่ของพวกเขาพังครืนลงไปต่อหน้าต่อตาได้

ทั้งนี้ รายงานของบางกอกทูเดย์อ้างว่า ประชาชนผู้ที่เดือดร้อนมีข้อสงสัยว่า น้ำจำนวนกว่า 1.1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรนั้น มาจากไหน ทั้งๆ ที่กระจายไปกว่า 30 จังหวัดแล้ว ยังคงมีมวลน้ำอยู่มากมาย ชนิดที่คนกรุงเทพฯ ยังไม่มั่นใจว่า หากปล่อยให้เข้ามาท่วมกรุงเทพฯ เพื่อช่วยประชาชนในต่างจังหวัดและปริมณฑลแล้ว จะสามารถลดทอนน้ำในที่ต่างๆ ได้แค่ไหน

“บางกอกทูเดย์ ไม่ได้ต้องการโทษความผิดให้ใคร แต่ต้องการให้ได้เรียนรู้จากความจริง และใช้เป็นบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพราะน้ำจำนวนมหาศาลเป็นหมื่นๆ ล้านลูกบาศก์เมตรในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการบริหารน้ำในเขื่อนสำคัญคือเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ นั่นเอง” รายงานระบุ

เป้าประสงค์ของบางกอกทูเดย์ชัดเจนยิ่งเมื่อพวกเขาตัดสินใจพาดหัวตัวไม้ว่า “2 เขื่อนยักษ์ ปริศนาลับ! กำจัดปู!”

เสมือนหนึ่งต้องการสื่อให้ประชาชนรับทราบว่า กรณีน้ำท่วมที่เกิดขึ้นนั้นมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า โดยมีเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เป็นจำเลยสำคัญและเป็นปริศนาลับที่ต้องการจำกัดรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้พ้นทางออกไป

**หลักฐานชัด “ปู” เกรียน ไม่สนใจบริหารจัดการน้ำ

ขณะเดียวกันบางกอกทูเดย์ก็แก้ตัวแทนรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างน้ำขุ่นๆ โดยที่มิได้วิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารจัดการน้ำให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ด้วยการอ้างว่า “ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม มีการเลือกตั้ง ทำให้เกิดช่วงสุญญากาศทางการเมือง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลรักษาการอยู่จนถึงต้นเดือนสิงหาคม ทำให้การดูแลระดับน้ำในเขื่อนอยู่ในการดูแลรับผิดชอบของกรมชลประทาน เนื่องจากกว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ จะสามารถทำหน้าที่ได้ ก็เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม เวลาประมาณ 21.30 น.ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากนั้นในวันที่ 10 ส.ค.นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี จึงได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 ร.พ.ศิริราช”

บางกอกทูเดย์มิได้เคยสนใจใยดีที่จะนำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อต่างประเทศ รวมทั้งข้อเท็จจริงเรื่องรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้แม้แต่เพียงนิดเดียวจนตกอยู่ในภาวะ “เป็ดง่อย” ที่ไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากทั้งภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาชนแต่อย่างใด

เพราะต้องไม่ลืมว่านับจากวันแรกที่รัฐบาลคนเสื้อแดงรับรู้สถานการณ์น้ำท่วมก่อนที่น้ำจะไหล่บ่าเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร รวมถึงจังหวัดต่างๆ ก่อนหน้านี้นั้นกินเวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 เดือน แต่รัฐบาลชุดนี้ก็มิได้ใยดีที่จะแก้ปัญหาให้เป็นเรื่องเป็นราว ทำเพียงแค่ประดิษฐ์ถ้อยคำเพื่อหวังผลทางการตลาดอย่าง “บางระกำโมเดล” ขึ้นมาพอเป็นพิธี ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นฯโมเดลที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ส่วนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องน้ำในเขื่อนมีอยู่ว่า หลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีอำนาจบริหารราชแผ่นดินเต็มในวันที่ 10 ส.ค. ขณะนั้นน้ำในเขื่อนภูมิพลอยู่ที่ 69% ส่วนเขื่อนสิริกิติ์อยู่ที่ 85% ถัดจากนั้นอีก 10 วันคือวันที่ 20 ส.ค.นายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็สั่งการให้กรมชลประทานสำรวจพื้นที่รับน้ำเพิ่มและใช้บางระกำโมเดลแก้ปัญหา โดยขณะนั้นน้ำในเขื่อนภูมิพลอยู่ที่ 73% และเขื่อนสิริกิติ์อยู่ที่ 89%

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับรู้ข้อมูลมาโดยตลอด แต่กลับมิได้บริหารจัดการอะไร ทั้งๆ ที่หลังจากนั้นอีกไม่วันกรมชลประทานได้เตือนเรื่องระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลนี้กลับไม่ได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จนอีกราว 1 เดือนถัดมาพายุ 3 ลูกใหญ่คือพายุไถ่ทาง เนสาดและนาลแกก็บุกโจมตีและทำให้สถานการณ์วิกฤตมากขึ้นเรื่อย ครม.ยิ่งลักษณ์ถึงเพิ่งประกาศตั้ง ศปภ.ขึ้นเมื่อวันที่ 3 ต.ค.

แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์มิได้สนใจใยดี แถมเมื่อวันที่ 2 พ.ย. น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังโกหกหน้าตาเฉยอีกต่างหากว่า “ตอนที่มารับตำแหน่ง เขื่อนเต็มหมดแล้ว แล้วจะเอาน้ำไประบายตรงไหน ต้องล้นแน่นอน และเราเจอปัญหาพายุ 5 ลูกติดต่อกัน เขื่อนก็เก็บน้ำไว้หมด”

นอกจากนี้ สิ่งที่สังคมเห็นก็คือ ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะโยกย้ายพรรคพวกของตัวเองเข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆ รวมถึงทำทุกทางเพื่อช่วยเหลือ นช.ทักษิณ และการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหมเพื่อแทรกแซงการโยกย้ายแต่งตั้งนายทหารระดับสูง

สอดรับกันอย่างพอดิบพอดีกับการที่นักโทษชายหนีคดี “ทักษิณ ชินวัตร” โผล่หัวออกมาทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @Thaksinlive แก้ตัวแทนน้องสาว พร้อมมั่วนิ่มเพื่อโชว์ความชาญฉลาดของตัวเองในการแก้ปัญหาด้วยการโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงไปที่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นคำแก้ตัวที่คนเสื้อแดงทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำใช้แก้ตัวกับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยที่มิได้เคยมองดูถึงความผิดพลาดในการทำงานของตนเองและวงศ์วานว่านเครือแม้แต่เพียงนิดเพียว

“ถ้าท่านจำกันได้ตอนปี 2548 ผมเคยมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เชิญต่างประเทศมาลงทุนให้ก่อนแล้วผ่อนเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งมีเรื่องน้ำรวมอยู่ด้วยแต่ผมถูกปฏิวัติเสียก่อน เหตุการณ์ครั้งนี้เราเสียหายรวมกันทั้งภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐเฉพาะทางตรงน่าจะร่วมๆ สองแสนล้านบาท แต่ก็อยากให้สบายใจว่าหาเงินมาแก้ปัญหาได้” อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีคำพิพากษาจำคุกระบุ

เฉกเช่นเดียวกับการที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเชีย อัพเดท ซึ่งเป็นสื่อมวลชนในเครือข่ายกลุ่ม นปช.และพรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่รายงานพิเศษในหัวข้อ “หยุดกวนน้ำให้ขุ่นขวางรัฐบาลแก้อุทกภัย” โดย นายบูรพา เล็กล้วนงาม ซึ่งกล่าวว่า นอกจากปัญหาน้ำท่วมที่อ้างว่าได้รับการแก้ไขแล้ว การสร้างสถานการณ์ซ้ำเติมโดยคนบางกลุ่มยังเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล โดยกล่าวโจมตีว่าคนบางกลุ่มนำประเด็นน้ำท่วม มาเป็นเครื่องมือลดความน่าเชื่อถือของ ศปภ.และรัฐบาล พร้อมกับระบุว่า โทรทัศน์ช่องต่างๆ มีการรายงานสถานการณ์น้ำเกินจริง ทั้งที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังไม่ถูกน้ำท่วมเลยแม้เพียงระดับตาตุ่ม

