Jump to content


Photo
- - - - -

อ้ายบิลเกตต์ ไม่ได้ขี้ตีงทักษิณหรอก


This topic has been archived. This means that you cannot reply to this topic.
70 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:28

อวยกันเข้าไป คนเราพิมพ์ข้อความได้ ไม่ได้แปลว่าฉลาด
มีสมองไม่ได้แปลว่าคิดเป็น

อ่านความเห็นของศาสดาไซเบอร์ปลายอ้อแล้ว รู้สึกขำปนทึ่ง
คนเรานี่หนอ รู้น้อยว่ามากรู้เริงใจ

กล้าเอาบิลเกตไปกดว่าทักษิณเหนือกว่า
ความจงรักภักดีนี่ไม่เข้าใครออกใครเลย

ลองอ่านดูเด่ะ
--------------------------------------

ถูกต้อง อ้ายตี๋

ทักษิณ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ กว่าจะรวยมาได้ เจ๊งไปเยอะ เจ็บไปเยอะ ไม่ได้โม้

กว่าจะร่ำรวยมาได้ ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ต้องวิ่งแลกเช็คเพื่อเอาเงินไปจ่ายเงินเดือนพนักงานในบริษัทฯ ให้ตรงเวลา
แล้วสุดท้าย พวกส้งตีงก็หาว่าทักษิณโกง ..ยึดเงินไป อ้ายบ้า !

ส่วนวิสัยทัศน์น่ะ
อ้ายบิลเกตต์ ไม่ได้ขี้ตีงทักษิณหรอก

ทักษิณเขาทำทุกอย่างมาแล้ว
แม้แต่เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลอังกฤษ ที่ปีนี้เป็นแชมป์พรีเมียร์

อ้ายบิลเกตต์ มันทำอะไร
นอกจากด้านคอมพิวเตอร์..หื๋อม์
จากคุณ : ปลายอ้อกอแขม
Posted Image Posted Image เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 16:43:30 A:110.168.135.240 X: Posted Image ถูกใจ : ผีกรุแตก


Edited by amplepoor, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:29.


#2 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:29

กล้าด่าคนอื่นว่าโง่ด้วยเว้ยเฮ้ย.....

คห.2 4 5 6 7 8 9 10
พูดได้ถูกใจครับ มันเป็นจริงอย่างนั้น

อ้ายส้งตีงบิลเกต
มันไม่ใช่นักการศึกษา
มันเป็นพ่อค้าที่บังเอิญรำรวย เพราะจับธุรกิจถูกทางเท่านั้น

อย่างอื่นมันรู้ที่ไหน
มันก็แค่เป็นคนรวยคนหนึ่งที่ทำธุรกิจเท่านั้น

แม่มมันไม่ได้มีสมองคิดเรื่องการศึกษาใดๆหรอกครับ

มันรวย เพราะ "ฟลุ๊ค" เข้าถูกช่องเท่านั้น

มันพูดเพราะจะกีดกัน "แอนดรอย"
เพราะเป็นคู่แข่งที่มาแรง มันเริ่มกลัว

ไอ้ จขทก มันปัญญาอ่อน
มันเข้าใจว่าบิลเกต คงเป็น รมต.กระทรวงศึกษาของสหรัฐ หรือไม่ก็เป็นนักวิชาการมั๊ง

มันถึงได้โง่...
จากคุณ: ปลายอ้อกอแขม Posted Image Posted Image เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 16:25:44 A:110.168.135.240 X:Posted Image


Edited by amplepoor, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:30.


#3 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:31

จึงขอเปิดกระทู้สนทนากันสักหน่อย
ว่าท่านทักษิณ เหนือกว่าบิล เกตต์ ยังงัย

เอ้า


ชาบูๆๆๆๆๆๆๆ

#4 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:32

http://www.pantip.co.../P12300722.html
ความคิดเห็นที่ 17

ค.ห. 16 น่าจะไปลองถามเสื้อแดงบางท่านที่มีความรู้สูงๆ ว่าบิลเกตต์ มันทำอะไร
นอกจากด้านคอมพิวเตอร์
มั่นใจว่าเขาจะตอบได้ และท่านจะเชื่อเขา เพราะเขาเป็นเสื้อแดงเหมือนท่าน
จากคุณ : Rovivta
เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 16:50:20 A:125.24.124.200 X:
.......................................
ทำไม แค่จะรู้ประวัติอ้ายบิลเกตต์เนี่ยะ
มันต้องมีความรู้สูงระดับปริญญาเอกเลยเหรอ

ประวัติอ้ายบิลเกตต์เนี่ยะ มันอยู่ในหลักสูตรปริญญาโท หรือปริญญาเอกเท่านั้น ?
ไม่ต้องไปถามเสื้อแดง เสื้อดำทีไหนหรอก
ถามประชาธิปัตย์อย่างคุณนี่แหละ

เล่าประวัติอ้ายบิลเกตต์ให้ผมฟังหน่อย..
แม่มมีอะไรวิเศษกว่ามนุษย์ "ทำมะดา"อย่างคุณอย่างผมบ้าง

ผมจะรอฟัง ...
จากคุณ : ปลายอ้อกอแขม Posted Image Posted Image เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 17:03:01 A:110.168.135.240 X: Posted Image


Edited by amplepoor, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:33.


#5 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:32

:lol: :lol: :lol: เรื่องนี้ ฮา จริงๆครับ

“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#6 Bookmarks

Bookmarks

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 33,617 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:33

บิลเกต ไม่ได้ส้งตีน ไอ้แม้วหรอก เพราะบิลเกต ไม่เคยทำให้ชาติขาดทุนจำนำข้าว แสนล้าน ขาดทุนจากอีลิท การ์ด 2500 ล้านบาท :D
เพราะขาดทุนแบบนี้ บิลเกต ไม่ทำ

#7 Solidus

Solidus

    เลิกเล่น

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 14,367 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:34

จึงขอเปิดกระทู้สนทนากันสักหน่อย
ว่าท่านทักษิณ เหนือกว่าบิล เกตต์ ยังงัย

เอ้า


ชาบูๆๆๆๆๆๆๆ

ท่านทักษิณติด 1 ใน 5 ผู้นำของโลกเชียวนะท่าน :lol: :lol: :lol:

[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]

ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556


#8 notcomeng

notcomeng

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,963 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:39

แหม่ ช่างกล้าและหน้าด้าน :lol: :lol: :lol:

#9 Octavarium

Octavarium

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,095 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:45

บิลเกต กับ วอเรนบัตเฟต รวยแล้วทำบุญทำทานมหาศาล ไม่เหมือนบางคนหรอกไม่รู้จักพอ

       Invoke ExitWindowsEx, EWX_SHUTDOWN | EWX_POWEROFF | EWX_FORCEIFHUNG, SHTDN_REASON_MAJOR_SYSTEM


#10 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:48

ผมว่าจะเลีย ก็เลียให้มันบันยะบันยังหน่อย
ผมว่าอวยขนาดนี้ ทักษิณคงเขินหน้าแดงเถือก

เพราะตอนบิลเกตต์มาเมืองไทย ทักษิณแทบจะกราบเขาคาเก้าอี้เลย

ลองเทียบมวยกันหน่อย

ทักษิณตั้งมูลนิธิที่เจ้งไปแล้ว

Posted Image


เกตต์และเมียตั้งมูลนิธิที่มีกองทุนใหญ่ที่สุดในโลก
http://www.gatesfoun...s/overview.aspx

#11 David_GinoLa

David_GinoLa

    สมาชิกระดับไพร่

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,561 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:50

Posted ImagePosted ImagePosted ImagePosted ImagePosted ImagePosted Image
"การเมืองต้องเป็นเรื่องการเสียสละ การเมืองคือภาระของทุกผู้การเมืองเรื่องส่วนรวมร่วมรับรู้ การเมืองต้องต่อสู้เพื่อส่วนรวม"เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

#12 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:52

ผมอยากทราบหลักๆ 3 ด้านก่อนครับ ว่าทักษิณเหนือกว่า บิลเกตส์อย่างไร

1 ด้านสติปัญญา ในฐานะที่บิล เกตส์เป็นผู้ริเริ่มและคิดค้นระบบปฏิบัติการ Windows ที่แพร่หลายทุกวันนี้ ทักษิณมีสติปัญญาเรื่องใดที่เทียบเคียง

2 ด้านความสามารถในการบริหาร ในฐานะที่บิล เกตส์เป็นผู้ก่อตั้งและบริหารบริษัท Microsoft จนมีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ทักษิณก่อตั้งและบริหารบริษัทใดให้มีมูลค่าเท่านี้บ้าง

3 ด้านสังคม ในฐานะที่บิล เกตส์มีมูลนิธิ Bill & Melinda Gates ที่มีมูลค่ามหาศาลและบริจาคเพื่อสังคมมากมาย ทักษิณได้ก่อตั้งและบริจาคเพื่อสังคมด้านไหนเท่านี้บ้าง

Edited by HiddenMan, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:53.

“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#13 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:53

ทักษิณมีทรัพย์สิน ประมาณ 600 ล้านเหรียญ
http://www.theriches...atra-net-worth/

เกตต์ มีประมาณ 61 พันล้าน
https://www.google.c...iw=1020&bih=538


หรือคิดง่ายๆ ว่าทักษิณมี 600 บาท เกตต์ มี 61,000 บาท

#14 นักเรียนตลอดชีพ

นักเรียนตลอดชีพ

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,024 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:55

บิลเกต กับ วอเรนบัตเฟต รวยแล้วทำบุญทำทานมหาศาล ไม่เหมือนบางคนหรอกไม่รู้จักพอ


เรื่องเก่งกว่ามันก็กะลา ...

เรื่องความดี ไอ้แม้วก็นรก บิลเกตก็เทวดาเลย ล่ะครับ .... :lol:

.. เห็นได้ชัด ประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำให้ได้มา ซึ่งผู้นำที่เก่ง และ ฉลาด ..

ที่นำความอยู่ดี กินดี มาให้ประชาชนได้ แล้วคุณยังจะอ้างประชาธิปไตยเสียงส่วนใหญ่ทำไม


#15 Bookmarks

Bookmarks

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 33,617 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:56

บิลเกตต์ ไม่ลอกผลงานใคร ทำด้วยตัวเองจนร่ำรวย แต่ไอ้แม้ว โด่งดังในเรื่องการลอกผลงานของคนอื่น แล้วเอามาเป็นของตัวเอง

#16 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:57

ทักษิณไปเรียนที่เมกา
ใช้คอมพิวเตอร์ที่เกตต์เป็นคนพัฒนา........ฮา

#17 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:58

กลับมาเมืองไทย

ทักษิณตั้งบริสัตว์กินชะมัดคอมพิวเตอร์
หากินกับซอฟแวร์ของบิล เกตต์.....ฮา

#18 ใจหมาอำมหิต`

ใจหมาอำมหิต`

    อำมาตย์Hard Core !!

