อ้ายบิลเกตต์ ไม่ได้ขี้ตีงทักษิณหรอก
#51
Posted 3 July 2012 - 09:41
ดังนั้น ไอ้แม้วจึงเลวกว่าแน่นอน
เพราะมันจะซื้อศาล
#52
Posted 3 July 2012 - 09:46
#53
Posted 3 July 2012 - 09:48
อวยกันเข้าไป คนเราพิมพ์ข้อความได้ ไม่ได้แปลว่าฉลาด
มีสมองไม่ได้แปลว่าคิดเป็น
อ่านความเห็นของศาสดาไซเบอร์ปลายอ้อแล้ว รู้สึกขำปนทึ่ง
คนเรานี่หนอ รู้น้อยว่ามากรู้เริงใจ
กล้าเอาบิลเกตไปกดว่าทักษิณเหนือกว่า
ความจงรักภักดีนี่ไม่เข้าใครออกใครเลย
ลองอ่านดูเด่ะ
--------------------------------------
ถูกต้อง อ้ายตี๋
ทักษิณ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ กว่าจะรวยมาได้ เจ๊งไปเยอะ เจ็บไปเยอะ ไม่ได้โม้
กว่าจะร่ำรวยมาได้ ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ต้องวิ่งแลกเช็คเพื่อเอาเงินไปจ่ายเงินเดือนพนักงานในบริษัทฯ ให้ตรงเวลา
แล้วสุดท้าย พวกส้งตีงก็หาว่าทักษิณโกง ..ยึดเงินไป อ้ายบ้า !
ส่วนวิสัยทัศน์น่ะ
อ้ายบิลเกตต์ ไม่ได้ขี้ตีงทักษิณหรอก
ทักษิณเขาทำทุกอย่างมาแล้ว
แม้แต่เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลอังกฤษ ที่ปีนี้เป็นแชมป์พรีเมียร์
อ้ายบิลเกตต์ มันทำอะไร
นอกจากด้านคอมพิวเตอร์..หื๋อม์
จากคุณ : ปลายอ้อกอแขม เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 55 16:43:30 A:110.168.135.240 X: ถูกใจ : ผีกรุแตก
อย่างนึงที่ทักษิณผู้ฉลาดเหนือบิล เกตส์ไม่ได้ทำคือบริจาคเงินปีละลหายพันล้านดอลล่าร์เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เหมือนบิล เกตส์ แต่ใช้วิธีทำผิดกฏหมายเพื่อให้ยึดทรัพย์แทน เท่ห์โคตรๆ ว่าไหม
เอ็งขอเป็น"ขี้ข้าโจร" ข้าเลือกเป็น"ข้าธุลีพระบาท" เอ็งขอเป็น"ไพร่" ข้าเลือกเป็น"พสกนิกร"
#54
Posted 3 July 2012 - 10:01
เกตส์มีปัญญาหลอกคนให้มาตายเกือบร้อยคนเพื่อประโยชน์ของตัวเองไหม
มีปัญญาสั่งฆ่าตัดตอนคนตั้ง๒,๕๐๐คนโดยไม่ต้องติดคุกไหม
มีปัญญาแก้กม.เพื่อเอื้อประโยชน์กับธุรกิจตัวเองไหม
มีปัญญาด่าผู้ก่อความไม่สงบว่า"โจรกระจอก"จนต้องมีประชาชนและเจ้าหน้าที่ถูกสังหารเป็นพันเป็นหมื่นไหม
มีปัญญาสร้างความเลวจนสโมสรฟุตบอลลบชื่อจากรายชื่อประธานสโมสรไหม
ฯลฯ
ยิ่งเขียนยิ่งศรัทธาไอ้แม้ว บิดาแห่งความชั่วทั้งมวล
#55
Posted 3 July 2012 - 11:02
ทักษิณ ใช้โอกาส ผูกขาด โกง รวย
บิล เกต ไม่ได้เศษเสี้ยว ของทักษิณหรอก เผาบ้านเผาเมือง ขายชาติ ไม่เฮี่ยจริงทำไม่ได้
รัฐประหาร ปกป้องชีวิตไทย พอกันที ประชาธิปไตย ด้วย M79
#56
Posted 3 July 2012 - 13:38
แต่จะสรุปให้ได้ 3 บรรทัดคงลำบาก
แต่สรุปได้คือ
เฮียแม้ว ขึ้เท้าของ เกตท์ มากกว่า
If you try hard enough, you can be whatever you want to be.
#57
Posted 3 July 2012 - 13:40
#58
Posted 3 July 2012 - 13:52
#59
Posted 3 July 2012 - 13:54
#60
Posted 3 July 2012 - 13:58
ช่วงนี้ คนเป่านกหวีดเสียงดังกันเยอะ ปีนี้เลยกลายเป็น " ปี แสบ หู "
#61
Posted 3 July 2012 - 15:43
เพราะตรงนี้มาในฐานะทีมเยือน จะเสียเปรียบเรื่องเสียงเชียร์
แต่ทำไมกระทู้ในราชดำเนิน ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าบ้าน เสียงเชียร์เกรียวกราว
ปลายอ้อ ก็หนีสังเวียนไปได้ยังไงกัน
http://www.pantip.co.../P12300375.html
#62
Posted 3 July 2012 - 15:48
ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ปลายอ้อไม่มาโต้แย้งที่กระทู้นี้
เพราะตรงนี้มาในฐานะทีมเยือน จะเสียเปรียบเรื่องเสียงเชียร์
แต่ทำไมกระทู้ในราชดำเนิน ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าบ้าน เสียงเชียร์เกรียวกราว
ปลายอ้อ ก็หนีสังเวียนไปได้ยังไงกัน
http://www.pantip.co.../P12300375.html
บอร์ดโบราณนี่ดีตรงปล่อยตกง่าย
ขุดกระทุ้ยังไม่ได้เลย
It's us against the world
#63
Posted 3 July 2012 - 15:55
ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ปลายอ้อไม่มาโต้แย้งที่กระทู้นี้
เพราะตรงนี้มาในฐานะทีมเยือน จะเสียเปรียบเรื่องเสียงเชียร์
แต่ทำไมกระทู้ในราชดำเนิน ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าบ้าน เสียงเชียร์เกรียวกราว
ปลายอ้อ ก็หนีสังเวียนไปได้ยังไงกัน
http://www.pantip.co.../P12300375.html
บอร์ดโบราณนี่ดีตรงปล่อยตกง่าย
ขุดกระทุ้ยังไม่ได้เลย
หน้าไม่อาย ไม่กล้าตอบเรื่อง ว.5 4SS กิ๊วๆ
#64
Posted 3 July 2012 - 16:16
เสื้อแดง : ใช่ๆ ท่านทักษิณคือเต๊ปจ้าว เอ...แต่ว่าบินเกตนี่มันเหมือนกับคอลเกตอ๊ะปล่าว
#65
Posted 3 July 2012 - 17:15
#66
Posted 3 July 2012 - 17:20
ผมเห็นด้วยกับคำว่า "กฎหมู่ไม่สามารถอยู่เหนือกฎหมายได้"
#67
Posted 3 July 2012 - 19:12
/人◕‿‿◕人\
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Hello, I'm a Kyubey /人◕ ‿‿ ◕人\
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Please Make a contract with me and become a Magical girl! /人◕ ‿‿ <人\
ข้าพเจ้าขอสนับสนุนท่านผู้นำที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ!!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!!
#68
Posted 4 July 2012 - 00:37
#69
Posted 7 July 2012 - 16:26
#70
Posted 7 July 2012 - 17:18
ปล่อยโง่แบบนั้นแหละ ไม่ชี้ทางที่ถูกต้องให้
ชอบยืนดูคนที่ต่ำกว่าทางความคิดอยู่บนที่สูงๆ
คุณ amplepoor ใจดีสุดๆแล้วนะเนี้ย
ฮ่าๆ
#71
Posted 7 July 2012 - 17:43
อายุ 40 ทักษิณแพ้คดีเช็คเด้ง....ฮา
แพ้ 3 ศาล....ฮา ฮา ฮา
อันนี้เกตต์ สู้ม่ายล่าย
--------------
คำพิพากษา
ในพระประมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ที่ 149/2532 ศาลฎีกา
วันที่ 20 มกราคม 2532
ความ แพ่ง
ระหว่าง นางชม้อย เชื้อประเสริฐ โจทก์
นายสันต์ สมิตเวช จำเลยที่ 1
พันตำรวจตรีทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 2
เรื่อง ตั๋วเงิน
จำเลยที่ 2 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2529
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ เลขที่
ลงวันที่ 29 กันยายน 2525 จำนวนเงิน 1,300,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนบาทถ้วน) เป็นเช็คออกให้แก่ผู้
ถือจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง
เพื่อรับรองเป็นประกัน สำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อถึงกำหนดวันที่ลงเช็ค โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของ
โจทก์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาสยามสแควร์ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เรียกเก็บเงินจากธนาคารตาม
เช็ค ปรากฏว่า ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 โดยให้เหตุผลในใบคืนเช็คว่า
“โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คหลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย
เสีย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,300,000 บาท นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525 จนถึง
วันฟ้อง เป็นเวลา 1 ปี รวมเป็นดอกเบี้ย 97,500 บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,300,000
บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอีก 97,500 บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,300,000 บาท นับแต่
วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนเงินตามเช็คตามฟ้อง โดยเป็นหนี้เพียง