ทั้งนี้ ความพยายามดังกล่าวของแกนนำเสื้อแดงเริ่มบรรลุผลมากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 26 ภายหลังลงกรวดน้ำท่วมพื้นที่ถนนจรัลสนิทวงศ์ว่า “ท่านทรงเป็นห่วงประชาชน อยากให้เป็นไปตามธรรมชาติ นี่พระมหากรุณาธิคุณ ท่านห่วงประชาชนตลอด ท่านก็บอกว่าให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ ท่านจึงไม่ทรงโปรด และทรงรับสั่งว่า เป็นน้ำท่วมก็ขอปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อยากให้มีอะไรเป็นพิเศษ”

สอดรับกับการที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มีพระดำรัสต่อประชาชนละแวกพระตำหนักจักรีบงกช จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 31 ต.ค.หลังประทับเรือเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรสภาพพระตำหนักซึ่งถูกน้ำท่วมหนัก พร้อมพระราชทานถุงยังชีพให้กับประชาชนที่มาเข้าเฝ้าว่า “ข้าพเจ้าสัญญาว่า จะไม่ปั๊มน้ำออกจากบ้านเพื่อให้น้ำแห้ง ข้าพเจ้ายอมจมน้ำเหมือนประชาชนทุกคน และเราจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนี้ไปด้วยกัน ข้าพเจ้าได้สั่งแม่บ้านของข้าพเจ้าแล้วให้ทำอาหารส่งหมู่บ้านทีห่างไกล ได้ทราบว่าแม่บ้านได้ทำอาหารแจกชาวบ้านโดยรอบ 1,000 กล่องต่อวัน ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะกลับมาทุกสัปดาห์จนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ ขอใจทุกคนสู้อดทน พวกเราจะฝ่าวิกฤตการณ์นี้ไปด้วยกัน”

นี่คือพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ที่ปวงชนชาวไทยเคารพสักการะซึ่งหาที่เปรียบมิได้

….แน่นอน จากข้อมูลทั้งหลายทั้งปวง เชื่อเถอะว่า คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยก็ยังคงเชื่อในปฏิบัติการจิตวิทยาของแกนนำครั้งนี้ด้วยความงมงายเหมือนเดิมโดยไม่มีเปลี่ยนแปลงเพราะพวกเขาถูกล้างสมองไปเรียบร้อยแล้วว่า คนเสื้อแดงทำอะไรก็ไม่ผิด พลังของคนเสื้อแดงคือกฎหมายสูงสุดของบ้านนี้เมืองนี้

มหาอุทกภัยครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

เพราะถ้าหากไปตรวจสอบตามเว็บไซต์ต่างๆ ของคนเสื้อแดงก็จะเห็นการโพสต์ข้อความไปในท่วงทำนองเดียวกันกับแกนนำคนเสื้อแดงและสื่อของคนเสื้อแดงอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

http://www.manager.c...D=9540000140974

หมดเวลานายกฯ สมองกลวง
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
5 พฤศจิกายน 2554 06:08 น.
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คงจะไม่เกินเลยไปนัก ถ้าจะกล่าวว่า ในยุคที่ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี คือยุคที่ประชาชนชาวไทยได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากมหาอุทกภัยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ขณะที่ประเทศชาติก็พินาศย่อยยับและฉิบหายชนิดไม่สามารถประเมินค่าได้

และถ้าหากถามว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยคนนี้มี “ความโดดเด่น” ที่ตรงไหนบ้าง เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ขณะที่หลายคนอาจจะทำหน้างงๆ เพราะคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่า เธอมีคุณสมบัติอะไรที่เหมาะสมสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศที่มีประชากรกว่า 60 ล้านคน

ยิ่งเมื่อประเทศชาติต้องเผชิญหน้ากับมหาอุทกภัย เราก็ยิ่งได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์มากขึ้นเป็นลำดับ

ไร้เดียงสา...
ขาดภาวะผู้นำ...
ฯลฯ

แน่นอน คงไม่มีใครปฏิเสธว่า สาเหตุที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยนั้น มีเหตุผลเพียงประการเดียวคือ เธอเป็นน้องสาวของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง และ นช.ทักษิณก็ไม่ไว้ใจใครให้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้นอกเสียจากน้องในไส้สุดที่รักของตัวเอง

ด้วยเหตุดังกล่าว เส้นทางในการก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของเธอจึงโรยด้วยกลีบกุหลาบ มิได้ใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองในการต่อสู้ดิ้นรน เพราะมีคนเตรียมการใส่พานเอาไว้ให้พร้อมสรรพเรียบร้อย

กล่าวคือ หลังจากที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติเลือก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 1 ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เส้นทางในการเถลิงอำนาจของเธอก็เป็นไปอย่างราบรื่นและในท้ายที่สุดก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมใจผู้เป็นพี่ชาย

เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีผู้มาประเคนตำแหน่งให้แทบเท้าโดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร

เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยมีประวัติการทำงานการเมือง ทำงานเพื่อสังคมหรือทำงานเพื่อประเทศชาติ ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงทำอะไรไม่เป็น แถมคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลของเธอแต่ละคนยังเป็นรัฐมนตรีแถวสามแถวสี่ของระบอบทักษิณที่มิได้มีฝีไม้ลายมือเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่เมื่อเกิดวิกฤตน้ำท่วม คณะรัฐบาลชุดนี้จึงตกอยู่ในสภาพ “เป็ดง่อย” ที่ทำอะไรไม่เป็น

ที่สำคัญ สิ่งที่สังคมต้องไม่ลืมก็คือ นอกจากโคลนนิงผู้พี่จะมีประกาศิตให้เธอเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยแล้ว แรงผลักประการสำคัญที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีก็คือ การก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองของ “คนเสื้อแดง” เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ผู้ “ดีแต่พูด”

ดังนั้น เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เถลิงอำนาจมาด้วย “ไฟ” นายห้างตราดูไบจึงจำเป็นที่จะตอบแทนบรรดาหัวหมู่ทะลวงฟันและแกนนำคนเสื้อแดงผู้จุดไฟเผาบ้านเผาเมืองด้วยตำแหน่งสำคัญๆ มากมาย ทั้งในรัฐบาล ทั้งในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ รวมกระทั่งถึงในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่เอาอ่าว

ทั้งนี้ เมื่อผู้นำรัฐบาลคือตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เองก็มิได้มีความสามารถ และเป็นเพียงหุ่นเชิดให้พี่ชายชี้นิ้วสั่งการ ดังนั้น ทุกครั้งที่เธอออกมาสื่อสารกับประชาชน จึงเป็นไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ ข้อมูลไม่ชัดเจน ประชาชนเกิดความสับสนกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น เพราะคำพูดของเธอไม่อยู่กับร่องกับรอย

ที่สำคัญคือ สถานการณ์น้ำท่วมได้เริ่มก่อตัวทั่วประเทศตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม และก้าวเข้าสู่ภาวะระดับวิกฤตในเดือนกันยายน แต่ก็มิได้มีความเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารจัดการแต่อย่างได้ กระทั่งเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงเดือนตุลาคม นายกฯ ยิ่งลักษณ์จึงเพิ่งตื่นจากภวังค์และจัดตั้ง ศปภ.ขึ้นที่ดอนเมือง

