Jump to content


Photo
- - - - -

กระทู้แตกประเด็นครับ


This topic has been archived. This means that you cannot reply to this topic.
28 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 ตะนิ่นตาญี

ตะนิ่นตาญี

    La vie en rose

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,174 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 17:19

เจ้า "ไม่ได้" เต็มใจสละอำนาจให้กับราษฏร



สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ ประจักษ์ ก้องกีรติ อธิบายเจตนาที่แท้จริงในการสละอำนาจของรัชกาลที่ 7 ว่าจริงๆแล้วไม่ได้มี "ความเต็มใจ" ที่จะสละอำนาจอันเป็นของกษัตริย์อยู่เดิมให้เป็นของประชาชนอย่างที่กลุ่มนิ

ยมเจ้ามักจะกล่าวอ้างแต่อย่างใด หากแต่เกิดจากความไม่สามารถต่อลองอำนาจของกษัตริย์ได้ลงตัว จนนำไปสู่การสละราชสมบัติและเขียนพระราชหัตถเลขาสละราชย์ "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่สละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป..." ที่กลุ่มนิยมเจ้ามักจะกล่าวอ้างเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของคำอธิบายแนวคิดกษัตริย์นักประชาธิปไตย

ในประเด็นนี้สมศักดิ์ และ ประจักษ์ อธิบายในตอนหนึ่ง ดังนี้:

"ความขัดแย้งที่ ร.7 มีต่อคณะราษฎรอันนำไปสู่การสละราชย์ในเดือนมีนาคม 2477 (2478 ตามปฏิทินปัจจุบัน) นั้น ไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตยแต่อย่างใด แต่คือการที่ทรงพยายามต่อรองขอเพิ่มพระราชอำนาจของพระองค์เองในระดับที่คณะราษฎรไม่อาจยอมรับได้ เดิมทีเดียว ร.7 เพียงแต่ใช้การขู่สละราชย์เป็น “อาวุธ” ต่อรองเท่านั้น แต่เมื่อขู่มากๆเข้าแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมทำตาม จึงต้องทรงสละราชย์จริงๆ

อย่างไรก็ตาม ในการที่ทรงนิพนธ์พระราชหัตถเลขาสละราชย์นั้น ร.7ทรงหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงข้อเรียกร้องรูปธรรมของพระองค์ แต่ทรงหันเข้าหาหลักการประชาธิปไตยอันสูงส่งแทน (เช่น การที่รัฐบาลไม่ยอมให้พระองค์มีบทบาทในกระบวนการทางเมืองมากขึ้นกลายเป็น “คณะรัฐบาล…ไม่ยินยอม…ให้ราษฎรได้มีโอกาสออกเสียงก่อนที่จะเปลี่ยนหลักการและนโยบายสำคัญอันมีผลได้เสียแก่ราษฎร” ฯลฯ) ซึ่งทำให้พระราชหัตถเลขามีศักยภาพที่จะกลายเป็นเอกสารสำหรับใช้โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาลไปทันที อันที่จริง อาจกล่าวได้ว่านั่นเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ด้วย เห็นได้จากการที่ทรงมีพระบรมราชโองการมายังรัฐบาลว่า “ขอให้ประกาศพระราชหัตถ?เลขาทรงสละราชสมบัตินั้นแก่ประชาชนให้ทราบทั่วกันด้วย” (หนังสือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถึงพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา, 4 มีนาคม 2477)"

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ ประจักษ์ ก้องกีรติ, "พระราชหัตถเลขาสละราชย์ ร.7: ชีวประวัติของเอกสารฉบับหนึ่ง"
3 มีนาคม 2553



http://www.facebook....tml&h=DAQG2Tnhl



ข้อความในพระราชหัตถเลขาก็เอามาพูดไม่ครบ

มันเกิดทันหรอ มาทำเป็นสู่รู้พระราชหฤทัยของพระองค์



ตะนิ่นตาญี ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ คุณ BlueArmy ที่ต้องแตกกระทู้นี้ออกมา

เพราะรับไม่ได้จริงจริงกับ บทความ กึ่ง วิเคราะห์ ของ สมศักดิ์ เจียมฯ ที่ได้

บิดเบือน “ข้อเท็จจริง” ทั้งทางด้านวิชาการ และ ประวัติศาสตร์ ในกรณีที่เกี่ยวกับ

ความเห็นไม่ตรงกัน ระหว่าง รัชกาลที่ ๗ กับ คณะราษฎร ในขณะที่รัชกาลที่ ๗ ทรงเสด็จ-

ไปประทับรักษาพระองค์อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้ทรงส่งพระราชบันทึกมายัง คณะราษฎร

เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ต่อ รัฐบาล โดยทรงเรียกร้องในสาระสำคัญอยู่ ๗-๘ ประการ

ตะนิ่นตาญี จำได้ไม่ทั้งหมด ดังนั้นจึงใคร่ขออนุญาตเพื่อนเพื่อน คัดลอกมา

จาก หนังสือ ลักษณะสังคมและการปกครองของไทย เขียนโดย คุณ ไพบูลย์ ช่างเรียน ดังนี้

๑.พระองค์มีพระราชประสงค์ให้แก้ไขเกี่ยวกับการตั้งสมาชิกประเภท ๒ เสียใหม่

เพราะเท่าที่เป็นมา รัฐบาลมักเลือกเอาแต่พวกที่อยู่ใน คณะราษฎร เป็นส่วนมาก

โดยไม่ได้พิจารณาถึงคุณวุฒิและความเหมาะสมเฉพาะบุคคล

๒.ทรงเห็นว่า มาตรา ๓๙ แห่งรัฐธรรมนูญนั้นยังไม่เหมาะสม เพราะพระราชบัญญัติใดที่

พระมหากษัตริย์คัดค้าน สภาอาจยืนยันให้เป็นไปตามเดิมโดยความเห็นข้างมากเพียงเสียงเดียว

จึงควรแก้ไขว่า “ถ้าสภาลงมติตามเดิมโดยให้มีเสียงข้างมาก ๓ ใน ๔ ของสมาชิกทั้งหมด”

๓.ได้ทรงขอให้รัฐบาลทำมาตรา ๑๔ ให้เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญจริงจริง อันได้แก่ การให้ เสรีภาพ-

ในการพูด การเขียน การโฆษณา และให้เสรีภาพในการประชุมโดยเปิดเผยและการตั้งสมาคม


๔.ขอให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันรัฐธรรมนูญ เพราะมีวิธีการที่ขัดกับหลักเสรีภาพในร่างกายของประชาชน

๕.ขออภัยโทษให้แก่นักโทษการเมือง

๖.ข้าราชการที่ถูกลงโทษ โดยถูกปลดออกจากราชการโดยถูกสงสัยว่าจะมีผิดทางการเมืองก็ดี หรือถูกกล่าวหา

ว่ากล่าวร้ายรัฐบาล ถูกลงโทษและพ้นโทษไปแล้วก็ดี แต่ถูกตัดสิทธิในการรับเบี้ยบำเหน็จบำนาญ

ขอให้รับบำเหน็จบำนาญตามที่เขามีเกณฑ์

๗.ข้าราชการที่ถูกสงสัยในข้อหาเป็นกบฏ และที่กำลังจะฟ้อง ขอให้งดการฟ้องร้องจับกุม

๘.ขอให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรให้คำมั่นเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะไม่ตัดกำลังและงบประมาณของ

ทหารรักษาวังให้น้อยกว่าเท่าที่มีอยู่ในเวลานี้

เหล่านี้คือข้อเท็จจริงในเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่ง รัฐบาล ในขณะนั้น โดย พระยาพหลฯ ได้มีหนังสือตอบ

พระราชบันทึก แบบเลี่ยงที่จะปฏิบัติตาม ในที่สุดรัชกาลที่ ๗ จึงทรง พระราชทาน พระราชหัตถเลขา

ลงวันที่ ๒ มีนาคมพ.ศ. ๒๔๗๗ ประกาศสละราชสมบัติโดยเด็ดขาด.....

ถาม สมศักดิ์ เจียมฯ ตรงตรง ใน ๘ ข้อ ที่กล่าวมามีข้อไหน ที่บ่งบอกถึง ความพยายาม

ในการต่อรองเพื่อเพิ่มอำนาจของ รัชกาลที่ ๗ ? ผลเสีย กับการกล่าวอ้างของ คณะราษฎร

ในเวลานั้นมีเพียงประการเดียวคือ อำนาจ เป็นของ ประชาชน มากขึ้น นี่คือผลเสีย

ในอันที่ คณะราษฎร ไม่อาจยอมได้ และไม่มีวันยอมให้ ประชาชนได้รับ เสรีภาพ ที่แท้จริง

แม้กระทั่ง เสรีภาพ ในการพูด การพิมพ์...สมศักดิ์ เจียมฯ น่าจะ ขอบพระคุณ รัชกาลที่ ๗ ให้มากไว้

เพราะหากวันนั้นพระองค์ทรงได้ตาม พระราชประสงค์ แล้ว วันนี้ สมศักดิ์ เจียมฯ และสหาย

คงไม่ต้องดิ้นรนเดือดร้อน จะเป็น-จะตาย ขอแก้ไข-ยกเลิก กฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ แล้วกระมัง...

ตะนิ่นตาญี

วันอังคารที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕

เวลา ๑๗.๑๙ นาฬิกา
"จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา"

#2 Toys

Toys

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 641 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 20:48

อย่างนี้เข้าข่ายหมิ่นฯไหมครับ

#3 เมรีสีน้ำเงิน

เมรีสีน้ำเงิน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 468 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:13

การจะบอกว่าตาหงอกหมิ่นหรือไม่ คงต้องอ่านหนังสือเขาทั้งเล่มว่าเขามีหลักฐานอะไรมาอ้างอิง หรือจินตนาการเพ้อฝันแล้วสรุปเอาเองว่าเหตุการณ์เป็นอย่างนี้..

#4 Animal Farm

Animal Farm

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,132 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:28

๓.ได้ทรงขอให้รัฐบาลทำมาตรา ๑๔ ให้เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญจริงจริง อันได้แก่ การให้ เสรีภาพ-

ในการพูด การเขียน การโฆษณา และให้เสรีภาพในการประชุมโดยเปิดเผยและการตั้งสมาคม


คณะราษฎรตัวแสบที่พวกเสื้อแดงชอบแอบอ้างแบบบิดๆเบี้ยวๆนั่นเอง ที่ไม่ยอมให้เสรีภาพในการพูด การเขียน การโฆษณาแก่ประชาชน
สมสากเจียมถ้าเข้ามาอ่านช่วยตอบคำถามด้วย ว่าใครกันแน่ที่ไม่ต้องให้ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการพูด เขียนและโฆษณา
Thugsin ชื่อภาษาอังกฤษแบบเท่ๆของทักษิณ Thug = อันธพาล ผู้ก่อการร้าย Sin = บาปกรรม สิ่งเลวร้าย

#5 tonythebest

tonythebest

    สมาชิกขั้นสูง 178 เซนติเมตร

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,595 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:36

อ่านเจอในเฟสบุค ศ ศิวรักษ์ครับ




Sulak Sivaraksa

17 มิถุนายน



(คนละหมัด เดอะซีรี่ย์): ร.5 ต่างหากเล่า ที่เป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์การให้สิทธิ์แก่พลเมือง ด้วยการเลิกระบบทาส พระองค์ทรงริเริ่มการให้สิทธิ์ศึกษาเล่าเรียนแก่หญิงและชายดดยเท่าเทียมกัน
ร.6 ทรงทำแบบจำลอง เพื่อให้ข้าราชบริพารและคนทั่วไปเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตย ร.7 เตรียมประกาศการปกครองระบอบประชาธิปไตย ..แต่ไอ้กำมะลอ ตัดหน้าโดยยึดอำนาจ และบีบคั้นพระองค์

ส.ศิวรักษ์ : รัชกาลที่ 5 เลิกทาสเป็นของดี ไม่ใช่เป็นของไม่ดี ต้องแยกกัน แต่รัชกาลที่5 ไม่มีทางให้ประชาธิปไตยได้ ต้องเข้าใจนะครับ เพราะมีเจ้านายและขุนนางทำหนังสือกราบบังคมทูลเมื่อ รศ.103 ขอให้มีธรรมนูญการปกครอง ลดบทบาทพระมหากษัตริย์ อยู่้ใต้ธรรมนูญ ท่านไม่ยอมรับ เทียนวรรณเขียนหนังสือว่า เจ้ากับไพร่ต้องร่วมกันปกครองบ้านเมือง เสมอกัน เทียนวรรณถูกเข้าคุก 14ปี ท่านไม่ยอม และเรื่อง รัชกาลที่6 ที่ทำ"ดุสิตธานี" เป็นของเล่น คนก็มาเชียร์กันพวกข้าราชสำนักก็เชียร์กัน โอ้นี่ถางทางประชาธิปไตย นี่ไม่ใช่ถางทางประชาธิปไตย เพราะ ร.6 นั้นท่านเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ใช้เงินเป็นว่าเล่น และเมื่อท่านสวรรคตนั้น ที่ปรึกษากระทรวงพระคลัง เซอร์เอเวิร์ด คุก บอกว่า the king died save his country คือ ท่านใ้ช้เงินจดหมด จนเป็นหนี้เป็นสินเขาเลย และท่านก็เอาเงินนี้ ตั้งข้าราชบริพาร คนที่ท่านโปรดปราน ยกตัวอย่าง ทำเนียบรัฐบาลเวลานี้ ท่านสร้างให้ เจ้าพระยารามราฆพ คนสนิทของท่าน เป็นวังที่ใหญ่โตที่สุด แสดงให้เห็นได้เวลานี้เลย ท่านเอาเงินช่วยคนที่ท่านโปรดปราน แล้วจะเป็นประชาธิปไตยได้ยังไง ประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้ และปีแรกที่ท่านเสวยราชย์ มีคณะก่อการ ต้องการประชาธิปไตยเลย รศ.130 เพราะฉะนั้นที่มาพูดว่า ในหลวงต้องการประชาธิปไตย อะไรนั่น เป็นเรื่องแต่ง แล้วก็เป็นที่น่าเสียดายคนเชื่อเยอะ เพราะพวกละครน้ำเน่า กระพือกัน คึกฤทธิ์ ปราโมช กระพือกัน คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นตัวเสนียด*** ที่ร้ายแรงที่สุด บิดตะกูด ข้อเท็จเป็นจริง จริงเป็นเท็จ เป็นที่น่า่เสียดาย คนสมัยนี้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เชื่อตามคำปดเท็จเหล่านี้ เป็นที่น่าเศร้า แต่ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ต้องเชื่อผม คุณไปแสวงหาข้อเท็จจริงเอาเอง ผมก็เคยคิดแบบคุณนี่แหละ และผมเปลี่ยน เพราะผมได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ภายหลัง

http://www.facebook....sulak.sivaraksa

ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ

 

 

 

เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน

จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน


#6 kop16

kop16

    U will never walk alone.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,507 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:45

ดู คณะราด ดิ ชีวิต ตายดีไหม

ปัจจุบัน ระบบ แม้วธิปไตย

เจ้าของระบบดังกล่าวอาจไม่มีแผ่นดินไทยกลบหน้าเลยก็ได้

If you try hard enough, you can be whatever you want to be.


#7 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:51

มาสนับสนุนคุณตะนิ่นตาญี

นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการต่อสู้กับขบวนการล้มเจ้า
ขอให้เดินหน้าต่อไป เพราะนี่คือวิธีที่มั่นคงสถาวร
เพราะความจริง ไม่มีวันถูกทำลาย

#8 asawinee

asawinee

    ปฏิรูป ก่อน เลือกตั้ง

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 9,003 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:53

มาสนับสนุนคุณตะนิ่นตาญี

นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการต่อสู้กับขบวนการล้มเจ้า
ขอให้เดินหน้าต่อไป เพราะนี่คือวิธีที่มั่นคงสถาวร
เพราะความจริง ไม่มีวันถูกทำลาย


สวัสดีค่ะคุณแอม
หายไปนานเลยนะคะ

#9 ดราม่า

ดราม่า

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,395 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:42

อ่านเจอในเฟสบุค ศ ศิวรักษ์ครับ




Sulak Sivaraksa

17 มิถุนายน


(คนละหมัด เดอะซีรี่ย์): ร.5 ต่างหากเล่า ที่เป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์การให้สิทธิ์แก่พลเมือง ด้วยการเลิกระบบทาส พระองค์ทรงริเริ่มการให้สิทธิ์ศึกษาเล่าเรียนแก่หญิงและชายดดยเท่าเทียมกัน
ร.6 ทรงทำแบบจำลอง เพื่อให้ข้าราชบริพารและคนทั่วไปเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตย ร.7 เตรียมประกาศการปกครองระบอบประชาธิปไตย ..แต่ไอ้กำมะลอ ตัดหน้าโดยยึดอำนาจ และบีบคั้นพระองค์

ส.ศิวรักษ์ : รัชกาลที่ 5 เลิกทาสเป็นของดี ไม่ใช่เป็นของไม่ดี ต้องแยกกัน แต่รัชกาลที่5 ไม่มีทางให้ประชาธิปไตยได้ ต้องเข้าใจนะครับ เพราะมีเจ้านายและขุนนางทำหนังสือกราบบังคมทูลเมื่อ รศ.103 ขอให้มีธรรมนูญการปกครอง ลดบทบาทพระมหากษัตริย์ อยู่้ใต้ธรรมนูญ ท่านไม่ยอมรับ เทียนวรรณเขียนหนังสือว่า เจ้ากับไพร่ต้องร่วมกันปกครองบ้านเมือง เสมอกัน เทียนวรรณถูกเข้าคุก 14ปี ท่านไม่ยอม


ส.ศิวลึงค์ บิดเบือนหรือแก่จนเลอะผมก็ไม่รู้ แต่ในหนังสือของเทียนวรรณกล่าวถึงสาเหตุแห่งการติดคุกไว้เองดังส่วนหนึ่งของบทความ
ตุลวิภาคพจนกิจ (สรรนิพนธ์ของเทียนวรรณ) ถ้าสนใจอ่านฉบับเต็มให้หาทางกูเกิลดูครับ


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้เจ้านายที่เป็นจินตกวีในยุคนั้นนิพนธ์โคลงยอพระเกียรติพระเจ้าลูกเธอ ที่กำลังจะทรงผนวช กรมหลวงภาณุพันธ์วงศ์วรเดช ได้มาให้เทียนวรรณแต่งโคลงนี้ให้และสำนวนนี้ได้รางวัลที่ ๑ เป็นเหตุให้เจ้านายองค์อื่นๆ กริ้ว จึงพยายามหาทางแกล้งเทียนวรรณ โดยให้นายช้าง มหาดเล็ก ทำทีมาขอให้เทียนวรรณเขียนฎีการ้องทุกข์ให้เทียนวรรณถามว่าได้รับอนุญาตตามระเบียบแล้วหรือยัง นายช้างตอบว่าได้แล้ว (ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับอนุญาต) เมื่อเทียนวรรณเขียนฎีกาให้จึงมีผิด ปกติความผิดฐานหมิ่นตราพระราชสีห์นี้มีโทษเพียงการโบย แต่เทียนวรรณต้องถูกขังไว้โดยไม่มีการไต่สวนเพราะไม่มีโทษอื่น เทียนวรรณติดคุกเพราะถูกฝากขังลืมไว้ถึง ๑๗ ปีกว่า

จนกระทั่งกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงปรับปรุงการศาล และพาฝรั่งที่มาช่วยงานด้านนี้ไปตรวจคุก จึงพบว่าเทียนวรรณถูกแกล้ง เทียนวรรณจึงได้รับการปลดปล่อยในที่สุด) และต้องไปติดคุกอยู่เป็นเวลาเกือบ ๑๗ ปี*(*เทียนวรรณติดคุกเมื่อ ร.ศ.๑๐๑ ออกจากคุกเมื่อ ร.ศ.๑๑๗ รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูเชิงอรรถก่อนหน้าข้างต้น)



เรื่องเทียนวรรณเรียกร้องรัฐธรรมนูญจริง แต่เขาไม่ได้ติดคุกเพราะข้อนั้น แต่เนื่องจากเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบยุติธรรม พอเขาหลุดออกมาจึงออกมาเขียนหนังสือเรียกร้อง(เทียนวรรณเรียนจบจากต่างประเทศ)


สรุป จะฟังข้อมูลอะไรของ ส.ศิวลึงค์ ก็อย่าพึ่งเชื่อทันทีเพราะมั่วเยอะมาก :)

Edited by ดราม่า, 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:43.

"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ" อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”หนูดี

#10 overtherainbow

overtherainbow

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,295 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:47

มาสนับสนุนคุณตะนิ่นตาญี

นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการต่อสู้กับขบวนการล้มเจ้า
ขอให้เดินหน้าต่อไป เพราะนี่คือวิธีที่มั่นคงสถาวร
เพราะความจริง ไม่มีวันถูกทำลาย

มาสนับสนุนคุณตะนิ่นตาญี

นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการต่อสู้กับขบวนการล้มเจ้า
ขอให้เดินหน้าต่อไป เพราะนี่คือวิธีที่มั่นคงสถาวร
เพราะความจริง ไม่มีวันถูกทำลาย




ดีใจจัง
กำลังนึกถึงอยู่เลยว่าเรื่องแบบนี้คุณแอมไม่น่าพลาด

#11 ดราม่า

ดราม่า

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,395 posts

ตอบ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:51

ส.ศิว ไม่รู้สติดีหรือเปล่า ไปกล่าวหา ร.5 อย่างนั้น ลองดูร.5ทรงตอบจดหมาย ของคณะที่ต้องการให้สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองดูครับ(เข้าไปอ่านฉบับเต็มตามลิงค์)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบ ความเห็นของคณะที่กราบบังคมทูลจะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองว่า พระองค์ทรงตระหนักในอันตรายที่กล่าวมานั้นและไม่ต้องห่วงว่าพระองค์จะทรง “ขัดขวางในการที่จะเสียอำนาจซึ่งเรียกว่า แอบโซลูด” พระองค์ทรงกล่าวต่อไปว่าเมื่อพระองค์ทรงครองราชสมบัติใหม่ ๆ ทรงไม่มีอำนาจอันใดเลย ขณะพระองค์ทรงมีอำนาจบริบูรณ์ ในเวลาที่ทรงมีอำนาจน้อย ก็มีความลำบาก เวลานี้มีอำนาจมากก็มีความลำบาก พระองค์จึงทรงปรารถนาอำนาจปานกลาง ได้ทรงครองราชย์มาถึง 17-18 ปี ได้ทรงศึกษาเหตุการณ์บ้านเมืองอื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่เหมือนคางคกในกะลาครอบหรือทรงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทรงทำอะไรเลย ที่เรียกร้องให้มีรัฐบาล (คอเวอนเมนต์) ก็มีเสนาบดีเป็นรัฐบาลแล้ว แต่ยังไม่ดี สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการคือ “คอเวอนเมนตรีฟอม” หมายถึงให้พนักงานของราชการแผ่นดินทุก ๆ กรมทำการให้ได้เต็มที่ ให้ได้ประชุมปรึกษากัน ติดต่อกันง่ายและเร็ว อีกประการหนึ่งทรงหาผู้ทำกฎหมายสละที่ปรึกษากฎหมายการกระทำทั้งสองประการต้องได้สำเร็จก่อน การอื่น ๆ ก็จะสำเร็จตลอด

http://th.wikipedia....ลงการปกครองสยาม


ส.ศิว ไปบิดเบือนว่าเทียนวรรณติดคุกเพราะเรียกร้องให้กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่จริง เพราะถ้าจริงคนที่เข้าชื่อขอให้ ร.5เปลี่ยนแปลงการปกครองตามแบบยุโรปคงติดคุกหมดแล้ว!


โปรดสังเกตุว่า เทียนวรรณติดคุกเพราะระบบเก่า พอระบบยุติธรรมใหม่มา จากที่ ร.5ทรงส่งลูกหลานไปเรียนระบบมาจากต่างประเทศ เทียนวรรณก็ออกจากคุกทันที


หรือ ส.ศิวลึงค์จะสติแตกขนาดที่ว่า เปลี่ยนระบบตูม เลือกตั้งมันตอนร.5เลย

Edited by ดราม่า, 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 23:51.

"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ" อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”หนูดี

#12 blue

blue

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,979 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 00:32

"เพราะฉะนั้น ที่มาพูดว่าในหลวงต้องการประชาธิปไตยอะไรนั่น เป็นเรื่องแต่ง"

แล้วที่ ส ศิวรักษ์ พยายามอธิบายมานั่น มันบ่งบอกตรงไหนว่า ในหลวงไม่ต้องการ
ประชาธิปไตย

ร 5 เลิกทาสนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าประชาธิปไตยของ ส ศิวรักษ์ มากมาย เพราะผู้ที่
มีทาสอยู่นั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกอำมาตย์ที่ ส ศิวรักษ์ ชอบพูดนั่นแหละ ถ้า ส ศิวรักษ์
มองไม่เห็นความยิ่งใหญ่ ก็เปรียบเทียบกับการเลิกทาสของลินคอนได้ ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อลินคอนเลิกทาส แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อ ร 5 เลิกทาส

ร 6 ทำดุสิตธานีเป็นของเล่น มีคนมาเชียร์ มันถากถางประชาธิปไตยยังไง พูดแบบ
กล่าวหาและจินตนาการเอาเองหรือเปล่า ให้คนมาเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตย บอก
ทำเป็นของเล่น ต้องใช้วิธีแบบคณะราษฎร์หรืออย่างไรจึงเรียกว่าประชาธิปไตย
ที่บอกว่าใช้เงินเป็นว่าเล่น จนติดลบ โดยอ้างว่าใช้ในการจ้างข้าราชบริพาร หรือสร้างวัง
นั้น อคติหรือเปล่า เพราะ ร 6 ท่านสร้างอะไรให้ประเทศมากมาย ทำไมไม่ยกมาพูด
ท่านอยู่ในฐานะผู้บริหารประเทศ มันจะต่างกับการตั้งงบประมาณติดลบของรัฐบาลปัจจุบัน
ตรงไหน

ผมว่าถ้าไปแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างที่ ส ศิวรักษ์ บอก แล้วนำมาพูดเฉพาะที่ตนเองอยาก
จะพูดเท่านั้น อย่าไปหาเลยครับ ไม่มีประโยชน์

#13 ดราม่า

ดราม่า

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,395 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 01:25

สมัยก่อนคณะราษฎร์หลายๆคนมีอำนาจมาก ฮึกเหิมขนาดไปบังคับซื้อที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของส่วนตัวในราคาถูกๆ

ดีที่ยังมีคนมีใจเป็นธรรม ขัดขวางโดยตั้งกระทู้ถามที่สภา เป็นเหตุให้พวกคนทรามต้องคืนทรัพย์นั้น สมัยนั้นคณะราษฎร์เหมือนเด็กเล่นมีดเลย :(

(เคยอ่านมา แต่ลืมแหล่งอ้างอิงไปแล้วขออภัย)
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ" อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”หนูดี

#14 Solidus

Solidus

    เลิกเล่น

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 14,367 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 03:45

อเมริกาปากบอกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่กลับมีทาสอยู่เกือบร้อยปีหลังเป็นประชาธิปไตย

[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]

ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556


#15 whiskypeak

whiskypeak

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,392 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 04:06


อ่านเจอในเฟสบุค ศ ศิวรักษ์ครับ




Sulak Sivaraksa

17 มิถุนายน


(คนละหมัด เดอะซีรี่ย์): ร.5 ต่างหากเล่า ที่เป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์การให้สิทธิ์แก่พลเมือง ด้วยการเลิกระบบทาส พระองค์ทรงริเริ่มการให้สิทธิ์ศึกษาเล่าเรียนแก่หญิงและชายดดยเท่าเทียมกัน
ร.6 ทรงทำแบบจำลอง เพื่อให้ข้าราชบริพารและคนทั่วไปเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตย ร.7 เตรียมประกาศการปกครองระบอบประชาธิปไตย ..แต่ไอ้กำมะลอ ตัดหน้าโดยยึดอำนาจ และบีบคั้นพระองค์

ส.ศิวรักษ์ : รัชกาลที่ 5 เลิกทาสเป็นของดี ไม่ใช่เป็นของไม่ดี ต้องแยกกัน แต่รัชกาลที่5 ไม่มีทางให้ประชาธิปไตยได้ ต้องเข้าใจนะครับ เพราะมีเจ้านายและขุนนางทำหนังสือกราบบังคมทูลเมื่อ รศ.103 ขอให้มีธรรมนูญการปกครอง ลดบทบาทพระมหากษัตริย์ อยู่้ใต้ธรรมนูญ ท่านไม่ยอมรับ เทียนวรรณเขียนหนังสือว่า เจ้ากับไพร่ต้องร่วมกันปกครองบ้านเมือง เสมอกัน เทียนวรรณถูกเข้าคุก 14ปี ท่านไม่ยอม



ส.ศิวลึงค์ บิดเบือนหรือแก่จนเลอะผมก็ไม่รู้ แต่ในหนังสือของเทียนวรรณกล่าวถึงสาเหตุแห่งการติดคุกไว้เองดังส่วนหนึ่งของบทความ
ตุลวิภาคพจนกิจ (สรรนิพนธ์ของเทียนวรรณ) ถ้าสนใจอ่านฉบับเต็มให้หาทางกูเกิลดูครับ



พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้เจ้านายที่เป็นจินตกวีในยุคนั้นนิพนธ์โคลงยอพระเกียรติพระเจ้าลูกเธอ ที่กำลังจะทรงผนวช กรมหลวงภาณุพันธ์วงศ์วรเดช ได้มาให้เทียนวรรณแต่งโคลงนี้ให้และสำนวนนี้ได้รางวัลที่ ๑ เป็นเหตุให้เจ้านายองค์อื่นๆ กริ้ว จึงพยายามหาทางแกล้งเทียนวรรณ โดยให้นายช้าง มหาดเล็ก ทำทีมาขอให้เทียนวรรณเขียนฎีการ้องทุกข์ให้เทียนวรรณถามว่าได้รับอนุญาตตามระเบียบแล้วหรือยัง นายช้างตอบว่าได้แล้ว (ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับอนุญาต) เมื่อเทียนวรรณเขียนฎีกาให้จึงมีผิดปกติความผิดฐานหมิ่นตราพระราชสีห์นี้มีโทษเพียงการโบย แต่เทียนวรรณต้องถูกขังไว้โดยไม่มีการไต่สวนเพราะไม่มีโทษอื่น เทียนวรรณติดคุกเพราะถูกฝากขังลืมไว้ถึง ๑๗ ปีกว่า

จนกระทั่งกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงปรับปรุงการศาล และพาฝรั่งที่มาช่วยงานด้านนี้ไปตรวจคุก จึงพบว่าเทียนวรรณถูกแกล้ง เทียนวรรณจึงได้รับการปลดปล่อยในที่สุด) และต้องไปติดคุกอยู่เป็นเวลาเกือบ ๑๗ ปี*(*เทียนวรรณติดคุกเมื่อ ร.ศ.๑๐๑ ออกจากคุกเมื่อ ร.ศ.๑๑๗ รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูเชิงอรรถก่อนหน้าข้างต้น)



เรื่องเทียนวรรณเรียกร้องรัฐธรรมนูญจริง แต่เขาไม่ได้ติดคุกเพราะข้อนั้น แต่เนื่องจากเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบยุติธรรม พอเขาหลุดออกมาจึงออกมาเขียนหนังสือเรียกร้อง(เทียนวรรณเรียนจบจากต่างประเทศ)


สรุป จะฟังข้อมูลอะไรของ ส.ศิวลึงค์ ก็อย่าพึ่งเชื่อทันทีเพราะมั่วเยอะมาก :)


"ส.ศิวลึงค์" ฮ่าๆ

ถูกใจเสื้อแดง ของแพงไม่ว่า โดนโกงไม่ด่า ขอแค่ตระกูลชินนรกเป็น นายก พอ..

 


#16 ม่านน้ำ

ม่านน้ำ

    ผมเพิ่งมาครับ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,373 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 06:09

ส.ศิวลึงค์ติดคุกอีกสักครั้งก็คงจะดี

แก่ปูนนี้แล้ว

เผื่อจะได้เป็นอากงให้เขาเอาศพมาเชิดคั่นเวลาเป็นรายต่อไปบ้าง

Posted Image


#17 โจโฉ นายกตลอดกาล

โจโฉ นายกตลอดกาล

    น้องใหม่

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,795 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 07:24

สนับสนุนท่านปู่ตะนิ่นตาญี อีกเสียงครับ

ที่เอาข้อเท็จจริงมาเป็นความรู้แก่เพื่อนสมาชิก
เชื่อเถอะ อีกไม่ช้า นายเวร จะเสียฉายา "ร้อยล๊อกอิน" ไปในไม่กีอึดใจนี้

#18 tonythebest

tonythebest

    สมาชิกขั้นสูง 178 เซนติเมตร

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,595 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 11:15

ของเล่นของรัชกาลที่ 6 ครับ


ดุสิตธานี เป็นเมืองจำลองเล็กๆ สร้างขึ้นแห่งแรกในพระราชวังดุสิต ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ครึ่ง มีลักษณะเกือบจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ทางด้านใต้ติดพระที่นั่งอุดร ทางด้านเหนือติดอ่างหยกเฉพาะบ้านทั้งหมดมีจำนวนประมาณสามร้อยกว่าหลัง ถ้านับตัวอาคารด้วยก็ประมาณ ๑,๐๐๐ หลัง ประกอบด้วยปราสาทราชวัง วัด สถานที่ราชการ โรงทหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด ร้านค้า ธนาคาร โรงละคร โรงภาพยนต์ สโมสรบริษัท สำนักงาน ที่ขาดไปคือมหาวิทยาลัย ปั๊มน้ำมัน และสถานโบว์ลิ่ง เท่านั้น อาคารเหล่านี้มีขนาดย่อส่วนเท่ากับ หนึ่งในยี่สิบส่วนของของจริง คือมีขนาดโตกว่าศาลพระภูมิเพียงเล็กน้อย สร้างขึ้นด้วยฝีมือประณีต ทาสีและฉลุสลักลวดลายอย่างวิจิตร มีไฟฟ้าติดสว่างทุกบ้าน มีถนนเชื่อมเหมือนของจริง ปลูกต้นไม้เล็กๆ ร่มรื่นทั้งสองข้างทาง
 ผู้ที่ปลูกบ้านอยู่ในดุสิตธานี เรียกว่า ทวยนาครของดุสิตธานี เป็นบรรดามหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิด ซึ่งมีทั้งที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าเป็นอย่างสูง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ชื่อว่า ท่านราม ณ กรุงเทพ มีอาชีพเป็นทนายความ
 การปลูกบ้านในดุสิตธานีนั้น ผู้ปลูกจะต้องยื่นเรื่องราวขอซื้อที่ดินสำหรับแต่ละหลังซึ่งมีขนาดประมาณ ๑ ตารางเมตร เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้วจึงจะดำเนินการได้ และเนื่องจากบ้านแต่ละหลังมีราคาแพง จึงมีห้องแถวให้เช่าสำหรับผู้ไม่มีเงินสร้าง ซึ่งเจ้าของบ้านทุกคนจะต้องคอยดูแลบ้านของตนให้สะอาดเรียบร้อย มีการบริการด้านสาธารณูปโภค มีพนักงานชาวที่คอยดูแลตรวจตรา
เจ้าของบ้านจะต้องเสียค่าน้ำ ค่าไฟ ชึ่งผู้เก็บเงินเป็นเสมียนของท่านราม เงินที่เก็บได้จะนำมาใช้ในการบำรุงดุสิตธานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสะพาน ถนนหนทาง เงินที่เหลือส่งไปบำรุงราชนาวี และสร้างเรือรบพระร่วง 
 ดุสิตธานีมีพรรคการเมืองสองพรรค คือ พรรคแพรแถบสีน้ำเงินและพรรคแพรแถบสีแดง การเลือกตั้งดำเนินการตาม ธรรมนูญลักษณะการปกครองคณะนคราภิบาล(ดุสิตธานี) พระพุทธศักราช ๒๔๖๑ ซึ่งมี ๕๑ มาตรา และมีการแก้ไขเพิ่มเติม ๒ ครั้ง วิธีการสำคัญที่ทรงกระทำคือ การปูพื้นฐานทางการเมืองให้แก่ประชาชน โดยผ่านกระบวนการของการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล ซึ่งเป็นการบริหารแบบประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนในท้องถิ่นนั้น จึงทรงรื้อฟื้นการทดลอง ปกครองในรูปแบบเทศบาลหรือที่ทรงเรียกว่า นครภิบาล โดยทรงจัดตั้งเมืองจำลอง ดุสิตธานี ณ บริเวณรอบๆ พระที่นั่งอุดรในพระราชวังดุสิต สมมติให้ดุสิตธานีมีฐานะเป็นมณฑลหนึ่งในราชอาณาจักรสยามชื่อว่า มณฑลดุสิต มีหม่อมเจ้าปราณีเนาวบุตร์ ทรงดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล ทำหน้าที่ว่าราชการมณฑล ซึ่งอาจเทียบได้กับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน เป็นหัวหน้าดำเนินการปกครองโดยทั่วไป และเลือกเชษฐบุรุษสำหรับทุกๆ อำเภอ มีการเลือกตั้งและเสียภาษีอากรทุกเดือน เพราะทรงกำหนดให้นับเวลา 
๑ เดือนในดุสิตธานีเท่ากับ ๑ ปี จัดการทำนุบำรุงด้านสุขาภิบาลและการป้องกันโรคภัย จัดการเก็บภาษีที่ดิน สนับสนุนให้มีการออกหนังสือพิมพ์ สนับสนุนการตั้งพรรคการเมือง จัดตั้งธนาคาร เรียกว่า 
ดุสิตธนาคาร ขึ้น 
 หนังสือพิมพ์ที่ออกในดุสิตธานีมีอยู่ ๓ ฉบับคือ ดุสิตสมัย เป็นหนังสือพิมพ์รายวัน ดุสิตสักขี เป็นหนังสือพิมพ์รายวัน (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นดุสิตรีคอร์ดเดอร์) และดุสิตสมิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจัดทำเป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ออกทุกวันเสาร์
 เรื่องของเมืองดุสิตธานี เป็นพระราชเจตนาของพระองค์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะสร้างประชาธิปไตยไว้เป็นบันทัดฐานของชาติ และทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะพระราชทาน รัฐธรรมนูญให้ในโอกาสต่อมา ดุสิตธานีและสลายตัวไป เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘
 อาคารจำลองดุสิตธานี ปัจจุบันหลังที่อยู่งานพระบรมราชะประทรรศนีย์ ห้อง ๑๑ ชั้น ๓ 
หอวชิราวุธานุสรณ์ มี ๒ หลังดังนี้ 
 พระที่นั่งลักษมีวิลาส(พระที่นั่งแขก) ตั้งตามพระนาม พระนางเธอลักษมีลาวัณ เป็นพระที่นั่งในพระวัชรินทราชนิเวศน์ ตำบลดุสิต ในบริเวณพระราชวังดุสิต
 วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม มีลักษณะเป็นทรงไทย เริ่มสร้างปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ 
 เป็นวัดฝ่ายธรรมยุติ ในพระพุทธอาสน์ของพระประธานได้บรรจุพระบรมอัฐิส่วนหนึ่งของรัชกาลที่ ๔ 
 ไว้ด้วย ปูชนียวัตถุที่สำคัญได้แก่ พระพุทธสิงห์ปฏิมากร พระพุทธสิหิงค์จำลอง พระพุทธชินสีห์จำลอง พระพุทธนิรันตรายและรูปปั้นสมเด็จพระสังฆราช(สา) นอกจากนั้นยังมีจิตรกรรมฝาผนังของพระพุทธพระวิหารหลวง เป็นภาพเขียนด้วยสีฝุ่นที่มีความงดงามเป็นเลิศ จำลองจากวัดราชประดิษฐ์ฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนราชินี แขวงบรมมหาราชวัง เขตพระนคร.....

http://www.sahavicha...owledge&id=1613





วันนี้พาทัวร์แบบย้อนอดีตค่ะ ไปเที่ยวดุสิตธานีกัน
เปล่าค่ะ ไม่ได้ไปโรงแรมใหญ่ในกรุงเทพฯ แต่ว่านั่งยานเวลากลับไป พ.ศ. ๒๔๖๑
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ยุคที่เมืองหลวงยังมีสภาพแบบเมืองปนสวนอุดมสมบูรณ์
มีน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา อากาศดีหายใจได้เต็มปอด มีถนนไม่กี่สาย แต่ว่างจาก
ยวดยานพาหนะ เราจะได้นั่งยานแล่นฉิวไปหยุดตรงประตูทางเข้าพระราชวังดุสิต
แล้วลงจากรถเดินเกาะกลุ่มกันเข้าไปด้วยกัน

โน่นค่ะ เดินไม่ทันเมื่อย ไปถึงอ่างหยกสระน้ำใหญ่ในบริเวณพระราชวัง
จะเห็นมีสนามหญ้าราบเรียบคั่นระหว่างอ่างหยกตรงนี้กับพระที่นั่งอุดร
ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัว สนามตรงนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีเนื้อที่ประมาณ
๒ ไร่ครึ่ง เป็นที่ตั้งของเมืองเล็กๆคล้ายเมืองตุ๊กตาประกอบด้วย
พระราชวัง ศาลารัฐบาล วัดวาอาราม อาคารกลุ่ม บ้านใหญ่ และ บ้านน้อย

ประมาณเกือบสองร้อยหลัง สร้างด้วยฝีมือประณีตบรรจงเห็นรายละเอียดปลีกย่อย
ทาสีสวยสด มีสวนดอกไม้และถนนสายยาวสายเล็กๆลัดเลี้ยวผ่านหน้าบ้านไปจนทั่วเมือง
ปลูกต้นไม้เล็กๆไว้ร่มรื่นข้างถนนสายสำคัญ พอตกกลางคืน ไฟฟ้าที่ติดไว้ในบ้าน
ก็เปิดสว่างแลระยิบระยับเมื่อมองจากที่ไกล สวยงามราวกับเมืองในเทพนิยาย
ถ้าหากว่ายังดูแลทะนุบำรุงไว้จนทุกวันนี้ ก็จะเป็นเมืองจำลอง ที่อวดนักท่องเที่ยวได้
ไม่แพ้เมืองจำลองมาดูโรดัมในเนเธอร์แลนด์เลยทีเดียว

พระราชวัง



ศาลารัฐบาล


Posted Image



Posted Image


วัดวาอาราม



อาคารกลุ่ม


Posted Image



Posted Image


บ้านใหญ่



บ้านน้อย


Posted Image



Posted Image






เมืองจำลองนี่ละค่ะ ชื่อ "ดุสิตธานี"




ดุสิตธานีมีพลเมืองคือเจ้าของบ้านแต่ละหลัง แต่การมีบ้านในนั้นไม่ใช่ของง่าย

ผู้ปลูกจะต้องยื่นเรื่องราวขอซื้อที่ดินปลูกบ้าน ณ ตำบลใดตำบลหนึ่งในเมืองก่อน

เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้วก็ต้องยื่นแปลนบ้านให้เจ้าหน้าที่โยธาธิการพิจารณา
ได้รับอนุมัติแล้วจึงไปสร้างบ้านมาจากภายนอก แล้วยกเข้ามาตั้งไว้ในเมืองได้

ต่อจากนั้นต้องดูแลรักษาบ้านของแต่ละคนให้อยู่ในสภาพดี
ยื่นคำร้องของติดตั้งไฟฟ้า และน้ำประปาแล้วจ่ายค่าน้ำค่าไฟตามกำหนด

ถ้าหากว่าปล่อยบ้านให้รกรุงรังก็จะถูกคณะนคราภิบาลตักเตือนได้


การดูแลบ้านเป็นของยากยิ่งกว่าปลูกบ้าน เจ้าของต้องเอาใจใส่ไปนั่งตัดเล็มหญ้า

ที่ขึ้นรกแค่ไม่กี่นิ้วก็ท่วมหลังคาบ้าน ถ้าถอนก็ต้องค่อยๆถอนออกทีละต้น

ถ้าหลอดไฟขาดก็ต้องเปิดหลังคาใส่หลอดใหม่ และต้องรบรากับผู้บุกรุกไม่รู้จบ

คือพวกคางคกอึ่งอ่างที่ชอบเข้าไปอาศัยในบ้าน
ถึงกับมีภาพวาดล้อเลียนอึ่งอ่างกระโดดเข้าจวนเทศา ลงในหนังสือพิมพ์ "ดุสิตสมิต"




Posted Image

ภาพวาดล้อเลียนอึ่งอ่างกระโดดเข้าจวนเทศา




อย่างไรก็ตาม "ดุสิตธานี" ไม่ใช่เมืองตุ๊กตาเป็นของเล่นสนุกๆนะคะ

แต่เป็นแบบทดลองของการปกครองแบบตะวันตกที่คนไทยสมัยนั้นยังไม่รู้จักมาก่อน
รูปแบบการดำเนินงานดัดแปลงมาจากธรรมนูญการปกครองเทศบาลของอังกฤษ

เริ่มด้วยพลเมือง(เรียกว่านาคร) ลงเสียงเลือกตั้งผู้แทนในแต่ละอำเภอของดุสิตธานี

เรียกผู้แทนว่า เชษฐบุรุษ แล้วเชษฐบุรุษ ก็ไปเลือกคณะ นคราภิบาลมาปกครอง

เมืองดุสิตธานีอีกที มีการออก"ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาลกันอย่างจริงจัง
มีการประชุมดำเนินงานกันแบบของจริง

พระราชประสงค์ในการสร้าง"ดุสิตธานี"เห็นได้จากพระราชดำรัสในวันเปิดศาลารัฐบาลดุสิตธานี
ว่า"…วิธีการดำเนินงานในธานีเล็กๆของเราเป็นเช่นไร ก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้สยามประเทศได้ทำเช่นเดียวกัน
แต่จะให้เป็นการสำเร็จรวดเร็วทันใจดังธานีเล็กนี้ ก็ยังทำไปทีเดียวยังไม่ได้ โดยมีอุปสรรคบางอย่าง
"

" เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้ราชการทั้งหลายตลอดจนทวยนาคร จงตั้งใจกระทำกิจการของตน

ตามหน้าที่ให้สมกับธานีซึ่งได้จัดตั้งขึ้นนี้ ในไม่ช้าก็จะได้แลเห็นผลของประเทศสยามว่าจะเจริญไปได้เพียงไร "

กิจกรรมในเมืองมีหลายอย่างล้วนแต่ทันสมัย คือการออกหนังสือพิมพ์ ตั้งพรรคการเมือง
จัดตั้งธนาคารเรียกว่าดุสิตธนาคาร มีเช็คเล็กๆรับจ่ายเงินในเมืองนี้ได้ เมื่อนึกว่าในยุคนั้น

ยังไม่มีกฎหมายเลือกตั้งในสยาม ดุสิตธานีก็เป็นแบบแผนการปกครองแบบใหม่

มีมาก่อนระบอบประชาธิปไตย และระบบเทศบาลในเวลาต่อมา

ใครคือชาวเมืองดุสิตธานี? บุคคลสำคัญคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

แต่ทรงอยู่ในฐานะชาวเมืองคนหนึ่งใช้ชื่อว่า "นายราม ณ กรุงเทพ " เป็นเนติบัณฑิต

อาชีพทนายความ มีบ้าน ๓ หลังชื่อ บ้านผูกใจบ้านหย่อนใจ และบ้านโปร่งใจ

ส่วนนาครคือข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ที่ทรงใช้สอยไว้วางพระราชหฤทัย
มีตั้งแต่มหาดเล็ก บุตรหลานขุนนางข้าราชการไปจนถึงหม่อมเจ้า ทรงเลือกผู้คนเหล่านี้
ซึ่งยังไม่รู้จักระบอบการปกครองแบบตะวันตกมาแนะนำสั่งสอนให้รู้จักการเลือกตั้ง
นาครมีสิทธิ์เลือกคนที่ตนพอใจมาปกครองดุสิตธานี คนไหนที่นาครไม่พอใจก็ไม่สามารถเป็นผู้บริหารได้นาน
นอกจากนี้การออกหนังสือพิมพ์ อย่าง ดุสิตสมิต ดุสิตสมัย ดุสิตสักขี ก็เพื่อเปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ร้องทุกข์ วิเคราะห์ วิจารณ์ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ไม่เคยมีในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาก่อน




Posted Image

บ้านผูกใจ




ในพ.ศ. ๒๔๖๒ ปีต่อมา สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชนนีเสด็จสวรรคต ณ พระราชวังพญาไท
พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหฤทัยอาลัยรักพระบรมราชชนนีมาก จึงทรงแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชวังพญาไท
แล้วย้ายดุสิตธานีไปสร้างใหม่มีบริเวณกว้างขวางกว่าเก่า มีบ้านเรือนใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯขยายการอบรมเรื่องประชาธิปไตยไปถึงช้าราชการภายนอก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด
สมุหเทศาภิบาล และนายอำเภอเข้าไปฝึกอบรมด้วย

น่าเสียดายที่พอสิ้นรัชกาล ดุสิตธานีไม่ได้รับการทะนุบำรุงต่อ เมืองน้อยๆก็ทรุดโทรมลงไป
สิ่งก่อสร้างกระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ บ้านจำลองบางหลังเจ้าของยกกลับไปไว้บ้านเป็นที่ระลึก
บางหลังก็ปรักหักพังไปตามเวลา หลงเหลือมาเป็นส่วนน้อยในปัจจุบันที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ทางเหนือ
เมืองดุสิตธานีทั้งเมืองจึงเหลือแต่ภาพถ่ายอย่างที่ลงในบทความนี้ และเรื่องราวเบื้องหลัง
รวบรวมขึ้นด้วยความอุตสาหะของข้าราชบริพารบางท่าน ที่ยังจดจำเรื่องนี้ไว้เป็นอนุสรณ์พระราชปณิธานในพระเจ้าอยู่หัว


http://www.vcharkarn.com/varticle/246

ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ

 

 

 

เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน

จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน


#19 tonythebest

tonythebest

    สมาชิกขั้นสูง 178 เซนติเมตร

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,595 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 11:18

พระราชประสงค์ในการสร้าง "ดุสิตธานี" จากพระราชดำรัสในวันเปิดศาลารัฐบาลดุสิตธานี ว่า



"…วิธีการดำเนินงานในธานีเล็ก ๆ ของเราเป็นเช่นไร
ก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้สยามประเทศได้ทำเช่นเดียวกัน
แต่จะให้เป็นการสำเร็จรวดเร็วทันใจดังธานีเล็กนี้
ก็ยังทำไปทีเดียวยังไม่ได้ โดยมีอุปสรรคบางอย่าง"



"เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้ราชการทั้งหลาย
ตลอดจนทวยนาคร จงตั้งใจกระทำกิจการของตน
ตามหน้าที่ให้สมกับธานีซึ่งได้จัดตั้งขึ้นนี้
ในไม่ช้าก็จะได้แลเห็นผลของประเทศสยาม
ว่าจะเจริญไปได้เพียงไร"


http://www.pakxe.com...28-06&Itemid=62

Edited by tonythebest, 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 11:19.

ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ

 

 

 

เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน

จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน


#20 ตะนิ่นตาญี

ตะนิ่นตาญี

    La vie en rose

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,174 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 16:57

มาสนับสนุนคุณตะนิ่นตาญี

นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการต่อสู้กับขบวนการล้มเจ้า
ขอให้เดินหน้าต่อไป เพราะนี่คือวิธีที่มั่นคงสถาวร
เพราะความจริง ไม่มีวันถูกทำลาย


ขอบพระคุณ คุณ amplepoor มากครับ

อย่าหาว่า ตะนิ่นตาญี ดัดจริต-ดีดดิ้น เลยครับ

คิดถึง คุณ amplepoor จริงจริงครับ

ตะนิ่นตาญี

สนับสนุนท่านปู่ตะนิ่นตาญี อีกเสียงครับ

ที่เอาข้อเท็จจริงมาเป็นความรู้แก่เพื่อนสมาชิก


ขอบพระคุณ คุณ โจโฉฯ มากครับ :)

ตะนิ่นตาญี
"จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา"

#21 ตะนิ่นตาญี

ตะนิ่นตาญี

    La vie en rose

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,174 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 17:16

อ่านเจอในเฟสบุค ศ ศิวรักษ์ครับ




Sulak Sivaraksa

17 มิถุนายน


(คนละหมัด เดอะซีรี่ย์): ร.5 ต่างหากเล่า ที่เป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์การให้สิทธิ์แก่พลเมือง ด้วยการเลิกระบบทาส พระองค์ทรงริเริ่มการให้สิทธิ์ศึกษาเล่าเรียนแก่หญิงและชายดดยเท่าเทียมกัน
ร.6 ทรงทำแบบจำลอง เพื่อให้ข้าราชบริพารและคนทั่วไปเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตย ร.7 เตรียมประกาศการปกครองระบอบประชาธิปไตย ..แต่ไอ้กำมะลอ ตัดหน้าโดยยึดอำนาจ และบีบคั้นพระองค์

ส.ศิวรักษ์ : รัชกาลที่ 5 เลิกทาสเป็นของดี ไม่ใช่เป็นของไม่ดี ต้องแยกกัน แต่รัชกาลที่5 ไม่มีทางให้ประชาธิปไตยได้ ต้องเข้าใจนะครับ เพราะมีเจ้านายและขุนนางทำหนังสือกราบบังคมทูลเมื่อ รศ.103 ขอให้มีธรรมนูญการปกครอง ลดบทบาทพระมหากษัตริย์ อยู่้ใต้ธรรมนูญ ท่านไม่ยอมรับ เทียนวรรณเขียนหนังสือว่า เจ้ากับไพร่ต้องร่วมกันปกครองบ้านเมือง เสมอกัน เทียนวรรณถูกเข้าคุก 14ปี ท่านไม่ยอม และเรื่อง รัชกาลที่6 ที่ทำ"ดุสิตธานี" เป็นของเล่น คนก็มาเชียร์กันพวกข้าราชสำนักก็เชียร์กัน โอ้นี่ถางทางประชาธิปไตย นี่ไม่ใช่ถางทางประชาธิปไตย เพราะ ร.6 นั้นท่านเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ใช้เงินเป็นว่าเล่น และเมื่อท่านสวรรคตนั้น ที่ปรึกษากระทรวงพระคลัง เซอร์เอเวิร์ด คุก บอกว่า the king died save his country คือ ท่านใ้ช้เงินจดหมด จนเป็นหนี้เป็นสินเขาเลย และท่านก็เอาเงินนี้ ตั้งข้าราชบริพาร คนที่ท่านโปรดปราน ยกตัวอย่าง ทำเนียบรัฐบาลเวลานี้ ท่านสร้างให้ เจ้าพระยารามราฆพ คนสนิทของท่าน เป็นวังที่ใหญ่โตที่สุด แสดงให้เห็นได้เวลานี้เลย ท่านเอาเงินช่วยคนที่ท่านโปรดปราน แล้วจะเป็นประชาธิปไตยได้ยังไง ประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้ และปีแรกที่ท่านเสวยราชย์ มีคณะก่อการ ต้องการประชาธิปไตยเลย รศ.130 เพราะฉะนั้นที่มาพูดว่า ในหลวงต้องการประชาธิปไตย อะไรนั่น เป็นเรื่องแต่ง แล้วก็เป็นที่น่าเสียดายคนเชื่อเยอะ เพราะพวกละครน้ำเน่า กระพือกัน คึกฤทธิ์ ปราโมช กระพือกัน คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นตัวเสนียด*** ที่ร้ายแรงที่สุด บิดตะกูด ข้อเท็จเป็นจริง จริงเป็นเท็จ เป็นที่น่า่เสียดาย คนสมัยนี้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เชื่อตามคำปดเท็จเหล่านี้ เป็นที่น่าเศร้า แต่ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ต้องเชื่อผม คุณไปแสวงหาข้อเท็จจริงเอาเอง ผมก็เคยคิดแบบคุณนี่แหละ และผมเปลี่ยน เพราะผมได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ภายหลัง

http://www.facebook....sulak.sivaraksa


ตะนิ่นตาญี คิดอยู่ หลายตลบ ทีเดียวว่าควรที่จะเพิ่มเติม ความเห็นนี้ของ คุณ tonythebest ดีหรือไม่

ถามว่าทำไมถึงต้องคิด ตอบตรงตรง ตะนิ่นตาญี ถือตัวอยู่ว่าเป็นศิษย์ของ สองปราชญ์แห่งสยาม

เคยเดิน ตามรอยเท้า ทั้งสองท่านมาแต่ ยังเยาว์-ยังเขลา-ยังโง่ แต่ไม่เคยคิดที่ วัดรอยเท้า ของทั้งสองท่านนี้

มิเช่นนั้นแล้วก็จะถูก ตราหน้า-ชี้หน้า ได้ว่าไอ้นี่ อกตัญญู ทั้งสองท่านนี้สอนให้ ตะนิ่นตาญี คิดเป็น-เลือกเป็น

นาทีนี้แล้ว ตะนิ่นตาญี คิดแล้ว-เลือกแล้ว เลือกที่จะ คิดต่างกับ ท่านอาจารย์ สุลักษณ์ ศิวลักษณ์

และหากเพื่อนเพื่อนจะตำหนิติติงอย่างไร ตะนิ่นตาญี คงต้องยอมรับ แต่ก็ขอยืนยันว่าข้อเขียนของ ท่านอาจารย์ ส.ศิวลักษณ์ นั้น

ไม่ได้เปิดเผยความจริงเสียทั้งหมด ความจริงที่ ท่านโกรธ ครูใหญ่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในกรณีถูกขับออกจาก สยามรัฐ

จริงหรือไม่จริงต้องถามใจท่านดูเอง ไม่เป็นไรครับ ตะนิ่นตาญี เลวเองครับ.....

ตะนิ่นตาญี
"จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา"

#22 bird

bird

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,191 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 17:18

bird เคยอ่านหนังสือ

"สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น..ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ "

พระนิพนธ์ของ ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล ทรงนิพนธ์ไว้ตั้งแต่ ๒๔๘๖

เป็นบันทึกที่บอกเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ ร.๗ ทรงพระเยาว์, เหตุการณ์เมื่อครั้งเสวยราชย์
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕, เหตุการณ์หลังการเปลี่ยนแปลง, สละราชสมบัติ
และสิ้นพระชนม์

ทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาอ่าน น้ำตาจะไหลเองโดยไม่รู้ตัวทุกครั้ง

ยิ่งได้อ่านข้อกล่าวหา ถ้อยคำที่ใครบางคน พยายามบิดเบือนให้ร้ายพระองค์ท่านแล้ว
บอกตามตรงว่า...

คนที่กล่าวเช่นนั้นได้...ไม่ใช่คนไทย....

#23 overtherainbow

overtherainbow

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,295 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 17:20

ยังไม่มีใครสับ ส ศิวลักษณ์

โชคดีไม่เคยได้เกี่ยวข้องกับท่านผู้นี้

รู้แต่ว่า การจะพูด เขียน อ่านให้คนแต่ละกลุ่มฟัง ต้องระมัดระวัง การรับสารของคน

เจตนาดีอย่างเดียว กับ ผู้อาวุโส แบบนี้ กับ คนจ้องหาจังหวะบิดเบือนทำร้ายทำลายเจ้ามีมาก

น่าจะ ควรจะ สื่อให้กระชับ เข้าใจบริบทของทุกอย่างว่า กาละเทศะคืออะไร

แม้จะอ่อนวัยกว่าท่านผู้อาวุโสนี้มาก แต่คงหัวก้าวหน้าไม่ทันท่านหรืออย่างไรไม่รู้

ยังไงอย่างไรก็ ไม่เคยเป็นใครที่ปลื้มในวาทะกรรมซักหน ให้ตายเหอะค่ะ

Edited by overtherainbow, 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 17:30.


#24 bird

bird

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,191 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:04

เห็นที่..น่าจะถึงเวลาเปิดห้องเรียน " ว่าด้วยประวัติศาสตร์ชาติไทย " กันแล้วกระมั้ง
ทุกวันนี้ คนรุ่นใหม่ ที่ไฟแรงทั้งหลาย กำลังจะลืมเลือนประวัติศาสตร์ชาติไทยกันหมดแล้ว
ลืมกันไปแล้วว่า สยาม หรือ ประเทศไทย มีเอกราชอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะพระบารมีของ
พระมหากษัตริย์ทุก ๆ พระองค์ อีกทั้งบรรพบุรุษที่กล้าหาญ สละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องรักษา
แผ่นดินไว้ให้พวกเรา ๆ ท่านได้มีที่ซุกหัว โดยไม่ต้องตกเป็นทาสใคร

แต่มายุคสมัยนี้...เสียงส่วนมากของประเทศกำลังตกเป็นทาสของอำนาจเงินใครบ้างคน
กับบางกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า นักวิชาเกิน อาศัยคำนำหน้าที่มีดีกรี กับกระดาษอีกแผ่น 2 แผ่น
เสนอบทวิเคราะห์ที่บิดเบือน กล่าวร้าย ล่วงละเมิด กระทำการอย่างไม่ไร้สามัญสำนึก
เพราะจิตวิปริต ฝักใฝ่ในความเชื่อซ้ายสุดโต่ง...

#25 tonythebest

tonythebest

    สมาชิกขั้นสูง 178 เซนติเมตร

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,595 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:41

ตะนิ่นตาญี คิดอยู่ หลายตลบ ทีเดียวว่าควรที่จะเพิ่มเติม ความเห็นนี้ของ คุณ tonythebest ดีหรือไม่
ถามว่าทำไมถึงต้องคิด ตอบตรงตรง ตะนิ่นตาญี ถือตัวอยู่ว่าเป็นศิษย์ของ สองปราชญ์แห่งสยาม
เคยเดิน ตามรอยเท้า ทั้งสองท่านมาแต่ ยังเยาว์-ยังเขลา-ยังโง่ แต่ไม่เคยคิดที่ วัดรอยเท้า ของทั้งสองท่านนี้
มิเช่นนั้นแล้วก็จะถูก ตราหน้า-ชี้หน้า ได้ว่าไอ้นี่ อกตัญญู ทั้งสองท่านนี้สอนให้ ตะนิ่นตาญี คิดเป็น-เลือกเป็น
นาทีนี้แล้ว ตะนิ่นตาญี คิดแล้ว-เลือกแล้ว เลือกที่จะ คิดต่างกับ ท่านอาจารย์ สุลักษณ์ ศิวลักษณ์
และหากเพื่อนเพื่อนจะตำหนิติติงอย่างไร ตะนิ่นตาญี คงต้องยอมรับ แต่ก็ขอยืนยันว่าข้อเขียนของ ท่านอาจารย์ ส.ศิวลักษณ์ นั้น
ไม่ได้เปิดเผยความจริงเสียทั้งหมด ความจริงที่ ท่านโกรธ ครูใหญ่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในกรณีถูกขับออกจาก สยามรัฐ
จริงหรือไม่จริงต้องถามใจท่านดูเอง ไม่เป็นไรครับ ตะนิ่นตาญี เลวเองครับ.....

ตะนิ่นตาญี



ความจริง ในเรื่องนี้ ผมไม่คิดแสดงความคิดเห็น
เนื่องจากไม่ได้เกิดทันยุคสมัย และไม่ได้รู้ลึก ด้วยความห่างออกมา
หากแต่เห็นเนื้อหาเป็นอีกด้าน เลยนำมาเป็นข้อมูลเพิ่มเติม
เพื่อจะทราบกันได้ว่า คนอีกกลุ่ม รับข้อมูลเช่นไรไปครับ

วันก่อน ได้อ่านเรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นเดลินิวส์
ขออนุญาตลองไปค้นดูเสียก่อนว่ายังหาเจอหรือไม่
แล้วจะนำมาลงประกอบไว้ด้วยครับ

ที่ท่านตะนิ่นตาญีบอกถึงการคิดต่าง ผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องผิด
เพราะในเวลาที่รัชกาลที่ 6 ตั้งดุสิตธานี ทั้งท่านตะนิ้นตาญีและศ ศิวลักษณ์
ต่างก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งหมด ล้วนนำมากล่าวแต่จากข้อมูลที่แต่ละฝ่ายมี
ผมจึงไม่คิดว่า กรณีนี้ ใครจะผิด ในเรื่องข้อมูลความถูกต้อง
เว้นแต่เรื่องของเหตุผลและช่วงเวลาที่นำเสนอต่างหาก ที่น่าจะนำไปคิดต่อ

แต่คนแก่ท่านนี้ เลือกที่จะแสดงออกแบบนี้มาแต่ไหน
จำได้ว่า ครั้งนึงเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ผมมีโอกาสได้ฟัง ศ ศิวลักษณ์พูด
ในวงอดีตนักศึกษาที่เคยหนีเข้าป่าเดือนตุลา
แกก็ด่าสถาบันให้คนฟังมาแต่ไหนแต่ไร ด่าแรงด้วยนะครับ
ผมนั่งฟังตามประสาเด็ก ยังนึกในใจ “มึ งเป็นใครวะ”

ส่วนตัวผม ผมไม่เคยคิดเชื่อคำที่ว่า เมืองดุสิตธานี เป็นเพียงของเล่นของรัชกาลที่ 6 อยู่แล้ว
ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะรู้สึกว่า ท่านตะนิ่นตาญีผิดต่อใคร
แม้คนๆ นั้นจะเป็นอดีตครู ดังนั้น เมื่อท่านพูดในสิ่งที่ผมไม่รู้สึกว่าผิด
ท่านตะนิ่นจึงไม่ได้เลวในเรื่องอะไรอันใดครับ

ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ

 

 

 

เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน

จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน


#26 พิฆาตอสูร

พิฆาตอสูร

    พอจะทนเสื้อแดงได้นิดๆ

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,786 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:43

เคยอ่านว่า..
คณะราษฎร์ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่า คำนึงถึงประชาธิปไตย

วาระสุดท้ายเป็นอย่างไรกันนั้น ต้องดูวาทะของพระยาทรงสุรเดชหนึ่งในคณะราษฎร์ที่ตอนหลังสำนึกว่าสิ่งที่ทำไปไม่ได้เป็นผลดี

จากหนังสือสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ของ มจ.หญิงพูนพิสมัย ดิสกุล

ฟ้าสีทองผ่องอำไพ  ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน


#27 overtherainbow

overtherainbow

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,295 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 18:50

เห็นที่..น่าจะถึงเวลาเปิดห้องเรียน " ว่าด้วยประวัติศาสตร์ชาติไทย " กันแล้วกระมั้ง
ทุกวันนี้ คนรุ่นใหม่ ที่ไฟแรงทั้งหลาย กำลังจะลืมเลือนประวัติศาสตร์ชาติไทยกันหมดแล้ว
ลืมกันไปแล้วว่า สยาม หรือ ประเทศไทย มีเอกราชอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะพระบารมีของ
พระมหากษัตริย์ทุก ๆ พระองค์ อีกทั้งบรรพบุรุษที่กล้าหาญ สละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องรักษา
แผ่นดินไว้ให้พวกเรา ๆ ท่านได้มีที่ซุกหัว โดยไม่ต้องตกเป็นทาสใคร

แต่มายุคสมัยนี้...เสียงส่วนมากของประเทศกำลังตกเป็นทาสของอำนาจเงินใครบ้างคน
กับบางกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า นักวิชาเกิน อาศัยคำนำหน้าที่มีดีกรี กับกระดาษอีกแผ่น 2 แผ่น
เสนอบทวิเคราะห์ที่บิดเบือน กล่าวร้าย ล่วงละเมิด กระทำการอย่างไม่ไร้สามัญสำนึก
เพราะจิตวิปริต ฝักใฝ่ในความเชื่อซ้ายสุดโต่ง...

เห็นที่..น่าจะถึงเวลาเปิดห้องเรียน " ว่าด้วยประวัติศาสตร์ชาติไทย " กันแล้วกระมั้ง
ทุกวันนี้ คนรุ่นใหม่ ที่ไฟแรงทั้งหลาย กำลังจะลืมเลือนประวัติศาสตร์ชาติไทยกันหมดแล้ว
ลืมกันไปแล้วว่า สยาม หรือ ประเทศไทย มีเอกราชอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะพระบารมีของ
พระมหากษัตริย์ทุก ๆ พระองค์ อีกทั้งบรรพบุรุษที่กล้าหาญ สละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องรักษา
แผ่นดินไว้ให้พวกเรา ๆ ท่านได้มีที่ซุกหัว โดยไม่ต้องตกเป็นทาสใคร

แต่มายุคสมัยนี้...เสียงส่วนมากของประเทศกำลังตกเป็นทาสของอำนาจเงินใครบ้างคน
กับบางกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า นักวิชาเกิน อาศัยคำนำหน้าที่มีดีกรี กับกระดาษอีกแผ่น 2 แผ่น
เสนอบทวิเคราะห์ที่บิดเบือน กล่าวร้าย ล่วงละเมิด กระทำการอย่างไม่ไร้สามัญสำนึก
เพราะจิตวิปริต ฝักใฝ่ในความเชื่อซ้ายสุดโต่ง...


เอาเลย พร้อมเมื่อไหร่ลุย
เจ๊ขอหนับหนุุน

#28 tonythebest

tonythebest

    สมาชิกขั้นสูง 178 เซนติเมตร

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,595 posts

ตอบ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 21:24

“ยี่สิบสี่มิถุนา ยนมหาศรีสวัสดิ์”

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2555 เวลา 00:00 น.


วิษณุ เครืองาม


ราว 80 ปีที่แล้ว มีเพลงที่คนไทยร้องกันได้ทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ 2 เพลง เพลงหนึ่งขึ้นต้นว่า

“ยี่สิบสี่มิถุนา ยนมหาศรีสวัสดิ์” อีกเพลงใช้เป็นเพลงชาติเนื้อร้องมีว่า “ประเทศสยามนาม

ประเทืองว่าเมืองทอง” ทั้งหมดนี้บอกให้รู้ว่าเราเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือ

พระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายแล้ว


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนย่ำรุ่งตั้งแต่พระอาทิตย์ไม่ทันขึ้น พระยังไม่เริ่มออกบิณฑบาตร

ของวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พอราว 9 โมง 10 โมงเช้าก็เป็นอันว่าเสร็จการ

โดยไม่เสียเลือดเนื้อ

การปกครองของไทยก่อน พ.ศ. 2475 เป็นแบบที่ฝรั่งเรียกว่า Absolute Monarchy

ซึ่งเราแปลว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือพระราชาทรงไว้ซึ่งอำนาจสิทธิขาดโดยสมบูรณ์

สมบูรณ์ทั้งทางการเมืองการปกครอง การทหาร การเศรษฐกิจ การยุติธรรม และกฎหมาย

ที่สำคัญคือสมบูรณ์ในการวางตัวคนให้เป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ขุนศาล

ตุลาการ แม่ทัพนายกอง เสนาบดี จนถึงรัชทายาทที่จะเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อไป

ว่ากันอันที่จริงแล้วอำนาจสิทธิขาดโดยสมบูรณ์เช่นนี้มิได้มีมาแต่โบราณกาล

ใครที่คิดว่าเอ๊ะ! เราก็ปกครองแบบนี้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา ธนบุรี หรือกรุงเทพฯ

ยุคก่อน พ.ศ. 2475 แล้วมิใช่หรือ เห็นจะไม่ถูกหมด เพราะแม้สมัยโน้น ๆ พระมหากษัตริย์

จะเป็น “เจ้าแผ่นดิน” และ “เจ้าชีวิต” แต่อำนาจก็ถูกแบ่งปันกันใช้กับบรรดาเจ้านายและ

ขุนนางต่าง ๆ โดยเฉพาะสมุหนายกซึ่งคุมพลเรือน และสมุหพระกลาโหมซึ่งคุมทหาร

ยิ่งมาถึงสมัยกรุงเทพฯ แล้ว สมุห์ทั้งสองดูจะใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่าขึ้นทุกที จนตั้งพระเจ้าแผ่นดิน

ก็ได้ บางครั้งยังคุมการเงินการทองแผ่นดิน คุมทหาร คุมศาล หลายครั้งที่ตำแหน่งสมุห์

ทั้งสองตกอยู่แก่คน ๆ เดียว ทั้งยังเกี่ยวดองหนองยุ่งเป็นญาติกับเสนาบดีอื่น ๆ จนนับวัน

จะยิ่งใหญ่ขึ้นพอ ๆ กับพระเจ้าแผ่นดิน


เอาแค่ว่าจะตั้งรัชทายาทไว้รับราชสมบัติต่อก็ยังต้อง “ทรงเกรงใจ” เจ้านายและเสนาบดีผู้ใหญ่

เกรงว่าจะไม่ยอมรับจึงไม่อาจทำได้โดยง่าย การตั้งรัชกาลที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 จึงเป็นเรื่อง

ของมติที่ประชุมเจ้านายและขุนนาง มิได้เกิดจากการมอบหมายราชสมบัติ รัชกาลที่ 4 นั้น

เมื่อจะสวรรคตก็ยังไม่แน่พระทัยว่าที่ประชุมจะเอาอย่างไร ต้องออกพระโอษฐ์ฝากฝังว่า

ต่อไปแม้นว่าเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์พระราชโอรสไม่ได้เป็นกษัตริย์แล้วไปทำผิดคิดร้ายต่อแผ่นดิน

เช่นก่อการขบถ หากไม่ถึงขั้นเป็น “ตั้วเฮีย” (หัวหน้า) ก็ขอชีวิตให้เป็นแค่เนรเทศเถิด

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ประสาอะไรที่พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงขอชีวิตลูก!

สมบูรณาญาสิทธิราชย์เพิ่งมาเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงปฏิรูปการปกครองบ้านเมือง

โดยทรงยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราชแล้วตั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารแทน

ทรงยกเลิกระบบจตุสดมภ์และสมุห์ทั้งสองแล้วตั้งกระทรวงมีเสนาบดีปกครองแทน ทรงตั้ง

ระบบการคลังใหม่ (รวมอำนาจการเงินการคลังเข้ามาสู่ศูนย์กลาง) ระบบศาล (รวมศาล

เข้ามาอยู่ในกระทรวงเดียวกัน) ระบบการเกณฑ์ทหาร (รวมอำนาจการทหารเข้าสู่ศูนย์กลาง

มิให้ขุนนางสะสมกำลัง) และรวมเมืองเข้ามาเป็นมณฑลเทศาภิบาล มีผู้ปกครองส่งจากส่วนกลางไปปกครอง

เพราะเหตุนี้การปกครองในขณะนั้น (2416-2453) จึงเป็นปึกแผ่นภายใต้พระราชอำนาจซึ่ง

รัชกาลที่ 5 ทรงอธิบายว่า “พระบรมเดชานุภาพพระเจ้าแผ่นดินสยามล้นพ้นหาที่สุดมิได้”

และยืนยาวผ่านรัชกาลที่ 6 และที่ 7 มาจนถึง พ.ศ. 2475 แต่จะว่าเป็นอำนาจสิทธิขาด

โดยสมบูรณ์ชนิดไม่มีอะไรกำกับก็เห็นจะไม่ถูกไปหมดอีก เพราะเอาเข้าจริงไม่มีพระมหากษัตริย์

พระองค์ใด “กล้า” ทรงใช้ความเป็นผู้มีสิทธิเด็ดขาดโดยสมบูรณ์นั้นโดยลำพัง แม้ทรงเป็น “เจ้าชีวิต”

ก็ไม่กล้าประหารหรือลงโทษใครตามอำเภอใจ แม้ทรงเป็น “เจ้าแผ่นดิน” ก็ไม่กล้ายึดที่ดินใคร

ตามใจชอบ เมื่อจะสร้างพระที่นั่งอัมพรสถานยังต้องทรงซื้อจากราษฎร

ตัวกำกับอำนาจนี้คือ “ธรรม” โดยเฉพาะทศพิธราชธรรมจึงทำให้ต้องทรงมีหิริโอตตัปปะ

และต้องทรงระมัดระวัง เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ยังมีอำนาจเจ้านายชั้นพระเจ้าอาและ

พระเจ้าพี่ยาเธอมากำกับอีกทางในรูปของสภาต่าง ๆ และในรูปของคณะอภิรัฐมนตรี

จนแทบจะทรงใช้ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ยากเต็มที หลายอย่างที่ทรง
คิดแม้จะดีต่อบ้านเมืองก็ไม่สามารถทรงบันดาลได้ดังพระทัย

เมื่อคณะราษฎรยึดอำนาจการปกครองเมื่อ 80 ปีก่อนจึงมิได้เป็นการพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

หรือมีปฏิกิริยาต่อต้านแรงกล้าแต่ประการใด เพราะคณะราษฎรฉลาดที่ยังรักษาสถาบัน

พระมหากษัตริย์ไว้ ส่วนสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทยก็ไม่ได้หยั่งรากฝังลึกมานานนับร้อย ๆ ปี

และไม่ได้เข้มแข็งเด็ดขาดขนาด “ห้ามใครแตะ” อย่างในเมืองจีน รัสเซีย เยอรมนี สเปน

และอันที่จริงก็มีเจ้านายกลุ่มหนึ่งลอง “แตะ” ในปี 2428 สมัยรัชกาลที่ 5 และทหารหนุ่ม ๆ

อีกกลุ่มลอง “แตะ” ในปี 2454 สมัยรัชกาลที่ 6 มาแล้ว จึงถือว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย

เพิ่งอยู่ในชั้น “ก่อตัว” และกำลัง “พัฒนาการ” แม้แต่การปกครองระบอบใหม่ที่มาแทนที่

นปี 2475 จน 80 ปีเข้านี่แล้วก็ยังอยู่ในชั้น “ก่อตัว” และกำลัง “พัฒนาการ” เลยครับ!.



http://www.dailynews.co.th/article/7/121309



รับปากท่านตะนิ่นตาญีไว้ครับ เลยนำมาให้อ่านกัน

ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ

 

 

 

เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน

จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน


#29 BlueArmy

BlueArmy

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 287 posts

ตอบ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 19:03

ตะนิ่นตาญี ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ คุณ BlueArmy ที่ต้องแตกกระทู้นี้ออกมา

เพราะรับไม่ได้จริงจริงกับ บทความ กึ่ง วิเคราะห์ ของ สมศักดิ์ เจียมฯ ที่ได้

บิดเบือน “ข้อเท็จจริง” ทั้งทางด้านวิชาการ และ ประวัติศาสตร์...ฯ


ไม่เป็นไรครับ ก็หาอยู่เหมือนกันครับ อยากให้ช่วยกันหาข้อมูลมาโต้แย้งอยู่แล้ว
ชีวิตยอมพลีเพื่อชาติ เลือดทุกหยาดแด่ภูมินทร์ แม้นชีพม้วยไร้ชีวิน วงศ์จักรินทร์คงสืบไป