750,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไปแล้วบางส่วน โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละห้าถึงเจ็ดต่อเดือน และนำ
ดอกเบี้ยที่ค้างชำระมาทบรวมเป็นเงินต้นเป็นการไม่ชอบ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามฟ้องทั้งหมด
ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คตามฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายและได้เช็คมาโดยไม่
สุจริต ลายมือชื่อด้านหลังเช็คที่โจทก์อ้างว่าเป็นลายมือชื่อผู้ค้ำประกันการจ่ายเงินตามเช็ค
มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายให้ชัดเจนว่า โจทก์
ได้เช็คพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้ชนิดใด ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจะให้การต่อสู้อย่าง
ไรและเกี่ยวข้องกับเช็คตามฟ้องในทางใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้
สั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน
1,300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป นับแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2525 จนกว่าชำระ
เงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
แทนโจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทน
โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบว่า เมื่อเดือนกันยายน
2523 จำเลยที่ 2 ได้ซื้อโรงภาพยนตร์พร้อมที่ดินจากนายธรรมนนท์ สมิตเวช บิดาจำเลยที่
1 ในราคา 8,500,000 บาท แต่ระบุในสัญญาไม่ถึง 8,500,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ให้นาง
พจมาน ชินวัตร ภริยาลงลายมือชื่อเป็นผู้ซื้อ จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ให้ความยินยอม
ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาขายที่ดิน ลงวันที่ 28 กันยายน 2523 เอกสารหมาย จ.3 ได้
ชำระราคาเป็นเงินสดบางส่วน ที่เหลือชำระเป็นเช็คหลายฉบับ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่าย ต่อมา
จำเลยที่ 1 นำเช็คที่จำเลยที่ 2 ออกให้เพื่อชำระค่าโรงภาพยนตร์และที่ดินมาชำระหนี้โจทก์ 3 ฉบับคือ
เช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน ลงวันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2524 จำนวนเงิน
1,800,000 บาท และเช็คธนาคารเดียวกัน ลงวันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2525 จำนวนเงิน
1,300,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ส่วนเช็คอีกฉบับหนึ่ง ลง
วันออกเช็ควันที่ 29 กันยายน 2526 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท ไม่ได้ถ่ายสำเนาไว้ เมื่อเช็คตาม
สำเนาภาพถ่ายเอกสารหมายเลข จ.4 ถึงวันออกเช็ค โจทก์ได้เรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็ค
ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คเอกสารหมาย
จ.4
โจทก์จึงติดต่อให้จำเลยที่ 2 มาชำระเงินตามเช็คดังกล่าว จำเลยที่ 2 นัดให้โจทก์ไปพบที่ห้องทำ
งานของจำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจในวันที่ 16 เมษายน 2525 ครั้นถึงวันนัดโจทก์ นายนภศูล สวัสติเวทิ
น ทนายโจทก์ และจำเลยที่ 1 ไปพบจำเลยที่ 2 ที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ได้มีการเจรจากัน ในที่
สุด จำเลยที่ 2 บอกว่า จะออกเช็คให้ใหม่และขอเช็คเก่าคืน แต่ในขณะนั้นจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้
เปิดบัญชีใหม่ ขอให้จำเลยที่ 1 ออกเช็คไปก่อน โดยจำเลยที่ 2 สลักหลังเป็นประกันให้โจทก์
ยอมตกลงในวันนั้น จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คให้โจทก์ 3 ฉบับ โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังต่อ
หน้าโจทก์และนายนภศูล คือ เช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่ 29
กันยายน 2525 จำนวนเงิน 1,300,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเป็นเช็ค
ที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้ เช็คธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวันออกเช็ควันที่ 1
ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท และเช็คธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาเชียงใหม่ ลงวัน
ออกเช็ควันที่ 1 ตุลาคม 2527 จำนวนเงิน 1,800,000 บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย
จ.7 และ จ.8 ตามลำดับ (โจทก์ขออนุญาตส่งสำเนาภาพถ่ายแทน เพราะต้นฉบับจะนำไปดำเนินคดีที่
ศาลจังหวัดเชียงใหม่)
ครั้นเช็คตามฟ้องถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์เรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวัน
ที่ 5 ตุลาคม 2525 โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คตามฟ้องแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉยเสีย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 2 รู้จักโจทก์ แต่ไม่เคยมีหนี้สินผูกพันกับโจทก์ และไม่เคยออก
เช็คตามฟ้องให้โจทก์ เมื่อพุทธศักราช 2523 จำเลยที่ 2 ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดินจากบิดาจำเลย
ที่ 1 ในราคาบาท ได้ชำระราคาเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน รวม 5 ฉบับ จำนวน
เงิน 1,300,000 บาท 1 ฉบับ, จำนวนเงิน 1,800,000 บาท 4 ฉบับ ลงวันออกเช็คห่างกันฉบับละ 1ปี
จำเลยที่ 2 ตกลงกับจำเลยที่ 1 ว่าไม่ให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ได้มีการนำเช็คมาแลกเงิน
สดไปจากจำเลยที่ 2 แล้วทุกฉบับ วันที่ 26 เมษายน 2525 จำเลยที่ 2 ลาป่วยไม่ไปทำงาน
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คตามฟ้องแล้วมอบให้โจทก์
เมื่อถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์นำเช็คตามฟ้องไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อ
วันที่ 5 ตุลาคม 2525 ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายถึงมูลหนี้
ตามเช็คจึงขาดสาระสำคัญไปนั้น เห็นว่า เช็คตามฟ้องเป็นเช็คออกให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ และตาม
กฎหมายถือว่าผู้ถือเป็นผู้ทรงและบุคคลผู้ลงลายมือชื่อในเช็คย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความ
ในเช็ค โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้
สลักหลัง เมื่อถึงวันออกเช็คแล้ว โจทก์นำเช็คตามฟ้องเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการ
จ่ายเงิน ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ แม้มิได้บรรยายถึงมูลหนี้ก็ถือได้ว่า
คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลัก
แห่งข้อหาแล้ว จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง และโจทก์
เบิกความเท็จไม่น่าเชื่อถือ จะเห็นได้จากการที่โจทก์เบิกความในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คและ
จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้องและเช็คอื่นอีก 2 ฉบับ ที่ที่ทำงานของจำเลยที่2
ที่กรมตำรวจ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525 แต่ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัด
เชียงใหม่ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นจำเลย ในข้อหากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความ
ผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โจทก์ฟ้องและเบิกความว่า จำเลย (จำเลยที่ 1 ในคดีนี้) สั่งจ่ายเช็คตาม
สำเนาภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.7 ในคดีนี้ (ซึ่งโจทก์นำสืบในคดีนี้ว่า ออกพร้อมกับเช็คตามฟ้องคดี
นี้) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 และในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญาที่จำเลย
ที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในข้อหาเบิกความเท็จ นายนภศูล ทนายโจทก์ก็ได้เบิกความว่า โจทก์กับ
นายนภศูล ไปพบจำเลยที่ 2 ที่ที่ทำงานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 จำเลยที่ 2มิได้
ไปทำงานเพราะลาป่วย มีใบลาเป็นหลักฐาน คดีจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลัก
หลังเช็คตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 ไม่เคยสั่งจ่ายเช็คให้จำเลยที่ 1 เพราะผู้ซื้อโรงภาพยนตร์และ
ที่ดินคือนางพจมาน ภริยาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนั้น โจทก์มีตัวโจทก์และ
นายนภศูลทนายโจทก์คนเดิมมาเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และ
จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง และเช็คตามสำเนาภาพถ่ายหมาย จ.7และ
จ.8 ที่ที่ทำงานของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2525 ปรากฏรายละเอียดตามที่ศาลฎีกา
ยกขึ้นกล่าวในข้อนำสืบของโจทก์
ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 อ้างใบลาหยุดราชการในวันที่ 26 เมษายน 2525 เป็นพยาน เพื่อแสดงให้
ศาลเห็นว่า โจทก์เบิกความเท็จ พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและเชื่อไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2ลง
ลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คตามฟ้อง จำเลยที่ 2 อ้างอิงข้อเท็จจริงในฎีกาว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่
1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ โจทก์บรรยายฟ้องและเบิกความ
ว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2525 ตามสำเนาภาพถ่ายคำฟ้องและคำให้การพยาน
โจทก์ ท้ายฎีกา เอกสารหมายเลข 1 และหมายเลข 2 และนายนภศูล ทนายโจทก์คนเดิมเบิกความ
เป็นพยานโจทก์ (จำเลยที่ 2 ในคดีนี้) ในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 24358/2527 ของศาลอาญาว่า
โจทก์และนายนภศูลไปพบจำเลยที่ 2 ที่ห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ที่กรมตำรวจเมื่อวันที่ 26เมษายน
2525 มิใช่วันที่ 16 เมษายน 2525 ตามสำเนาภาพถ่ายคำให้การพยานเอกสารท้ายฎีกาหมายเลข3
พิจารณาแล้วเห็นว่า เดิมนายนภศูลเป็นทนายโจทก์ในคดีนี้ และเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นโจทก์และเรียง
ฟ้องในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่า ในคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 2
ยื่นฎีกาแล้ว นายนภศูลในฐานะทนายโจทก์ยื่นคำร้อง ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2530 ขอถอนฟ้อง
โดยอ้างว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 ตกลงกันแล้ว จำเลยที่ 2 รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านศาล
ชั้นต้นสั่งนัดพร้อมเพื่อสอบถามเรื่องโจทก์ขอถอนฟ้อง ถึงวันนัด โจทก์และทนายคนใหม่มาศาล
แถลงว่า โจทก์ไม่เคยตกลงหรือยินยอมให้นายนภศูลถอนฟ้อง ดังที่นายนภศูลยื่นคำร้อง
ไว้ และยืนยันขอดำเนินคดีในขั้นฎีกาต่อไป
ศาลฎีกาพิเคราะห์พฤติการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว เห็นว่า คำฟ้องในคดีอาญา หมายเลขดำที่
52/2527 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ และคำเบิกความของนายนภศูลในคดีอาญา หมายเลขดำที่
24358/2527 ของศาลอาญา หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและฟังไม่ได้ดังที่จำเลย
ที่ 2 ฎีกาหรือไม่ ที่โจทก์เบิกความในคดีดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คเมื่อวันที่ 26 เมษายน2525
อาจเกิดจากความหลงถือหรือต้องเบิกความไปตามคำฟ้องก็ได้ อย่างไรก็ตามจำเลยที่ 1 จะลงลายมือ
ชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 จะลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้องในวันที่ 16 หรือวันที่26
เมษายน 2525 ก็หาใช่สาระสำคัญไม่
ในปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังหรือไม่นั้น จำเลยที่ 2 ก็มิได้นำสืบปฏิเสธว่า
ลายมือชื่อผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้องมิใช่ลายมือชื่อของตน ในเรื่องของมูลหนี้นั้น จำเลยที่ 2 ก็ได้นำ
สืบว่า เมื่อพุทธศักราช 2523 จำเลยที่ 2 ซื้อโรงภาพยนตร์และที่ดินจากบิดาจำเลยที่ 1 ในราคา
8,500,000 บาท ชำระราคาเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานกรุงธน 5 ฉบับ จำนวนเงิน
1,300,000 บาท 1 ฉบับ จำนวน 1,800,000 บาท 4 ฉบับ เป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ข้อนำสืบดัง
กล่าว....กับพยานหลักฐานของโจทก์ แต่ที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คดังกล่าวมาแลกเงิน
สดไปจากจำเลยที่ 2 ทุกฉบับแล้วนั้น ข้อนำสืบข้อนี้มีแต่คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ลอยๆ เท่านั้น
ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน ด้วยเหตุผลดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ลง
ลายมือชื่อสลักหลังเช็คตามฟ้อง และเหตุที่จำเลยที่ 1 จะออกเช็คตามฟ้อง และจำเลยที่2
ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลังก็เกิดจากมูลหนี้ดังที่โจทก์นำสืบ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดใช้เงิน
ตามเช็คตามฟ้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาตั้ง
ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สลักหลังในเช็คตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ไว้แล้ว
จึงไม่สั่งซ้ำอีก
พิพากษายืนให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาทแทนโจทก์
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา
นายบุญส่ง คล้ายแก้ว
นายประมาณ ชันซื่อ
นายนิเวศน์ คำผอง
สรุปคือซื้อโรงหนังเขาแล้วจ่ายเช็คเด้ง
พอเขามาทวงเงินก็ให้เจ้าของโรงหนังออกช่วยเช็คไปก่อนตัวเองสลักหลังไว้
แล้วก็เบี้ยว ชักดาบเอาดื้อๆ นิสัยขี้โกงชั่วๆแบบนี้ติดตัวมาจนถึงปัจจุบันไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
ข้อนี้บิลเกตต์แพ้ขาดครับ
วิธีการยุติระบอบทักษิณ
ก็แค่เพียงทำให้คนไทยส่วนใหญ่ "ฉลาด"