จากนั้น เธอก็อ่านสคริปต์ที่มีคนเขียนให้และประกาศออกมาอย่างหน้าตาเฉยด้วยวลีที่เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คนไทยทั้งประเทศจดจำได้ดี “เอาอยู่ค่ะ” กับกรณีที่น้ำกรีธาทัพบุกนิคมอุตสาหกรรมนวนคร แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามนั้น เพราะเพียงชั่วข้ามคืน กองทัพน้ำก็บุกถล่มนวนครราบเป็นหน้ากลอง

ขณะที่การแถลงข่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งโฆษกน้ำยาขัดส้วมชื่อ “วิม” ก็ยิ่งทำให้สังคมเกิดความสับสนและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลทำให้ประชาชนหันไปพึ่งพิงข้อมูลผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์แทน

วอลล์สตรีทเจอร์นัลได้นำเสนอบทความชื่อ “Thai Turn to Social Media for Flood Updates” ว่า ประชาชนชาวไทยต่างเบื่อหน่ายกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลซึ่งให้ข้อมูลแสนสับสนหรือเสนอรายงานที่ขัดแย้งกันเองภายในหน่วยงาน บางครั้งแถลงว่า ระดับน้ำกำลังลดลง แต่มวลน้ำกลับไหลทะลักกินบริเวณกว้างขึ้นในเวลาต่อมา ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายสังคมออนไลน์จึงกลายเป็นสื่อที่รายงานข้อมูลได้รวดเร็วที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในบางกรณี

ยิ่งนานวัน คนไทยก็ยิ่งเห็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยผู้นี้มากขึ้น ทั้งการใช้คนที่ไม่เหมาะสมกับงาน ดังกรณีการตั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นประธานศูนย์ ศปภ. ทั้งๆ ที่ความจริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่คุมผู้ว่าราชการจังหวัด และควบคุมองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั้งประเทศ

ขณะที่ตัวนายกรัฐมนตรีเองก็พิกลพิการเพราะนอกจากจะไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย พูดจาวกวนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แถมยังพูดจาโชว์รอยหยักในสมองอย่าง เรือดำน้ำ-เรือดันน้ำ หญ้าแพรก-หญ้าแฝก ให้เป็นที่ตลกขบขันกันทั้งบ้านทั้งเมือง

นอกจากนี้ เมื่อตอบคำถามไม่ได้ก็ใช้วิธีปิดปากเดินหนีนักข่าว จากนั้นก็ได้ส่งคนใกล้ชิดมาชี้แจงว่า เหตุที่นายกฯ ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ไม่ใช่เป็นเพราะงอนที่ถูกสื่อจี้ถามหลายๆ คำถาม แต่งอนผู้สื่อข่าวบางคนที่ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเกินไปโดยไม่ยิ้มแย้มแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไร้อำนาจสั่งการที่แท้จริงอีกต่างหาก

กรณีประตูระบายน้ำคลองสามวาคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะแม้กระทั่ง “นายวิชาญ มีนชัยนันท์” ผู้เป็นแค่เพียง ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็สามารถเอาใจม็อบด้วยการใช้อำนาจสั่งเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวาสูงขึ้นอีก 1 เมตร ทั้งๆ ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เพิ่งยืนยันกับสื่อมวลชนไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าว่า ปัญหาม็อบคลองสามวาจบแล้ว โดยรัฐบาลจะเปิดให้ 80 ซม.

แถมสุดท้ายก็มิได้มีความเด็ดขาดในการควบคุมฝูงชนที่ไปพังคันดินข้างประตูระบายน้ำคลองสามวา จนทำให้ประตูระบายน้ำแห่งนี้หมดสภาพที่จะควบคุมน้ำได้ในฉับพลันทันที จน กทม.ต้องเร่งรีบประสานงานในการซ่อมแซมในทันที และนั่นส่งผลทำให้ทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ ต้องตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 นิคมอุตสาหกรรมที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ในขณะนี้ นั่นคือนิคมอุตสาหกรรมบางชัน ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของไทย และนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง

แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิสุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับสนามบินดอนเมืองอีกต่างหาก

รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวเพราะเป็นเพียงหุ่นเชิดซึ่งมีผู้มีอำนาจที่เหนือกว่าสั่งการแทนได้

แน่นอน ชาวบ้านที่ทนทุกข์อยู่กับน้ำท่วมขังและทนไม่ไหวจนเกิดม็อบกดดันย่อมไม่ใช่ผู้ผิด เพราะพวกเขาได้รับความเดือดร้อนจริง แต่คนที่ผิดก็คือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มิมีปัญญาในการเจรจา มิมีปัญญาในการบริหารจัดการและช่วยเหลือชาวบ้านเหล่านั้นให้เห็นถึงสภาพที่แท้จริงของปัญหา

อีกตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ประกาศยืนยันอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า มวลน้ำใหญ่ไม่มีแล้ว แต่กระทั่งถึงวันที่ 3 พ.ย. ภาพที่สังคมได้เห็นก็คือการรุกคืบของมวลน้ำที่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งธนบุรีที่น้ำท่วมรุกเข้าไปถึงย่านบางแค ด้านถนนพหลโยธินที่น้ำท่วมบุกมาถึงเมเจอร์รัชโยธิน เช่นเดียวกับถนนวิภาวดีรังสิต ที่มวลน้ำทะลุทะลวงมาถึงวัดเสมียนนารี และกำลังรวมตัวกันถล่มห้าแยกลาดพร้าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงกลายเป็น “ตัวตลก” ของประชาชนที่ไม่มีใครให้ความเชื่อถืออีกต่อไป

ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงยืนยันว่า ใจความสำคัญที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายผ่านทางสไกป์ (Skypeโปรแกรมสำหรับคุยโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต) โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมปรึกษาด้วยนั้น มิได้อยู่ที่แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม หากแต่อยู่ที่ประโยคเด็ดที่ว่า “ไม่อยากเป็นนายกฯ แล้ว พี่แม้วขา”

หรือหมายความว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถอดใจในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเอาเสียดื้อๆ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเมื่อผู้เป็นพี่ชายชักแม่น้ำทั้ง 5 อ้อนวอนขอให้ประคับประคองรัฐบาลนี้ต่อไป

ประกอบกับขุนพลที่อยู่รอบกายก็มิได้มีความสามารถสมกับเก้าอี้ที่ได้รับ เพราะการเลือกคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมิได้มองที่ความสามารถ หากแต่มุ่งใช้คนที่สามารถตอบสนองคำสั่งและช่วยเหลือนายใหญ่ดูไบให้เหยียบแผ่นดินไทยได้อีกครั้ง จึงทำให้รัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สำเร็จลุล่วง หรือแม้กระทั่งบรรเทาปัญหามิให้หนักหนาสาหัสไปกว่าที่เป็นอยู่ก็ยังทำไม่ได้

ดังนั้น กลไกต่างๆ ของรัฐบาลจึงง่อยเปลี้ยเสียขา มิหนำซ้ำแต่ละคนยังเชียร์กันเองครื้นเครงอยู่ในกะลาดังข้อมูลที่ประชาชนรับทราบในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ ครม.ที่ปิดการประชุม ครม.ด้วยการทิ้งท้ายว่า “ท่านนายกฯ สู้” ตามต่อด้วยการที่บรรดารัฐมนตรีพร้อมใจกันปรบมือกึกก้องพร้อมกับลุกขึ้นมารายล้อมนายกฯ เพื่อพูดให้กำลังใจ

ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ในขณะนี้บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงกำลังหาทางช่วยรัฐบาลยิ่งลักษณ์กันอย่างจ้าละหวั่น ด้วยการหา “แพะ” เพื่อโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงไปให้อย่างไร้ยางอาย โดยที่ไม่ได้เคยคิดหันกลับไปทบทวนความผิดพลาดของตัวเองแล้วแก้ไขเลยแม้แต่น้อย

เพราะในความเป็นจริง ตอนที่เกิดปัญหาอุทกภัย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาทำหน้าที่ได้เกือบ 2 เดือนแล้ว

นี่จึงเป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบที่น่าอัปยศอดสู

สถานภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในเวลานี้จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับคำว่า “รัฐล้มเหลว” หรือ “Failed State” เนื่องเพราะเป็นรัฐที่ไม่สามารถรักษาความมั่นคงภายในหน่วยงานของรัฐ และไม่สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของปวงชนชาวไทยได้

ยิ่งกับกรณีล่าสุดในการเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในพื้นที่ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง วัดไผ่เขียว ตลาดโกสุมรวมใจ หมู่บ้านบูรพา 7 ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของ “นายการุณ โหสกุล” เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังโชว์รอยหยักที่มีอยู่น้อยนิดในสมองจนเป็นที่น่าขบขันถึงความไร้เดียงสา

กล่าวคือขณะที่คณะนายกรัฐมนตรีได้สวนกับเรือของพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาต น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นิมนต์พระสงฆ์รูปหนึ่งเพื่อนำถุงยังชีพใส่บาตร และยังได้หยิบถุงบรรจุอีเอ็มบอล จำนวน 2 ถุงขึ้นมา พร้อมอธิบายสรรพคุณของอีเอ็มบอลให้พระสงฆ์ฟัง เมื่ออธิบายจบก็เตรียมจะนำถุงอีเอ็มบอลใส่ลงในบาตร แต่ขณะนั้นพระสงฆ์รูปดังกล่าวได้รีบปิดฝาบาตร แล้วนำกระดาษมารองบนบาตรเพื่อใช้แทนผ้ารับประเคนถุงอีเอ็มบอลจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ทัน และพระรูปดังกล่าวได้ขอให้นายกฯ แยกออกต่างหาก

พระเจ้าช่วยกล้วยทอด นี่หรือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

สุดท้ายคงต้องฝากบทกวี “ปูดำรำพัน” ที่กำลังกระหึ่มโซเชียลเน็ตเวิร์กในขณะนี้ ซึ่งได้สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้อย่างชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องหาคำใดๆ มาอธิบายเพิ่มเติม

หนูก็แค่ ทำตาม พี่เค้าสั่ง
ไม่อยากดัง แต่ขัดพี่ นี้ไม่ได้
พี่เค้าบอก ให้หนู ทำเพื่อไทย
หนูเลยกลาย เป็นนายก ตลกดี

หนูไม่รู้ อะไร ตั้งหลายอย่าง
คนรอบข้าง บอกให้ทำ อย่างนั้น-นี้
หนูก็งง และก็มั่ว ในบางที
ก็อย่างที่ หญ้าแฝก หญ้าแพรกไง

หนูไม่กล้า พูดสด กดดันมาก
สคริปต์ยาก อ่านไม่ทัน มันไม่ไหว
ก็เลยต้อง โยนคนโน้น คนนี้ไป
ให้ถามไป กระทรวงใคร กระทรวงมัน

งานเยอะแยะ ทำไม่ทัน ดันน้ำท่วม
หนูก็อ่วม จะทำไง ซ้ายขวาหัน
กั้นตรงโน้น แก้ตรงนี้ พังทุกวัน
ก็หนูมัน ไม่เคย เลยนี่นา

คนรอบข้าง เก่งหรือไม่ หนูไม่รู้
เท่าที่ดู เก่งทางปาก หลายคนหนา
ทั้งพี่ปอด พี่ตู่ เจ๊สุดา
เก่งแต่หา เรื่องให้หนู อยู่ทุกวัน

หนูโดนด่า ในเน็ต ในเฟซหนู
ตั้งกระทู้ ด่ากระจาย หลายเวอร์ชั่น
สุดจะทน โดนด่า ว่าทุกวัน
หนูอัดอั้น แต่พี่เค้า ให้อดทน

ไม่อยากเปน นายกแล้ว พี่แม้วขา
ช่วยกลับมา จากดูไบ หนูไม่สน
ใครอยากเปน ก็เปนไป หนูไม่ทน
พี่เปนคน สร้างปัญหา ต้องมาเคลียร์

หนูขอกลับ ไปเปนปู อยู่อย่างเก่า
คิดแล้วเรา อยู่ไป ไม่คุ้มเสีย
ทุกวันนี้ หนูเหนื่อย หนูอ่อนเพลีย
พี่เปนเชี่ย อะไร ไม่กลับมา...

http://www.manager.c...D=9540000140978
Posted Image Posted Image Posted ImagePosted Image Posted Image Posted Image Posted Imageไอ้สนธิบังเละ ไอ้ขิงเน่า+ไอ้มาร์คไอ้เทพเทือกคือตัวการให้ระบอบทักษิณยังลอยนวล

#2 phat21

phat21

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,969 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 10:30

รัฐบาล “ห่วย” ศปภ. “กาก” ทิ้งของบริจาค “ลอยแพประชาชน” !
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 5 พฤศจิกายน 2554 06:08 น.
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ยืนยันว่า ศปภ.จะเป็นหน่วยงานสุดท้ายที่จะย้ายออกจากจุดนี้ ที่สำคัญเรายังมีผู้อพยพที่ยังต้องขนย้ายไปในที่ที่ปลอดภัย”

นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งหลายคนได้ฟังแล้วก็รู้สึก “อุ่นใจ” ว่าอย่างไรเสียรัฐบาลก็จะปักหลักทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง และที่สำคัญรัฐบาลจะไม่มีวันทอดทิ้งประชาชน

แต่พอถึงเวลาคับขัน น้ำไหลทะลักเข้ามาใน ศปภ.ดอนเมือง (คล้อยหลังคำประกาศอันขึงขังเพียงไม่กี่วัน) รัฐบาลโดยการนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็รีบเผ่นหนีเอาตัวรอด ทอดทิ้งประชาชนหน้าตาเฉย โดยย้ายศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ออกจากท่าอากาศยานดอนเมือง มาปักหลักที่อาคารเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน ริม ถ.วิภาวดีฯ อย่างน่าเกลียดที่สุด

เพราะนั่นสะท้อนให้เห็นถึง “ความไม่จริงใจ” ต่อประชาชนของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และศปภ. ซึ่งแทนที่จะแสดงให้เห็นถึง “ภาวะผู้นำ” และรัฐบาลที่จะปกป้องคุ้มครองดูแลประชาชนจนถึงวินาทีสุดท้าย หรือจนกว่าประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สนามบินดอนเมืองจะได้รับการอพยพออกจากศูนย์พักพิงไปอย่างปลอดภัยจนหมดสิ้นแล้ว แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และศปภ.กลับหนี “หัวซุกหัวซุน” เอาตัวรอด ทอดทิ้งผู้ประสบภัยตาดำๆ กว่า 600 คน ซึ่งมีทั้งคนชรา คนป่วย และเด็ก ให้อยู่ในความมืดเพราะถูกตัดน้ำ ตัดไฟ และหิวโซ เนื่องจากไม่มีอาหารประทังชีวิต