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,449 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:58

แค่เริ่มต้นก็ต่างกันแล้ว
คนรวยประเทศประเทศ กับ คนรวยระดับโลกเอาไปเปรียบกัน

คนเอามาเปรียบก็เหมือนกับเอาแม้วมาฆ่าอ่ะ

:lol: :lol: :lol: :lol:

"ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน”

                                   "กลุ่มชาวพุทธหูรุนแรง"

 


#19 Bookmarks

Bookmarks

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 33,617 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:01

บิลเกต ไม่ได้กราบไข่ คณะรัฐประหาร เพื่อขอสัมปทาน แต่ไอ้แม้ว กราบไข่คณะรัฐประหารเพื่อขอสัมปทานแดรกรวบ

Posted Image

#20 Baboonga

Baboonga

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 579 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:02

โหย อวยซะจนลืมดูศักยภาพพ่อมันเองเลยแหะว่า พ่อมันเป็นแค่แบคทีเรียใต้ฝ่าเท้า บิลล์ เกตต์

http://th.wikipedia..../wiki/บิล_เกตส์

รวยให้เท่าบิลล์ เกตต์ ก่อน แล้วมาอวย มันน่าจะเสียหน้าน้อยกว่านี้นะเนี่ย

ปล. ปลายอกอ้อมแขน นี่ถือเป็นแดงคุณภาพเหรอครับ ถ้าคุณภาพมีแค่นี้ แสดงว่าเค้าเรียก แดงว่า ควาย ก็คงเหมาะสมดี

#21 voodoo

voodoo

    ไม่เป็นกลาง

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,202 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:02

เขาไม่ได้อยากให้คนเชื่อ :lol:
" สลิ่มที่ไม่กล้่าเปิดตัวต่อสาธารณชนเท่าไรนัก เนื่องจากไม่ได้ทำประกันอัคคีภัย "

#22 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:06

อายุ 25 เกตต์เจรจาธุรกิจกับ IBM
ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานของโลกคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน

อยากรู้ว่า คนอย่างปลายอ้อ รู้หรือไม่ว่า เกตต์หนุ่ม ไปเจอเดอะบิ๊กบลูด้วยกิจธุระอันใด

และปลายอ้อ จะบอกได้หรือไม่ ว่าตอนอายุ 25 นอกจากโกงเงินชาวบ้านแล้ว
ทักษิณทำอะไรเป็น

#23 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:10

อายุ 40 ทักษิณแพ้คดีเช็คเด้ง....ฮา
แพ้ 3 ศาล....ฮา ฮา ฮา

อันนี้เกตต์ สู้ม่ายล่าย
--------------
คำพิพากษา
ในพระประมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ที่ 149/2532 ศาลฎีกา

วันที่ 20 มกราคม 2532
ความ แพ่ง
ระหว่าง นางชม้อย เชื้อประเสริฐ โจทก์
นายสันต์ สมิตเวช จำเลยที่ 1
พันตำรวจตรีทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 2

เรื่อง ตั๋วเงิน
จำเลยที่ 2 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2529
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ เลขที่
ลงวันที่ 29 กันยายน 2525 จำนวนเงิน 1,300,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนบาทถ้วน) เป็นเช็คออกให้แก่ผู้
ถือจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง
เพื่อรับรองเป็นประกัน สำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อถึงกำหนดวันที่ลงเช็ค โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของ
โจทก์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาสยามสแควร์ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เรียกเก็บเงินจากธนาคารตาม
เช็ค ปรากฏว่า ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 โดยให้เหตุผลในใบคืนเช็คว่า
“โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คหลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย
เสีย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,300,000 บาท นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525 จนถึง
วันฟ้อง เป็นเวลา 1 ปี รวมเป็นดอกเบี้ย 97,500 บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,300,000
บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอีก 97,500 บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,300,000 บาท นับแต่
วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนเงินตามเช็คตามฟ้อง โดยเป็นหนี้เพียง
750,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไปแล้วบางส่วน โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละห้าถึงเจ็ดต่อเดือน และนำ
ดอกเบี้ยที่ค้างชำระมาทบรวมเป็นเงินต้นเป็นการไม่ชอบ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามฟ้องทั้งหมด
ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คตามฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายและได้เช็คมาโดยไม่
สุจริต ลายมือชื่อด้านหลังเช็คที่โจทก์อ้างว่าเป็นลายมือชื่อผู้ค้ำประกันการจ่ายเงินตามเช็ค
มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายให้ชัดเจนว่า โจทก์
ได้เช็คพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้ชนิดใด ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจะให้การต่อสู้อย่าง
ไรและเกี่ยวข้องกับเช็คตามฟ้องในทางใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้
สั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน
1,300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525 จนกว่าชำระ
เงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
แทนโจทก์

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทน
โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบว่า เมื่อเดือนกันยายน
2523 จำเลยที่ 2 ได้ซื้อโรงภาพยนตร์พร้อมที่ดินจากนายธรรมนนท์ สมิตเวช บิดาจำเลยที่
1 ในราคา 8,500,000 บาท แต่ระบุในสัญญาไม่ถึง 8,500,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ให้นาง
พจมาน ชินวัตร ภริยาลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อ จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ให้ความยินยอม
ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาขายที่ดิน ลงวันที่ 28 กันยายน 2523 เอกสารหมาย จ.3 ได้
ชำระราคาเป็นเงินสดบางส่วน ที่เหลือชำระเป็นเช็คหลายฉบับ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่าย ต่อมา
จำเลยที่ 1 นำเช็คที่จำเลยที่ 2 ออกให้เพื่อชำระค่าโรงภาพยนตร์และที่ดินมาชำระหนี้โจทก์ 3 ฉบับคือ
เช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน ลงวันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2524 จำนวนเงิน
1,800,000 บาท และเช็คธนาคารเดียวกัน ลงวันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2525 จำนวนเงิน
1,300,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ส่วนเช็คอีกฉบับหนึ่ง ลง
วันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2526 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท ไม่ได้ถ่ายสำเนาไว้ เมื่อเช็คตาม
สำเนาภาพถ่ายเอกสารหมายเลข จ.4 ถึงวันออกเช็ค โจทก์ได้เรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็ค
ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คเอกสารหมาย
จ.4
โจทก์จึงติดต่อให้จำเลยที่ 2 มาชำระเงินตามเช็คดังกล่าว จำเลยที่ 2 นัดให้โจทก์ไปพบที่ห้องทำ
งานของจำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจในวันที่ 16 เมษายน 2525 ครั้นถึงวันนัดโจทก์ นายนภศูล สวัสติเวทิ
น ทนายโจทก์ และจำเลยที่ 1 ไปพบจำเลยที่ 2 ที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ได้มีการเจรจากัน ในที่
สุด จำเลยที่ 2 บอกว่า จะออกเช็คให้ใหม่และขอเช็คเก่าคืน แต่ในขณะนั้นจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้
เปิดบัญชีใหม่ ขอให้จำเลยที่ 1 ออกเช็คไปก่อน โดยจำเลยที่ 2 สลักหลังเป็นประกันให้โจทก์
ยอมตกลงในวันนั้น จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คให้โจทก์ 3 ฉบับ โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังต่อ
หน้าโจทก์และนายนภศูล คือ เช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่ 29
กันยายน 2525 จำนวนเงิน 1,300,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเป็นเช็ค
ที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้ เช็คธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่ 1
ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท และเช็คธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวัน
ออกเช็ควันที่ 1 ตุลาคม 2527 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย
จ.7 และ จ.8 ตามลำดับ (โจทก์ขออนุญาตส่งสำเนาภาพถ่ายแทน เพราะต้นฉบับจะนำไปดำเนินคดีที่
ศาลจังหวัดเชียงใหม่)
ครั้นเช็คตามฟ้องถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์เรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวัน
ที่ 5 ตุลาคม 2525 โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คตามฟ้องแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉยเสีย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 2 รู้จักโจทก์ แต่ไม่เคยมีหนี้สินผูกพันกับโจทก์ และไม่เคยออก
เช็คตามฟ้องให้โจทก์ เมื่อพุทธศักราช 2523 จำเลยที่ 2 ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดินจากบิดาจำเลย
ที่ 1 ในราคาบาท ได้ชำระราคาเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน รวม 5 ฉบับ จำนวน
เงิน 1,300,000 บาท 1 ฉบับ, จำนวนเงิน 1,800,000 บาท 4 ฉบับ ลงวันออกเช็คห่างกันฉบับละ 1ปี
จำเลยที่ 2 ตกลงกับจำเลยที่ 1 ว่าไม่ให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ได้มีการนำเช็คมาแลกเงิน
สดไปจากจำเลยที่ 2 แล้วทุกฉบับ วันที่ 26 เมษายน 2525 จำเลยที่ 2 ลาป่วยไม่ไปทำงาน
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คตามฟ้องแล้วมอบให้โจทก์
เมื่อถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์นำเช็คตามฟ้องไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อ
วันที่ 5 ตุลาคม 2525 ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายถึงมูลหนี้
ตามเช็คจึงขาดสาระสำคัญไปนั้น เห็นว่า เช็คตามฟ้องเป็นเช็คออกให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ และตาม
กฎหมายถือว่าผู้ถือเป็นผู้ทรงและบุคคลผู้ลงลายมือชื่อในเช็คย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความ
ในเช็ค โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้
สลักหลัง เมื่อถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์นำเช็คตามฟ้องเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการ
จ่ายเงิน ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ แม้มิได้บรรยายถึงมูลหนี้ก็ถือได้ว่า
คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลัก
แห่งข้อหาแล้ว จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง และโจทก์
เบิกความเท็จไม่น่าเชื่อถือ จะเห็นได้จากการที่โจทก์เบิกความในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คและ
จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้องและเช็คอื่นอีก 2 ฉบับ ที่ที่ทำงานของจำเลยที่2
ที่กรมตำรวจ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525 แต่ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัด
เชียงใหม่ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นจำเลย ในข้อหากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความ
ผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โจทก์ฟ้องและเบิกความว่า จำเลย (จำเลยที่ 1 ในคดีนี้) สั่งจ่ายเช็คตาม
สำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.7 ในคดีนี้ (ซึ่งโจทก์นำสืบในคดีนี้ว่า ออกพร้อมกับเช็คตามฟ้องคดี
นี้) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 และในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญาที่จำเลย
ที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในข้อหาเบิกความเท็จ นายนภศูล ทนายโจทก์ก็ได้เบิกความว่า โจทก์กับ
นายนภศูล ไปพบจำเลยที่ 2 ที่ที่ทำงานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 จำเลยที่ 2มิได้
ไปทำงานเพราะลาป่วย มีใบลาเป็นหลักฐาน คดีจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลัก
หลังเช็คตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 ไม่เคยสั่งจ่ายเช็คให้จำเลยที่ 1 เพราะผู้ซื้อโรงภาพยนตร์และ
ที่ดินคือนางพจมาน ภริยาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น โจทก์มีตัวโจทก์และ
นายนภศูลทนายโจทก์คนเดิมมาเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และ
จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง และเช็คตามสำเนาภาพถ่ายหมาย จ.7และ
จ.8 ที่ที่ทำงานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525 ปรากฏรายละเอียดตามที่ศาลฎีกา
ยกขึ้นกล่าวในข้อนำสืบของโจทก์
ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 อ้างใบลาหยุดราชการในวันที่ 26 เมษายน 2525 เป็นพยาน เพื่อแสดงให้
ศาลเห็นว่า โจทก์เบิกความเท็จ พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและเชื่อไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2ลง
ลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง จำเลยที่ 2 อ้างอิงข้อเท็จจริงในฎีกาว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่
1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ โจทก์บรรยายฟ้องและเบิกความ
ว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 ตามสำเนาภาพถ่ายคำฟ้องและคำให้การพยาน
โจทก์ ท้ายฎีกา เอกสารหมายเลข 1 และหมายเลข 2 และนายนภศูล ทนายโจทก์คนเดิมเบิกความ
เป็นพยานโจทก์ (จำเลยที่ 2 ในคดีนี้) ในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญาว่า
โจทก์และนายนภศูลไปพบจำเลยที่ 2 ที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจเมื่อวันที่ 26เมษายน
2525 มิใช่วันที่ 16 เมษายน 2525 ตามสำเนาภาพถ่ายคำให้การพยานเอกสารท้ายฎีกาหมายเลข3
พิจารณาแล้วเห็นว่า เดิมนายนภศูลเป็นทนายโจทก์ในคดีนี้ และเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นโจทก์และเรียง
ฟ้องในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่า ในคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 2
ยื่นฎีกาแล้ว นายนภศูลในฐานะทนายโจทก์ยื่นคำร้อง ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2530 ขอถอนฟ้อง
โดยอ้างว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 ตกลงกันแล้ว จำเลยที่ 2 รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านศาล
ชั้นต้นสั่งนัดพร้อมเพื่อสอบถามเรื่องโจทก์ขอถอนฟ้อง ถึงวันนัด โจทก์และทนายคนใหม่มาศาล
แถลงว่า โจทก์ไม่เคยตกลงหรือยินยอมให้นายนภศูลถอนฟ้อง ดังที่นายนภศูลยื่นคำร้อง
ไว้ และยืนยันขอดำเนินคดีในขั้นฎีกาต่อไป
ศาลฎีกาพิเคราะห์พฤติการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว เห็นว่า คำฟ้องในคดีอาญา หมายเลขดำที่
52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ และคำเบิกความของนายนภศูลในคดีอาญา หมายเลขดำที่
24358/2527 ของศาลอาญา หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและฟังไม่ได้ดังที่จำเลย
ที่ 2 ฎีกาหรือไม่ ที่โจทก์เบิกความในคดีดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คเมื่อวันที่ 26 เมษายน2525
อาจเกิดจากความหลงถือหรือต้องเบิกความไปตามคำฟ้องก็ได้ อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 1 จะลงลายมือ
ชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 จะลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้องในวันที่ 16 หรือวันที่26
เมษายน 2525 ก็หาใช่สาระสำคัญไม่
ในปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังหรือไม่นั้น จำเลยที่ 2 ก็มิได้นำสืบปฏิเสธว่า
ลายมือชื่อผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้องมิใช่ลายมือชื่อของตน ในเรื่องของมูลหนี้นั้น จำเลยที่ 2 ก็ได้นำ
สืบว่า เมื่อพุทธศักราช 2523 จำเลยที่ 2 ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดินจากบิดาจำเลยที่ 1 ในราคา
8,500,000 บาท ชำระราคาเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน 5 ฉบับ จำนวนเงิน
1,300,000 บาท 1 ฉบับ จำนวน 1,800,000 บาท 4 ฉบับ เป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ข้อนำสืบดัง
กล่าว....กับพยานหลักฐานของโจทก์ แต่ที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คดังกล่าวมาแลกเงิน
สดไปจากจำเลยที่ 2 ทุกฉบับแล้วนั้น ข้อนำสืบข้อนี้มีแต่คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ลอยๆ เท่านั้น
ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน ด้วยเหตุผลดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ลง
ลายมือชื่อสลักหลังเช็คตามฟ้อง และเหตุที่จำเลยที่ 1 จะออกเช็คตามฟ้อง และจำเลยที่2
ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังก็เกิดจากมูลหนี้ดังที่โจทก์นำสืบ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดใช้เงิน
ตามเช็คตามฟ้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาตั้ง
ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ไว้แล้ว
จึงไม่สั่งซ้ำอีก
พิพากษายืนให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาทแทนโจทก์

องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา
นายบุญส่ง คล้ายแก้ว
นายประมาณ ชันซื่อ
นายนิเวศน์ คำผอง

Edited by amplepoor, 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:12.


#24 Et tu Brute?

Et tu Brute?

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,529 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:12

เขาไม่ได้อยากให้คนเชื่อ :lol:


มอออออ

It's us against the world


#25 คนหน้าใหม่

คนหน้าใหม่

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 332 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:15

ที่นังคุยกันอยู่ นี้ฝีมือ บิลเกตต์ หรือ ทักษิณ อะอยากรู้จัง แถไปได้แหมๆเดวโดนฉมวกนะครับ

เรื่องแถ เรื่่องตอแหล ใครที่ว่าแน่ ยังแพ้พวกเสื้อแดง

หยุด ทำร้ายประเทศไทย หยุด กฎหมายนิรโทษกรรม


#26 Bookmarks

Bookmarks

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 33,617 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:17

บิลเกต ไม่ได้ขี้ีตีงของไอ้แม้วหรอก เพราะบิลเกต สร้างคนให้เป็นอัจฉริยะ แต่ไอ้แม้ว สร้างคนให้เป็นควายได้

#27 ดราม่า

ดราม่า

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,395 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:25

บางที่ปลายฯกับhentaiสำนวนคล้ายกันมากจนผมสับสน
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ" อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”หนูดี

#28 cdma

cdma

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 20 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:27

ใครเก่งกว่าใครไม่รู้

รู้แต่ว่า

บิลเกตยอมสละทรัพย์สมบัติมหาศาลของตัวเอง ให้กับ ประเทศชาติได้

แต่ทักษิณยอมสละทรัพย์สมบัติมหาศาลของประเทศชาติ ให้กับ ตัวเองได้

#29 นายตัวเกร็ง

นายตัวเกร็ง

    Monkey Godfather Lv.3

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,901 posts

ตอบ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:53

ไม่นึกว่าจะมีคนเอาแม้วไปเปรียบมวยกับ บิล เกตส์ แหะนึกไม่ถึงจริงๆ
หวังปลายอ้อจะพิมพ์ข้อความ ตั้งกระทู้บน OS อื่นที่ไม่ใช่ Windows นะ
ถึงผมจะไม่ค่อยชอบ Microsoft กรณี Internet Explorer แต่เรื่องอื่นก็ไม่ต่อต้าน

ถ้าจะเอาวุฒิการศึกษาล่ะก็เลิกพูดเหอะรำคาญว่ะ บิล เกตส์ไม่ได้จบปริญญาก็จริง
แต่แหกตาดูมหาวิทยาลัยที่เขาลาออกมาก่อนว่าคนธรรมดาๆเข้าได้หรือเปล่า?
ฮาร์วาร์ด นะเฟ้ยไม่ใช่ เคนตักกี้สเตจ เขาลาออกไม่ใช่เขาเรียนไม่ไหวแต่เก็บความอัจฉริยะของเขาไม่ไหว
ต้องเอามาทำเป็นธุรกิจก็เท่านั้นเองคนที่จะเทียบเท่าเกตส์ ก็มีแค่สตีพ จ๊อบ และไลนัส โทลวัลด์เท่านั้นแหละ

เขียนเรื่องการเมือง : ดราม่า ,เขียนเรื่องสังคม : ดราม่า เขียนเรื่องบันเทิง : ดราม่า
แต่พอโพสเรื่องหื่น : มีความเห็นเป็นไปทางเดียวกันเสมอ >3<


#30 O2Giant

O2Giant

    โปรแกรมมั่ว

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,135 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:04

กลัวเค้าไม่รู้จัก ไลนัส

Posted Image


ไลนัส คือผู้สร้าง Linux กำลังด่าแทนบิล เกต ครับ....

เอ็งกล้าเอา 1 ใน 3 ผู้สร้าง OS ระดับโลก มาเทียบกับไอ้นักโทษหนีคดี กุมไข่ขอสัมปทาน หรอฟระ
.
.
.
.
.
.
.
.
(ล้อเล่นครับ ด่า Nvidia ครับ)

Edited by O2Mini, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:08.


#31 ปุถุชน

ปุถุชน

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 27,531 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:09

คนข้างบนนี้พูดให้ใครฟัง....
ที่นี่มี"บัตรเติมเงิน"หลายคนก็จริง
แต่ไม่ใช่"ปลายอ้อฯ"อะไรพรรค์นั้น..........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...


#32 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:11

อยากจะถามปลายอ้อแค่ว่า

ในชีวิตทักษิณนี่
มีอะไรที่เป็นนวัตกรรมแห่งมวลมนุษย์ชาติบ้าง

#33 SPDZ

SPDZ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,672 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:11

บางที่ปลายฯกับhentaiสำนวนคล้ายกันมากจนผมสับสน


แต่ผมว่าเฮนไตดูขี้อิจฉากว่านะ แกชอบแอบมาคอยซ้ำเติมใจดี เห็นใจดีดังกว่า
มนุษย์เงินเดือนจนๆที่ไม่พอใจรัฐบาลเสื้อแดงที่แสนชั่วจะทำอะไรได้มากกว่าวาดการ์ตูนระบายความคับแค้นใจhttp://webboard.seri...ยเว็บบอร์ดการ์/ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ดการ์ตูน

#34 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:27

มาคิดดูอีกที ปลายอ้อก็เหมือนพวกคลั่งดาราเนอะ
แบบที่อวยนาธาน ก็หน้ามืดตามัวแก้ต่างยกย่องอยู่นั่นแหละ
อวยแอนนี่ ก็เอาแต่เถียงแทน ยกย่องและทับถมฝ่ายตรงข้าม
ไม่เคยคิดอย่างรอบด้าน
ไม่เคยรู้ถูกรู้ผิด ดีเลว โกงหรือซื่อสัตย์

ถ้านี่เป็นพลเมืองแดงระดับชั้นคุณภาพละก้อ ไม่ต้องห่วงเลย
ไม่นานก็จะกัดลิ้นตัวเองตายเพราะปราศจากสติปัญญา
หรืออีกอย่างก็คือ อาสานายไปตายแทนอย่างโง่ๆ
ความเขลานี่ ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

โชคดีแล้วที่สรท. เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนแบบนี้

#35 O2Giant

O2Giant

    โปรแกรมมั่ว

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,135 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:33

มาคิดดูอีกที ปลายอ้อก็เหมือนพวกคลั่งดาราเนอะ
แบบที่อวยนาธาน ก็หน้ามืดตามัวแก้ต่างยกย่องอยู่นั่นแหละ
อวยแอนนี่ ก็เอาแต่เถียงแทน ยกย่องและทับถมฝ่ายตรงข้าม
ไม่เคยคิดอย่างรอบด้าน
ไม่เคยรู้ถูกรู้ผิด ดีเลว โกงหรือซื่อสัตย์

ถ้านี่เป็นพลเมืองแดงระดับชั้นคุณภาพละก้อ ไม่ต้องห่วงเลย
ไม่นานก็จะกัดลิ้นตัวเองตายเพราะปราศจากสติปัญญา
หรืออีกอย่างก็คือ อาสานายไปตายแทนอย่างโง่ๆ
ความเขลานี่ ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

โชคดีแล้วที่สรท. เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนแบบนี้


ลักษณะนี้เค้าเรียก Fanboy ครับ ผมเป็น Anti-Fanboy โดยเฉพาะพวกบูชาลัทธิ Apple อันนี้จะอัดหนักเป็นพิเศษ

#36 แมวกระป๋อง

แมวกระป๋อง

    ประชาแมวธรรมดา

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,793 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:49

บิลเกตไม่กล้าเผาเมือง
ไม่เคยจัดม็อบ
ไม่เคยจัดกองกำลังมาซุ่มยิงม็อบตัวเอง

อิโธ่ แค่บริจาคเงินเกือบทั้งหมดในชีวิตเป็นการกุศล แล้วจะมาทำเป็นคุย
สู้ท่านแม้วได้มั้ยล่ะ เงินชดเชยเสื้อแดงยังไม่ออกเองซักบาท
กากจริงๆ
เพราะผมคือประชาชนของในหลวง

#37 ดราม่า

ดราม่า

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,395 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 01:10

อยากจะถามปลายอ้อแค่ว่า

ในชีวิตทักษิณนี่
มีอะไรที่เป็นนวัตกรรมแห่งมวลมนุษย์ชาติบ้าง


ตอบแทนปลาย ... เสื้อแดงไง :lol:
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ" อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สนับสนุนกฎหมายเก็บภาษีที่ดินคนรวย สนันสนุนกฎหมายเก็บภาษีมรดก “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”หนูดี

#38 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 01:45

ลิ้นสากใช้ได้เลย :D
We love fender.

#39 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 01:52

ลิ้นสากใช้ได้เลย :D


อูยยย....เจ็บ


เอ
หรือว่าเขาปริ้นท์คำอวยโฮ่ๆ เหล่านี้ไปขึ้นเงินได้หว่า

#40 ศรอรชุน

ศรอรชุน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,103 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 02:40

อ่านความเห็นของปลายอ้อแล้ว รู้สึกว่าประเมินผิดไป

ตีค่าให้สูงไปหน่อย ...

เห็นว่าเวลาแต่งนิยายมาสีซอ เป็นที่ถูกใจพี่น้องเสื้อแดงกันจัง
ลืมนึกไปว่า ส่วนใหญ่ที่นั่นเค้าหล่อเลี้ยงชีวิตกันด้วยจินตนาการเป็นส่วนใหญ่ 555++

"ควาย" ในความหมายของผม คือ คนที่มีความคิด เล่นเน็ตเป็น แต่แยกแยะ ดี ชั่ว ถูก ผิด ไม่ได้  

              มิได้หมายถึง ชาวรากหญ้า ที่เป็นเหยื่อในสงครามทางความคิดครั้งนี้

 

"คนชั่ว" จะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา... อยากให้ถึงวรรคท้ายของคำทำนาย ไวๆ ว่ะ...


#41 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 03:25

ปลายอ้อแกเก่งขนาดบอกว่านาซ่า ตั้งมากว่าร้อยปีเชียวนะครับ
ผมก็สงสารแกนะ คือคนมันไม่มีความรู้อะไรทั้งนั้น ใช้นึกเอา

NASA ย่อมาจาก National Aeronautics and Space Administration

ตั้งขึ้นมาเพื่อสู้กับโซเวียตที่สามารถส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นสู่อวกาศในปี 1957
ประธานาธิบดีไอเซนฮาวก็เลยอยู่เฉยไม่ได้ ต้องตั้งหน่วยงานมารับผิดชอบในปี 1958

วิธีง่ายที่สุดก็คือ เปลี่ยนหน่วยงานคล้ายกันให้มีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น
ก็เลยจับ NACA National Advisory Committee for Aeronautics

มาแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่ เปลี่ยนภาระกิจจากการบินเป็นสู่อวกาศ
นาซาของเก่านั้น ก่อตั้งมาตั้งแต่ 1915 มาถึงปีนี้ก็เก้าสิบเจ็ดปี
จะตีขลุมว่านาซ่าอายุเก่าแก่ก็คงจะได้ แต่แหม 1915 น่ะ มันสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
เครื่องบินยังปีกสองชั้นอยู่เลย จะกล้าเอายานอวกาศมารวมเข้าไปเพื่ออ้างว่าเก่าแก่มันก็กระไรอยู่

ถ้าอ่านภาษาต่างด้าวออก ก็คงรู้ว่า NACA มันมัช่ายสิ่งเดียวกันดอก NASA

แต่เพื่อจะด่าปชป. ด้านแค่ใหน อ้อไม่กัว อ้อเกียดมานนน
อ้อจาก่าวหาว่ามันไล่นาซ่าออกไป

ทั้งๆ ที่นาซ่าเขาบอกสั้นๆ ชัดเจนว่า

ขอถอนตัวเพราะประเทศเจ้าภาพไม่สามารถทำตามกำหนดเวลาที่เขาต้องการได้
โธ่ถัง มัวแต่เต้นแร้งเต้นกาตามบทที่คนอื่นเขียน เขาถามง่ายๆ ว่า งานนี้ละเมิดรัฐธรรมนูญหรือเปล่า

กรรมเวร 15 ล้านเสียงไปไม่เป็นเลย

ตัวเองทำรางข้าวแตกเพราะเงอะงะ ยังไปโทษคนอื่น


รู้นะ ว่าเจ็บ....ฮา
รัฐบาลโง่ๆ มิน่าถึงมีปัญญาแค่หาแทบเล็ตให้เด็ก แม้กระนั้นยังผิดสเป๊ค
งานแค่นี้ ให้น้องๆ ที่ร้านค้าบนมาบุญครองทำให้ก้อด้ายยยย
ไม่ต้องเสียเวลาหนีผัวเข้าโรงแรมเล้ย

#42 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 03:39

เอาประวัติเกตต์ มาให้อ่าน อ่านจบก็ขอบคุณคนเขียนด้วยนะ
http://www.thaiseobo...ic=48919.0;wap2
เส้นทางชีวิตของผู้เริ่มต้นจาก O > BILL GATES & MICROSOFT

วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์
เกิดวันที่ 28 ตุลาคม 1955 ที่เมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
เขาเกิดในครอบครัวของนักกฎหมาย ชื่อจริง ๆ ของเขาคือ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่ 3 (William Henry Gates III) เกตส์มีพี่น้อง 3 คน เขาเป็นคนกลาง และเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัวที่อบอุ่นและมีอันจะกิน

เมื่อเกตส์อายุประมาณ 12 ปี เขาเรียนอยู่ในระดับ 6 (เทียบเท่าชั้นประถมปีที่ 6) เป็นช่วงเวลาที่เขากับแม่มีความขัดแย้งกันอย่างไม่น่าเชื่อ พ่อกับแม่ของเกตส์จึงตัดสินใจว่าควรจะพาเกตส์ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา หลังจากผ่านการพบกับผู้เชี่ยวชาญไปได้หนึ่งปี ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำให้พ่อและแม่ของเกตส์ควรหาทางปรับตัวให้เข้ากับเกตส์จะเป็นการดีกว่า

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1968 เกตส์เข้าเรียนในระดับ 8 ที่โรงเรียนซีแอตเติลเลคไซด์ ที่นี่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เก่า ๆ อยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งซื้อด้วยเงินบริจาคของกลุ่มผู้ปกครอง ตอนนั้นเกตส์มีอายุได้
13 ปี เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา และในอนาคตได้กลายมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์กับเขา พอล อัลเลน เรียนอยู่ในระดับ 10 อัลเลนอายุแก่กว่าเกตส์ 2 ปี แต่ทั้งสองสนใจในเรื่องเดียวกัน นั่นคือ คอมพิวเตอร์

มกราคม 1969 ทางโรงเรียนเริ่มเปิดหลักสูตรคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ทั้งเกตส์และ
อัลเลนเริ่มหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์ยังเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับทุกคนที่นั่นรวมทั้งครูผู้สอนด้วย ทั้งสองคนจึงต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง โดยการศึกษาจากคู่มือที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เท่าที่จะหาได้ พวกเขาใช้เวลาเป็นวัน ๆ หมดไปกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

หลังจากเวลาผ่านไป 6 เดือน ทางโรงเรียนได้ขอให้พ่อแม่ของเกตส์และอัลเลนช่วยจ่ายค่าเช่าเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ เพราะทั้งสองคนใช้คอมพิวเตอร์เกินเวลาที่ทางโรงเรียนกำหนดไปมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเขาทั้งสองคนจึงถูกควบคุมเวลาในการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่าง
เข้มงวด แม้ว่าจะมีอุปสรรคแต่ความสนใจในคอมพิวเตอร์ของคนทั้งสองยังไม่ได้ลดลงเลย ซึ่งในไม่ช้าพวกเขาก็ค้นพบสถานที่ที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างไม่จำกัดเวลา

โดยการที่เกตส์และอัลเลนได้เข้าไปแนะนำตัวเองและตกลงเซ็นสัญญากับทางบริษัท CCC (Computer Center Corporation) ซึ่งมีข้อตกลงว่าทั้งเกตส์และอัลเลนจะสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้มากเท่าที่เขาทั้งสองต้องการ โดยแลกเปลี่ยนกับการที่เขาทั้งสองจะต้องบอกรายละเอียดเกี่ยวกับบั๊กที่เกิดขึ้นในเครื่อง PDP-10 ให้กับทาง CCC ซึ่งทาง CCC จะได้รายงานมันให้กับทางดิจิตอลเพื่อจะได้ไม่ต้องชำระเงินค่าเครื่องคอมพิวเตอร์

ในปี 1971 อัลเลนเข้าเรียนต่อในคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ส่วนในปี 1973 เกตส์เข้าเรียนต่อทางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งในเวลานี้เขาอยู่ในช่วงที่สับสน ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ปีแรกของเกตส์ที่ฮาร์วาร์ด เขาใช้นโยบายโดดเรียนให้มากที่สุดและมาเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เมื่อใกล้ ๆ วันสอบ เขาใช้เวลาที่อยู่นอกห้องเรียนให้หมดไปกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ เพราะเขาพบว่าสิ่งที่ไพ่โป๊กเกอร์สอนเขา คือมันทำให้เขารู้ว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ แต่ละคนมีกลวิธีในการเล่นอย่างไร จากนั้นจึงนำข้อมูลดังกล่าวมาวางแผนการเล่นของตัวเองเพื่อนำไปสู่ชัยชนะในที่สุด

…บทเรียนที่เขาได้รับจากการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ในครั้งนั้น เป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเกตส์มานั่งบริหารไมโครซอฟท์…

ที่ฮาร์วาร์ด เกตส์ได้รู้จักกับสตีฟ บอลล์เมอร์ ซึ่งเป็นนักศึกษาที่เรียนเอกทางด้านคณิตศาสตร์ โดยในภายหลังได้กลายมาเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน ทั้งสองพักอยู่ในห้องพักเดียวกันที่หอพักคูเรียร์เฮาส์ โดยพื้นฐานแล้วทั้งสองมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันมาก แต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทั้งคู่พยายามโดดเรียนให้มากที่สุดและทำคะแนนให้สูงที่สุด เกตส์บอกว่าวิธีการดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ดีโดยเฉพาะในการทำธุรกิจ และเขาก็ไม่เคยนำวิธีการดังกล่าวมาใช้ในการทำงานที่ไมโครซอฟท์เลย

…หลังจากที่เกตส์สร้างไมโครซอฟท์ขึ้น บอลล์เมอร์กลายมาเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่ง ในความสำเร็จของไมโครซอฟท์จนกระทั่งปัจจุบัน…

ก่อนการก่อตั้งธุรกิจ
อัลเลนยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเกตส์อย่างสม่ำเสมอ ทั้งสองพูดคุยกันถึงโอกาสที่จะสร้างบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของตนเอง และพยายามมองหาโอกาสนั้นอย่างจริงจัง

ในปี 1974 อินเทลเปิดตัวไมโครโพรเซสเซอร์รุ่น 8080 ซึ่งมีความสามารถมากกว่ารุ่น 4004 และ 8008 ที่ผ่านมา มันทรงพลังกว่าชิปรุ่น 8008 ถึง 10 เท่า และมีขนาดใหญ่กว่าไม่มากนัก แต่บรรจุทรานซิสเตอร์เอาไว้ถึง 2,700 ตัว ครั้งนี้อินเทลเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของชิปของตนอย่างเต็มที่และต้องการที่จะขยายตลาดออกไปในวงกว้าง หลังจากที่ทั้งสองได้ศึกษาคู่มือของมันโดยละเอียด จึงได้เล็งเห็นว่าดิจิตอลไม่มีทางขายเครื่อง PDP-8 ได้อีกต่อไป เพราะถ้าชิปขนาดเล็กอย่าง 8080 มีความสามารถมากขนาดนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ก็ไม่มีทางที่จะแข่งขันได้ และพวกเขาจะต้องสร้างภาษาเบสิกสำหรับชิป 8080 ซึ่งอัลเลนเชื่อว่าจะเป็นกุญแจที่นำพวกเขาทั้งสองไปสู่
ความสำเร็จ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องรอคอยคือ เครื่องคอมพิวเตอรที่ใช้ชิป 8080 ในการทำงาน

เดือนธันวาคม 1974 สิ่งที่เขาทั้งสองกำลังรอคอยก็มาถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องปิ้งขนมปัง ชื่อว่า "อัลแตร์ 8800 (ALTAIR 8800)" ซึ่งเอ็ด โรเบิร์ต และบริษัทของเขาชื่อ
เอ็มไอทีเอสเป็นผู้สร้างขึ้นมา ทั้งเกตส์และอัลเลนรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่สำคัญมากเพียงใดและต้องทำทุกวิถีทางที่จะต้องชิงโอกาสนี้มาให้ได้ ทั้งสองพยายามติดต่อไปที่โรเบิร์ต และการเจรจาในการเอาโปรแกรมภาษาเบสิกที่ทั้งสองพัฒนาขึ้นสำหรับอัลแตร์ไปใส่ไว้ในเครื่องก็เป็นไปด้วยความราบรื่น ซึ่งอัลเลนได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมงานกับทางเอ็มไอทีเอสในตำแหน่งซอฟต์แวร์ไดเร็กเตอร์ เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ สำหรับอัลแตร์ในเดือนพฤษภาคม 1975 ซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุ 22 ปี

การก่อตั้งธุรกิจ
กำเนิดไมโครซอฟท์
เพื่อการเจรจาข้อตกลงกับเอ็มไอทีเอสได้สะดวกมากขึ้น ในเดือนกรกฎาคม 1975 เกตส์และอัลเลนได้ร่วมกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "ไมโครซอฟท์ (Microsoft)" ซึ่งหมายความถึงซอฟต์แวร์สำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ และนี่ถือเป็นจุดกำเนิดของไมโครซอฟท์

ช่วงระหว่างปีการศึกษา 1975 ถึงปี 1976 เกตส์ได้กลับไปเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด แต่ภายในใจของเขาไม่มีเรื่องของตำรากฎหมายอีกต่อไปแล้ว ใน 2-3 เดือนต่อมาเขาเดินทางกลับมาทำงานที่
เอ็มไอทีเอส และสิ่งที่เขาคิดในตอนนั้นก็คือ จะทำอย่างไรจึงจะสามารถขยายธุรกิจไมโครซอฟท์ออกไปให้ยิ่งใหญ่ได้ เพื่อที่จะทำเช่นนั้น เขาจะต้องติดต่อกับบริษัทผู้สร้างไมโครคอมพิวเตอร์รายอื่น ๆ เพื่อขายสิ่งที่เขาและอัลเลนร่วมกันสร้างขึ้นมา

ปีแรกของไมโครซอฟท์
ระหว่างที่เขายังคงรักษาสภาพการเป็นนักศึกษาที่ฮาร์วาร์ด เกตส์กลายเป็นนักพูดเกี่ยวกับไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ ขณะเดียวกันเขาได้พัฒนาทักษะใน
การดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เกตส์ค้นพบในไม่ช้าว่า ขณะที่อัลเลนยังคงทำงานอยู่ที่เอ็มไอทีเอส เขาเพียงคนเดียวจะไม่สามารถผลักดันไมโครซอฟท์ให้เดินรุดหน้าต่อไปได้ดีเท่าที่ควร เขาจึงเริ่มมองหาผู้ที่จะเข้ามาช่วยงานด้านการเขียนโปรแกรมของเขาได้

เดือนเมษายน 1976 มาร์ค แมคโดนัลด์ อดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนเลคไซด์ กลายมาเป็นพนักงานคนแรกของไมโครซอฟท์ ในเดือนต่อมา ริค เวย์แลนด์ อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเกตส์อีกเช่นเคย ได้กลายมาเป็นพนักงานคนที่สองของไมโครซอฟท์ เนื่องจากไมโครซอฟท์ยังไม่มีสำนักงาน ทั้งสองคนจึงต้องทำงานที่อพาร์ทเมนท์ของตนเอง โดยเกตส์จะเป็นผู้ตรวจสอบโปรแกรมที่ทั้งสองเขียนมาทั้งหมด

สิงหาคม 1976 เกตส์จ้างพนักงานอีก 2 คนคือ อัลเบิร์ต ชู และสตีฟ วู๊ด ถึงตอนนี้เมื่อรวมเกตส์และอัลเลน ไมโครซอฟท์จะมีพนักงานทั้งสิ้น 6 คนแล้ว และถึงเวลาที่ควรจะมีสำนักงานเป็นของตนเองเสียที โดยการเช่าสำนักงานแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอัลบูเคอร์คิวซึ่งมีห้องทั้งหมด
4 ห้อง เป็นสำนักงานแห่งแรกของไมโครซอฟท์

ฤดูใบไม้ร่วงปี 1976 ชีวิตการเป็นนักศึกษาของเกตส์ก็สิ้นสุดลง เขาพบว่าเขาไม่สามารถที่จะเรียนและบริหารไมโครซอฟท์ไปพร้อม ๆ กันได้ และเขาเลือกไมโครซอฟท์ ในเดือนพฤศจิกายน 1976 อัลเลนได้ลาออกจากเอ็มไอทีเอสเพื่อมาช่วยเกตส์ทำงานที่ไมโครซอฟท์เต็มเวลา โดยเด็กหนุ่มทั้ง 6 คนได้อุทิศเวลาให้กับการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำอย่างไม่สามารถที่จะนับเป็นชั่วโมงการทำงานได้
…บัดนี้ไมโครซอฟท์พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตซึ่งรอคอยพวกเขาอยู่…

อย่างไรก็ตามจะลืม มิเรียม ลูโบว์ เสียไม่ได้ ตอนนั้นเธออายุ 42 ปีและเป็นคุณแม่ลูก 4 เธอเป็นเลขาคนแรกของไมโครซอฟท์ที่มีหน้าที่ดูแลงานด้านเอกสารต่าง ๆ ของไมโครซอฟท์ในตอนนั้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำรายการเงินเดือน การทำบัญชี การจัดซื้อ การดูแลคำสั่งซื้อของลูกค้า ฯลฯ เธอจะคอยดูแลพนักงานของไมโครซอฟท์ทุกคนเหมือนลูก ให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างสบายที่สุด เพื่อที่จะมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิของพวกเขาได้ ซึ่งงานทั้งหมดที่ลูโบว์ทำนั้นได้กลายมาเป็นแผนกหลายแผนกของไมโครซอฟท์ในเวลาต่อมา

กลับสู่วอชิงตัน
ต้นปี 1978 ไมโครซอฟท์เปิดตัวเบสิกเวอร์ชันที่ 5 ซึ่งยังคงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ถึงสิ้นปีนั้น รายได้ของไมโครซอฟท์ขึ้นสู่ระดับล้านเหรียญสหรัฐ ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปีที่ผ่านมา มีพนักงานทั้งสิ้น 13 คน เกตส์และอัลเลนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนในการบริหาร โดยอัลเลนดูแลด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ส่วนเกตส์ดูแลทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างไมโครซอฟท์กับผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ รวมทั้งงานประจำวันในบริษัท

สิ่งที่เกตส์เป็นห่วงคือ การที่ไมโครซอฟท์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องการผู้ร่วมงานที่มีความรู้ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์มากขึ้น ซึ่งเมืองอย่างอัลบูเคอร์คิวนั้นไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาในเรื่องนี้ได้ ทำให้เกตส์และอัลเลนตัดสินใจที่จะย้ายสำนักงานกลับมาที่วอชิงตัน ซึ่งที่นี่ปรัชญาอย่างหนึ่งของไมโครซอฟท์ในการเลือกพนักงานเข้ามาร่วมงานได้เกิดขึ้น สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ

"คนที่มีใจรักและมีความสามารถเป็นพิเศษในการเขียนและพัฒนาโปรแกรม โดยไม่เห็นความจำเป็นของการมีปริญญาพ่วงท้าย คุณสมบัติต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากมหาวิทยาลัยไม่สำคัญเท่ากับความกระตือรือร้นในการทำงาน และความสามารถในการเขียนโปรแกรมของคน ๆ นั้น"

ในปี 1978 เกตส์และคนของไมโครซอฟท์ทุกคนมีความสุขอยู่กับการครอบครองตลาดโปรแกรมภาษาเครื่องสำหรับไมโครคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีคู่แข่งขัน ในตลาดไมโครคอมพิวเตอร์ขณะนั้น นอกเหนือจากมีการออกแบบสถาปัตยกรรมและระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันแล้ว ภาษาเบสิกของไมโครซอฟท์กำลังกลายเป็นมาตรฐานของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องไปเสียแล้ว

ในเดือนมีนาคม 1980 สตีฟ บอลล์เมอร์ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของเกตส์ได้เข้ามาร่วมงานกับไมโครซอฟท์ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ และกลายมาเป็นกำลังสำคัญที่สุดคนหนึ่งในช่วงเวลาต่อมา

จับมือกับไอบีเอ็มในโปรเจ็กต์ Chess
ปี 1980 ข่าวคราวความสำเร็จอย่างมหาศาลของแอปเปิ้ลในอุตสาหกรรมพีซีคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็มเริ่มหันมาให้ความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับไมโครคอมพิวเตอร์มากขึ้น ไอบีเอ็มตัดสินใจจัดตั้งทีมงานขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อดำเนินงานโปรเจ็กต์ Chess โดยเริ่มต้นศึกษาถึงความสำเร็จของแอปเปิ้ล สิ่งที่พวกเขาค้นพบมี 2 อย่างคือ แอปเปิ้ลให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และสถาปัตยกรรมของพวกเขาเป็นสถาปัตยกรรมแบบเปิด ทำให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่องติดตามมาเป็นจำนวนมากจากบริษัทต่าง ๆ

จากการศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ของแอปเปิ้ล ทำให้ทีม Chess สังเกตพบว่า ไมโครซอฟท์เป็นบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ที่รู้เรื่องของไมโครคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี และโปรแกรมเบสิกของไมโครซอฟท์ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐาน ยิ่งไปกว่านั้น รายได้ของไมโครซอฟท์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกปี ซึ่งเป็นที่ประทับใจทีมงานของไอบีเอ็มเป็นอย่างมาก

ในที่สุดไอบีเอ็มตกลงที่จะให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้พัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ สำหรับเครื่องไมโคร-คอมพิวเตอร์ ทั้งภาษาเบสิก รวมถึงฟอร์แทรน ปาสกาล และโคบอลด้วย ซึ่งในตอนแรกทางไอบีเอ็มตัดสินใจที่จะใช้ระบบปฏิบัติการ CP/M (Control Program for Microcomputer) ของดิจิตอลรีเสิร์ชที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ในตอนนั้น แต่ทางดิจิตอลรีเสิร์ชกลับไม่ให้ความสนใจซึ่งถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง ดังนั้นไอบีเอ็มจึงตกลงให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการแทน ทั้งที่เกตส์รู้ว่ามีความเสี่ยงมากเนื่องจากไอบีเอ็มมีกำหนดเส้นตายที่เข้มงวด และสงวนสิทธิ์ที่จะยกเลิกสัญญา
เมื่อไรก็ได้ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้โอกาสอย่างนี้หลุดมือไป เกตส์รู้เป็นอย่างดีว่าไมโครซอฟท์ไม่มีเวลามากพอที่จะพัฒนาระบบปฏิบัติการที่ไอบีเอ็มต้องการได้ทันกำหนดเวลา จึงทำการซื้อระบบปฏิบัติการ QDOS (Quick and Dirty Operating System) จากทิม แพตเตอร์สันในราคาเพียงแค่ 50,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อมาทำการพัฒนาต่อ

…การร่วมมือกันระหว่างไอบีเอ็มกับไมโครซอฟท์ในการพยายามพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรมนี้ จะส่งผลกระทบอันยาวไกลต่ออนาคตของทั้งสองบริษัทและต่ออุตสาหกรรมนี้ทั้งระบบ…

ตลอดช่วงระยะเวลาของการร่วมมือกัน ไมโครซอฟท์ได้ให้คำปรึกษาแก่ไอบีเอ็มในหลาย ๆ เรื่อง และการทำงานร่วมกับไอบีเอ็มได้สร้างมาตรฐานใหม่ ๆ หลายอย่างให้กับไมโครซอฟท์ เกตส์รับเอามาตรฐานการทำงานของไอบีเอ็มเข้าไว้ในมาตรฐานของไมโครซอฟท์ทีละน้อย ๆ พวกเขาค่อย ๆ เปลี่ยนมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การวางแผนโครงการ ตลอดจนมาตรฐานด้านความมั่นคงและปลอดภัย

เกตส์และทีมงานร่วมกันพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ จนกระทั่งนาทีสุดท้าย จึงเกิดเป็นดอสเวอร์ชัน 1.0 มีจำนวนบรรทัดทั้งสิ้น 4,000 บรรทัด เขียนด้วยภาษาแอสเซมบลี และใช้เนื้อที่ของหน่วยความจำทั้งสิ้น 12 กิโลไบต์ ซึ่งไอบีเอ็มก็ยอมรับเอ็มเอสดอสที่พัฒนาโดยไมโครซอฟท์เป็นระบบปฏิบัติการของเครื่องไอบีเอ็มพีซีอย่างเป็นทางการ

Edited by amplepoor, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 03:43.


#43 amplepoor

amplepoor

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,365 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 03:40

ต่อ
---------------

ชัยชนะของเอ็มเอสดอส
12 สิงหาคม 1981 ไอบีเอ็มประกาศเปิดตัวเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของพวกเขาอย่างเป็นทางการ และได้รับการต้อนรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทำให้เอ็มเอสดอสประสบความสำเร็จตามไปด้วย ซึ่งคู่แข่งรายสำคัญในตลาดระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์ในตอนนั้นยังคงเป็นดิจิตอลรีเสิร์ช หนึ่งปีหลังจากการวางตลาดของไอบีเอ็มพีซี จำนวนของผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่หันมาใช้
เอ็มเอสดอส เป็นระบบปฏิบัติการมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในขณะเดียวกันไมโครซอฟท์ก็ได้ปรับปรุงเอ็ม-เอสดอสให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้นตามลำดับ

แต่ชัยชนะที่เห็นได้ชัดเจนของเอ็มเอสดอสเกิดขึ้นในปี 1983 เมื่อโลตัสได้เปิดตัวโปรแกรม
โลตัส 1-2-3 ซึ่งทำงานบนเอ็มเอสดอสออกมาและได้รับความสำเร็จอย่างล้นหลาม จึงส่งผลทำให้เอ็มเอสดอสได้รับการยอมรับว่า เป็นมาตรฐานของระบบปฏิบัติการของเครื่องพีซี

…นับแต่นั้นมา ก็เข้าสู่ยุคของไมโครซอฟท์ ยักษ์ใหญ่ในวงการซอฟต์แวร์…

ความล้มเหลวของไมโครซอฟท์
ในขณะที่ไมโครซอฟท์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จของโปรแกรม VisiCalc ของ
แอปเปิ้ล ทำให้เกตส์และอัลเลนตัดสินใจว่า พวกเขาควรจะขยายงานของไมโครซอฟท์เข้าไปในตลาดเกี่ยวกับโปรแกรมสำเร็จรูปต่าง ๆ แทนที่จะมัวพัฒนาแต่เพียงโปรแกรมภาษาเครื่องแต่เพียงอย่างเดียว โดยพวกเขาเลือกที่จะพัฒนาโปรแกรมทางด้านสเปรดชีตเป็นอย่างแรก

การวางแผนในการพัฒนาแอพพลิเคชันทางด้านสเปรดชีตของไมโครซอฟท์ที่จะเอาชนะ
วิสิแคลให้ได้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในตลาดของสเปรดชีต ไมโครซอฟท์เป็นคนที่มาทีหลัง ดังนั้นสิ่งที่เกตส์คิดคือ สิ่งที่พวกเขาทำต้องดีกว่าและมีความแตกต่างมากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิมในตลาด และอีกช่องทางที่เขาจะสามารถชนะคู่แข่งได้คือ โปรแกรมของไมโครซอฟท์จะต้องสามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของทุกบริษัทและทุกระบบปฏิบัติการ นอกจากนั้นเกตส์ตัดสินใจที่จะใช้
ภาษาซีในการเขียนเนื่องจากมันเป็นภาษาระดับสูง ทำให้สามารถเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ได้มากขึ้น ด้วยยุทธศาสตร์ดังกล่าว เกตส์เชื่อว่าเขาจะสามารถเอาชนะคู่แข่งในตลาดได้

โปรแกรมดังกล่าวชื่อว่า "มัลติแพลน" ซึ่งเกตส์ยินยอมทำตามที่ไอบีเอ็มต้องการเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้ นั่นคือต้องสามารถทำงานโดยใช้หน่วยความจำน้อยกว่า 64K ซึ่งทำให้โปรแกรมเมอร์ของไมโครซอฟท์ที่ดูแลโครงการนี้อยู่ต้องทำงานซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคาดหมาย และกลายมาเป็นข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงในเวลาต่อมา

มัลติแพลนได้รับการต้อนรับจากผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก แต่ยอดการจำหน่ายก็ยังคงสู้
วิสิแคลไม่ได้อยู่ดี เดือนมกราคม 1983 ยอดขายรวมของวิสิแคลขึ้นไปถึง 500,000 ชุด แต่เกิดความ-ขัดแย้งกันขึ้นภายในเสียก่อน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับมัลติแพลนของไมโครซอฟท์ แต่ผู้ที่มาหยิบชิ้นปลามันไปกินในครั้งนี้กลับเป็นโลตัส 1-2-3

โลตัส 1-2-3 เปิดตัวครั้งแรกในงานคอมเด็กซ์ ที่ลาสเวกัสในเดือนพฤศจิกายน 1982 ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างมากจากบรรดานักธุรกิจ โดยภายในเวลาเพียงแค่ 2-3 วันหลังจากการเปิดตัว ก็มีคำสั่งซื้อโลตัส 1-2-3 เข้ามานับล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือนนับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรก โลตัส 1-2-3 ก็สามารถแซงวิสิแคลขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโปรแกรมทางด้านสเปรดชีต และไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรที่สามารถหยุดมันเอาไว้ได้

เดือนกุมภาพันธ์ 1984 ไมโครซอฟท์นำมัลติแพลนเวอร์ชัน 1.1 ออกสู่ตลาด มัลติแพลนเวอร์ชันดังกล่าวสามารถทำงานกับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้เกือบทุกระบบ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทาง
โลตัส 1-2-3 ไม่สามารถทำได้ และทำให้ผู้ผลิตเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์หลายแห่งนำมัลติแพลนออกจำหน่ายให้กับลูกค้าที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ไปจากตน อย่างไรก็ตามการที่โลตัส 1-2-3 เขียนขึ้นมาเพื่อให้สามารถใช้งานกับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มรวมทั้งเครื่องที่เลียนแบบ ทำให้มันได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม ถึงสิ้นปี 1984 โลตัสกลายมาเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่มีรายได้เป็นอันดับหนึ่ง โดยมีรายได้รวมกันถึง 157 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไมโครซอฟท์มีรายได้เพียง 125 ล้านเหรียญสหรัฐ

กำเนิดไมโครซอฟท์เอ็กเซล
เกตส์ตัดสินใจว่าไมโครซอฟท์ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเอาชนะโลตัส 1-2-3 ในที่ประชุมเกตส์บอกกับทุกคนว่าความเร็วในการคำนวณเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากที่สุด บางคนเสนอว่าโปรแกรมที่สร้างขึ้นใหม่ควรที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างสูตรในการคำนวณด้วยตนเองได้ ขณะที่บางคนบอกว่าควรสร้างโปรแกรมที่ออกมาในรูปของกราฟิกยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ เหมือนกับ
แมคอินทอชของแอปเปิ้ล หรือวินโดวส์ที่ไมโครซอฟท์กำลังพัฒนาอยู่

นอกจากนี้เกตส์ยังอยากจะให้คนที่ทำหน้าที่ทางด้านการตลาดเป็นผู้ที่เข้ามาดูแลในเรื่องข้อกำหนดกฏเกณฑ์สำหรับซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า "เอ็กเซล" ตัวนี้ด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่แตกต่างไปจากการพัฒนาซอฟต์แวร์โดยปกติ เหตุผลก็คือเกตส์เชื่อว่า คนที่ทำหน้าที่ทางการตลาดจะมีความใกล้ชิดและทราบความต้องการของผู้ใช้งานมากกว่า

เนื่องจากบรรดาธุรกิจส่วนใหญ่ของอเมริกายอมรับเอาโลตัส 1-2-3 เป็นมาตรฐานของโปรแกรมประเภทนี้ไปแล้ว ทีมการตลาดของไมโครซอฟท์จึงเชื่อว่า เป็นการยากที่จะเอาชนะโลตัส 1-2-3 ในตลาดไมโครคอมพิวเตอร์ และตลาดเดียวที่ไมโครซอฟท์จะยังสามารถเอาชนะโลตัส 1-2-3 ในโปรแกรมประเภทสเปรดชีตได้คือ ตลาดของแมคอินทอช

ในทัศนะของเกตส์เอง การนำเอ็กเซลเข้าบุกตลาดเครื่องแมคอินทอชเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เหตุผลแรกคือเกตส์เชื่อว่า อนาคตของโปรแกรมต่าง ๆ จะต้องเป็นโปรแกรมประเภทกราฟิกยูสเซอร์อินเทอร์เฟซเท่านั้น การพัฒนาเอ็กเซลสำหรับทำงานบนวินโดวส์ที่ไมโครซอฟท์กำลังพัฒนาอยู่อาจจะยังไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะวินโดวส์ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้เอ็กเซลทำงานได้อย่างเต็มที่ และการที่ไมโครซอฟท์พัฒนาเอ็กเซลสำหรับเครื่องแมคอินทอชก่อน จะทำให้ได้รับประสบการณ์จากการทำงานและนำมาใช้ในการพัฒนาโปรแกรมสำหรับวินโดวส์ของตนเอง

สำหรับเหตุผลที่สองนั้น เกตส์ทราบข่าวมาว่า แอปเปิ้ลจะนำเครื่องแมคอินทอชที่มีหน่วยความจำ 512K เข้าสู่ตลาด ซึ่งจะทำให้เอ็กเซลสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

ในขณะเดียวกันโลตัสก็ได้เตรียมการพัฒนาโปรแกรมโลตัส 1-2-3 และโปรแกรมอื่น ๆ สำหรับเครื่องแมคอินทอชเช่นเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่า "Jazz" ซึ่งพวกเขาจะสร้างให้แจ๊ซมีทั้งโปรแกรมทางด้านดาต้าเบส, สเปรดชีต, กราฟิก, เวิร์ด และการติดต่อสื่อสาร

ในตอนแรกแมคอินทอชต้องการจะใช้แต่แจ๊ซของโลตัสเท่านั้น แต่ทว่าในเดือนมีนาคม 1985 โลตัสออกมาประกาศเลื่อนกำหนดการในการวางตลาดของแจ๊ซออกไปอีก 2 เดือน ทำให้ความสนใจในแจ๊ซของคนทั่วไปลดลงอย่างช่วยไม่ได้ และนี่เป็นครั้งแรกที่โลตัสออกมาประกาศการเลื่อนกำหนดการวางตลาดผลิตภัณฑ์ของตนเอง ความล่าช้าดังกล่าวทำให้แมคอินทอชหันกลับมาให้ความสนใจกับเอ็กเซลแทน ซึ่งได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการตัดหน้าแจ๊ซเพียงแค่ 3 สัปดาห์

นอกจากนี้ เมื่อแจ๊ซออกวางตลาดจริง ๆ มันถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้งานจำนวนมาก สาเหตุใหญ่ ๆ ก็คือ
1. การขาดคุณสมบัติเรื่องมาโคร การขาดคุณสมบัติในเรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับคนจำนวนมาก เพราะมาโครเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความสำเร็จให้กับโลตัส 1-2-3
2. สามารถอ่านงานที่เป็นสเปรดชีตในรูปแบบของโลตัสได้ แต่ไม่สามารถสร้างงานที่เป็นสเปรดชีตในรูปแบบของโลตัสได้ เอ็กเซลกลายเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการที่จะนำงานที่ทำด้วยโลตัส 1-2-3 มาทำต่อบนแมคอินทอช
3. การทำงานช้ามาก นี่เป็นอีกเรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะการที่โลตัส 1-2-3 ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่ถูกใจของคนจำนวนมาก

ด้วยความสำเร็จของเอ็กเซลทำให้ไมโครซอฟท์กลายเป็นอันดับหนึ่งสำหรับผู้พัฒนา
แอพพลิเคชันที่ใช้งานทางธุรกิจ และทำให้พวกเขาสามารถเขี่ยโลตัสออกจากโลกของแมคอินทอชได้อย่างเด็ดขาด

…บทเรียนหนึ่งที่เกตส์ได้เรียนรู้จากชัยชนะในครั้งนี้ก็คือ ไมโครซอฟท์มีความเข้มแข็งมากในเรื่องของกราฟิกยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ จากจุดนั้น เส้นทางแห่งการไปสู่ชัยชนะในตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีก็ได้ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว…

แม้ว่าโลตัสจะพ่ายแพ้แก่ไมโครซอฟท์ในตลาดเครื่องแมคอินทอช แต่โลตัสก็ยังคงครองความเป็นอันดับหนึ่งในตลาดซอฟต์แวร์อยู่ดี แต่นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าไมโครซอฟท์ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า และน่าจะสามารถแซงหน้าโลตัสขึ้นไปได้ เนื่องจากไมโครซอฟท์มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่า และผลิตภัณฑ์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีคุณภาพที่ดี ขณะที่โลตัสมีผลิตภัณฑ์ที่เด่น ๆ อยู่เพียงตัวเดียวคือ โลตัส 1-2-3 ซึ่งทำรายได้ให้กับโลตัสถึง 60% ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่เอ็กเซลทำรายได้ให้แก่ไมโครซอฟท์เพียงแค่ 8% เท่านั้น

หลังจากการพัฒนาเอ็กเซลสำหรับแมคอินทอชเสร็จสิ้นลง การพัฒนาเอ็กเซลสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีก็เป็นเป้าหมายต่อไป ซึ่งมันเป็นงานที่ยากกว่าเนื่องจากวินโดวส์มีความซับซ้อนมากกว่าแอปเปิ้ล และในวันที่ 6 ตุลาคม 1987 เอ็กเซลสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีก็ได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้ใช้งานในระดับธุรกิจ

เกตส์บอกว่า เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้กราฟิกยูสเซอร์อินเทอร์เฟซ และความเข้มแข็งของโลตัสในตลาดสเปรดชีต อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนของพวกเขาเอง ผู้ใช้งานที่ชอบใช้โลตัส 1-2-3 อาจจะไม่ต้องการให้โลตัสมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เทคโนโลยีโดยรวมกำลังเปลี่ยนแปลง นั่นแปลว่าเอ็กเซลมีโอกาสมากที่จะได้รับชัยชนะในการแข่งขัน

นอกจากนี้การที่ไมโครซอฟท์สามารถวางตลาดทั้งวินโดวส์และเอ็กเซลได้พร้อม ๆ กัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการตลาดอย่างใหญ่หลวง เวอร์ชันใหม่ของวินโดวส์สามารถสนับสนุน
การทำงานของเอ็กเซลได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะเดียวกันเอ็กเซลก็แสดงให้เห็นว่าวินโดวส์เวอร์ชันใหม่เป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับการทำงานของเอ็กเซล

และอีกเช่นเคย โลตัสออกมาประกาศเลื่อนการวางตลาดของโลตัส 1-2-3/3 ออกไปอีกรวม
2 ครั้ง ทำให้ความเชื่อถือของโลตัสลดน้อยลงไป ประกอบกับการลงทุนในการโฆษณาอย่างมหาศาลของไมโครซอฟท์ ทำให้เอ็กเซลได้รับความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ที่ องค์กรทั้งของรัฐและ
เอกชนหันมาใช้เอ็กเซลมากขึ้นตามลำดับ

เดือนมิถุนายน 1989 โลตัสได้นำโลตัส 1-2-3/3 ออกสู่ตลาดได้ในที่สุด แต่ก็สายเกินไปแล้ว ซึ่งในไม่กี่ปีหลังจากนั้น เอ็กเซลของไมโครซอฟท์ก็เอาชนะโลตัสได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะหลังจากการวางตลาดของวินโดวส์ 95 โลตัสก็ไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ในตลาดอีกต่อไป จนกระทั่งถูกไอบีเอ็มเข้ามาเทคโอเวอร์ไปในที่สุด

กำเนิดไมโครซอฟท์เวิร์ด
ในปี 1983 ตลาดซอฟต์แวร์ถูกผูกขาดโดยบริษัทขนาดใหญ่ 4 แห่งคือ วิสิคอร์ป, ไมโครซอฟท์, ดิจิตอลรีเสิร์ช และไมโครโปร แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก โลตัสก็ก้าวเข้ามาเป็นอีกบริษัทหนึ่ง และถือเป็น 5 เสือแห่งวงการซอฟต์แวร์ในเวลานั้น

โปรแกรมเวิร์ดสตาร์ของไมโครโปรออกสู่ตลาดในช่วงกลางปี 1979 และก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดในโปรแกรมประเภทนี้ได้อย่างง่ายดาย ตอนนั้นเวิร์ดสตาร์ทำงานกับระบบปฏิบัติการ CP/M ได้เป็นอย่างดี และช่วยทำให้ CP/M ขายดีอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่อไอบีเอ็มเปิดตัวพีซีคอมพิวเตอร์ของ
ตนเองออกมา ไมโครโปรก็พัฒนาเวิร์ดสตาร์สำหรับพีซีคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มทันที อย่างไรก็ตามเวิร์ดสตาร์ยังคงมีจุดอ่อนบางอย่าง มันเป็นโปรแกรมที่ซับซ้อนซึ่งบางครั้งทำให้การใช้งานมันยุ่งยากพอสมควร

ในขณะที่ไมโครซอฟท์มองเห็นความสำเร็จของเวิร์ดสตาร์ พวกเขาก็ได้ทำการศึกษา
ความเห็นของผู้ใช้งานและจุดอ่อนต่าง ๆ ของเวิร์ดสตาร์ด้วย ในที่สุดเกตส์ตัดสินใจที่จะพัฒนาโปรแกรมเวิร์ดโพรเซสซิงของไมโครซอฟท์เองชื่อว่า "ไมโครซอฟท์เวิร์ด" ขณะที่เวิร์ดสตาร์ใช้ภาษาแอสเซมบลี ไมโครซอฟท์เวิร์ดจะใช้ภาษาซีในการพัฒนา มันมีอินเทอร์เฟซที่คล้ายคลึงกับมัลติแพลน และมีคำสั่งหลายคำสั่งที่เหมือนกับมัลติแพลน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ มันทำงานบนดอส นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ได้กับเครื่องพรินเตอร์เกือบทุกชนิด และสามารถอ่านไฟล์ที่สร้างด้วยโปรแกรมเวิร์ดสตาร์ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลในการเปลี่ยนมาใช้ไมโครซอฟท์เวิร์ด

ไมโครซอฟท์เวิร์ดออกวางตลาดอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1983 โดยมี
จุดมุ่งหมายที่จะแข่งขันกับการผูกขาดของเวิร์ดสตาร์ แม้ว่าการตอบสนองของตลาดในครั้งแรกดูจะเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ยังต่ำกว่าที่ฝ่ายการตลาดคาดหวังเอาไว้ ดูเหมือนผู้ใช้งานยังไม่ตัดสินใจอะไรลงไป และยังคงรอดูอยู่ว่าไมโครซอฟท์เวิร์ดจะดีจริงหรือไม่

จากการสำรวจการใช้งานโปรแกรมด้านเวิร์ดโพรเซสซิงทั่วโลกในช่วงต้นปี 1985 ระบุว่าไมโครซอฟท์เวิร์ดไม่ติดแม้กระทั่งอันดับ 1 ใน 10 โดยที่เวิร์ดสตาร์ยังคงครองความเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 24% แม้ว่าไมโครซอฟท์เวิร์ดจะยังคงไม่สามารถขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดได้ แต่การพัฒนาออกมาสู่ตลาดถึง 2 เวอร์ชันก็เป็นการปูรากฐานที่สำคัญในการก้าวไปสู่ผู้นำในอนาคตของโปรแกรมตัวนี้

อีกครั้งหนึ่งที่มีผู้แอบแซงหน้าไมโครซอฟท์ไปสู่ความสำเร็จ เวิร์ดเพอร์เฟ็กต์นำโปรแกรมของตนเองออกสู่ตลาดอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีการโหมโปรโมท ไม่มีการแจกฟรี เหมือนอย่างที่ไมโครซอฟท์ทำ เกือบจะไม่มีกิจกรรมอะไรเลย อาวุธที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือ การบริการ
การบริการ และการบริการเท่านั้น ไมโครซอฟท์ไม่เคยมีแผนการในการตั้งรับวิธีการดังกล่าวของ
คู่แข่งมาก่อน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจต่อการพ่ายแพ้ของพวกเขา

เวิร์ดเพอร์เฟ็กต์สามารถขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ของโปรแกรมประเภทเวิร์ดโพรเซสซิง และเป็นที่ 2 ของตลาดซอฟต์แวร์ทั้งหมด โดยเป็นรองเพียงแค่โลตัส 1-2-3 เท่านั้น ความสำเร็จของพวกเขามาจากการบอกกันปากต่อปาก และการให้บริการอย่างดีเยี่ยม ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว เวิร์ดเพอร์เฟ็กต์ก็ได้สร้างความสำเร็จที่น่าตื่นตะลึงให้กับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ทั้งอุตสาหกรรม

แม้ว่าไมโครซอฟท์เวิร์ดทั้งสองเวอร์ชันที่ผ่านมาจะประสบความสำเร็จไม่มากนัก แต่เกตส์เป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้กับอะไรง่าย ๆ เดือนเมษายน 1986 ไมโครซอฟท์เวิร์ด 3.0 ถูกนำออกสู่ตลาด ปัญหาหลาย ๆ อย่างที่พบในเวอร์ชันที่ผ่านมาได้รับการแก้ไข คราวนี้ได้รับการต้อนรับจากผู้ใช้งานเป็นอย่างดี ภายในปีเดียวกันนั้นเอง ไมโครซอฟท์เวิร์ดได้กลายมาเป็นโปรแกรมที่ขายดีที่สุดของไมโครซอฟท์ และอยู่ในอันดับที่ 5 ของโปรแกรมสำหรับพีซีคอมพิวเตอร์ที่ขายดีที่สุด นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังได้สร้างไมโครซอฟท์เวิร์ดสำหรับเครื่องแมคอินทอชด้วย

ในปี 1990 ไมโครซอฟท์ก็ได้รับความสำเร็จในโปรแกรมด้านแอพพลิเคชันมากขึ้น พวกเขานำเอาแอพพลิเคชันต่าง ๆ ที่ใช้งานในองค์กรธุรกิจมารวมไว้เป็นชุดเดียวกัน และเรียกชื่อมันใหม่ว่า
"ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ" ซึ่งในชุดออฟฟิศดังกล่าวจะประกอบไปด้วย ไมโครซอฟท์เวิร์ด ไมโครซอฟท์เอ็กเซล ไมโครซอฟท์เพาเวอร์พอยต์ และไมโครซอฟท์เอ็กเซส

…องค์กรต่าง ๆ ให้การยอมรับโปรแกรมในชุดออฟฟิศของไมโครซอฟท์เป็นอย่างดี และไมโครซอฟท์ก็ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดแอพพลิเคชันสำหรับองค์กรธุรกิจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา…

ความช่วยเหลือจากไอบีเอ็ม
นับตั้งแต่ปี 1980 ที่ไมโครซอฟท์เริ่มต้นการร่วมมือกับไอบีเอ็มในการสร้างระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ที่เรารู้จักกันในชื่อของ เอ็มเอสดอส (MS-DOS) เป็นต้นมา
ความสัมพันธ์ระหว่างไมโครซอฟท์กับไอบีเอ็มได้พัฒนาเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากไอบีเอ็ม ทำให้เกตส์และไมโครซอฟท์ประสบกับความสำเร็จอย่างที่พวกเขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

เมื่อไอบีเอ็มเริ่มนำพีซีคอมพิวเตอร์ของตนเองออกสู่ตลาด มีระบบปฏิบัติการอยู่ 3 ตัวที่ไอบีเอ็มเสนอให้ลูกค้าเลือกใช้งาน นั่นคือ พีซีดอสของไมโครซอฟท์ CP/M-86 และ UCSD PASCAL P-SYSTEM ซึ่งเกตส์และอัลเลนมีความคิดที่เหมือนกันในความต้องการที่จะผลักดันให้ระบบปฏิบัติ-การของพวกเขากลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม นั่นหมายความว่า จะต้องมียอดจำหน่ายสูงที่สุด และทิ้งคู่แข่งรายอื่น ๆ จนผู้ใช้งานสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีวิธีการอยู่ 3 ที่จะทำให้ไมโครซอฟท์ไปถึงจุดดังกล่าว นั่นคือ
1. ทำให้เอ็มเอสดอสเป็นระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดสำหรับพีซีคอมพิวเตอร์ เรื่องนี้เกตส์และอัลเลนไม่เป็นห่วง เพราะทั้งสองเชื่อว่าไมโครซอฟท์มีทีมงานที่ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับอีก 2 บริษัทที่เหลือ
2. เอ็มเอสดอสจะต้องเป็นระบบปฏิบัติการที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดาคู่แข่งทั้งสามราย เกตส์ยื่นข้อเสนอที่ไอบีเอ็มไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้ โดยให้ไอบีเอ็มจ่ายเงินแก่ไมโครซอฟท์เพียงครั้งเดียว และไอบีเอ็มก็จะได้รับสิทธิ์ที่จะใช้เอ็มเอสดอสกับพีซีคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ไอบีเอ็มขายได้
3. กระตุ้นให้บริษัทผู้ผลิตซอฟท์แวร์รายอื่น ๆ พัฒนาโปรแกรมที่ใช้เอ็มเอสดอสเป็นพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้พีซีคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มกลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมด้วย

เป้าหมายที่เกตส์ต้องการไม่ได้อยู่ที่รายได้ที่ได้รับจากไอบีเอ็ม แต่การที่ไอบีเอ็มผลักดัน
สินค้าของไมโครซอฟท์อย่างเต็มที่ จะทำให้เอ็มเอสดอสกลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม และไมโครซอฟท์จะมีรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำจากการขายลิขสิทธิ์ในการใช้งานระบบปฏิบัติการให้แก่ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์รายอื่น ๆ

ความขัดแย้งกับไอบีเอ็ม
หลังจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของไอบีเอ็มในการหยุดการพัฒนาพีซีคอมพิวเตอร์ เนื่องจากกลัวว่ามันจะทำลายตลาดเมนเฟรมที่ไอบีเอ็มครองอยู่มาเป็นเวลานาน ทำให้โอกาสตกไปเป็นของบริษัทที่ตั้งใหม่ชื่อ "คอมแพคคอมพิวเตอร์"

ในช่วงปี 1984 ไอบีเอ็มได้เตรียมการที่จะกลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้ง และต้องการให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการสำหรับพีซีคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการพัฒนาและออกแบบใหม่ ระบบปฏิบัติการดังกล่าวมีชื่อว่า OS/2 ซึ่งเกตส์เองรู้สึกไม่ค่อยชอบใจในข้อตกลงที่ว่า ไอบีเอ็มมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาควบคุมมาตรฐานในการพัฒนาระบบปฏิบัติการอย่างใกล้ชิดเท่าไรนัก

ในระหว่างการพัฒนา OS/2 ร่วมกับไอบีเอ็ม ไมโครซอฟท์ก็ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของตนเองควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเกตส์หวังว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ไอบีเอ็มนำวินโดวส์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ OS/2 ด้วย เกตส์บอกกับคนของไอบีเอ็มอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาเชื่อว่า OS/2 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ยอดเยี่ยมและสามารถใช้งานได้ดีในอนาคตเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีได้รับการพัฒนาไปมากกว่านี้ แต่สำหรับวันนี้เขาเชื่อว่าวินโดวส์ 3.0 น่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า และสามารถเจาะตลาดได้รวดเร็วและดีกว่า OS/2 ของไอบีเอ็มแน่นอน แต่คนของไอบีเอ็มไม่ยอมรับต่อการสบประมาทดังกล่าว การเจรจาล้มเหลวลง และไมโครซอฟท์หันไปทุ่มเทให้กับวินโดวส์ 3.0 ของตนเองอย่างเต็มที่

ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่า OS/2 ของไอบีเอ็มจะกลายเป็นเพียงแค่อดีตไปเสียแล้ว ในทางตรงกันข้าม วินโดวส์ได้กลายมาเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีส่วนแบ่ง
การตลาดมากกว่า 80%

…นับแต่ปี 1992 เป็นต้นมา ไม่มีการร่วมมือใด ๆ ระหว่างไมโครซอฟท์และไอบีเอ็มเกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ไม่มีการปะทะกันตรง ๆ เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน…

ไมโครซอฟท์ก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชน
วิธีการหนึ่งที่ไมโครซอฟท์ใช้ในการดึงดูดให้พนักงานที่มีความสามารถทำงานอยู่กับบริษัท คือการมอบสิทธิในการซื้อหุ้นของบริษัทให้กับพนักงาน วิธีการดังกล่าวช่วยให้พนักงานมีความรู้สึกมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งทำให้พวกเขาทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการทำงานและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ออกมา นอกจากนั้นวิธีการดังกล่าวยังเป็นการป้องกันการถูกดึงตัวพนักงานจากบริษัทอื่น ๆ อีกด้วย

ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์พยายามจัดการกับปัญหาการลาออกของพนักงานด้วยการใช้หุ้นของบริษัทมาเป็นแรงจูงใจ ถ้าไมโครซอฟท์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อใด พนักงานจำนวนหนึ่งจะเอาหุ้นของตนเองออกขายทันที และอาจจะลาออกจากบริษัทไป ซึ่งจะทำให้ไมโครซอฟท์มีปัญหาในเรื่องพนักงานตามมา อย่างไรก็ตามเกตส์ตัดสินใจที่จะให้มีการสำรวจในเรื่องต่าง ๆ อย่างจริงจัง และนำผลการสำรวจมาใช้ในการตัดสินใจ

13 มีนาคม 1986 หุ้นของไมโครซอฟท์เข้าทำการซื้อขายด้วยราคาเริ่มแรกที่ 25.75 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น และปิดตลาดในวันนั้นด้วยราคา 27.75 เหรียญสหรัฐ มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 2.5 ล้านหุ้น เป็นเงินประมาณ 661 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นการประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

เดือนมีนาคม 1987 เมื่อราคาหุ้นของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 84.75 เหรียญสหรัฐ เกตส์ก็กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านด้วยวัยเพียงแค่ 31 ปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นมหาเศรษฐีที่หนุ่มที่สุด

…นับตั้งแต่เกตส์และอัลเลน ร่วมกันก่อตั้งไมโครซอฟท์ขึ้นในปี 1975 ไมโครซอฟท์เติบโตจากบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เล็ก ๆ ขึ้นมาเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของโลก เกตส์กลายมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ขณะที่ไมโครซอฟท์กลายมาเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการคอมพิวเตอร์…

Edited by amplepoor, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 03:42.


#44 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:51

ทักษิณมีทรัพย์สิน ประมาณ 600 ล้านเหรียญ
http://www.theriches...atra-net-worth/

เกตต์ มีประมาณ 61 พันล้าน
https://www.google.c...iw=1020&bih=538


หรือคิดง่ายๆ ว่าทักษิณมี 600 บาท เกตต์ มี 61,000 บาท


แค่บิลเกตจำเป็นต้องซุกเงินไว้ที่คนขับรถ 1%
คนขับรถของบิลเกตจะรวยกว่าไอ้แม้วทันที ฮ่าๆๆ

Edited by phoosana, 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:54.

We love fender.

#45 Ricebeanoil

Ricebeanoil

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,320 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:57

คนละชั้นกันครับเทียบกันไม่ได้
ทักษิญเค้าติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกมาแล้ว เรื่องความเลว
บิลเกตอย่าคิดเทียบชั้นซะให้ยากเลย เรื่องแบบนี้มัน born to be ครับ ไม่เลวจริงไม่ได้อันดับขนาดนั้นนะเนี่ย
เถียงกับความจริง เถียงให้ตายก็ไม่มีทางชนะ

#46 metaleka

metaleka

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,655 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:00


ภาษามวยถ้าเทียบ ปอนด์ต่อปอนด์




ความระยำ ขี้โกง




อ้ายบิลเกตต์ ไม่ได้ขี้ตีงทักษิณหรอก


#47 สิงห์สนามซ้อม

สิงห์สนามซ้อม

    คนดีไม่กลัวการตรวจสอบ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,757 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:34

หรือจะบอกว่าบริษัททักกี้เขียน OS เอง ไม่ง้อบิลเกตต์ :lol:

" ประกาศบอยคอต ช่อง 3 ไม่ว่าจะข่าว ละคร หรือการ์ตูนลูก  กรูไม่ดู !!! "


#48 Apichai

Apichai

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,093 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:55

อยากจะถามปลายอ้อแค่ว่า

ในชีวิตทักษิณนี่
มีอะไรที่เป็นนวัตกรรมแห่งมวลมนุษย์ชาติบ้าง


"บกพร่องโดยสุจริต"

#49 Bourne

Bourne

    สายลับ ๆ ล่อ ๆ หัดเกรียน

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,471 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:06

ถ้าเป็นเรื่องชั่ว ๆ หรือเรื่องเควี่ย ๆ ผมก็เห็นด้วยกับ ปลายดอฯ นะครับว่า Bill Gates คงไม่ได้ขี้ตีงไอ่เหลี่ยมหรอก
ภาระกิจหลักของผมบนบอร์ดเสรีไทย คือ ด่าควายครับ เรื่องคิดต่างผมรับได้ แต่เรื่องคิดชั่วผมรับไม่ไหวครัช

#50 ต้นหอม

ต้นหอม

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,472 posts

ตอบ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:36

เอารัดเอาเปรียบเป็นนิสัยของพ่อค้า
เกตส์ก็พยายามกีดกันคู่แข่งด้วยวิธีการต่างๆ แต่ด้วยศักยภาพที่บริษัทตัวเองมีอยู่ และสุดท้ายก็ยอมรับกฏหมายจนต้องยอมปล่อยฟรี

แต่อีกตัว กีดกันคู่แข่งด้วยวิธีการต่างๆเช่นกัน ด้วยศักยภาพของรัฐซึ่งตนไม่ได้เป็นเจ้าของแต่เป็นของคนทั้งประเทศ และไม่เคยยอมรับกฏหมายที่ไม่เข้าข้างตนเอง

สรุป ไอ้ตัวเหลี่ยมๆเลวกว่าเยอะ

มันจะทำให้เราคิดก่อนพูดได้ดีขึ้น เมื่อเชื่อว่าคำพูดที่ออกไปเหล่านั้นคือคำที่เราจะได้ยินเองในอนาคต

และถ้าเราจะทำดีได้มากขึ้น เมื่อเชื่อว่าเราจะได้เจอสิ่งดีๆในอนาคต

แม้ว่าวันนี้เราจะยังไม่เห็นว่ามันดีอย่างไรแต่อย่างน้อยทำให้เราผ่านวันนี้ไปได้อย่างราบรื่น