นอกจาก “ลอยแพประชาชน” ให้เผชิญชะตากรรมกับน้ำท่วมอย่างไม่สนใจไยดีแล้ว รัฐบาลและศปภ. ยังทิ้งสิ่งของบริจาคลอยเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด และที่จมน้ำก็มีเป็นจำนวนมาก ทั้งเสื้อผ้า อาหาร น้ำดื่ม เครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ จนภาพน้ำดื่มบรรจุขวด กองถุงยังชีพ เรือพลาสติก เรือติดเครื่องยนต์ และสุขาลอยน้ำที่ได้รับบริจาคจากประเทศญี่ปุ่นแปะสติ๊กเกอร์ JAPAN อีกนับร้อยห้องที่ถูกทิ้งให้จมน้ำอยู่ในตัวอาคาร ถูกนำไปแพร่ประจานในสังคมออนไลน์ทั้ง “ทวิตเตอร์-เฟซบุ๊ก-ยูทูบ” จนเป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วโลก

ทั้งนี้ ยังมีรายงานข่าวอีกด้วยว่า นอกจากสิ่งของที่ได้รับการบริจาคจากภาคส่วนต่างๆ แล้ว ศปภ.ยังได้นำเงินบริจาคส่วนหนึ่งไปจัดซื้อถุงยังชีพในราคาถุงละ 500 บาทอีกเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ถึงมือผู้ประสบภัย กลายเป็น “ซาก” ประจานรัฐบาล และเป็น “สุสาน” ธารน้ำใจของ “ผู้ให้” ที่ไปไม่ถึงมือ “ผู้รับ”

ยังไม่นับเครื่องกรองน้ำจากประเทศเกาหลีที่อุตส่าห์ส่งมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยถึง 150 เครื่อง ก็เจียดไปได้เพียง 8 เครื่อง เพื่อนำไปติดตั้งตามจุดที่ชาวบ้านเดือดร้อน ส่วนที่เหลือ 142 เครื่อง อันตรธานหายไปกับ “ไอ้ปื๊ด” เสื้อมีสี

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ภัยพิบัติยังไม่ผ่านพ้นไป แต่ความ “อัปยศอดสู” ของรัฐบาลชุดนี้กลับผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อนราวกับ “น้ำเน่า” ที่ผุดขึ้นมาตามท่อระบายน้ำ โดยหลังจากทำเรื่องที่น่าละอายเป็นอย่างยิ่งแล้ว รัฐบาลและศปภ. ก็พยายามกลบเกลื่อนและทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายหลักฐานที่ประจานความ “เหลวแหลก” ของตัวเอง

แหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคง ได้ให้ข้อมูลกับ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ว่า ทหารได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ไปทำลายหลักฐานของบริจาคที่ถูกทิ้งที่ “ศปภ.ดอนเมือง” โดยให้เอารถยีเอ็มซีชนกระจกเข้าไปเอาเสื้อผ้าที่จมน้ำไปทิ้ง โดยส่วนหนึ่งถูกนำไปทิ้งในที่ดินว่างเปล่า แถวเมเจอร์ ย่านปากเกร็ด อีกส่วนหนึ่งนำไปทิ้งที่ จ.กาญจนบุรี

ทั้งนี้ เนื่องจากขณะที่เข้าไปทำลายหลักฐานได้มีผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสตามเข้าไปสังเกตการณ์ ทหารจึงจัดการได้เฉพาะเสื้อผ้า โดยอ้างกับผู้สื่อข่าวว่าเป็นเสื้อผ้าเก่าที่ใช้แล้วที่ได้รับบริจาคจึงยังไม่ได้นำไปแยก ทำให้ขนย้ายไม่ทัน ส่วนของบริจาคอื่นๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม ถุงยังชีพ ซึ่งอยู่ในคลังสินค้าอาคารเทอร์มินอล 1 ทหารยังไม่สามารถลำเลียงขนย้ายออกมาได้ เนื่องจากจะเป็นที่ผิดสังเกต จึงได้ทำการปิดคลังสินค้าดังกล่าวโดยล็อกกุญแจไว้อย่างแน่นหนาหลายชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สื่อหรือบุคคลภายนอกเข้าไปบันทึกภาพ

“ของบริจาคทั้งของสดและของแห้งในอาคารเทอร์มินอล 1 ลอยอืดเกลื่อนกระจายเต็มไปหมด เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่สิ่งของบริจาคจำนวนมากเหล่านี้ไม่ได้รับการเหลียวแลและส่งให้ถึงมือผู้ประสบภัยที่เดือดร้อน” แหล่งข่าวระบุ

เช่นเดียวกับกรณีของ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ดารานักแสดง ที่กล่าวถึงพฤติกรรมอันน่าอดสูของศปภ. ว่า ก่อนหน้านี้ได้ขอของบริจาคเพื่อจะนำไปแจกจ่ายผู้ประสบภัย แต่ศปภ.ไม่ยอมให้ แต่ล่าสุด ศปภ.แจ้งให้มาเก็บของบริจาคที่ดอนเมืองออกไปช่วยประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม

“ผมได้รับแจ้งมาแล้ว แต่ขอบอกว่าผมจะเอาแค่ส้วมไปเท่านั้น ส่วนของบริจาคอื่นๆ ที่ศปภ.เก็บไว้ทั้งหมด ทั้งน้ำดื่ม เสื้อผ้า ฯลฯ นั้น ทางมูลนิธิร่วมกตัญญูจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างเด็ดขาด”

ทั้งนี้ สาเหตุที่เอาแต่ส้วมไปเพราะประชาชนเดือดร้อนในเรื่องทำธุระส่วนตัว โดยจะนำไปแจกจ่ายยังพื้นที่ประสบภัย เช่น บางกรวย บางบัวทอง ไทรน้อย หมู่บ้านชลลดา

“เข้าใจดีว่าทำไม ศปภ. ถึงอยากให้พวกผมเข้าไปเอาของบริจาค เพราะต้องการให้ของเหล่านี้พ้นหูพ้นตานักข่าวและประชาชน จะได้ไม่ต้องถูกต่อว่า แต่ผมไม่สนใจ ผมสนใจแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่ทางศปภ.จะจัดการอย่างไรกันเอง เพราะก่อนหน้านี้เราเคยขอของบริจาคไป 2-3 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ โทรศัพท์ไปไม่เคยรับ พอเรื่องแดงขึ้นมา จะให้ผมไปขนของออกมา ผมไม่เอา” บิณฑ์ ให้ความเห็น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความจริงแล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้โดน “วางยา” อย่างที่คนในพรรคเพื่อไทยออกมากล่าวหา โยนความผิดให้คนอื่นเพื่อหา “แพะรับบาป” ต่อความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล แต่เป็นเพราะรัฐบาลโดยการนำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ง่อยเปลี้ยเสียขา “ไม่มีน้ำยา” ในการวางแผนรับมือน้ำท่วมมาตั้งแต่ต้น จนเหตุการณ์บานปลายกลายเป็นวิกฤตใหญ่ลุกลามไปในหลายพื้นที่ของประเทศ หนำซ้ำยังปล่อยให้พวก “เหลือบไร” ในพรรคเพื่อไทยก่อพฤติกรรม “เลว” ซ้ำเติมความทุกข์ยากของชาวบ้านอย่างไม่หยุดหย่อน

ทั้งนี้ การที่ “นายกฯยิ่งลักษณ์” พยายามออกมาสร้างภาพกลบเกลื่อนความล้มเหลวของรัฐบาลที่สร้าง “หายนะ” ให้แก่ประเทศชาติและประชาชน โดยการป่าวประกาศแก่ชาวกรุงเทพฯว่า หลังจากนี้เป็นต้นไปวิกฤตมหาอุทกภัยจะคลี่คลายลงตามลำดับ เนื่องจากพ้นช่วงน้ำทะเลหนุนสูงในวันที่ 31 ต.ค. และน้ำเหนือที่ไหลบ่ามาโอบล้อมเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้ก็ลดปริมาณลงแล้ว

แต่การตีกินโดยการสร้างวิมานในอากาศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เข้าใจวิกฤตน้ำอย่างลึกซึ้งดีพอ ก็อาจทำให้หน้าแตกเป็นรอบที่ร้อย เพราะการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่าน้ำเหนือที่โอบล้อมเมืองหลวงอ่อนแรงลงแล้ว ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับนั้น มันตรงกันข้ามกับคำให้สัมภาษณ์ของ “ธีระ วงศ์สมุทร” รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ชี้ว่า น้ำทะเลหนุนสูงสุดไม่ใช่สิ้นสุดแค่ วันที่ 31 ต.ค. แต่ต้องจับตาอีกช่วงหนึ่งคือกลางเดือน พ.ย.นี้ ที่จะมีน้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง ขณะที่น้ำเหนือที่ไหลบ่ามาสมทบกับน้ำที่ท่วมทุ่งโอบล้อมกทม.อยู่ในขณะนี้ ยังเป็นแค่ทัพน้ำส่วนหน้าซึ่งมีปริมาณน้ำแค่ 4,000 กว่าล้านลูกบาศก์เมตร แต่ยังมีทัพหลวงที่มีปริมาณน้ำมหาศาลอีกราว 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งรอโจมตีเมืองหลวงอยู่ในขณะนี้

แล้วจะให้ประชาชนเชื่อมั่นในตัวผู้นำและรัฐบาลได้อย่างไร ในเมื่อแม้แต่ข้อมูลของนายกฯยิ่งลักษณ์ และรมว.เกษตรและสหกรณ์ ก็ยังไม่ตรงกัน โดยเฉพาะตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่มาจนถึงวันนี้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันอย่างชัดเจนแล้วว่า เธอไม่มีภาวะผู้นำ ขาดความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศ และไร้ซึ่งวิสัยทัศน์และสติปัญญาในการทำความเข้าใจกับเรื่องราวต่างๆ บ่อยครั้งประชาชนจึงเห็นการบีบน้ำตาแทนการใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติและประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่บ้านเมืองเผชิญกับวิกฤตการณ์ร้ายแรง อย่างที่ประสบพบเจอกันอยู่ในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประชาชนกำลังเผชิญกับ “ทุกข์หนัก” ประเทศชาติเสียหายยับเยินเนื่องจากวิกฤตอุทกภัย แต่คนในรัฐบาลอย่าง “พิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พลังงาน กลับไม่รู้จักกาลเทศะว่าอะไรควรทำก่อนอะไรควรทำหลัง ด้วยการคิดจะถลุงเงินของประเทศ โดยเสนอแผนฟื้นฟูประเทศที่ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษเสียโก้หรู ซึ่งไม่รู้เป็นภาษาพ่อภาษาแม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ว่า "นิวไทยแลนด์" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน นิวไทยแลนด์ รัฐไทยใหม่ สมใจ “พี่แม้ว” หน้า 12) ด้วยการถลุงงบประมาณ แผ่นดินถึง 8 แสนล้านบาท เพื่อเนรมิตประเทศไทยให้กลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิม

โดยหาได้สำเหนียกไม่ว่า ขณะนี้ประชาชนต้องการแค่ความปลอดภัย ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค และปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่เพียงพอในการดำรงชีวิตในภาวะวิกฤต และที่สำคัญเขาต้องการแค่ให้รัฐบาลมีความตั้งใจ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาวิกฤตให้ผ่านพ้นไปให้ได้ในเร็ววัน เขาไม่ต้องการ “เมกะโปรเจ็กต์” หรือสวรรค์วิมานอะไรทั้งนั้นในตอนนี้

และในขณะที่ประชาชนกำลังเผชิญกับ “ทุกข์หนัก” ประเทศชาติเสียหายยับเยินเนื่องจากวิกฤตอุทกภัย ก็ยังมีพวก ส.ส. พรรคเพื่อไทย กเฬวรากทั้งหลายที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ไม่ว่าจะเป็น นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์, พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดง ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินหน้าผลักดันให้ตั้งคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อปูทางไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อฟอกโทษความผิดให้กับ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่หนีคุกของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ได้ประจานให้เห็นถึงความอัปยศ “ห่วยแตก” และสมองอันกลวงเปล่าของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างชัดเจน เพราะในสถานการณ์ที่ “ล้มเหลว” ของการแก้ปัญหา สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังกระ***กระสนทำอยู่ในตอนนี้ก็คือการตีกิน สร้างภาพ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ปล่อยให้พวก “หัวโจกคนเสื้อแดง” ที่เป็นส.ส.พรรคเพื่อไทยเดินหน้าพยายามมุ่งแก้รัฐธรรมนูญเพื่อช่วยพี่ชายนายใหญ่

และว่างๆ ก็ยังมีพวก “เปรตขอส่วนบุญ” มาคอยฉวยโอกาสเบียดบังสิ่งของบริจาคช่วยผู้ประสบอุทกภัย ไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยแปะป้ายชื่อตัวเอง และชื่อของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ด้วยความห่วงใย นักโทษหนีคุกที่อยู่ดูไบ อีกต่างหาก

และมาจนถึงวันนี้ ไม่บอกก็เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่า ความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ ศปภ. ลดต่ำลงแทบเหลือ “ศูนย์” จากเดิมที่คิดว่าจะเป็นผู้ช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่า “รัฐบาลและศปภ.” กลายเป็นผู้ประสบภัย และ “เป็นภาระ” ให้สังคมเสียเอง เพราะตั้งแต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไล่ลงมาจนถึงตัวประธานศูนย์ศปภ. “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” บอกได้เลยว่าคนพวกนี้หมดสภาพแล้ว “โดยสิ้นเชิง”

และบอกได้คำเดียวว่า “กาก” มาก!

http://www.manager.c...D=9540000140981

นิวไทยแลนด์ รัฐไทยใหม่ สมใจ “พี่แม้ว”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
5 พฤศจิกายน 2554 06:08 น.
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังจากความดื้อรั้นและความอ่อนด้อยในการบริหารงานของรัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ส่งผลให้มวลน้ำจำนวนมหาศาลไหลถล่มพื้นที่หลายจังหวัดของประเทศไทย ไม่เว้นแม้แต่เมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของชาติอย่างกรุงเทพมหานคร ที่ถูกกระแสน้ำถาโถมสร้างความเสียหายไปแล้วกว่า 50% ของพื้นที่ จนกล่าวได้ว่าอุทกภัยครั้งนี้นับเป็นมหาพิบัติภัยครั้งใหญ่ ซึ่งสร้างความสูญเสียทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และก่อให้เกิดหายนะทางเศรษฐกิจอย่างยากที่กอบกู้กลับคืน

ประชาชนกว่า 8 ล้านคนได้รับผลกระทบ ไร้ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 15 ล้านไร่ นิคมอุสาหกรรมขนาดใหญ่ 7 แห่งพังยับ ไม่ว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร สวนอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน สวนอุตสาหกรรมแฟ็คตอรี่แลนด์ สวนอุตสาหกรรมนวนคร หรือสวนอุตสาหกรรมบางกะดี โรงงานภายในนิคมฯได้รับความเสียหายถึง 838 โรงงาน มูลค่าความเสียหายรวม 237,410 ล้านบาท แต่หากนับรวมความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดกับภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ตั้งแต่เดือน ก.ค.- ต.ค.2554 พบว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ 8 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย ชัยนาท นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี อ่างทองและอุทัยธานี รวมทั้งสิ้น 9,859 โรงงาน มูลค่าความเสียหายรวม 474,750 ล้านบาท และส่งผลให้มีคนว่างงานทันทีกว่า 660,000 คน

ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความเสียหายมูลค่ามหาศาลและความเดือดร้อนแสนสาหัสที่ประชาชนได้รับจากมหาอุทกภัยครั้งนี้เนื่องเพราะรัฐบาลไม่ได้มีแผนที่จะรับมือหรือแก้ปัญหาตรงหน้าแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำ การป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจ การป้องกันไม่ให้มีการทำลายคันกั้นน้ำซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้น้ำไหลทะลักเข้าสู่ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯมากขึ้น ไม่มีแผนที่จะดูแลช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เข้าไปช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม หรือแก้ปัญหาสินค้าขาดแคลนอันเนื่องมาจากแหล่งผลิตได้รับความเสียหายและเส้นทางลำเลียงถูกตัดขาดจนไม่สามารถขนส่งสินค้าได้

แต่ล่าสุด ‘นายกฯยิ่งลักษณ์’ กลับออกมาประกาศนโยบายขายฝันจะฟื้นฟูประเทศไทยหลังน้ำลด ภายใต้แผน ‘New Thailand' (นิวไทยแลนด์) ซึ่งต้องใช้งบประมาณสูงถึง 8 แสนล้านบาท โดยระบุว่าเป็นงบที่ใช้ในการฟื้นฟูระยะสั้น 1 แสนล้านบาท และใช้ในแผนงานระยะยาว 7 แสนล้านบาท ขณะที่การแก้ไขปัญหาและผลกระทบจากอุทกภัยที่รออยู่ตรงหน้ากลับไม่ได้รับความใส่ใจ ราวกับจะบอกว่า “ปล่อยให้ท่วม ปล่อยให้ฉิบหายไป แล้วค่อยมาฟื้นฟู” !!

ที่สำคัญหากหยิบแผน 'นิวไทยแลนด์' ขึ้นมาพินิจดู ก็จะรู้ว่าหาได้มีรายละเอียดใดๆ บรรจุอยู่ในแผน เพียงแต่บอกว่า เป็นเรื่องของการปรับปรุงการบริหารจัดการด้านน้ำ และฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตอุทกภัยโดยจะมีการปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งแนวคิดเช่นนี้นับเป็นมุขตลกที่ขำไม่ออก เพราะเท่ากับว่ารัฐบาลปั้นตัวเลขงบประมาณที่จะใช้ขึ้นมาลอยๆ โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะนำงบประมาณจำนวน 8 แสนล้านบาท ซึ่งเท่ากับ 1 ใน 3 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ไปใช้ทำอะไร แล้วที่ว่าจะฟื้นฟูประเทศนั้นจะฟื้นฟูอย่างไร เพียงแต่บอกว่าจะจ้าง 'คณะกรรมการที่ปรึกษาจากต่างประเทศ' มาพิจารณา ??

จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่าอะไรที่ทำให้รัฐบาลไทยเชื่อว่าต่างชาติจะรู้และเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ดีกว่านักวิชาการไทยที่กระจายอยู่ในหลากหลายสาขา หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าใจว่าบรรดานักวิชาการไทย 'จมน้ำตาย' ไปกับอุทกภัยครั้งนี้หมดแล้ว

นอกจากนั้นก็ยังไม่มีความชัดเจนว่ารัฐบาลจะนำเงินจำนวน 8 แสนล้านบาทมาจากไหน โดยเบื้องต้น นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน ระบุว่า การทำโครงการนิวไทยแลนด์นั้นรัฐบาลจะพิจารณาทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ 1.89 ล้านเหรียญสหรัฐ ว่าจะนำมาใช้ในส่วนใดได้บ้าง

และต่อมานายพิชัยได้ออกมาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เงินที่จะใช้ในโครงการนิวไทยแลนด์จะแบ่งเป็นเงินที่ใช้ในแผนระยะสั้น และเงินที่ใช้ในแผนระยะยาว โดยวงเงินที่จะนำมาใช้ในระยะสั้น จะอยู่ที่ 130,000 ล้านบาท โดย 50,000 ล้านบาท จะมาจากการงบประมาณขาดดุลปี 2555 เพิ่มเติม และอีก 80,000 บาท มาจากกระทรวงทบวงกรมตัดงบประมาณมาให้กระทรวงละ 10%

ขณะที่วงเงินที่จะใช้ในแผนฟื้นฟูระยะยาว ซึ่งจะอยู่ที่ 600,000-800,000 ล้านบาทนั้น ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะนำมาจากไหน ซึ่งในเบื้องต้นได้มีการเสนอหลายแนวคิด เช่น อาจจะมีการออกพันธบัตรรัฐบาลและให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เข้ามาซื้อ ซึ่งยังติดปัญหาว่าที่ผ่านมา ธปท.ไม่สามารถซื้อพันธบัตรในประเทศได้ ซื้อได้เฉพาะพันธบัตรประเทศอื่นเท่านั้น ดังนั้นหากจะดำเนินการตรงนี้ก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมายก่อน และที่สำคัญต้องดูว่า ธปท.มีเงินมากพอที่จะซื้อพันธบัตรดังกล่าวหรือไม่ ?

แต่หากย้อนกลับไปดูคำให้สัมภาษณ์ของนายพิชัยในครั้งแรกที่บอกว่าจะพิจารณานำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ ก็น่าจะแปลความได้ว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังจะล้วงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็น 'หีบสมบัติของชาติ' ซึ่งมีเงินสะสมอยู่ 1.89 ล้านเหรียญสหรัฐออกมาถลุง ทั้งๆที่รู้ดีว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นเงินกองคลังที่เราจำเป็นต้องมีไว้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ แน่นอนว่าการนำเงินจำนวนนี้ออกมาใช้ย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นทางการเงินของชาติและความเชื่อมั่นของไทยในสายตาต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน 'รัฐบาลปู' ก็ยังดูลู่ทางเผื่อไว้ หากไม่สามารถนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ในโครงการนิวไทยแลนด์ได้ ก็อาจใช้วิธีกู้เงินจากต่างประเทศ โดยทางสำนักบริหารหนี้สาธารณะเตรียมที่จะร่างกฎหมายเงินกู้ทุกรูปแบบ โดยงานนี้ นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สบน.เตรียมร่างกฏหมายกู้เงินทุกรูปแบบเตรียมพร้อมไว้แล้ว เพื่อรองรับโครงการนิวไทยแลนด์ โดยรอเพียงความชัดเจนของตัวเลขในการใช้เงินเท่านั้น

“ หากเป็นการใช้เงินในระยะสั้นภายใน 1 ปี ก็จะออกเป็นพระราชกำหนด ซึ่งมีผลบังคับใช้ภายใน 45 วัน แต่หากเป็นการใช้เงินทุนระยะยาวก็ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ โดยเฉพาะการลงทุนบริหารจัดการด้านน้ำที่อยู่ระหว่างการพิจารณาโครงการใหม่กับโครงการเก่าให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ ซึ่ง สบน.กำลังรอรัฐกรอกจำนวนเงินที่จะกู้ นอกจากนั้นขณะนี้ สบน.ยังมีช่องทางที่จะกู้เงินได้อีก 2 ล้านล้านบาท เพื่อรักษาหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้อยู่ในกรอบไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ตามกรอบวินัยการคลัง และหากกู้อีก 8 แสนล้านบาท เพื่อใช้แก้ปัญหาน้ำท่วมก็ยังทำให้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 50% ซึ่งยังสามารถจัดการได้ แต่หากจะกู้เกิน 8 แสนล้านบาท ก็ต้องประเมินสภาวะเศรษฐกิจด้วย” นายจักรกฤศฏิ์ กล่าว

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือชื่อของแผนฟื้นฟูประเทศไทยภายหลังน้ำลด ซึ่งใช้ชื่อว่า 'New Thailand' ซึ่งช่างพ้องชื่อพ้องเสียงกับคำว่า 'รัฐไทยใหม่' อย่างน่าแปลกใจยิ่ง จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าโปรเจ็กต์นิวไทยแลนด์ของ 'นายกฯยิ่งลักษณ์' มีนัยอะไรแอบแฝงหรือไม่ เนื่องจากจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ความชัดเจนในรายละเอียดของโครงการ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา

กระทั่งล่าสุดผู้ที่มีวุฒิภาวะระดับนายกรัฐมนตรีอย่าง 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ต้องออกมาแก้เกี้ยวว่าชื่อ 'นิวไทยแลนด์' นั้นไม่ใช่ชื่อโครงการที่แท้จริง เป็นแต่เพียงชื่อ 'เล่น' เท่านั้น

“ ไม่มีคำว่านิวไทยแลนด์ อาจจะเป็นชื่อที่เรียกกันเล่นๆ เพราะการแก้ไขปัญหาน้ำแบบถาวรมีคณะกรรมการดูแลอยู่แล้ว” นายกฯยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการนิวไทยแลนด์

ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ออกมารับลูกว่า “คำว่านิวไทยแลนด์ ที่ผมระบุถึงเป็นเพียงแค่มุข หรือ กิมมิก เท่านั้น แต่จุดประสงค์อยู่ที่วิธีการทำงานว่าจะทำอย่างไร ที่จะใช้วิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นโอกาส ในการฟื้นฟูประเทศใหม่”

นอกจากนั้นยังมีคนตั้งข้อสังเกตว่า แท้จริงแล้วแนวคิดในการทำโครงการ 'นิวไทยแลนด์' นั้นออกมาจากคนในรัฐบาลเพื่อไทย หรือว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่สั่งตรงจาก ''ดูไบ' กันแน่ เพราะหากดูจากข้อความในทวิตเตอร์ของ 'พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร' จะพบว่าทักษิณได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ดังกล่าวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้ส่งข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว @Thaksinlive ระบุว่า ตนได้พูดคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์และคนในรัฐบาลถึงแนวทางการฟื้นฟูประเทศ ซึ่งจะต้องได้ข้อสรุปก่อนการประชุมเอเปก

สอดคล้องกับรายงานข่าวที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายผ่านทางสไกป์ (Skype; โปรแกรมสำหรับคุยโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต) โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมปรึกษาด้วย โดยประเด็นที่พูดคุยกันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และแผนฟื้นฟูประเทศภายหลังน้ำลด

และหากพิจารณาจากการทำงานในช่วงที่ผ่านมาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตั้งแต่ขึ้นนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็จะพบว่าเธอบริหารงานต่างๆตามคำบัญชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นพี่ชาย และเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง

ส่วนรายละเอียดของอภิมหาโปรเจ็กต์ 'นิวไทยแลนด์' ตามบัญชาของทักษิณจะเป็นเช่นไร จะมีการชักหัวคิวจากเงินกู้อย่างที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตหรือไม่ ...เป้าหมายของโปรเจ็กต์นี้จะเป็นการปรับโครงสร้างประเทศเพื่อวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่กระบวนจัดตั้ง 'รัฐไทยไหม' อย่างที่บางคนวิตกกันหรือเปล่า ?

คงต้องสอบถามจาก นายกฯยิ่งลักษณ์ และนายใหญ่จาก 'ดูไบ' เท่านั้น !!
http://www.manager.c...D=9540000140988
Posted Image Posted Image Posted ImagePosted Image Posted Image Posted Image Posted Imageไอ้สนธิบังเละ ไอ้ขิงเน่า+ไอ้มาร์คไอ้เทพเทือกคือตัวการให้ระบอบทักษิณยังลอยนวล

#3 antiseptic

antiseptic

    น้องใหม่และซิง

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,672 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 10:38

phat มาถูกทางแล้วครับ
จัดไปหนักๆเลย :P

เกรียนต้องเจอกับเกรียน :D
"We all make choices. But in the end, our choices make us."Andrew Ryan

#4 rakchart thai

rakchart thai

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 791 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 10:52

ทักษิณควบกิจการ ASTV แน่นอนแล้ว(พวกแดงยืนยันเอง)

chorn


Advanced Member

  • ../../uploads/profile/photo-thumb-8508.jpg
  • Members
  • Posted ImagePosted ImagePosted Image
  • 91 posts
Posted Today, 03:44 AM
ผมไปเจอมาบทความนึงเกี่ยวกับการแยกตัวของ จตุพร กับ ณัฐวุติ และยังมีการ ซื้อ ASTV ไปแล้ว เป็นข่าวจริงหรือลวง ช่วยเซ็คหน่อยนะครับ

Posted Image

ข้อมูลเต็ม http://www.internetf...=14297&p=125785
  • Like This
Posted Image



#5 phat21

phat21

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,969 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:01

ผมบอกไปแล้วว่ามัน กล่าวหากันลอยๆไร้มูลความจริงและข้อเท็จจริง ผมว่าเลิกใส่ร้ายทีเหอะครับ ถ้ามาใส่ร้ายแบบนี้

ผมว่าไปเรื่อยๆดีกว่า นะถ้ามันชมแม้ว ไม่ด่าปูแดงไม่มีมาตราการจัดการแม้วพอเชื่อแต่นี่มาบอกว่าย้ายไป กมม มันตายแล้วไอ้ข้อมูลลอยๆแบบนี้ ถ้าไม่มีหลักฐานก็เลิกซะทีเหอะนิสัยแบบนี้
Posted Image Posted Image Posted ImagePosted Image Posted Image Posted Image Posted Imageไอ้สนธิบังเละ ไอ้ขิงเน่า+ไอ้มาร์คไอ้เทพเทือกคือตัวการให้ระบอบทักษิณยังลอยนวล

#6 thanong

thanong

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,934 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:01

เป็นข่าวที่ดี ในรอบ ร้อยปีเลยครับ ไชยยยย โยยยย กู้ชาติสำเร็จแล้วโว๊ยยย

#7 จันทร์ในน้ำ

จันทร์ในน้ำ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 312 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:32

ภาษาหนังสือพิมพ์หรอคับนั่น
เหมือนนั่งฟังพวกแวนซ์บอยสก๊อยเกิร์ล แถวบ้านผมพูดกันเลยคับ ยิ่งไอ้คำว่า "ปูเกรียน" กับคำว่า "กาก" นี่คิดถึงเด็กติดเกมแถวๆบ้านเลย

ปล.หรือเพราะผมคิดไปเองคนเดียวหว่า

อำนาจก็เปรียบเหมือนคมดาบที่ไร้ด้าม ถ้าเราไม่รู้จักปล่อยวางลงเสียบ้าง สุดท้ายมันจะทำลายแม้ตัวเราเอง

ม้าดีที่ "ตายแล้ว"

หาใช่ "ม้าดี"

หากคือ "ม้าตาย"


#8 18Bottle

18Bottle

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 777 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:35

phat มาถูกทางแล้วครับ
จัดไปหนักๆเลย :P

เกรียนต้องเจอกับเกรียน :D


ถูกใจครับ + 15,000 กะโหลก

#9 phoebus

phoebus

    คณะรักษาความสงบแห่งชาติ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 11,636 posts

ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 11:40

ทักษิณควบกิจการ ASTV แน่นอนแล้ว(พวกแดงยืนยันเอง)


chorn


Advanced Member

  • ../../uploads/profile/photo-thumb-8508.jpg
  • Members
  • Posted ImagePosted ImagePosted Image
  • 91 posts
Posted Today, 03:44 AM
ผมไปเจอมาบทความนึงเกี่ยวกับการแยกตัวของ จตุพร กับ ณัฐวุติ และยังมีการ ซื้อ ASTV ไปแล้ว เป็นข่าวจริงหรือลวง ช่วยเซ็คหน่อยนะครับ

Posted Image

ข้อมูลเต็ม http://www.internetf...=14297&p=125785
  • Like This
Posted Image




:) :) :)

ข้าจักล้มล้าง ระบอบทักษิณ ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย