Jump to content


Photo

สงสัยอะไรในหลวงตาบัว

หลวงตาบัว พุทธ

  • Please log in to reply
71 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 19:48

มีคนชวนผมคุย ผมไม่ค่อยถนัดห้องสนทนา เลยขอเป็นห้องชายคานี่ละกัน
ผมไม่บอกว่าใคร เพราะเกรงว่าเขาไม่อยากเปิดเผยตัว แต่ผมจะตอบก็อยาก
จะตอบให้เห็นโดยทั่วไป เพราะผมคิดว่า การตอบจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้เข้าใจ
สนบุคคลที่สนทนา ผมคิดว่าน่าจะไม่ได้ช่วยอะไร ได้แค่ระบายออกมาเท่านั้น

คุณสงสัยธรรมของหลวงตาตรงเรื่องใด
คำพูด? คำไหนที่หยาบ
เรื่องบริจาคเงินช่วยชาติ?


ผมไม่ได้สงสัยนะครับ เพราะผมคิดว่าได้เห็นอะไรชัดเจนพอสมควร
แก้ความสงสัย ที่สงสัย น่าจะเป็นคุณมากกว่า เหตุเพราะตั้งแต่มีปัญหา
เมื่อ 10 กว่าปี ผมไม่เคยคุยกับใครที่สงสัยว่า หลวงตาบัวพูดคำหยาบ
หรือไม่ สงสัยคุณอาจจะใหม่ ไม่เคยตามคำเทศนาของตาบัว อาจจะได้
แค่อ่านเอาในเน็ต เลยไม่รู้ ผมเฉลยให้ไม่ได้นะครับ เพราะมันติดคำกรอง
ของเว็บนี้ เอาเป็นว่า "มีเพศสัมพันธ์กับมารดา" ซึ่งพวกที่นับถือมักจะอ้าง
"วาสนา" คือ ความเคยชินที่ละไม่ได้แม้แต่เป็นพระอรหันต์ แน่นอนครับ
ถ้าเป็น "วาสนา" จริงๆ เมื่อไหร่ จะต้องมีเพศสัมพันธ์ เอ... ใช้คำว่าเสพเมถุน
แบบหมักก็ได้ เอาเป็นว่าถ้าเป็นอรหันต์แล้วมีวาสนา จะต้องมีการพูดเรื่อง
เสพเมถุนกับมารดาทุกครั้งที่เทศน์ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่

เรื่องเงิบริจาค ก็อย่างที่ว่า "ไม่ใช่กิจของสงฆ์" พระสงฆ์แท้จริง ต้องไม่ผูกติด
กับแผ่นดิน แค่นั้น



ส่วนท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ที่คนเขาว่ากันก็คือการจัดทำพระไตรปิฏกนี่แหละ ถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ โอกาสใส่ความคิดตัวเองเข้าไปมีสูงมาก ซึ่งผมว่าท่านก็เจตนาดีที่จัดทำนั่นแหละ แต่ของอย่างนี้เป็นเรื่องละเอียด (ซึ่งผมก็ได้ยินอาจารย์ผมบอกว่าท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ใส่ความเห็นของตนแทรกไปด้วย)


สนุกกับการใส่ร้าย ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป สมกับเป็นผู้ที่ชื่นชอบหลวงตาบัวเลยจริงๆ
ท่านปยุต จัดทำพระไตรปิฎกที่มีอยู่แล้ว ลงเป็นแผ่นคอมพิวเตอร์ ซึ่งภาษาบาลี
เหมือนกันทุุกฉบับ ส่วนคำแปล คุณรู้ไหมว่า พระไตรปิฏกคำแปลภาษาไทยมีกี่สำนวน
แล้วพระไตรปิฏกเขียนกันใหม่ได้หรือ? ยิ่งเป็นซีดีคอมพิวเตอร์ ยิ่งตรวจทานได้ง่าย
ตรงไหนที่ใส่ความคิดตัวเองเข้าไปกันครับ

แล้วคุณนี่ยังไม่รู้อีกหรือว่า หลวงตาบัวบอกอะไรเกี่ยวกับพระไตรปิฎก

มี พระเจ้าฟ้าเจ้าคุณท่านมาพูดถึงเรื่องว่า ในพระไตรปิฎกท่านว่านิพพานเป็นอนัตตา ชึ่ย ว่างี้เลยเรา
ดีไม่ดีมันส่อให้เห็นผู้ไปจดจารึกพระไตรปิฎกมาเป็นคนประเภทใดอีกด้วยนะ
ถ้าเป็นคนประเภทพระพุทธเจ้าพระอรหันต์แล้วจะว่านิพพานเป็นอนัตตาไม่ได้เป็น อันขาด นอกจาก
พวกคลังกิเลสมันเข้าไปจดจารึก ได้คำบอกเล่าอะไรมาก็มาว่าผิด ๆ ถูก ๆ ไปอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นจึงส่อให้เห็นว่าผู้ไปจดพระไตรปิฎกมานี้เป็นคนประเภทใด มันบอกด้วยนะ อ่านไปในพระไตรปิฎกบอกไปในตัวเสร็จ
ว่าผู้จดจารึกพระไตรปิฎกเป็นคนประเภทใด ถ้าเป็นคนประเภทเป็นพระอรหันต์จดจารึกมาแล้ว จะมีเน้นมีหนัก นี่เรียบ ๆ
ไป พูดไปที่ไหนส่งเสริมแต่กิเลสเรื่อยไป ตีกิเลสไม่มีนี่บอกแล้ว ความจริงมีนี่



ขอนอกเรื่องท่านพุทธทาสซักนิด ตอนแรกท่านมาแบบท้าทายด้วยวิทยาศาสตร์
ท่านท้าทายแต่ท่านปฏิบัติจริง เมื่อปฏิบัติจริงก็เห็นของจริง เมื่อของจริงปรากฏมิจฉาทิฎฐิจึงหาย
ท่านเป็นคนชอบจด ความเห็นที่ผิดที่ถูกท่านก็จดไว้ในสมุดนั่นแหละ
คนที่ชอบอ้างท่านก็อ้างแต่ความเห็นตอนแรก ๆ ของท่านที่ถูกใจตน ไม่อ้างตอนท่านปฏิบัติได้แล้วเลย


แล้วยังไง ก็ท่านบอกว่า "นิพพานเป็นอนันตา"
แต่หลวงตาบัวบอกว่า "นิพพานไม่ใช่ อนัตตา และ อัตตา"
แล้วก็ด่าพวกที่บอกว่าเป็นพวกใบลานเปล่า
ก็เลยมีวิวาทะ ระหว่างพวกหลวงตาบัว กับพวกเชื่อถือท่านพุทธทาส
ในพันทิพช่วงเวลานั้น ส่วนตัวพออ่านคำเทศนาเรื่องนิพพานของหลวงตาบัว
ผมก็ไม่ให้ความสนใจแล้ว เพราะพูดอธิบายนิพพานแล้ว ไม่ต่างอะไรกับ
อาตมันของฮินดูแม้แต่นิดเดียว แค่ชื่อต่างกันเท่านั้น

#2 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:52

ตอนแรกว่าจะคุยกันเล่น ๆ แต่มาคุยกันห้องชายคาก็ดีเพราะจะได้มีผู้อื่นมาแก้ถูกผิดด้วย

คำว่า yedmea ใช่ไหม เป็นวาสนาได้ครับ ไม่มีการกรองคำให้ถูกจริตคนฟังหรอกท่าน อรหันต์ไม่ใช่หันซ้ายหันขวานะ เสียงของคำเป็นคำหยาบ แต่เนื้อหาของคำที่พูดออกมา จิตท่านไม่ได้คิดไปในทางหยาบหรอก

อย่างเวลาที่คุณพูดกับเพื่อนว่า aihere คุณได้ว่าเพื่อนคุณเป็น here ไปจริง ๆ ไหม

ท่านพระพุทธทาสกล่าวว่านิพพานเป็นสุญตาไม่ใช่หรือ คือสูญจากตัวตน สูญจากกิเลส ไม่ใช่ว่าไม่มีตัวตนหรือมีตัวตน

ใช่น่ะสิ นิพพานไม่ใช่อนัตตา จะตีนิพพานเป็นอัตตาก็ไม่ใช่อีก

เคยได้ยินแต่ทาสพุทธทาสบอกว่า นิพพานว่าง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
สุข? สุขจากไหน? ไม่ใช่ตัวตนแล้วอะไรสุข? ว่างแล้วจะหาอะไรเป็นตัวตน?

คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เขียนอธิบายพระไตรปิฎก คิดเหรอว่ากิเลสจะไม่ต้มจนเปลื่อย

Edited by รักนะ, 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 07:54.


#3 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:25

อรหันต์ด่าได้ อรหันต์ร่วมเพศได้ไหม?
อรหันต์ฆ่าคนได้ไหม?

#4 ข้ามศพกูไปก่อน

ข้ามศพกูไปก่อน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 311 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:06

เพื่อ?
เราเกลียดไอ้ทักษิณ เพราะเรารักในหลวง ไม่ใช่รักนักการเมืองคนใด ควายแดงหยุดโชว์โง่ด่วนนะ

#5 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:07

เพื่อ?

สนทนาธรรม

อรหันต์ด่าได้ อรหันต์ร่วมเพศได้ไหม?
อรหันต์ฆ่าคนได้ไหม?

อรหันต์ไม่ด่า แต่ปุถุชนรู้สึกว่าเป็นคำด่า ... กรณีพระปิลินทวัจฉเถระ
อรหันต์ไม่ร่วมเพศ แต่คนอัปปรีย์ข่มขืนพระอรหันต์ ... กรณีพระอุบลวรรณาเถรี
อรหันต์ไม่ฆ่าคน แต่ก็มีสัตว์ตายจากพระอรหันต์ ... กรณีพระจักขุบาลเถระ

#6 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:23

คุณกินถามว่าคำพูดใครบัญญัติ ครับ สมมุติว่า พระพุทธเจ้าพูดถึงโยนี ถ้าพูดตรงๆภาษาบ้านเรา บอกอวัยวะเพศหญิงเรามาจับกันเอาเอง ว่าไม่หยาบ แต่ถ้าบอก ห-ี เป็นคำหยาบ ทั้งๆที่ความหมายมันไม่ได้แต่ต่างจากเดิมเลย แต่เราตัดสินหยาบไม่หยาบ ตามใจเราหรือครับ ไปด่าฝรั่ง ค-วย ฝรั่ง งง
ถามว่าด่า fuck you ฝรั่งโกรธ แต่ด่าคนที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ถามว่ามันจะโกรษไหม ถ้าไม่งั้นพระพุทธเจ้าไม่พูดหยาบด้วยหรือ เพราะพูดถึงโยนีหรือคุณจะบอกว่าเพราะไม่หยาบ อะไรตัดสิน ละ หรือความระลึกว่าพระพุทธเจ้า ตรัสรู เป็นผู้บริสุทธิ์ คงไม่พูดหยาบ เพราะคุณรู้แค่ว่าโยนีหมายถึงอวัยวะ เพศหญิง แล้ว ห-ี ล่ะต่างกันตรงไหน คุณลองไปด่าฝรั่งไหมว่าช้างเ-็ดห-ีแม่ มรึ ง เป็นภาษาอังกฤษ ลองดูนะครับว่าฝรั่งมันจะงงไหม แต่ถ้าผมด่าคุณแบบนี้ ภาษาไทยเลย ผมว่าคุณโกรธ ตกลง มันอยู่ที่ไหนครับ ภาษาหรือใจ ที่ใต้พูดเ-็ดแม ่ ขนาดเพื่อนมันก็พูดใส่กันแบบนี้ ไม่เห็นมันจะโกธรกันเลย ผมคุยกับพวกมันยังล้อมันเลยว่า พวกม รึง จ้องจะเ-็ดแม่อย่างเดียวเลยห่า มันก็หัวเราะกัน ตกลงคำเดี๋ยวกัน แท้ๆ ตัดสินหยาบไม่หยาบมันอยู่ที่จริตของมนุษย์ เป็็นมันสมุมติ ทีทำให้เรารู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ผมถึงถามตลอต ว่าคุณรู้หรือยังว่าสภาวะทีจิตไม่ยึดติดกับกายเป็นแบบไหน
คุณรู้หรือยัง ถามว่าพระพุทะเจ้าตรัสหรือไม่ว่า นิพพานเป็นอนัตตา ผมศึกษาก็ไม่เจอนะ อนัตตามันอยู่ในกฏของไตรลักษณ์ ถ้านิพพานอยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ นิพพานจะเลิศที่ตรงไหน แล้วไม่ต้องมายัดเยียด ผมด้วยว่างั้นเป็นอัตตาสิ ผมบอกได้เลยว่า บัตรLv 1 ใช่ผ่าน Lv.1 บัตรLv.1ใช่ผ่านLv.2 ไม่ได้ บัตร Lv.2 ผ่าน Lv.1ได้ แต่ผ่าน Lv.3 ไม่ได้ แล้วคุณจะใช้บัตร Lv.1 ผ่าน Lv.3 ได้หรือ

Edited by ter162525, 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:25.

  • Gop likes this
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#7 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 11:00

ตกลงในโลกนี้ไม่มี "คำหยาบคาย" ใช่ไหมครับ

แล้วทำไม "สัมมาวาจา" ถึงได้ห้ามพูดคำหยาบคาย
หรือว่าพระพุทธเจ้าฉลาดน้อยกว่า หลวงตาบัว ??

ส่วนที่บอกว่าเป็น "วาสนา" แต่กระพร่องกระแพร่ง
พูดทั่วไป โพล่กันมาตลอด แต่พอออกทีวี ก็ไม่พูด
พูดกับพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่มี ตกลง "วาสนา" จริงๆ หรือ?

  • ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก
  • ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน
  • ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษเพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ
  • ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำ ที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐานมีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร


#8 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 11:04

พูดกันเองกับพูดเป็นทางการ สองสิ่งนี้ต่างกันนะ
พูดกับราชา ไม่ว่าจะในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ คุณว่าจะพูดอย่างเป็นกันเองหรือ?
พูดต่อหน้าสาธารณะชน ไม่ว่าจะในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ คุณว่าจะพูดอย่างเป็นกันเองหรือ?

#9 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 11:13

พูดกันเองกับพูดเป็นทางการ สองสิ่งนี้ต่างกันนะ
พูดกับราชา ไม่ว่าจะในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ คุณว่าจะพูดอย่างเป็นกันเองหรือ?
พูดต่อหน้าสาธารณะชน ไม่ว่าจะในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ คุณว่าจะพูดอย่างเป็นกันเองหรือ?


ตกลงเป็นวาสนาหรือไม่ครับ

Posted Image

ถ้าหากเวลาไปบิณฑบาตร แล้วพระพูดกับบรรดาญาติโยมว่า
เสพเมถุนมารดาท่านทุกรูป แล้วจะเกิดอะไรชึ้น


ตกลงโลกนี้ มี หรือ ไม่มี คำหยาบคาย
ขณะที่ศาสดากล่าวว่ามี แต่บรรดาสาวกสายหลวงตาบัว
กลับปฏิเสธว่าไม่มี คิดล้มล้างศาสดา ตั้งตังเองเป็นแทนหรือไงครับ

#10 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:58

ตกลงเป็นวาสนาหรือไม่ครับ

ถ้าหากเวลาไปบิณฑบาตร แล้วพระพูดกับบรรดาญาติโยมว่า
เสพเมถุนมารดาท่านทุกรูป แล้วจะเกิดอะไรชึ้น


ตกลงโลกนี้ มี หรือ ไม่มี คำหยาบคาย
ขณะที่ศาสดากล่าวว่ามี แต่บรรดาสาวกสายหลวงตาบัว
กลับปฏิเสธว่าไม่มี คิดล้มล้างศาสดา ตั้งตังเองเป็นแทนหรือไงครับ

เป็นวาสนาได้ครับ
ที่พูดต่างกัน เพราะไม่ว่าชาติใดก็ตาม เวลาพูดกันเอง พูดกับราชา พูดกับสาธารณชน ก็ใช้ย่อมคำพูดต่างกัน แค่นี้วาสนาการพูดต่อคนก็ต่างกันแล้ว

จะหาพระที่มีวาสนาเหมือน ๆ กันทุกรูปได้หรือ? เรื่องคำประเภทนี้พระบางท่านก็ไม่พูด เพราะท่านไม่ได้มีวาสนามาในทางนี้ เวลาพระท่านพูดท่านก็เลือกพูดนะ วาสนาไม่ใช่ไม้บรรทัดที่เราจะไปวัดได้

กรรมขึ้นอยู่กับเจตนา หากพูดไพเราะแต่แฝงความหมายในใจเป็นคำเสียดสี คำพูดนั้นก็ถือว่าหยาบ เช่น ผมชมคุณ eAT ว่า "คุณดีจังเลย คุณดีเลิศประเสริฐศรี ดีที่สุดในสามโลก" คุณคิดว่ามันหยาบหรือไพเราะ?
  • eAT likes this

#11 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:10

งั้นผมถามนิดครับ ว่าคำไหนหยาบคำไหนไม่หยาบเราเอาอะไรตัดสินละครับ ผมสงสัยครับ
คุณกินตัดสินได้หมดเลยไหม อย่างที่ผมบอก ช้าง เ-็ดห-ีแม่ม รึง ไปด่าฝรั่งแบบนี้เลย ถามฝรั่งมันว่าหยาบไหม
หรือด่าเป็นภาษาอังกฤษ ก็ได้ ผมว่าฝรั่งมันหัวเราะเอาอีก หรือฝรั่งด่า คุณกิน Fuck you คุณกินรู้ว่าอะไร คุณกินโกธรไหม
ลองให้มันไปด่าตาสีตาสาที่ไม่รู้อังกฤษสิ ตกลงคำๆเดียวกัน คนฟัง 2 คนมันยังคิดต่างกันเลย เพราะพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติว่าคำหยาบ
เป็นแบบไหน หามาให้ผมหน่อยนะครับ เอาแบบพุทธวจนะนะ อธิบายอรรถะไม่เอา คำว่าอย่างคำว่า วอก คำเดียวนี้ล่ะครับ คุณกินคิดว่าหยาบไหม
ถ้าหยาบจะมีคนเอามาตั้งชื่อไหม แต่มีครับ แต่คุณกินลองไปพูดกับคนเชียงใหม่สิ ผมว่าอาจมีต่อยกัน ตกลงมันอยุ่ตรงไหน
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#12 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:48

งั้นผมถามนิดครับ ว่าคำไหนหยาบคำไหนไม่หยาบเราเอาอะไรตัดสินละครับ ผมสงสัยครับ
คุณกินตัดสินได้หมดเลยไหม อย่างที่ผมบอก ช้าง เ-็ดห-ีแม่ม รึง ไปด่าฝรั่งแบบนี้เลย ถามฝรั่งมันว่าหยาบไหม
หรือด่าเป็นภาษาอังกฤษ ก็ได้ ผมว่าฝรั่งมันหัวเราะเอาอีก หรือฝรั่งด่า คุณกิน Fuck you คุณกินรู้ว่าอะไร คุณกินโกธรไหม
ลองให้มันไปด่าตาสีตาสาที่ไม่รู้อังกฤษสิ ตกลงคำๆเดียวกัน คนฟัง 2 คนมันยังคิดต่างกันเลย เพราะพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติว่าคำหยาบ
เป็นแบบไหน หามาให้ผมหน่อยนะครับ เอาแบบพุทธวจนะนะ อธิบายอรรถะไม่เอา คำว่าอย่างคำว่า วอก คำเดียวนี้ล่ะครับ คุณกินคิดว่าหยาบไหม
ถ้าหยาบจะมีคนเอามาตั้งชื่อไหม แต่มีครับ แต่คุณกินลองไปพูดกับคนเชียงใหม่สิ ผมว่าอาจมีต่อยกัน ตกลงมันอยุ่ตรงไหน


ตกลงคุณว่ามีหรือไม่มีครับ
เอาความคิดเห็นของคุณเลย

ถ้ามี แล้วเสพเมถุนมารดาท่าน นี่เป็นคำหยาบไหม?
ถ้าไม่มี แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนหา "หอก" ทำไม?

#13 David_GinoLa

David_GinoLa

    สมาชิกระดับไพร่

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,561 posts

ตอบ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:46


งั้นผมถามนิดครับ ว่าคำไหนหยาบคำไหนไม่หยาบเราเอาอะไรตัดสินละครับ ผมสงสัยครับ
คุณกินตัดสินได้หมดเลยไหม อย่างที่ผมบอก ช้าง เ-็ดห-ีแม่ม รึง ไปด่าฝรั่งแบบนี้เลย ถามฝรั่งมันว่าหยาบไหม
หรือด่าเป็นภาษาอังกฤษ ก็ได้ ผมว่าฝรั่งมันหัวเราะเอาอีก หรือฝรั่งด่า คุณกิน Fuck you คุณกินรู้ว่าอะไร คุณกินโกธรไหม
ลองให้มันไปด่าตาสีตาสาที่ไม่รู้อังกฤษสิ ตกลงคำๆเดียวกัน คนฟัง 2 คนมันยังคิดต่างกันเลย เพราะพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติว่าคำหยาบ
เป็นแบบไหน หามาให้ผมหน่อยนะครับ เอาแบบพุทธวจนะนะ อธิบายอรรถะไม่เอา คำว่าอย่างคำว่า วอก คำเดียวนี้ล่ะครับ คุณกินคิดว่าหยาบไหม
ถ้าหยาบจะมีคนเอามาตั้งชื่อไหม แต่มีครับ แต่คุณกินลองไปพูดกับคนเชียงใหม่สิ ผมว่าอาจมีต่อยกัน ตกลงมันอยุ่ตรงไหน


ตกลงคุณว่ามีหรือไม่มีครับ
เอาความคิดเห็นของคุณเลย

ถ้ามี แล้วเสพเมถุนมารดาท่าน นี่เป็นคำหยาบไหม?
ถ้าไม่มี แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนหา "หอก" ทำไม?


ใจเย็นๆครับท่านทั้งคู่

ภาษาไทยแบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ


- ภาษาระดับพิธีการ
ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นพิธีการ ผู้ส่งสารมักเป็นบุคคลสำคัญ
มีตำแหน่งสูง ผู้รับสารอาจเป็นบุคคลในวงการเดียวกัน หรือเป็นประชาชนทั้งประ
เทศหรือกลุ่มชนส่วนใหญ่ สารจะมีลักษณะเป็นทางการ ภาษาที่ใช้จะไพเราะสละ
สลวย มีการเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้า


- ภาษาระดับทางการ
ใช้สื่อสารกันในการอภิปราย บรรยายอย่างเป็นทางการ ผู้ส่งสารและผู้รับสาร
มักอยู่ในวงการเดียวกัน สารจะมีลักษณะเจาะจง น่าสนใจ ภาษาที่ใช้ตรงไปตรงมา
ใช้ภาษากะทัดรัด ความหมายชัดเจน ประหยัดถ้อยคำและเวลา


- ภาษาระดับกิ่งทางการ
มักใช้ในการประชุมกลุ่ม หรืออภิปรายกลุ่ม การบรรยายในห้องเรียน เป้นการ
สื่อไปสู่กลุ่มบุคคล อาจมีการโต้ตอบบ้าง เนื้อหาของสารมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้
ทั่วไปธุรกิจการแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการ มีศัพท์วิชาการบ้าง ภาษาที่ใช้จะทำให้
รู้สึกคุ้นเคยกว่าภาษาระดับทางการ


- ภาษาระดับไม่เป็นทางการ
มักใช้ในการสนทนาระหว่างกลุ่มบุคคล ๔-๕ คน ในสถานที่ไม่ใช่ส่วนตัว ผู้รับ
สารและผู้ส่งสารจะรู้จักคุ้นเคยกัน เนื้อหาของสารในเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ภาษาที่ใช้อาจมีถ้อยคำที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม


- ภาษาระดับกันเอง
ใช้กันในวงจำกัด ใช้กับบุคคลที่มีความสนิทสนมกัน เช่น บิดา มารดา เพื่อน
สนิทในสถานที่ที่มักเป็นที่ส่วนตัว เนื้อหาของสารเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ภาษาที่ใช้อาจมีคำคะนองหรือภาษาถิ่น

ที่มา:
http://www.oknation....8/11/17/entry-2
"การเมืองต้องเป็นเรื่องการเสียสละ การเมืองคือภาระของทุกผู้การเมืองเรื่องส่วนรวมร่วมรับรู้ การเมืองต้องต่อสู้เพื่อส่วนรวม"เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

#14 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:27


งั้นผมถามนิดครับ ว่าคำไหนหยาบคำไหนไม่หยาบเราเอาอะไรตัดสินละครับ ผมสงสัยครับ
คุณกินตัดสินได้หมดเลยไหม อย่างที่ผมบอก ช้าง เ-็ดห-ีแม่ม รึง ไปด่าฝรั่งแบบนี้เลย ถามฝรั่งมันว่าหยาบไหม
หรือด่าเป็นภาษาอังกฤษ ก็ได้ ผมว่าฝรั่งมันหัวเราะเอาอีก หรือฝรั่งด่า คุณกิน Fuck you คุณกินรู้ว่าอะไร คุณกินโกธรไหม
ลองให้มันไปด่าตาสีตาสาที่ไม่รู้อังกฤษสิ ตกลงคำๆเดียวกัน คนฟัง 2 คนมันยังคิดต่างกันเลย เพราะพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติว่าคำหยาบ
เป็นแบบไหน หามาให้ผมหน่อยนะครับ เอาแบบพุทธวจนะนะ อธิบายอรรถะไม่เอา คำว่าอย่างคำว่า วอก คำเดียวนี้ล่ะครับ คุณกินคิดว่าหยาบไหม
ถ้าหยาบจะมีคนเอามาตั้งชื่อไหม แต่มีครับ แต่คุณกินลองไปพูดกับคนเชียงใหม่สิ ผมว่าอาจมีต่อยกัน ตกลงมันอยุ่ตรงไหน


ตกลงคุณว่ามีหรือไม่มีครับ
เอาความคิดเห็นของคุณเลย

ถ้ามี แล้วเสพเมถุนมารดาท่าน นี่เป็นคำหยาบไหม?
ถ้าไม่มี แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนหา "หอก" ทำไม?


ต้องถามคุณกินก่อนว่าคำหยาบของคุณกินอยู่ที่อะไร อย่างคุณกินว่ามา พระพุทธเจ้าจะสอนหาหอกทำไม ใครวัดว่าหยาบไม่หยาบ
คนฟังใช่หรือไม่ แล้วคนฟังเอาอะไรจับล่ะ ตัวกรูทั้งนั้น อย่างที่คุณกิน ว่ามาตกลงเข้าคำหยาบ ไหม

"ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษเพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ"

อันนี้ทีคุณกินว่ามา

พระพุทธเจ้าจะสอนหา หอก ทำไม สำหรับผมไม่ถือว่าหยาบ ถ้าคนอื่นมาฟังแล้วบอกหยาบ ตกลงคำๆเดียวกันนี้ มันหยาบหรือไม่หยาบ

เพราะว่า หอก เป็นคำที่เราสมุมติว่าเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง ใช่ไหม แล้ว เพราะมาใช้กับ หาหอก กลายเป็นหยาบได้ยังไง

มันมีเพราะมีตัวกรู เข้าใจไหมครับ ผมชื่อเต๋อ ไอ้เต๋อ นี้มันแค่สมุมติให้คนเขารู้จักผม ถ้าใครมาด่าลอยๆไอ้เต๋อ มันเลวชาตินรกแตก นรกไม่รับ เตะพ่อตบแม่ ผมก็คงได้แค่มันด่าใครว่ะ เพราะ เต๋อ แม ร่งมีเป็นร้อยแถมเราไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ถ้ามาชี้หน้าด่า ตัวกรูผมอาจเกิดก็ได้ อย่างคำว่าคุณกิน นี้ มันก็สมุมติที่ผมเรียกคุณ เพราะ eAT แปลว่ากิน ถ้าผมพูดกับ คนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่าใคร แต่พอมาพูดกับคุณ eAT คุณรู้ เพราะคุณรับเอาสมมุติตัวนี้มาแล้วใช่ไหม

ผมยังรอคำตอบอยู่นะ ว่า ตกลงพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติ มาหรือเปล่าว่าหยาบของพระองค์เอง เป็นแบบไหนไม่เอาอรรถนะ
เพราะอรรถ เติมแต่งได้

Edited by ter162525, 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:22.

  • Gop likes this
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#15 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:29

สรุปว่า มีคำหยาบหรือไม่ครับ
ผมจะได้ไปต่อ

ส่วนจะอ้างว่าบัญญัติหรือเปล่า คำว่า กิน พระอาทิตย์ เงา แสง หญ้า ข้าว อาหาร ฯลฯ
พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติครับ จะบ้าหรือ จะให้บัญญัติมันทุกคำ
คำไหนที่เห็นว่าเป็นคำที่มีความหมายชัดเจนในตัวมันเอง ไม่ต้องบัญญัติ
ตกลงคุยกับคนเสียสติหรือนนี่

#16 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:47

สรุปว่า มีคำหยาบหรือไม่ครับ
ผมจะได้ไปต่อ

ส่วนจะอ้างว่าบัญญัติหรือเปล่า คำว่า กิน พระอาทิตย์ เงา แสง หญ้า ข้าว อาหาร ฯลฯ
พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติครับ จะบ้าหรือ จะให้บัญญัติมันทุกคำ
คำไหนที่เห็นว่าเป็นคำที่มีความหมายชัดเจนในตัวมันเอง ไม่ต้องบัญญัติ
ตกลงคุยกับคนเสียสติหรือนนี่


ผมตอบไปแล้ว ตกลงไม่ได้อ่านใช่ไหมนี้ แล้วที่คุณพูดมา "กิน พระอาทิตย์ เงา แสง หญ้า ข้าว อาหาร ฯลฯ"ใครบัญญัติ ครับ ไม่ใช่สมมุติบัญญัติ หรือ ทีผมถามคือผมไม่พบว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติหรือตีความว่าคำหยาบที่ไหนเลยมีแต่อรรถะ เท่านั้น แล้ว แล้วหยาบของคนไม่เหมือนกันอีกอืม อย่างไปทัก ผู้หญิงไปทำไรมา ดูอ้วนขึ้น ถ้าสนิท อาจไม่เท่าไหร แต่ถ้าไม่สนิทมีเคือง กลายเป็นคำหยาบไป เพราะที่คุณยกมา"ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษเพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ" ตกลงเกณท์ มันอยู่ตรงไหน

สมมุติ ถ้าท่าน บอกเข็ด ห-ี แม่ ม รึง ชี้ไปทางคุณกิน อันนี้หยาบแน่นอนครับ เพราะ"ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษเพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ" คุณกินเกิด จิต อกุศล(โทสะ)แน่นอน แต่ถ้าเ-ย็ด ห-ีแม่ มัน ตกลงมันไหน ว่ะ เพราะผมก็เฉยๆ หรือคุณกินจะไปรับเอาว่าแม ่รงด่ากรูแน่เลย

ผมอาจจะเป็นคนบ้าก็ได้ แต่ถ้าคุณกินเข้าถึงสภาวะ จิตไม่ยึดติดกาย หรือเคยเห็นมัน คุณกินอาจจะรู้อะไรมากกว่านี้ก็ได้ อยู่บ้างทีกายเจ็บขึ้นมาอาจจะพูดออกมาจนคนอื่นได้ยิน ก็ได้ ว่าแม ร่งจะไปยึดเ-ี้ยอะไรนั้นหนาของยืมเขามา คนผ่านมาได้ยินพูดหยาบ ใช่ไหม แต่กับใครล่ะ

ถ้าพระพุทธองค์ คือต้นโพธิ์ ที่สวยที่สุดกิ่งก้านสวยงามที่สุด ถ้าต้นไม้ที่มีลักษณะตรงกันอย่างเดียวกันมันไม่จำเป็นว่าต้องเหมือนกันทั้งหมด นั้นเรียกวาสนา ที่สำคัญมันคือ ต้นโพธิ์หรือเปล่า ผมถึงจะ เชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ไม้ชนิดเดียวกัน ไม่ต้องดูที่กิ่งก้าน แต่ดูว่ามันเป็นต้นโพธิ์เหมือนกันไหม
แนวทางดู มีถ้าศึกษาดีๆๆ
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#17 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:47

สรุปแล้ว คุณเอาศักดิ์ศรีของความเป็นคนของคุณมา
บอกว่า ไม่มีความสามารถตัดสินใจได้ว่า

เ-ย็-ด-แ-ม่

เป็นคำหยาบหรือไม่ ถูกต้องไหม?
คำหยาบตามที่พระพุทธเจ้าสอนไม่มีจริง
มีแต่สมมุติ ดังนั้น การใช้คำพวกนี้
เป็นสิ่งที่ทำได้ มรรมีองค์ 8 เรื่องสัมมาวาจา
ไม่มีจริง เพราะวาจาเป็นเรื่องสมมุติ ร่างกาย
สิ่งของเป็นเรื่องสมมุติ ดังนั้น

พระอรหันต์ พูดคำหยาบได้
ฆ่าคนก็ได้ เพราะไม่มีคนจริง
จะเสพเมถุนกับหมาก็ได้ เพราะทั้งหมดเป็น
สมมุติบัญญัติทั้งสิ้น มีแต่นิพพานที่เป็นของจริง


นี่คือสติปัญญา ความรู้ และคำสั่่งสอนเท่าที่มี ของตาบัวมีอยู่
ถูกต้องไหม?

#18 Gop

Gop

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,450 posts

ตอบ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 21:39

ผมว่าประเด็นของคุณ ter262525 นั้นอยู่ที่ความรู้สึกในแต่ละเวลาและสถานการณ์ครับ

บางคำนั้นดูเหมือนสุภาพนะครับ แต่บางคร้ังผมกลับรู้สึกว่าหยาบคาย บอกตรงๆว่าหลายครั้งที่สนทนากับบางคน ไม่มีคำที่ต้องโดน censor เลย แต่ผมกลับรู้สึกแย่พอๆกับโดนด่าด้วยคำหยาบคายเลย

ผมคิดว่าการบอกว่าคำไดเป็นคำหยาบ ต้องดูเป็นกรณีๆไปครับ อยู่ที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังดังนั้นสำหรับผม

ไม่ว่าพูดอะไรออกมาก็ตาม ถ้าผู้พูดไม่มีเจตนาร้าย และ ผู้ฟังไม่เป็นทุกข์เมื่อได้ฟัง คำพูดเหล่านั้นล้วนไม่เป็นคำหยาบครับ

หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.

 


#19 เพลิงสีนิล

เพลิงสีนิล

    สมาชิก ชั้น 7 โฟร์ซีซั่น

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,629 posts

ตอบ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:30

อยู่ที่ใจนะ ผมว่า

หยาบหรือไม่ อยู่ที่ใจของผู้รับสาร นั้น

แต่หากผู้รับสารนั้น ปล่อยวางได้ซึ่งทุกสิ่งแล้ว

ก็คงไม่มีคำใดๆ ไพเราะ หรือ หยาบคาย ต่อจิตนั้นอีกแล้ว

[color=#0000ff;][font="Tahoma, sans-serif;"]เราจะรู้.....รสชาติของความสุข[/color][font="Tahoma, sans-serif;"]ก็ต่อเมื่อ     เราผ่านความทุกข์มาก่อน[/font][/font]


#20 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:13

อธิบายใหม่ให้ง่ายเข้า ฟัก ก็คงเป็นคำไม่สุขภาพด้วยมั้งถ้าคุณถือตามเสียง เพราะภาษาอังกฤษแปลว่า สังวาส

หากแต่ถ้าถือตามธรรม เสียงที่เปล่งออกไป จะเป็นคำสุภาพหรือหยาบขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้พูด
พระอรหันต์ท่านไม่มีเจตนาอันเป็นกุศลหรืออกุศลแล้ว คำ ๆ นั้นจะเป็นคำสุภาพหรือหยาบไปได้อย่างไร

คุณว่าสมมุติก็เอาสมมุติไปปนกันมั่วไปหมด
- คุณคิดหรือว่าสังวาสจะไม่เจตนา แค่คิดเอาไอ้นั่นใส่ช่องคลอด เอาไอ้นั่นใส่ช่องคลอด นั่นก็จัดว่าได้ทำกรรมลงไปแล้ว ถ้าไม่คิดไอ้นั่นคงไม่ลอยไปใส่ช่องคลอดเอง
- คุณคิดหรือว่าพระอรหันต์เมื่อองค์การรู้ท่านครบ ท่านมีหรือจะไม่รู้ไม่รู้ว่านั่นเป็นสิ่งมีชีวิต แล้วท่านจะทำได้อย่างไร เพราะการฆ่าเมื่อมีองค์รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งมีชีวิต หากกระทำลงไป องค์ปาณาติบาตก็ขึ้นชื่อว่าครบแล้ว อกุศลกรรมก็ได้ทำสำเร็จแล้ว

*แก้คำผิด

Edited by รักนะ, 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:55.


#21 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:19

สรุปแล้ว คุณเอาศักดิ์ศรีของความเป็นคนของคุณมา
บอกว่า ไม่มีความสามารถตัดสินใจได้ว่า

เ-ย็-ด-แ-ม่

เป็นคำหยาบหรือไม่ ถูกต้องไหม?
คำหยาบตามที่พระพุทธเจ้าสอนไม่มีจริง
มีแต่สมมุติ ดังนั้น การใช้คำพวกนี้
เป็นสิ่งที่ทำได้ มรรมีองค์ 8 เรื่องสัมมาวาจา
ไม่มีจริง เพราะวาจาเป็นเรื่องสมมุติ ร่างกาย
สิ่งของเป็นเรื่องสมมุติ ดังนั้น

พระอรหันต์ พูดคำหยาบได้
ฆ่าคนก็ได้ เพราะไม่มีคนจริง
จะเสพเมถุนกับหมาก็ได้ เพราะทั้งหมดเป็น
สมมุติบัญญัติทั้งสิ้น มีแต่นิพพานที่เป็นของจริง


นี่คือสติปัญญา ความรู้ และคำสั่่งสอนเท่าที่มี ของตาบัวมีอยู่
ถูกต้องไหม?


ยัดเยียดอีกแล้ว กลับอ่านให้เข้าใจนะครับ

ผมว่าคุณต้องศึกษาอีกเยอะเลย
ถามว่าฆ่าคนตายได้ไหม ผมไม่รู้เพราะไม่เคยเจอ แต่ถ้าสัตว์ เป็นร้อย เรื่องนี้มีเรื่องพระจัตขุบาล เป็นพยานแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงเหตุแล้ว
ของความไม่ผิดแล้ว ดูสิว่าท่านยึดเอาอะไรเป็นเหตุ เรื่องเสพเมถุน ธรรม ก็มีเรื่องเทียบเคียงแล้ว กรณีพระอุบลวรรณาเถรี พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุของความไม่ผิดแล้ว ถ้าจิตไม่มีความยินดีในการเสพเมถุนธรรมนั้นไม่ผิดนะ หรือคุณจะบอกว่านั้นมันถูกกระทำครับก็ถูก เพราะถ้าเป็นฝ่ายกระทำ คุณคิดว่าเขาบรรลุอรหันต์แล้วหรือ เมถุนธรรม มันเป็นแค่รูปกาม อรูปกาม(กามเทวดา)ละเอียดลึกกว่านั้นสุขกว่านั้น ความสุขในสมาธิยิ่งละเอียดเข้าไปใหญ่ ถ้าคุณเปิดใจศึกษา ที่หลวงปู่มั่น บอกเตือนหลวงตามหาบัว คุณจะรู้ว่า สัมมาของพระอรหันต์ ต่างกับสัมมาของคนธรรมดาอย่างไร นั้นเป็นแค่ตัวอย่าง ผมถึงบอกว่าคุณเข้าถึงสภาวะจิตไม่ยึดติดกับกาย หรือจิตไม่รับรู้กาย คุณถึงจะเข้าใจ หลายเรื่อง
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#22 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:42

ภาษาคือสมมุติโดยแท้ คำที่ชนบางกลุ่มสมมุติที่เป็นคำหยาบ ชนอีกบางกลุ่มอาจสมมุติเป็นคำทั่ว ๆ ไป ภาษาจึงไม่มีดีชั่ว หากดีชั่วขึ้นอยู่กับเจตตนาของผู้พูดนั่นเอง คำหยาบก็คือคำที่ผู้ที่พูดออกไปแล้วโดยเจตนาชั่ว


ผมชอบประโยคนี้จริงๆ คุณรักนะแยก รูปนามได้หรือยังครับ ส่วนผมไม่คล่อง แต่พอแยกได้
คุณกิน จิต เกิดขึ้น รวดเร็ว แค่เพียงแว็บเเดียวของจิตก็โดนเล่นงานไปหลายแล้ว จะดูจิตให้ ได้ละเอียดลึกซึ้ง ต้องปิดรูเ หี้ยใหญ่ อินทรีย์ทั้งหลายให้เหลือรูที่ใจอย่างเดียวแล้วจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว พญาเ หี้ยใหญ่มันอยู่แค่ตรงนี้ แค่เห็นหางมันคุณก็ได้อะไรขึ้นเยอะ
ผมถึงถามคุณตลอดว่าถึงหรือยัง ซึ่งคุณไม่เคยตอบได้เลย

Edited by ter162525, 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:46.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#23 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:58

คุณรักนะแยก รูปนามได้หรือยังครับ ส่วนผมไม่คล่อง แต่พอแยกได้

กำลังใจยังไม่ถึงขึ้นนั้นครับ กำลังสติยังน้อยอยู่ หากพอจะคลำได้ว่าอารมณ์หรือความเจ็บมันก็อยู่ส่วนของมัน(หากเวทนายังไม่รุนแรงมาก)

#24 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:09

เอามาให้อ่านเล่นแก้เครียด ธรรมะปฏิบัติ ไม่ใช่ธรรมะไตรปิฏก

เราเป็นนักบวชและเป็นผู้งดเว้นทุกอย่าง บรรดาที่เป็นข้าศึกต่อตนเองและส่วนรวม ท่านจึงให้นามว่า นักบวช แปลว่า ผู้งดเว้น คำว่า เว้น ในที่นี้หมายความว่า เว้นสิ่งที่เป็นข้าศึกที่จะทำให้เราเสีย จงสังเกตคำว่า นัก ถ้าขึ้นหน้าด้วยคำว่า นัก แล้วต้องเลื่องลือ เช่นคำว่านักเลง นักปล้นจี้ เป็นต้น ต้องเป็นคนเสียหายอย่างลือนาม ถ้าเป็นทางดี เช่น นักปราชญ์ นักบวช นักปฏิบัติ ย่อมเป็นไปเพื่อความดีเด่นเป็นส่วนมาก เฉพาะที่นี่จะอธิบายเกี่ยวกับนักบวช ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่งดเว้นสิ่งที่เป็นอกุศล และบำเพ็ญสิ่งที่เป็นกุศล คือความฉลาดเข้าให้มากเท่าที่จะมากได้ จนพอตัวแล้วก็ข้ามอุปสรรคคือกองทุกข์เสียได้ เพราะฉะนั้น เราทุกท่านบัดนี้ได้ทราบแล้วว่าเราเป็นนักบวช โลกก็ให้นามว่าเป็นนักบวช จงทำความรู้สึกในเพศของตนตลอดเวลาและทุกๆ อาการที่เคลื่อนไหวทางกาย วาจา ใจ

เราบวชในพระศาสนามีพระโอวาทเป็นเครื่องปกครอง พระโอวาทมีทั้งรั้วกั้น มีทางเดิน รั้วกั้น คือพระวินัย ปรับโทษแห่งความผิดไว้เป็นชั้น ๆ อย่างหนักก็มี อย่างกลางก็มี อย่างเบาก็มี นี่คือรั้วกั้นทางผิดไม่ให้ปลีกออก และเปิดทางที่ถูกไว้คือพระธรรมเพื่อดำเนินไปสู่จุดประสงค์ที่มุ่งหวัง พระวินัยเป็นรั้วกั้นสองฟากทาง ถ้าแยกออกไปแล้วแสดงว่าผิด แยกออกน้อยก็ผิดน้อย แยกออกมากก็ผิดมาก แยกออกไปจนถึงไม่กลับเข้าสู่ทางเลย ก็แสดงว่าผิดไปเลย เหมือนคนหลงทาง ถ้าหลงน้อยก็วกกลับเข้ามาได้เร็ว ถ้าหลงมากก็ทำให้เสียเวลานาน ยิ่งหลงไปเสียจริง ๆ ก็ไม่มีโอกาสจะถึงจุดประสงค์


เพราะฉะนั้น เรื่องของพระวินัยจึงเป็นเหมือนรั้วกั้นความผิดของผู้เป็นนักบวช เป็นชั้น ๆ ตามฐานะของนักบวชและฆราวาสจะปฏิบัติรักษาตามหน้าที่ของตน ในศีลนับแต่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ส่วนพระธรรมเป็นทางเดิน มีศรัทธาความเชื่อเป็นภาคพื้น ซึ่งพระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว คือเชื่อในทางดำเนินเพื่อผลอันดี วิริยะเพียรไปตามทางนั้นเสมอไม่ลดละ สติเป็นผู้ประคองความเพียรของตนในเวลาเดินทาง สมาธิความมั่นคงของใจต่อการเดินทาง และเป็นเสบียง คือความสงบสุขของใจระหว่างปลายทาง และปัญญา ความรอบคอบในการเดินทางเป็นลำดับไป ตั้งแต่ต้นจนถึงจุดหมายปลายทาง


ธรรมที่กล่าวมาทั้งนี้ เป็นเครื่องสนับสนุนให้เราเดินถูกทาง เมื่อเป็นผู้มีธรรมทั้ง ๕ ข้อ คือ ศรัทธา วิริยะ สมาธิ สติ และปัญญา ประจำตนเสมอแล้ว จุดหมายปลายทางซึ่งเป็นตัวผลเรามิต้องสงสัย จะต้องปรากฏขึ้นเป็นผลตอบแทนให้รู้ประจักษ์ใจของเราตามกำลังความสามารถของตน ถ้าอบรมธรรมทั้ง ๕ นี้แก่กล้าภายในใจแล้ว จุดหมายปลายทางที่พระองค์ประกาศผลเอาไว้ได้แก่ วิมุตติพระนิพพาน จะหนีจากทางดำเนินนี้ไปไม่ได้ เพราะคำว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต่างก็มุ่งต่อผลนั้นอยู่แล้ว


ขอให้ท่านนักปฏิบัติจงพยายามบำรุงศรัทธาความเชื่อในธรรม และสมรรถภาพคือความสามารถของตนเอง วิริยะเพียรให้พอ สมาธิความสงบจะปรากฏเป็นผลขึ้น และพยายามบำรุงสมาธิให้เพียงพอ สติกับปัญญาเป็นพี่เลี้ยง ผลจะปรากฏขึ้นเป็นที่พึงพอใจแก่ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย เราไม่ต้องเป็นอารมณ์ข้อข้องใจว่า มรรค ผล นิพพาน จะมีอยู่ในที่แห่งใด จงพยายามบำรุงเหตุที่ได้อธิบายมานี้ให้เพียงพอ ผลซึ่งจะเกิดขึ้นจากเหตุนั้นจะไม่มีอะไรบังคับไว้ได้


ในธรรมทั้ง ๕ ข้อนี้ คือหลักธรรมทางดำเนิน เรียกว่า อินทรีย์ ๕ หรือ พละ ๕ ก็ได้ อินทรีย์ความเป็นใหญ่ พละคือกำลัง ฝ่ายพระวินัยเป็นรั้วกั้นสองฟากทางซึ่งจะเป็นเหตุให้ผิดต่อทางดำเนินเพื่อมรรค ผล นิพพาน พระพุทธเจ้าทรงกั้นไว้รอบด้าน แล้วทรงเปิดทางคืออินทรีย์ ๕ ให้ดำเนินจนเพียงพอแก่ความต้องการ


กายวิเวก ความสงัดแห่งกาย ในสถานที่อยู่อาศัย ที่ไปที่มาตามบริเวณที่อยู่นี้ นับว่าเป็นสัปปายะ ความสบายพอสมควร จิตวิเวก ท่านผู้มุ่งให้เป็นไปเพื่อความสงัดภายในตามขั้นแห่งความสงบของตน ก็มีประจำจิตของท่านผู้บำเพ็ญพอสมควร ส่วนผู้เริ่มฝึกหัดใหม่ๆ ยังไม่ได้จิตวิเวกภายในใจ จงพยายามบำรุงอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้มีกำลัง ความวิเวกภายในค่อยปรากฏขึ้นเป็นลำดับ ผู้ที่ได้รับความวิเวกภายในพอประมาณแล้ว จงพยายามส่งเสริมให้มีความละเอียดเข้าเป็นลำดับ พร้อมทั้งปัญญาความรอบคอบในความวิเวกของตน และผู้มีธรรมยิ่งกว่านั้น จงรีบเร่งตักตวงความเพียรด้วยปัญญาให้เพียงพอ จะปรากฏเป็นอุปธิวิเวก ความสงัดจากกิเลสโดยสิ้นเชิงประจักษ์ใจขึ้นมาก


กายวิเวกความไม่วุ่นวายกับสิ่งภายนอก เที่ยวหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด และไม่คว้าหาการงานมาเป็นเครื่องรบกวนกาย จนกลายเป็นโรงงานขึ้นในสถานที่อยู่และที่อาศัยชั่วคราว โดยถือการงานเป็นรากฐานของพระพุทธศาสนาและการอาชีพของนักบวช ซึ่งเห็นอยู่ในที่ทั่วไป จนหมดความสนใจในความเพียรทางใจ ซึ่งเป็นกิจของนักบวชแท้ จิตวิเวก ความสงัดของจิต ที่มีความเพียรทางใจเป็นพี่เลี้ยงตามรักษา ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับสิ่งต่าง ๆ ที่มาสัมผัส รั้งจิตใจให้ดำรงอยู่ในความสงบได้ด้วยความระวังสำรวมตลอดเวลา ตามธรรมดาของจิตวิเวก แม้สิ่งภายนอกจะไม่มารบกวน แต่ภายในจิตก็ยังต้องมีอารมณ์ที่เป็นข้าศึกต่อใจอยู่บ้าง เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้ชื่อเพียงจิตวิเวก ความสงัดจากอารมณ์เครื่องก่อกวนภายนอก


ส่วนอุปธิวิเวก หมายถึง ความสงัดจากสิ่งภายนอก มีรูป รส กลิ่น เสียง เป็นต้นด้วย สงัดจากอารมณ์ภายในที่เป็นข้าศึกแก่ใจโดยเฉพาะด้วย คือหมดทั้งสิ่งที่เป็นข้าศึกภายนอก หมดทั้งสิ่งที่เป็นข้าศึกภายใน เป็นความสงัดจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรแทรกสิงใจแม้แต่น้อย เป็นอุปธิวิเวก ความสงัดจากกิเลสตลอดเวลา แม้จะกระทบอารมณ์จากสิ่งต่าง ๆ ที่มาสัมผัส หรือขันธ์จะทำงานตามหน้าที่ของตน ก็ไม่ซึมซาบถึงใจให้ได้รับความลำบาก


ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากกายวิเวกและจิตวิเวกเป็นบาทฐานสำคัญ ธรรมทั้งสามประเภท คือ กายวิเวก จิตวิเวก และอุปธิวิเวกนี้ เป็นธรรมที่ควรแก่ความสามารถของนักปฏิบัติจะบำเพ็ญให้บริบูรณ์ขึ้นในตนได้ทุก ๆ คน โดยไม่มีอะไรมากีดขวาง ขออย่างเดียวแต่อย่าละความเพียรพยายาม จงเป็นผู้อาจหาญร่าเริงต่อสถานที่อยู่ที่อาศัยซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ๆ สงัดวิเวกวังเวง และเป็นสถานที่ที่จะปลดเปลื้องความโง่ต่อตัวเองเสียได้โดยสิ้นเชิง ที่ทั้งนี้พระองค์กับบรรดาสาวกได้เสด็จผ่านไปแล้วจนถึงแดนแห่งนิพพาน ที่ดังกล่าวยังจะกลับแปรสภาพมาเป็นข้าศึกต่อพวกเราผู้ดำเนินตามเยี่ยงอย่างของพระองค์ท่านจะมีอย่างหรือ


จงอย่าพากันห่วงใยในชีวิต ว่าจะทอดทิ้งร่างกายในสถานที่เช่นนั้น หากจะเป็นเช่นนั้นได้จริงแล้ว พระองค์ต้องทรงเปลี่ยนอนุศาสน์จากคำว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ การอยู่ป่าไปเป็นอื่นให้สมกับพระเมตตาที่มีต่อบรรดาสัตว์ทั้งมนุษย์และเทวดาโดยตลอด อนึ่ง ถ้าผู้อยู่ในที่สงัดวิเวกด้วยความเพียรตามแบบพระองค์สอน ผลจะกลายเป็นอื่นไปจากผลที่ชอบธรรมซึ่งประทานแล้ว พระองค์ก็ต้องดัดแปลงแก้ไขบทธรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปตามสมัย และสถานที่นิยม ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ซึ่งเป็นเหมือนพระหทัยวัตถุของพระองค์ที่ประทานไว้ชอบแล้ว ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยพระองค์โดยสิ้นเชิง




ธรรมทั้งนี้ยังคงเส้นคงวาโดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงจากพระองค์ท่าน เราผู้ปฏิบัติจึงควรดัดกาย วาจา ใจของตนเข้าสู่ธรรม ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะดัดแปลงธรรมให้เป็นไปตามอำนาจของใจที่มีกิเลส จะกลายเป็นพระเทวทัตขึ้นมาที่กาย วาจา ใจดวงนั้น ศาสดาคือพระโอวาทอันชอบธรรมก็จะสูญเสียไปจากเราโดยเจ้าตัวไม่รู้สึก ฉะนั้น จงพยายามทางความเพียรตามธรรมที่ทรงประทานไว้ มีความอาจหาญต่อสู้สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อใจ ทั้งที่เกิดขึ้นจากภายนอก และเกิดขึ้นจากภายใน ทั้งผลที่ปรากฏขึ้นมาให้ได้รับความทุกข์ว่าเกิดขึ้นจากไหน และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ด้วยความสนใจของตนตลอดเวลา อย่าทอดธุระ อย่ามีความระอา จงพยายามให้รู้เหตุรู้ผลของสิ่งที่มากระทบหรือเกี่ยวข้องกับใจ จนถึงกับเป็นผลให้ใจได้รับความทุกข์ขึ้นมา จนเห็นได้ชัดในตัวเหตุผลก็เป็นสิ่งจะทราบชัดในขณะเดียวกัน


ข้อสำคัญที่สุดที่ได้เทศน์ในวันใดก็ดี และเป็นธรรมที่แนบสนิทอยู่กับใจของผู้เทศน์ตลอดเวลา คือ สติกับปัญญา นี่เป็นธรรมสำคัญมาก ถ้าได้ขาดสติกับปัญญาแล้วผลจะขาดวรรคขาดตอน การก้าวแห่งความเพียรก็จะขาดวรรคขาดตอนไม่สม่ำเสมอ แม้อุบายความฉลาดที่จะปรากฏขึ้นเป็นเครื่องแก้กิเลสก็ขาดลงเป็นลำดับ และผลคือความสงบสุขก็ขาดวรรคขาดตอนไปตาม ๆ กัน ถ้าสติกับปัญญาได้ขาดวรรคขาดตอนไปแล้ว พึงทราบว่าความเพียรทุกประโยคได้ขาดวรรคขาดตอนไปในขณะเดียวกัน ฉะนั้น โปรดได้ทราบไว้ทุก ๆ ท่านด้วย และทุกครั้งที่เทศน์ไม่เคยเว้น สติกับปัญญาแทบจะกล่าวได้ว่าออกหน้าออกตาว่าบรรดาธรรมทั้งหลาย


เพราะได้พิจารณาแล้วเต็มกำลัง นับแต่ได้เริ่มปฏิบัติมาจนถึงวันนี้ ไม่เคยเห็นธรรมบทใดหมวดใดที่ยิ่งไปกว่าสติปัญญา ซึ่งจะสามารถรื้อฟื้นสิ่งลี้ลับอยู่ภายนอกก็ดี ภายในก็ดี ให้ประจักษ์แจ้งขั้นมาภายในใจ ดังนั้นจึงได้นำธรรมทั้งสองประเภทนี้มาแสดงแก่บรรดาท่านผู้ฟังได้ทราบว่า ถ้าเป็นไม้ก็แก่น หรือรากแก้วของต้นไม้ เป็นธรรมก็รากเหง้า หรือเครื่องมือที่สำคัญสำหรับแก้กิเลสอาสวะ นับตั้งแต่หยาบถึงละเอียดยิ่งให้หมดสิ้นไปโดยสิ้นเชิง ถ้าได้ขาดสติไปเสียเพียงจะทำสมาธิให้เกิดขึ้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ยิ่งได้ขาดปัญญาไปเสียด้วยแล้ว แม้สมาธิก็จะกลายเป็นมิจฉาสมาธิไปได้ เพราะคำว่า สมาธิ นั้นเป็นคำกลาง ๆ ยังไม่แน่ว่าเป็นสมาธิประเภทใด ถ้าขาดปัญญาเป็นพี่เลี้ยงต้องกลายเป็นสมาธิที่ผิดจากหลักธรรมไปได้โดยไม่รู้สึกตัว


คำว่ามิจฉาสมาธินั้นมีหลายชั้น ชั้นหยาบที่ปรากฏแก่โลกอย่างชัดเจนก็มี ชั้นกลาง และชั้นละเอียดก็มี ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะมิจฉาสมาธิในวงปฏิบัติซึ่งปรากฏขึ้นกับตนเองโดยไม่รู้สึกตัว เช่นเข้าสมาธิจิตรวมลงแล้วพักอยู่ได้นานบ้าง ไม่นานบ้าง จนถอนขึ้นมา ในเวลาจิตถอนขึ้นมาแล้วยังมีความติดพันในสมาธิ ไม่สนใจทางปัญญาเลย โดยถือว่าสมาธิจะกลายเป็นมรรค ผล นิพพานขึ้นมาบ้าง ยังติดใจในสมาธิอยากให้รวมอยู่นาน ๆ หรือตลอดกาลบ้าง จิตรวมลงถึงที่พักแล้วถอนขึ้นมาเล็กน้อย และออกรู้สิ่งต่าง ๆ ตามแต่จะมาสัมผัส แล้วเพลินติดในนิมิตนั้น ๆ บ้าง บางทีจิตลอยออกจากตัวเที่ยวไปสวรรค์ชั้นพรหม นรก อเวจี เมืองผี เมืองเปรตต่าง ๆ จะถูกหรือผิดไม่คำนึง แล้วก็เพลินในความเห็น และความเป็นของตนจนถือว่าเป็นมรรคผลที่น่าอัศจรรย์ของตน และของพระศาสนาด้วย ทั้งนี้แม้จะมีท่านที่มีความรู้สามารถในทางนี้มาตักเตือนก็ไม่ยอมฟังเสียเลย เหล่านี้เรียกว่าเป็นมิจฉาสมาธิโดยเจ้าตัวไม่รู้สึก


ส่วนสัมมาสมาธิเล่าเป็นอย่างไร และจะปฏิบัติวิธีใดจึงจะเป็นไปเพื่อความถูกต้อง ข้อนี้มีผิดแปลกกันอยู่บ้าง คือ เมื่อนั่งทำสมาธิจิตรวมลงพักอยู่ จะเป็นสมาธิประเภทใดก็ตาม และจะพักอยู่ได้นานหรือไม่นาน ข้อนี้ขึ้นอยู่กับสมาธิประเภทนั้น ๆ ซึ่งมีกำลังมากน้อยต่างกัน จงให้พักอยู่ได้ตามขั้นของสมาธินั้น ๆ โดยไม่ต้องบังคับให้ถอนขึ้นมา ปล่อยให้พักอยู่ตามความต้องการแล้วถอนขึ้นมาเอง แต่เมื่อจิตถอนขึ้นมาจากสมาธิแล้ว จงพยายามฝึกค้นด้วยปัญญา จะเป็นปัญญาที่ควรแก่สมาธิขั้นไหนก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองดูตามธาตุขันธ์ จะเป็นธาตุขันธ์ภายนอกหรือภายในไม่เป็นปัญหา ขอแต่พิจารณาเพื่อรู้เหตุผลเพื่อแก้ไขหรือถอดถอนตนเองเท่านั้นชื่อว่าถูกต้อง


จงใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรมทั้งภายในทั้งภายนอก หรือจะเป็นส่วนภายในโดยเฉพาะ หรือจะเป็นส่วนภายนอกโดยเฉพาะ พิจารณาลงในไตรลักษณ์ จะเป็นไตรลักษณ์ใดก็ได้จนชำนาญและแยบคาย จนรู้ช่องทางเอาตัวรอดไปได้โดยลำดับ เมื่อพิจารณาจนรู้สึกอ่อนเพลีย จิตอยากจะเข้าพักในเรือนคือสมาธิ ก็ปล่อยให้พักได้ตามความต้องการ จะพักนานหรือไม่นานไม่เป็นปัญหา จงพักอยู่จนกว่าจิตจะถอนขึ้นมาเอง เมื่อจิตถอนขึ้นมาแล้วจงพิจารณาสภาวธรรม มีกายเป็นต้นตามเคย นี่เรียกว่า สัมมาสมาธิ และพึงทราบว่าสมาธิเป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น เมื่อพิจารณาโดยทางปัญญามาก ๆ รู้สึกอ่อนเพลียภายในจิตก็เข้าพักอยู่ในสมาธิ จิตมีกำลังแล้วถอนขึ้นมาควรแก่การพิจารณาต้องพิจารณา ทำอย่างนี้โดยสม่ำเสมอ สมาธิจะเป็นไปเพื่อความราบรื่น ปัญญาจะเป็นไปเพื่อความฉลาดเสมอไป จะเป็นไปเพื่อความสม่ำเสมอทั้งด้านสมาธิและด้านปัญญา


เพราะสมาธิเป็นคุณในทางหนึ่ง ปัญญาเป็นคุณในทางหนึ่ง ถ้าจะปล่อยให้ดำเนินในทางปัญญาโดยถ่ายเดียวก็ผิด เพราะไม่มีสมาธิเป็นเครื่องหนุน ยิ่งถ้าปล่อยให้ดำเนินไปในทางสมาธิโดยถ่ายเดียวแล้ว ยิ่งเป็นการผิดมากกว่าทางด้านปัญญา เมื่อสรุปความลงแล้ว คุณธรรมทั้งสองประเภทนี้เทียบกันได้กับแขนซ้ายแขนขวา เท้าซ้ายเท้าขวาของคน คนคนหนึ่งเดินเหินไปไหนมาไหน และทำกิจการอะไร เท้าและแขนทั้งสองเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนคนนั้น เรื่องของสมาธิกับเรื่องของปัญญาก็มีความจำเป็นเช่นเดียวกัน ถ้าเราจะเห็นเสียว่าสมาธิดีกว่าปัญญา หรือปัญญาดีกว่าสมาธิแล้ว คนคนนั้นควรจะมีเพียงขาเดียว แขนเดียว ไม่มีสองแขน สองขาเหมือนอย่างคนอื่น ๆ ก็เรียกว่าเป็นคนแปลกจากโลกเขา


คนที่ทำตัวให้แปลกจากธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน คือ ตำหนิปัญญาชมเชยสมาธิบ้าง ตำหนิสมาธิชมเชยปัญญาบ้างอย่างนี้ ที่ถูกขณะที่เราจะทำสมาธิก็ต้องเป็นหน้าที่ของสมาธิ และเห็นประโยชน์ในสมาธิจริง ๆ เวลาจะพิจารณาทางปัญญาก็ให้ทำหน้าที่ทางปัญญาและเห็นประโยชน์ในด้านปัญญาจริง ๆ ต่างพักไว้ตามกาลอันควร ไม่ให้สับสนระคนกันเช่นเดียวกับเท้าทั้งสอง เมื่อเท้าขวาก้าวไป เท้าซ้ายต้องหยุด เมื่อเท้าซ้ายก้าวไปเท้าขวาต้องหยุด ไม่ใช่จะก้าวไปพร้อม ๆ กัน เพราะเหตุนั้น สมาธิกับปัญญาจึงเป็นคุณด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อสติกับปัญญาต่างก็มีกำลังเพียงพอ เพราะการฝึกฝนเป็นคู่เคียงกันมา สมาธิกับปัญญาก็จะก้าวไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่จะเปลี่ยนกันรบและเปลี่ยนกันรับอย่างนั้นเสมอไป เช่นเดียวกับแขนซ้ายแขนขวาทำงานร่วมกันฉะนั้น


นี่กล่าวเรื่องสมาธิกับปัญญา ซึ่งเป็นธรรมจำเป็นเสมอกันสำหรับนิสัยผู้อบรมสมาธิมาก่อน เดี๋ยวจะเป็นสมาธิเลยเถิด โดยไม่เห็นปัญญาเป็นอีกแง่หนึ่ง คือถ้าเป็นธรรมจำเป็นจะควรใช้ในกาลอันควร ส่วนนิสัยของผู้หนักในด้านปัญญาอบรมสมาธิ จิตต้องหาความสงบไม่ได้ด้วยอำนาจของสมาธิอบรม ก็ต้องอาศัยปัญญาเป็นผู้สกัดลัดกั้นจิตที่มีความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในอารมณ์ต่างๆ โดยกำหนดตามความฟุ้งของใจว่า ฟุ้งไปเพราะเหตุใด และมีสิ่งใดเป็นเหตุชักจูงจิตใจให้เป็นอย่างนั้น ปัญญาต้องตามค้นคว้าในสิ่งที่จิตไปสำคัญมั่นหมายนั้น ๆ จนกว่าจิตจะยอมจำนนต่อปัญญา แล้วเข้าสู่ความสงบได้ ความสงบของจิตประเภทนี้เรียกว่า สงบได้ด้วยปัญญา


นิสัยของบางราย แม้จิตจะเข้าสู่ความสงบ แต่ยังใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองหรือคิดปรุงยังได้ โดยไม่เป็นข้าศึกต่อความสงบนั้น เราจะหาว่าจิตเป็นสมาธิแล้วทำไมจึงคิดปรุงได้ แล้วเกิดความสงสัยในความเป็นสมาธิของตน เรียกว่าไม่เข้าใจในนิสัยของตน แต่ก็เป็นธรรมดาของผู้ไม่เคยผ่านเคยรู้ เนื่องจากไม่มีผู้แนะนำแนวทางพอได้ยึดเป็นหลักฐาน เวลาเหตุการณ์เช่นนั้นได้ปรากฏขึ้นในตนเอง อาจจะสงสัยในปฏิปทาการดำเนินของตนได้ ดังนั้นจึงถือโอกาสแสดงให้บรรดาท่านผู้ฟังได้ทราบว่า จิตที่มีความสงบโดยวิธีของปัญญาเป็นพี่เลี้ยงอย่างนี้ มีความคิดปรุงได้ในขั้นหนึ่ง


แต่เมื่อเข้าถึงขั้นละเอียดเต็มที่แล้วนั้น ไม่ว่าสมาธิประเภทใดจะหมดการปรุงแต่งเช่นเดียวกัน หมดสัญญาความจำในสิ่งทั้งหลาย สังขารความคิดความปรุง และวิญญาณความรับรู้ในสิ่งต่างๆ จะไม่ปรากฏในสมาธิประเภทละเอียดนั้น สรุปความ สมาธิขั้นกลางของนิสัยผู้ลงได้อย่างรวดเร็ว คือผู้ได้สมาธิก่อนไม่มีการปรุง เพราะถ้าเริ่มปรุงก็เริ่มจะถอนในขณะเดียวกัน แต่สมาธิที่สงบได้ด้วยอำนาจของปัญญาเป็นพี่เลี้ยงยังคิดปรุงได้โดยจิตไม่ถอน และทั้งสองนิสัยต้องมีสติรู้อยู่ในความรวมของตนด้วยกัน


วันนี้ได้อธิบายมิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิว่ามีความต่างกันอย่างไร อธิบายเท่าที่ควรสำหรับนักปฏิบัติของเราจะได้เข้าใจ และยึดไว้เป็นหลักต่อไป ได้ย้ำว่าสติกับปัญญาเป็นธรรมสำคัญมาก ผู้ฝึกหัดสติไม่จำเป็นจะต้องฝึกหัดเฉพาะเวลาทำความเพียรเท่านั้น ต้องฝึกหัดอยู่ตลอดเวลา จะเดินไปไหนทำอะไรก็ตามต้องเป็นผู้มีสติตั้งท่าต่อความเพียรของตนเสมอ ถ้ามีสติแล้วสัมปชัญญะก็ต้องมี เพราะสัมปชัญญะติดต่อสืบเนื่องมาจากสติที่ตั้งไว้ดีแล้ว ถ้าขาดสติเสียสัมปชัญญะก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้นจงพยายามอบรมสติที่เป็นภาคพื้นจนสามารถแก่กล้าขึ้นเป็นสติในความเพียรภายในใจได้ จากนั้นก็กลายเป็นมหาสติขึ้นมาเพราะการอบรม และการตั้งสติอยู่เสมอ


เรื่องของปัญญาก็เช่นเดียวกัน จงพยายามไตร่ตรองในสิ่งที่มากระทบ จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส หรือจะเป็นขึ้นภายในโดยเฉพาะก็ตาม ต้องตามคิดค้นดูสาเหตุจนกลายเป็นความเคยชินเกิดขึ้นกับนิสัยชอบคิดชอบไตร่ตรอง เมื่อปัญญาขั้นนี้มีกำลังแล้วก็จะก้าวขึ้นสู่ปัญญาขั้นสูง เราจะน้อมปัญญาขั้นนี้ขึ้นสู่การพิจารณาในข้อข้องใจที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมภายในใจโดยเฉพาะ ก็จะปรากฏเห็นความแจ้งชัดขึ้นมาและตัดข้อข้องใจนั้น ๆ ได้ เพราะอำนาจของปัญญาที่เคยอบรมในทำนองนี้ จนกลายเป็นมหาปัญญาขึ้นเช่นเดียวกับมหาสติ ไม่เคยปรากฏในที่ไหนเลย


ผู้ไม่ได้เริ่มฝึกหัดปัญญาไปโดยวิธีที่กล่าวนี้ แล้วไปปรากฏผลอย่างสมบูรณ์ขึ้นด้วยปัญญาอันยอดเยี่ยม แม้ท่านผู้เป็นขิปปาภิญญาตรัสรู้ได้เร็ว ท่านยังเริ่มต้นแต่ปัญญาขั้นหยาบขึ้นเป็นลำดับไปอย่างรวดเร็ว และตรัสรู้ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งใคร ๆ ก็ทราบมาแล้วในตำนาน ฉะนั้นการฝึกหัดสติกับการฝึกหัดปัญญาไปตามความเคลื่อนไหวของตนทุกๆ อาการ โดยไม่คำนึงว่าเราทำความเพียรหรือไม่ทำความเพียร แต่ให้เป็นความเพียรแฝงโดยทำนองนี้เสมอไปแล้ว อย่างไรจิตต้องก้าวเข้าสู่ความสงบ และปัญญาก็จะเริ่มปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับ


เฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นนักบวชหรือผู้ใคร่ต่อการปฏิบัติเพื่อความสงบใจ และเพื่อการรื้อถอนตนให้พ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวแล้ว เรื่องสติกับปัญญายิ่งเป็นธรรมจำเป็นมากขึ้น เพราะถ้าอบรมสติกับปัญญาจนติดนิสัย กลายเป็นความรอบคอบประจำตนแล้ว จะกำหนดออกไปข้างนอกก็เป็นความฉลาด จะกำหนดเข้าสู่ภายใน คือกาย เวทนา จิต ธรรม ก็ได้ความแยบคายขึ้นเป็นลำดับ จะพิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ได้อุบายรื้อถอนกิเลสไม่ขาดวรรคขาดตอน และเรื่องของสติเป็นเรื่องสำคัญเป็นพิเศษ เพราะถ้าไม่มีสติเป็นรั้วกั้นไว้ทุกระยะแล้ว แม้ปัญญาก็จะกลายเป็นสัญญาโดยไม่รู้สึกตัว ฉะนั้นสติจึงเป็นธรรมมีน้ำหนัก ที่จะทำปัญญาให้มีความฉลาดได้โดยราบรื่น ด้วยอำนาจของสติเป็นฝั่งเหมือนฝั่งแม่น้ำไม่ให้ปัญญาเลยเถิด


ปัญญาเลยเถิดโดยมากมันเลยไปเป็นสัญญา ถ้าปัญญาจริงๆ แล้วจะไม่เลยเถิด เพราะมีสติกำกับอยู่แล้ว การใช้ปัญญากำหนดเข้าสู่ภายในกายนี้จะเป็นเรื่องอะไรสะดุดใจทุก ๆ ระยะ จะเป็นเรื่อง อนิจฺจํ ก็ดี ทุกฺขํ ก็ดี อนตฺตา ก็ดี ต้องปรากฏขึ้นไตรลักษณ์ใดไตรลักษณ์หนึ่งแน่ ๆ เพราะสภาพคือกายเป็นต้น มีอยู่ตลอดกาล เมื่อสติกับปัญญาได้หยั่งลงสู่ที่นี่แล้ว จะกลายเป็นปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมขึ้นมา โปรดทราบว่าธรรมทั้งหลาย จะไม่ปรากฏขึ้นเพราะเรื่องอดีต อนาคต แต่จะปรากฏขึ้นเพราะเหตุแห่งปัจจุบันเท่านั้น แม้เราจะพิจารณาเรื่องอดีต อนาคต ก็ต้องย้อนเข้าสู่วงปัจจุบัน จึงจะสำเร็จประโยชน์


เช่นเราเห็นเขาตาย น้อมเข้าสู่ตัวเราว่า เราก็ต้องตายเหมือนกันดังนี้เป็นต้น เมื่อคำว่าเราเกิดเท่านั้นก็วิ่งเข้าถึงตัว และปรากฏเป็นปัจจุบันขึ้นมา เรื่องอดีตอนาคตจะให้สำเร็จประโยชน์ต้องน้อมเข้าสู่ปัจจุบันเสมอ เช่น วานนี้เขาตาย วันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะต้องตายเช่นเดียวกัน นี่คำว่าเราทั้งนั้นก็เข้าถึงปัจจุบันทันที เรื่องข้างนอกต้องน้อมเข้าสู่ข้างใน เรื่องข้างหน้า ข้างหลังต้องน้อมเข้าสู่ปัจจุบันจึงจะสำเร็จประโยชน์


เมื่อไตร่ตรองดูสภาวธรรมที่มีอยู่รอบตัวของเรา มีกายเป็นต้น โดยมีสติและปัญญาอยู่เสมอ ถึงอย่างไรก็ไม่พ้นมือ ต้องรู้เห็นประจักษ์ใจขึ้นมา และการพิจารณาสภาวธรรมมีกายเป็นต้น พึงแยกส่วนแบ่งส่วน และตรองดูด้วยปัญญาจนชัดเจน อย่าปล่อยให้สัญญาฉุดลากหนีจากหลักธรรมที่ตนกำลังพิจารณา เว้นไว้แต่


จะใช้สัญญาเพื่อเป็นเส้นบรรทัดให้ปัญญาเดินตามในเวลากำลังปัญญามีไม่เพียงพอต่อการพิจารณาเท่านั้น จงทำสติให้เป็นรั้วกั้นด้วยดี จะรู้เห็นในสิ่งไม่เคยรู้เคยเห็นประจักษ์ใจ เพราะสภาวธรรมมีอยู่แล้วอย่างสมบูรณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เราไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน เป็นธรรมมีเต็มอยู่ในกายในจิตอย่างสมบูรณ์ตลอดกาล นอกจากสติกับปัญญาไม่สามารถจะขุดค้นสิ่งที่มีอยู่ให้ปรากฏขึ้นมาเป็นสมบัติของตนได้เท่านั้น

แต่ถ้าเราตั้งความสังเกตพิจารณาทั้งวันทั้งคืน วันหนึ่งคืนหนึ่งกี่รอบกี่เที่ยวไม่ต้องถือเป็นอารมณ์ โดยถือเอาความชำนาญและคล่องแคล่วทางปัญญาเป็นสำคัญ ความมีสติติดเป็นพืดอยู่ในปัจจุบัน และความมีปัญญากระจายอยู่รอบตัว ความเคลื่อนไหวจะส่งไปที่ไหน สติกับปัญญาวิ่งตามอยู่รอบตัว สิ่งที่เป็นข้าศึกจะทนต่อสติปัญญาซึ่งเราเคยฝึกฝนจนเพียงพอได้อย่างไรเล่า


อนึ่ง เรื่องความฟุ้งซ่านวุ่นวายเหล่านั้น เราไม่ได้ตั้งเจตจำนงจะส่งเสริมเขา ส่วนธรรมเครื่องระงับสิ่งเหล่านั้น เราพยายามฝึกอยู่ตลอดเวลาเพื่อทันกับความเคลื่อนไหวแห่งกองโจรซึ่งคอยดักปล้นเราอยู่ทุกขณะ เราต้องใช้แบบบังคับโดยทำนองที่กล่าวนี้ อาการทุกส่วนในร่างกายจงแยกออกดูให้ชัด ตั้งแต่ข้างนอกเข้าสู่ข้างใน หรือแยกแต่ข้างในออกมาข้างนอก ดูถอยหน้าถอยหลัง ดูขึ้นดูลง และแยกส่วนแบ่งส่วนเป็นชิ้นเป็นอัน จะกำหนดไฟเผาให้ไหม้เป็นจุณวิจุณลงไป หรือจะกำหนดให้แตกกระจัดกระจายลงโดยวิธีใด แล้วแต่ความถนัดของเรา จัดว่าเป็นเรื่องของปัญญาหาความแยบคายใส่ตนทั้งนั้น เมื่อพอแก่ความต้องการแล้วเราจะรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ และประจักษ์กับใจโดยไม่ต้องไปถามใคร ๆ ทั้งนั้น


การพิจารณากายจนรู้ชัดเห็นชัดเท่าไร เรื่องเวทนา จิต ธรรม หรือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ต้องชัดไปตาม ๆ กัน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นหินลับสติกับปัญญาให้คมกล้าขึ้นเป็นลำดับ เหมือนวิดน้ำออกจากบ่อปลา วิดน้ำออกมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นตัวปลาชัดขึ้นทุกที หรือเราถางป่าที่รกชัฏ ถางให้เตียนเท่าไรก็ยิ่งเห็นสถานที่นั้นชัด สิ่งที่กล่าวเหล่านี้แลเป็นเครื่องปกคลุมจิตใจของเรา จนไม่สามารถจะรู้กระแสของใจที่ส่งออกสู่อารมณ์ต่าง ๆ ได้ชัดเจน เมื่อใช้ปัญญาไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ ความเด่นแห่งกระแสของใจ ความกระเพื่อมของใจที่แสดงออกทุกๆ ขณะก็รู้ชัด และความเด่นของใจก็จะรู้เช่นเดียวกัน เพราะสติแก่กล้าปัญญาก็รวดเร็ว ความกระเพื่อมของจิตพอแสดงออก สติกับปัญญาซึ่งมีอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน ก็จะตามรู้และแก้ไขกันได้ทันท่วงที


แต่พึงทราบว่า การพิจารณาขันธ์ ๕ สติปัฏฐาน ๔ ไม่ได้หมายจะถือเอาสิ่งเหล่านี้เป็นมรรค ผล นิพพาน แต่เป็นวิธีรื้อถอนสิ่งเหล่านี้ออกเพื่อเห็นธรรมชาติที่ว่าตัวปลาคืออะไรแน่เท่านั้น คำว่าปลาเทียบกับใจที่ทรงไว้ซึ่งความเศร้าหมองทั้งหลาย ใครพิจารณามากเท่าไร วันหนึ่งกี่เที่ยวหรือกี่รอบไม่ต้องนับ ถือเอาความชำนาญคล่องแคล่วต่อการพิจารณาเป็นหลักสำคัญ ใครพิจารณาได้มากและชำนาญเท่าไร ความแยบคายของปัญญาที่แพรวพราวต่อตนเองและสภาวธรรมทั่ว ๆ ไป ก็ยิ่งทวีคูณไม่มีที่สิ้นสุด จนมีความรู้ความสามารถปฏิเสธในสภาวธรรมที่เคยพิจารณามาเป็นชั้น ๆ นับแต่รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั่วทั้งโลกธาตุ ย้อนเข้ามาสู่กองรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตนว่าไม่ใช่กิเลสตัณหาอาสวะแต่อย่างใด มีเรื่องของใจดวงเดียวเท่านั้นเป็นกิเลสอาสวะเครื่องผูกมัดตนเองโดยตรง ไม่มีอะไรจะมีอำนาจเอื้อมเข้ามาผูกมัดจิตใจ นอกจากใจที่ทรงไว้ซึ่งความโง่ต่อตนเอง แสวงหาบ่วงมาสวมคอตัวเอง และก่อไฟกองลุ่มหลงขึ้นเผาตัวเองเปล่าๆ เท่านั้น ไม่เห็นมีร่องรอยแห่งข้าศึกจะมาจากที่ไหน


เรื่องทั้งนี้เทียบกับมีดพร้าซึ่งเป็นเครื่องมือทำประโยชน์ของคนฉลาด แต่คนโง่กลับไปคว้าเอาสิ่งเหล่านี้มาประหารตนให้ได้รับความทุกข์ถึงตายแบบโมฆบุรุษ แล้วจะหาว่ามีดพร้าเป็นข้าศึกต่อตนเองอย่างนี้มีตัวอย่างที่ไหน สภาวธรรมทั่ว ๆ ไป เช่นเดียวกับเครื่องมือทำประโยชน์ แต่โมฆบุรุษไปคว้ามาจองจำตัวเองแล้วกลับตำหนิว่า สภาวะทั่วโลกรวมหัวกันมาทำร้ายตัวเองอย่างนี้ ใครจะเป็นผู้ตัดสิน เพราะเจ้าตัวได้ประหารตัวเองจนถึงตายแล้ว ตัดสินเครื่องมือให้เป็นฝ่ายแพ้ความต่อผู้ชนะที่ตายไปแล้ว จะได้อะไรมาเป็นเครื่องเสริมเกียรติให้สมใจเล่า


เรื่องใจหลงตัวเองและหลงเรื่องของตัวมีลักษณะเช่นนี้ ฉะนั้นเมื่อปัญญาหยั่งทราบในสภาวธรรมมีกายเป็นต้นแล้ว จะต้องหยั่งทราบถึงจุดแห่งเหตุนั้น เรื่องของจิตจะมีกระแสส่งไปหนักเบามากน้อยในทางใด และในอารมณ์อันใดก็จะรู้ชัดด้วยปัญญา สิ่งทั้งหลายที่เคยถือว่าเป็นข้าศึก ก็จะกลับปฏิเสธ เพราะอำนาจของปัญญาที่ไตร่ตรองดูสาเหตุโดยละเอียดถูกต้องแล้ว ในขณะเดียวกันก็จะกลับตำหนิความรู้ซึ่งมีอยู่ภายในว่า เป็นข้าศึกต่อตนเอง เพราะอำนาจของปัญญาที่เห็นชัด และปล่อยวางเข้ามาเป็นชั้น ๆ ซึ่งจะทนถือไว้ไม่ได้ ดังนั้นความรู้ชัดเห็นชัดโดยทางปัญญาจึงต้องปฏิเสธ และปล่อยวางเป็นระยะ นับแต่รูป เสียง เป็นต้น จนถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีเหลืออยู่ภายในใจ


แม้ธรรมชาติที่รู้ๆ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่สามารถจะรู้เห็นได้ว่าเป็นตัวโทษหรือตัวคุณ เราจึงมัวแต่ไปตำหนิสิ่งทั้งหลายทั่วทั้งโลกธาตุ ว่าเป็นของดีบ้างชั่วบ้าง น่านิยมชมชอบบ้าง น่าเกลียดบ้าง น่ารักน่าชังบ้าง น่าอัศจรรย์จนตัวลอยไปตามบ้าง และน่าเบื่อจนเกิดความทุกข์ร้อนนอนไม่หลับเพราะความเบื่อนั้นบ้าง สรุปความลงให้ยินดียินร้าย เป็นทุกข์เป็นร้อนไม่มีสิ้นสุดโดยไม่รู้สึกตัว อะไรเป็นตัวเหตุสำคัญที่ทำใจให้เป็นกงจักรหมุนรอบตัว และก่อไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ เผาตัวอยู่ตลอดกาล เมื่อปัญญาได้ไตร่ตรองดูจนแจ้งชัดแล้ว สภาวะทั่วๆ ไปทั้งภายในภายนอกย่อมมีลักษณะเช่นเดียวกันหมด ไม่ปรากฏว่าสิ่งทั้งนี้เป็นข้าศึกต่อผู้ใด จะเห็นตัวโทษมีอยู่เฉพาะธรรมชาติที่รู้ๆ ในขณะปัญญานำสิ่งปกคลุมออกหมดแล้ว คราวนี้ผู้รู้จะไหวตัว หรือกระเพื่อมแผล็บก็รู้ทันทีว่าตัวกงจักรแสดงตน เป็นตัวก่อเหตุ เป็นตัวสั่งสมทุกข์ทั้งมวล และเป็นตัวสมุทัยโดยตรง นอกจากธรรมชาตินี้แล้วไม่มีอะไรเป็นตัวสมุทัยในโลก


มาถึงขั้นนี้แล้ว มีความรู้อันเดียวเท่านั้นเป็นตัวสมุทัยหมดทั้งดวง เมื่อประจักษ์ใจด้วยปัญญาถึงขนาดนี้แล้ว ใครจะยอมถือตัวผู้รู้ซึ่งเป็นกงจักรนี้ว่าเป็นตนเล่า นี่คือปัญญาขั้นละเอียดและปัญญาอัตโนมัติในหลักธรรมชาติ ซึ่งอบรมมาจากการกดขี่บังคับในเบื้องต้น ผลจึงปรากฏเป็นความฉลาดพอตัว แม้จะให้นามว่าขั้นมหาปัญญาก็ไม่ผิด นอกจากรู้วัฏจิตอันเป็นตัวสมุทัย แล้วยังพิจารณาย้อนเข้าไปว่า เป็นเพราะเหตุใดจึงเป็นสมุทัย และเป็นได้อย่างไร ตามคิดค้นเข้าไปตามสาเหตุที่มีและแสดงตัวให้ปรากฏอยู่ ด้วยความสนใจใคร่จะรู้ในสาเหตุนั้น


แต่โดยมากเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรองจนละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ ต้องติดในความรู้วัฏจักรนี้แน่ๆ เพราะเป็นยอดสมุทัยของวัฏจักร ซึ่งควรหลงและติดได้โดยนักปฏิบัติไม่รู้สึกตนว่าติด นอกจากจะหลงและติดอยู่โดยไม่รู้สึกตัวแล้ว ยังอาจจะระบายความหลงอันลึกลับนี้ออกเป็นความรู้โดยเข้าใจผิดของตนให้ผู้อื่นฟัง และหลงตามกันไปเป็นจำนวนมากก็ได้


เพื่อให้นักปฏิบัติทั้งหลายได้ทราบว่าธรรมชาติรู้ๆ นี้ ถ้าว่าเป็นของอัศจรรย์ก็ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด จะว่าผ่องใสก็ยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น จึงควรให้นามธรรมชาตินี้ว่าหลุมถ่านเพลิงซึ่งขุดไว้ในที่ลี้ลับ แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมชาตินี้จะทนต่อปัญญาซึ่งเป็นธรรมละเอียดเช่นเดียวกันไปไม่ได้ จะต้องทราบความจริงจากปัญญาว่า ธรรมชาติรู้ ๆ นี้คือสมุทัยอย่างเอก และจะทนตั้งอยู่ต่อไปไม่ได้ ต้องแตกทลายลงทันที เช่นเดียวกับเขาทุบต่อยสิ่งมั่นคงให้แตกกระจายด้วยท่อนเหล็กฉะนั้น


เมื่อธรรมชาตินี้ได้ถูกทำลายด้วยปัญญาสลายตัวลงไปแล้ว ธรรมชาติที่อัศจรรย์เหนือสมมุติใด ๆ ก็ปรากฏขึ้นอย่างเต็มที่ ความเห็นโทษกับความเห็นคุณได้ปรากฏขึ้นในขณะเดียวกัน วิชชาวิมุตติได้ปรากฏเป็น ธมฺโม ปทีโป (ความสว่างแห่งธรรม) อันเด่นดวงขึ้นอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับพระอาทิตย์ที่ปราศจากเมฆกำลังฉายแสงลงสู่พื้นให้โลกได้รับแสงสว่างอย่างเต็มที่ฉะนั้น ผลคือความเด่นแห่งวิชชาวิมุตติได้ปรากฏแก่ใจของท่านนักปฏิบัติ ในขณะอวิชชาได้ดับลงไปแล้ว


ธรรมที่กล่าวมานี้เป็นตัวผล เหตุเป็นมาอย่างไร ได้อธิบายให้ท่านผู้ฟังทราบแล้วว่า ศรัทธาความเชื่อ วิริยะความเพียร สติความระลึกได้ สมาธิความตั้งมั่น ปัญญาความฉลาดรอบคอบ นี่คือทางเดิน เดินมาสู่จุดนี่เอง ไม่ได้เดินไปที่ไหน ใครจะอยู่ในบ้านก็ตาม อยู่ในวัดก็ตาม อยู่ในป่าก็ตาม และเป็นผู้หญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม เป็นนักบวชหรือฆราวาสก็ตาม ถ้ามีธรรมห้าประการประดับตัวอยู่เสมอแล้ว ชื่อว่าเดินเข้ามาสู่จุดนี้ทั้งสิ้น คือเป็นผู้มีสิทธิในด้านปฏิบัติ และผลที่จะพึงได้รับก็สมบูรณ์เท่าเทียมกัน


ฉะนั้น ขอให้บรรดาท่านนักปฏิบัติทั้งหลายซึ่งเราก็ทราบชัดในใจของเราว่า เป็นนักปฏิบัติด้วย เป็นนักงดเว้นด้วย จงปฏิบัติเพื่อการส่งเสริมกาย วาจา ใจให้เจริญ และจงงดเว้นสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อตนเองอย่างเต็มที่ จนถึงจุดประสงค์คือวิมุตติพระนิพพาน ตามที่ได้อธิบายให้ฟังแล้ว เพราะธรรมทั้งนี้จะเหนือจากสติปัญญา ความเพียรพยายาม ไม่ทอดธุระของเราทั้งหลายไปไม่ได้ และธรรมเหล่านี้แลที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ว่า สวากขาตธรรม แปลว่า ธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว คือทางดำเนินก็ตรัสไว้ชอบแล้ว ทั้งทางผิดก็ตรัสไว้ว่าผิดจริง และทางถูกก็ตรัสไว้ว่าถูกจริง ผลที่เกิดจากทางดำเนินที่ถูกต้อง คือวิมุตติพระนิพพาน ก็เป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วเหมือนกัน ที่เป็นปัญหาอยู่ก็คือ ผู้ดำเนินเท่านั้น จะดำเนินหรือปฏิบัติชอบจริงหรือไม่ ถ้าปฏิบัติชอบจริงตามที่ประทานไว้แล้วผลก็ต้องปรากฏเป็น สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายโดยชอบเช่นเดียวกัน


เพราะเหตุนั้นจงพยายามฝึกหัดสติกับปัญญาของตนทุกๆ ขณะ ไม่เพียงแต่ว่าอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง เราอย่าเห็นว่าทำมากไปหรือน้อยไปในเรื่องความเพียร ใครเข้าใจมากเท่าไร ฉลาดมากเท่าไร แก้ไขกิเลสได้มากเท่าไร และพ้นทุกข์ไปได้มากเท่าไร นั่นเป็นผลที่เราต้องการเป็นลำดับ จนถึงกับพ้นไปเสียจริงๆ ไม่มีอะไรเหลือ คือพ้นทั้งรู้ๆ เห็นๆ ในชีวิตของเราซึ่งกำลังครองขันธ์ห้าอยู่นี้ นั่นแลเป็นธรรมที่แน่นอนที่สุด เพราะคำว่าสวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้วนั้น ไม่ได้หมายความว่าชอบในเวลาเราตายไปแล้วเท่านั้น ยังชอบทั้งขณะที่ปฏิบัติอยู่นี้ด้วย ผลที่ได้รับตามขั้นของความเพียรก็ประจักษ์ใจของผู้ปฏิบัติซึ่งยังมีชีวิตอยู่ด้วย


อนึ่ง วิธีการหรืออุบายจะฝึกฝนจิตใจของเรานั้น ยกให้เป็นอุบายความแยบคายของแต่ละท่านในประโยคแห่งความเพียรของตน ต้องสังเกตอิริยาบถที่เป็นไปเพื่อความสะดวกในทางความเพียร ไม่เพียงแต่ว่านั่งแล้วก็นั่ง เดินแล้วก็เดิน ต้องสังเกตผลประโยชน์ที่เกิดจากความเพียรของตนโดยความมีสตินั้นด้วย เพราะอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน อาจจะถูกตามจริตของแต่ละท่านๆ ไม่สม่ำเสมอกัน


วันนี้ ได้แสดงธรรมให้บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายฟัง ตั้งแต่ต้นจนสุดขีดความสามารถเหมือนกัน ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอให้ทุกท่านจงนำธรรมที่ได้อธิบายในวันนี้และที่ผ่านมาแล้ว เข้าไปเป็นเครื่องเตือนใจหรือเป็นคู่เคียงกับความเพียรของตน ผลที่ท่านทั้งหลายจะพึงได้รับจะหนีจากธรรมที่เทศนาในวันนี้ไปไม่ได้ จึงขอยุติธรรมเทศนาลงเพียงเท่านี้ เอวํ
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#25 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:19


คุณรักนะแยก รูปนามได้หรือยังครับ ส่วนผมไม่คล่อง แต่พอแยกได้

กำลังใจยังไม่ถึงขึ้นนั้นครับ กำลังสติยังน้อยอยู่ หากพอจะคลำได้ว่าอารมณ์หรือความเจ็บมันก็อยู่ส่วนของมัน(หากเวทนายังไม่รุนแรงมาก)


ต้องเอาตายหรือพิการเข้าว่าครับ จะเห็นชัดเลย หลวงพ่อจรัญท่านสอนว่าเอาจิตไปกำหนด ปวดหนอ หรือรู้หนอ ผมทำหลายที่ไม่หาย
เลยเจอถึงเชือกที่ยึดก้อนดินก้อนนี้ จะขาดไป ถ้าไม่ได้เวลาลุกจะไม่ลุกเด็ดขาด เอาธาตุจับเลย ในใจนะ(แม ร่งเอ้ย จะไปยึดกับก้อนดินก้อนนี้อะไรนักหนา พอจะได้เวลาจิตสว่างสุขแบบนั้งจนตายตรงนั้นเลยก็ได้ คุณบาอาจาร์ยท่านถึงบอกว่าเอาตายเข้าว่า

Edited by ter162525, 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:09.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#26 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:16

ตลกนะ อ่านไปอ่านมา ก็แถไปว่า
- คำหยาบมี แต่เป็นบางโอกาส
- คำหยาบไม่มี แล้วแต่จิตใจ

ตกลงมีหรือไม่่มี เหมือนกับอัตตา มีหรือไม่มี
แล้ว สัมมาวาจาที่พระพุทธเจ้าสอน สอนมาทำไม
คำสอนพระพุทธเจ้ามีเรื่องไร้สาระแบบนี้มาด้วยหรือ



เรื่องเสพเมถุน กับฆ่าคน ก็เหมือนกันกับการอ้างที่บอกว่า
คำหยาบก็เป็นแค่เสียง อย่างนั้น เรื่องทั้งหมด ก็เป็นแค่ "สภาพธรรม"
เมื่อพระอรหันต์เห็นสภาพธรรมแล้ว ก็ทำได้ทุกอย่างนะสิ



ตกลงแล้ว สาวกหลวงตาบัว และพระสายหนองป่าพง
ยืนยัน นั่งยัน ว่า

เ-ย็-ด-แ-ม่

ไม่ใช่เป็นคำหยาบคาย ถูกต้องไหม?

#27 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:15

ยัดเยียดอีกแล้ว กลับอ่านให้เข้าใจนะครับ

ผมว่าคุณต้องศึกษาอีกเยอะเลย
ถามว่าฆ่าคนตายได้ไหม ผมไม่รู้เพราะไม่เคยเจอ แต่ถ้าสัตว์ เป็นร้อย เรื่องนี้มีเรื่องพระจัตขุบาล เป็นพยานแล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงเหตุแล้ว
ของความไม่ผิดแล้
ดูสิว่าท่านยึดเอาอะไรเป็นเหตุ เรื่องเสพเมถุน ธรรม ก็มีเรื่องเทียบเคียงแล้ว กรณีพระอุบลวรรณาเถรี พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุของความไม่ผิดแล้ว ถ้าจิตไม่มีความยินดีในการเสพเมถุนธรรมนั้นไม่ผิดนะ หรือคุณจะบอกว่านั้นมันถูกกระทำครับก็ถูก เพราะถ้าเป็นฝ่ายกระทำ คุณคิดว่าเขาบรรลุอรหันต์แล้วหรือ เมถุนธรรม มันเป็นแค่รูปกาม อรูปกาม(กามเทวดา)ละเอียดลึกกว่านั้นสุขกว่านั้น ความสุขในสมาธิยิ่งละเอียดเข้าไปใหญ่ ถ้าคุณเปิดใจศึกษา ที่หลวงปู่มั่น บอกเตือนหลวงตามหาบัว คุณจะรู้ว่า สัมมาของพระอรหันต์ ต่างกับสัมมาของคนธรรมดาอย่างไร นั้นเป็นแค่ตัวอย่าง ผมถึงบอกว่าคุณเข้าถึงสภาวะจิตไม่ยึดติดกับกาย หรือจิตไม่รับรู้กาย คุณถึงจะเข้าใจ หลายเรื่อง



แถอะไรอ่านให้ ดีก่อนผมอ้างหรอคุณถามเองไม่ใช่หรือผมกํบยกเอาคำของพระองค์วินิจฉัยเรื่องที่คล้ายกันและเหมือนกันมาให้แล้ว
หรืออยากจะให้ผมยัดเยียด แบบคุณ ว่าพระพุทธเจ้าตรัสแล้วไม่เชื่อวินิฉัยของ พระองค์ยังบอกนับถือพุทธได้หรอ
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#28 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:27

ผมบอกว่าไม่เชื่อหรือ? พวกคุณต่างหากเล่า
ที่บอกว่า คำหยาบคายเป็นแค่เสียง ทุกอย่างเป็น "สมมุติบัญญัติ"
ถ้าใช้ตรรกะแบบนี้ พระอรหันต์ก็เสพสังวาสได้ เพราะเป็นแค่ "สมมุติ"
เป็นแค่ "สภาพธรรม"


ผมยังสงสัย ตกลงคุณเชื่อคำพุทธเจ้าจริงหรือ ในเมือหลวงตาบัว
บอกว่า "คลังกิเลศ" บันทึกผิดๆ ถูกๆ เขียนสงเสริมกิเลศ แถมยัง
หลบเลี่ยงเรืองคำหยาบคาย

เขียนมาให้ชัดครับ ตกลงเป็นคำหยาบคายหรือไม่ ทำไมสื่อโทรทัศน์
ถึงได้ตัดคำพวกนี้ออก หนังที่ฉายได้ แต่มาฉายทีวีโดนดูดเสียง
เพราะเขาบอกว่าเป็นคำหยาบคาย แต่พวกหลวงตาบัวบอกไม่หยาบคาย
เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ?

ถ้าอ้างว่าแล้วต่คนฟัง ทำไมถึงไม่พูดกับเจ้าแผ่นดิน และราชวงศ์ด้วยล่ะ
หรือจิตใจของเจ้าแผ่นดินนั้นใฝ่ต่ำกัน เหมือนที่พวกคุณพยายามอ้างว่า
เพราะจิตใจผมต่ำช้า เลยฟังแล้วเป็น "คำหยาบ"

คำจริง ของจริง เรื่องจริง จะพูดกี่ครั้ง จะดูกี่หน ก็ได้เหมือนเดิม
แต่เมื่อไหร่ที่บิดเบือน โป้ปด มดเท็จ มันจะบิดเบือนไปเรื่่อยๆ
จนในที่สุด ก็ไม่สามารถย้ำรอยเดิมได้ เช่นเดียวกับบรรดาพระสงฆ์
และฆรวาสฝ่ายหลวงตาที่พยายามทำตอนนี้ พวกหนึ่งก็อ้างว่าเป็น
"วาสนา" อีกพวกก็แถ "ไม่ใช่คำหยาบคาย" ในที่สุดก็ไม่สามารถลงรอย
ได้ในความเป็นจริง เพราะสิ่งที่อ้างล้วนแต่เป็นความเท็จทั้งสิ้น






จริงๆ แล้วผมก็รู้ว่า พิมพ์ไปก็ไร้ประโยชน์ จากการถกเถียงมาเป็น 10 ปี
ไม่มีทางดึงให้คนที่หลงผิดกลับมาพิจารณาความจริงได้ ก็ได้เพียงแต่
หวังว่าใครที่หลงเข้ามาอ่าน จะได้พิจารณาว่า

เชื่อตามคณะหลวงตาบัวว่า ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ ทำอะไรก็ไม่ผิด
หรือเฃื่อตามพระพุทธเจ้า มรรคมีองค์ 8 เป็นหนทางไปสู่วิมุติธรรม

#29 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:50

แล้วถูกข่มขืนนี้มันไม่ได้เสพสังวาส หรืออย่างไร ผมถามหน่อยเสพสังวาสกับถูกข่มขืนอะไรเป็นเหตุให้ต่างกัน ผมตอบไม่ชัดหรือ เรื่องเสพ เมถุน ธรรม ก็มีเรื่องเทียบเคียงแล้ว กรณีพระอุบลวรรณาเถรี พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุของความไม่ผิดแล้ว ถ้าจิตไม่มีความยินดีในการเสพเมถุนธรรมนั้นไม่ผิดนะ หรือคุณจะบอกว่านั้นมันถูกกระทำครับก็ถูก เพราะถ้าเป็นฝ่ายกระทำ คุณคิดว่าเขาบรรลุอรหันต์แล้วหรือ ต้องเอาใหญ่กว่านี้อีกไหม ตกลงเสพสังวาลกับถูกข่มขืน ก็ เอาอวัยะวเพศชายสอดใส่เพศหญิงเหมือนกันหรือเปล่า แต่มันต่างกันต่างที่จิต ถ้าจิตยินดีในกามนั้นเพียงนิดเดียว คิดว่าเป็นพระอรหันต์แล้วหรือ คุณบอกว่าพยายามดึงคนหลงผิด มา 10 ปี ถามจริง คุณปฏิบัติดูจิตมาจริงหรือเปล่าอะไรมากระทบจิต ยังไม่รู้เลยดูอีก 100 ปีก็ตายเปล่า หลวงตาท่านไม่ได้เป็นที่นับถือเมื่อ 10กว่าปี พระสายกรรมฐานเขานับถือกันมานานแล้ว ผมว่าคุณคงเป็นพวกนี้แน่เลย ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ารับรองไว้พระสารีบุตรคุณก็คงว่าท่านไม่บรรลุ อรหันต์ เพราะคุณเป็นแต่เอากริยาภายนอกไปจับ พระไตรปิฏกก็มี พระอรหันต์บริสุทธ์ที่ จิตรู้บ้างหรือเปล่า หรือว่าไม่รู้ รู้แต่ว่ากรูตัดสินจากกายกริยาแล้วมันไม่ใช่ พระอรหัตน์ต้องเรียบร้อยผ้าพับไว้มองต่ำตลอด พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้หรือ กลับไปฝึกมาใหม่ไป ดูให้มันรู้ว่าอะไรมากระทบจิต ไม่ใช่ดูแค่ว่าจิตหม่องเศร้าโกรธ สุข ทุกข์ ดูว่ามีอะไรมากระทบ คุณจะเป็นใบลานเปล่า ตลอดชีวิตหรือไง
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#30 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 11:26

กระทู้อาถรรพ์จริงๆ จะอ่าน จะพิมพ์ ก็มีอันเว็บล่ม


เรื่องคนน้ับถือมากมาย ผมถามหน่อย ในโลกนี้ศาสนาไหนมีคนนับถือ
มากที่สุดครับ ศาสนาไหนเก่าแก่ที่สุดในโลกครับ สรุปแล้วคงแถต่อไป
ไม่ออกแล้วสินะว่า คำหยาบคายนะมีอยู่ และพระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้
ในมรรคมีองค์ ๘ ส่วนเรื่องกิริยามารยาท ต้องมีบ้าง แต่ไม่ต้องถึงกับเป็น
ผ้าพับไว้ เรื่องแบบนี้ในพระวินัยมีหมด ถ้าเป็นอรหันต์ยังทำไม่ได้ แล้ว
จะไปวิเศษกว่าปุถุชนคนธรรมดาหรือ? ไหนว่า อรหันต์มีสติสมบูรณ์
แต่กายวาจาและใจ ยังคุมไม่อยู่ ยังกล้าเรียกตนเองว่า "อรหันต์" อยู่อีกหรือ?
คำว่าละอายแก่บาปคงไม่รู้จัก

ส่วนผมจะเป็นใบลานเปล่าหรือไม่ ก็ไม่ทำให้ศาสนาล่มสลาย แต่ถ้า
พระทำผิด สอนผิด และลูกศิษย์แถไปผิดๆ จะทำให้ศาสนาล่มสลายได้


คิดว่าถ้าโพสต์ผ่านแล้ว อาจจะไม่เข้ามาตอบอีกแล้ว จนกว่าเว็บจะ
ไม่มีปัญหา

#31 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:53

พาหิยะ เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเหห็็น ได้ฟังแล้ว
สักว่าฟัง ได้กลิ่นแล้วก็สักว่าดม ได้ลิ้มรสแล้ว ก็สักแว่าลิ้ม
ได้สัมผัสทางผิวกายแล้ว ก็สักว่า สัมผัส ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์
ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว เมื่อนั้น เธอ จักไม่มี เมื่อใดที่เธอไม่มี
เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ปรากฏในโลกอื่น ไม่ปรากฏ
ในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั้นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์



25/49/83 ขุ.
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#32 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 15:25

เสียงเฉย ๆ มีความหมายหรือไม่?
ไม่ใช่เพราะจิตไปรับเสียงนั้น เสียง มาเป็นอารมณ์ จึงเกิดคำหยาบคำสุภาพขึ้นหรือ?
ไม่ใช่จิตไปยินดียินร้ายในเสียงที่ พูดออกไป จึงหมายมั่นว่าพูดสุภาพหรือหยาบไป?

บิดามารดาต่างก็เป็นสมมุติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีบิดามารดา เพราะสมมุติยังครอบ บิดามารดาและคุณของบิดามารดาจึงมี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปรมัถต์แล้วมีบิดามารดาอยู่

คำหยาบ ประกอบด้วยอะไร
- เจตนาร้ายต่อผู้ฟัง
- การกระทำคือพูดออกไป
คำที่พูดออกไปเฉย ๆ มันก็สักแต่ว่าเสียง ผู้พูดโกหกเจตนาตัวเองไม่ได้หรอก
ถ้าวาสนาคือสิ่งที่ทื่อ ๆ พระอรหันต์คงจะกล่าวเป็นถ้อยคำอันไพเราะดุจกลอนกวีกันหมดแล้ว

หากท่านยังยืนยันว่าทำไมไม่พูดคำนั้นกับพระราชา ขอให้ท่านเทียบตัวท่านเองเถิดว่าชาติก่อน ๆ ชาตินี้ ท่านได้มีโอกาสพูดคำประเภทนี้ต่อหน้าพระพักตรพระราชามากน้อยหรือไม่ แล้วคิดว่ามีโอกาสที่คำพูดพวกนี้จะติดเป็นวาสนาที่กระทำต่อพระราชาได้หรือ?

#33 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 09:33

จุลศีล


๖. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รัก
จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.



----

พาหิยะสูตร คือการรับรู้ถึง "ธรรม" พิจารณาจนเข้าสู่วิมุติ
ถามว่าเกี่ยวอะไรกับ "ศีล" ครับ ถึงได้บอกว่าพอเป็นอรหันต์
ก็สามารถทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ เพราะทุกอย่างเป็นแค่
"รูป" กับ "นาม" ไม่มีใครให้ฆ่า เลย "ฆ่าคน" ได้ อย่างนั้น?

สาวกหลวงตาบัวหลายๆ คน ถึงกับอวก่า ศีลคือเรือ เมื่อถึง
ฝั่งแล้วไม่ต้องแบกเรือขึ้นไปด้วย ดังนั้น พระอรหันต์จึงไม่ต้อง
ถือ "ศีล" ดังนั้นพระอรหันต์ละเมิดศีลได้ทุกข้อ!!!

พระพุทธเจ้าบรรลุ "อรหันต์" พระพุทธเจ้ายังถือศีลหรือไม่
พระพุทธเจ้าพูดคำหยาบได้หรือไม่?

พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ "สอนอย่างไร ทำอย่างนั้น"

"ศีล" คืออะไร พระสารีบุตรตอบว่า
"เจตนาคิดงดเว้นในการล่วงสิกขาบทนั้นๆ เป็นตัวศีล"
"เจตสิกอันได้แก่ความรู้สึกภายในใจ ในการงดเว้นนั้นๆ เป็นตัวศีล"
"ความรู้สึกอันไม่ติดต่อกับวัตถุที่ตนจะล่วงก็เป็นตัวศีล"
"การไม่ก้าวล่วงของบุคคลที่สมาทานสิกขาบทแล้วนั่นแล เป็นตัวศีล"

อะไรเป็นเครืองปรากฏ หรือเครื่องของศีล
"ความสะอาดที่ทวารคือกายวาจานั้นแหละ เป็นเครื่องหมายหรือธงชัย
ของศีล เช่นเดียวกับควันขึ้นจากที่ใด เป็นเครื่องหมายให้รู้ได้ว่าไฟ
หรือความร้อนอยู่ที่นั่น"

ศีลมีอะไรเป็นอานิสงส์
"ถ้าภิกษุปรารถนาให้ตนเป็นที่รัก ที่ชอบใจ ที่เคารพยกย่องนับถือ
ของเพื่อนพรหมจารีด้วยกันแล้ว ภิกษุนั้นพึงทำให้บริบูรณ์เต็มที่
ในศีลทั้งหลายเถิด"

อะไรเป็นฐานที่ตั้งอาศัยของศีล
"หิริ และ โอตตัปปะ เป็นฐานการที่ตั้งของศีล ดุจเดียวกับพื้นแผ่นดิน
เป็นที่ตั้งอาศัยของหมู่ไม้ทั่วไป ขาดฐานรากกล่าวคือ หิริโอตตัปปะแล้ว
ศีลไม่อาจเกิดหรือตั้งอยู่ได้ เช่นเดียวกับปักเสาในอากาศ"

ที่ยกมา จากหนังสือ "ตามรอพระอรหันต์"
ยังไงตอนนี้ขอทำการบ้าน ด้วยการทบทวนธรรมะ
ด้วยการย้อนกลับไปอ่านก่อน อาจจะเว้นไปหลายวัน
กว่าจะมาตอบใหม่

Posted Image

#34 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 17:48

ภิกษุ ทั้งหลาย ในกาลใด อวิชชาของภิกษุดับไป วิชชาเกิดขึ้นแล้ว
เพราะอวิชชาหายไป วิชชาเกิดนั้นแหละ ภิกษุนั้น ย่อมไม่ทำความยึดมั่น
ในกามให้เกิดขึ้น ไม่ทำความยึดมันด้วยทิฏฐิให้เกิดขึ้น ไม่ทำความยึดมั่น
ในศีล และวัตร ให้เกิดขึ้น และไม่ยึดมันว่าตัวตนให้เกิดขึ้น

ภิกษุทั้งหลายเมื่อไม่ทำความยึดมั่นทั้งหลายให้เกิดขึ้น ย่อมไม่หวั่นใจไปตามสิ่งใดๆ
เมื่อไม่หวั่นใจ ย่อมดับสนิทเฉพาะตนโดยแท้ ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว
กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก ดังนี้แล.

มู.ม.12/158/135.


พาหิยะสูตร คือการรับรู้ถึง "ธรรม" พิจารณาจนเข้าสู่วิมุติ
ถามว่าเกี่ยวอะไรกับ "ศีล" ครับ ถึงได้บอกว่าพอเป็นอรหันต์
ก็สามารถทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ เพราะทุกอย่างเป็นแค่
"รูป" กับ "นาม" ไม่มีใครให้ฆ่า เลย "ฆ่าคน" ได้ อย่างนั้น?

สาวกหลวงตาบัวหลายๆ คน ถึงกับอวก่า ศีลคือเรือ เมื่อถึง
ฝั่งแล้วไม่ต้องแบกเรือขึ้นไปด้วย ดังนั้น พระอรหันต์จึงไม่ต้อง
ถือ "ศีล" ดังนั้นพระอรหันต์ละเมิดศีลได้ทุกข้อ!!!



555 ชอบยัดเหยียดอีกแล้ว ผมไม่เคยได้ยินว่าพระอรหันต์ทำผิดศีลได้ทุกข้อเพราะว่า ถ้าทำอาบัติปราชิกได้ยังคิดว่าเป็นพระอรหันต์อยู่หรือ
ผมก็ไม่เคยบอกแล้วว่า พระอรหันต์ เจตนาฆ่าคนได้ เจตนา ร่วมสังวาสได้ เคยบอกหรือ เพราะถ้าเจตนา เราเรียกพระอรหันต์ได้หรือ
พระอรหันต์ บริสุทธิ์ที่จิต บอกหลายที่่แล้ว แล้ว ที่พระพุทธเจ้าให้พิจราณามันไม่จริงงั้นหรือ พระพุทธเจ้าสอนให้ใครหลุดพ้นถ้าไม่ใช้ให้สอนตัวเอง
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#35 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 15:23

ห้ามพูดคำหยาบ เป็นเรื่องของผู้พูด
พาหิยะสุตร เป็นเรื่องของผู้ฟัง

เข้าใจถึงความแตกต่างกันหรือเปล่า?

#36 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 20:43

ผมคงไม่ต่ออะไรมาก ขอพูดเรื่องความสมบูรณ์แบบ เพราะคุณ eAT ดูเหมือนจะหาผู้สมบูรณ์แบบของโลก ซึ่งพระอรหันตสาวกไม่ได้สั่งสมมาด้านนี้ หากแต่คุณสามารถหาความสมบูรณ์แบบได้ในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะท่านสั่งสมมาเพื่อยังศรัทธาให้เกิดแก่สรรพสัตว์

ทิ้งท้ายเรื่องศีลนิดหนึ่ง
ศีลเป็นสมมุติเปรียบเป็นราวยึดเกาะอันคุ้มครองผู้ที่ดวงตายังมืดบอด เมื่อหายบอดแล้วจะยังยึดเกาะราวอันนั้น หรือเดินไปตามที่ตาแจ้งเห็น!

Edited by Tux Vader, 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 20:43.


#37 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 15:02

เรื่องพระจัตขุบาล ใครเป็นผู้กระทำ เล่า ใครเป็นผู้ตำหนิ เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงบอกว่าไม่ผิด
ฆ่าสัตว์มันยิ่งกว่าพูดอีก ไม่งั้นจะเป็นข้อแรกได้หรือ พระอรหันต์ บริสุทธิ์ที่จิต ถ้าท่านไม่ได้เจาะจงใคร นั้นคือไม่ได้มีจิตที่จะด่าใคร
ผมถึงบอกว่าถ้าท่านชี้ไปที่คุณกิน แล้วพูด นั้นหยาบแน่นอน เพราะจิตนั้นเกิดกับคุณแล้ว
บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#38 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 3 กันยายน พ.ศ. 2555 - 21:44

ช่วงนี้บอกตามตรง อ่านหนังสือธรรมะไม่เข้าหัวเลย แต่ได้อะไรมาบ้าง
เลยขอตอบหน่อย

ผมคงไม่ต่ออะไรมาก ขอพูดเรื่องความสมบูรณ์แบบ เพราะคุณ eAT ดูเหมือนจะหาผู้สมบูรณ์แบบของโลก

ผิดครับ ผมหาพระอรหันต์ตามคำตรัสของพระพุทธองค์
"พระอรหันต์ทำผิดทั้งๆ ที่รู้เป็นไม่มี"

ห้ามพูดหยาบคายอยู่ในมรรคแล้ว ยังอยู่ในจุลศีล อยู่ในศีล 227 ข้อ
ต้องสวดทุกกึ่งเดือน นั่นคือถ้าหลวงตาทำตามพระอรหันต์ในสมัยพุทธองค์
จะบอกว่าไม่รู้ศีลข้อนี้นั้นเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะไม่ยอมไปสวด หรือไป
แต่นั่งหลับตลอด

ส่วนที่คุณอ้าง "ศีล" สำหรับคนที่ยังไม่บรรลุ แสดงว่าเป็นอรหันต์แล้วสามารถ
เสพเมถุนกับหมาก็ได้ เพราะไม่ต้องยึดถือ "ศีล" ได้ถูกต้องไหม?

ส่วนอีกท่าน ผมคงเลิกตอบโต้แล้ว
เพราะผมไม่สามารถทนความไร้ยางอายที่สามารถบอกได้ว่า
เ-ย็-ด-แ-ม่ ไม่หยาบคายได้ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ไม่ว่าอะไรก็
สามารถกล่าวอ้างได้หมดทุกอย่าง คงไม่มีปัญญาจะพูดได้
ถ้าใครเห็นด้วยก็แล้วแต่ "กรรมของใคร กรรมของมัน"

จุลศีล


๖. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รัก
จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.



ย้ำให้คนที่หลงมาอ่านอีกรอบ ว่า "คำหยาบ" พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่าอย่างไร
สามารถพูดได้ลอยๆ เรื่อยเปื่อยหรือไม่ ลองอ่านดู ถ้าคุณคิดว่าอรหันต์ไม่สามารถ
รักษาศีลแค่นี้ไม่ได้ ยังจะมีคุณธรรมอะไรสามารถอวดอ้างว่าดีกว่าคนธรรมดาสามัญอีก

ถ้าแค่ไม่สามารถรักษาศีลได้ แสดงว่า ที่บอกว่าตัวเองสิ้นกิเลศแล้ว แสดงว่า "โกหก"
คนโกหกไม่ทำบาปอื่นเป็นไม่มี ยิ่งตอกย้ำว่าทำบาปอะไรอื่นอีก ซึ่งที่เห็นชัดๆ
คือการกล่าว "ตู่" พระธรรมวินัยว่าจดบันทึกผิดๆ ถูกๆ เขียนส่งเสริมกิเลศ
เพียงเพราะตัวเองไม่สามารถประพฤติอยู่ได้ตามธรรมวินัย ถึงกับกล่าวให้ร้าย
ทำลายพระธรรมลงเสีย ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาลูกศิษย์ก็ยังพยายามทำร้ายทำลาย
"พระธรรมวินัย" ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสืบทอดลงมาเป็นพันๆ ปี เพียงเพื่อ
ยกย่องอาจารย์ตนเองเหนือกว่าใครๆ เสียอีก

#39 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 - 14:51

สงสัยคุณไม่ได้อ่านที่ผมพิมพ์เลยล่ะสินี้ งั้นคุณว่าเรื่อ่งนี้เป็นอย่างไร เรื่อง คนเลี้ยงโคกับคนกินเนื้อโคว่าอย่างไร ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าทรงตรัสสิน
ถ้าไม่มีใครตัดสิน พระที่เป็นพระหูสูตรจะเตลิด ขนาดไหน นั้นแค่จากปากพระพุทธเจ้าเรียกว่าจำแต่ขี้ปาก ท่านว.ว่าอย่างไร ท่าน ป.9 ท่านบอกเรียนมาไม่ค่อยเข้าใจ ปฏิบัติถึงได้รู้ นั้นป.9 ถ้า พระไปยึดติดหัวโขนว่า ข้าเจนจบ รู้พระไตรปิฏก ทุกเล่มทุกเรื่อง ตกลงพอพูนกิเลสไหม สมเด็จเกียว ป.9 คงเป็นพระอรหันต์รู้หมดเลยมั้งครับ ไม่ต้องอะไรก้แค่คุณนี้แหละ สภาวจิตไม่ติดกาย คุณยังไม่รู้เลย แต่คิดว่าตัวอ่านพระไตรปิฏก มามาก พระองค์นั้นต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ กะเกรณ์ เหมือนผู้ชำนาญรู้มากมานั่งเถียงกับผมเพราะคิดว่าตัวเองรู้มาก แต่อะไรมากระทบจิตยังไม่รู้แม้แต่สภาวะจิตไม่ติดกายยังไม่รู้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สำเร็จเพราะไปอ่านแล้วคาดเดาเองนะครับ พระอานนท์ไม่ได้สำเร็จเพราะจำแต่คำของพระพุทธเจ้า นะครับ

แล้วที่ท่านว่าผมไม่เห็นมีว่าท่านบอกว่าพระธรรมวินัย นะครับ ยัดเยียดหรือเปล่า ท่านบอกพระไตรปิฏก ครับ

Edited by ter162525, 18 กันยายน พ.ศ. 2555 - 14:52.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#40 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 20 กันยายน พ.ศ. 2555 - 12:41

เอาเถิดถ้าคุณ eAT ไม่ศรัทธาหลวงตาบัวก็ไม่เป็นไร แต่อย่าปลงใจไปว่าท่านต้องผิด ลองเจริญธรรมตามคำสอนครูบาจารย์ที่คุณปสาทะไปให้ได้ซักพักค่อยนำมาพิจารณาใหม่ดูครับ

#41 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 21 กันยายน พ.ศ. 2555 - 11:39

ครูผมมีครับ คือ "พระพุทธเจ้า"
ถึงผมจะอ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าบ้าง แต่ก็ยังมีศิษย์ผู้พี่คอยแนะนำ
อีกหลายท่านครับ

--------------

ธรรมวินัยอยู่ในไหนครับ ถ้าไม่ใช่พระไตรปิฏก หรือว่าต้องออก
จากปากคนทุศีลกันครับ


---------------

ของฝาก


วจีทุจริต แปลว่า การประพฤติชั่วทางวาจา การประพฤติชั่วด้วยวาจา
วจีทุจริต เป็นการทำความชั่วความผิดทางวาจา คือด้วยปากด้วยการพูด จัดเป็นบาปมิใช่บุญ ก่อทุกข์โทษให้ทั้งในปัจจุบันและภพชาติต่อไป
วจีทุจริต มี 4 อย่าง คือ
  • พูดเท็จ คือพูดไม่จริง พูดตรงกันข้ามกับความจริง เพื่อให้เข้าใจผิด
  • พูดคำหยาบ คือพูดคำระคายหู คำหยาบโลน ไม่น่าฟัง ไม่เป็นคำผู้ดี
  • พูดส่อเสียด คือพูดยุยงให้คนอื่นแตกกัน ทะเลาะกัน พูดให้เขาเจ็บใจ
  • พูดเพ้อเจ้อ คือพูดพล่าม พูดเหลวไหล ไม่มีสาระ วกวนไม่รู้จบ ทำให้เสียเวลาและประโยชน์


#42 Mark Nazi

Mark Nazi

    พี่มากขา

  • Members
  • PipPipPip
  • 548 posts

ตอบ 22 กันยายน พ.ศ. 2555 - 19:22

พระไตรปิฎกย่อมรักษาอรรถ แต่ไม่อาจบอกอรรถแห่งธรรมได้ ความเข้าใจเป็นส่วนของสัญญา แต่ไม่ใช่การรู้ถึงธรรมที่เกิดดับนั้น การศึกษาพระไตรปิฎกมีส่วนดีคือทำให้ละเอียดในการบรรยายธรรม แต่ก็พึงระวังอรรถจะปิดธรรม เพราะถ้าไม่ระวังก็อาจไปติดในอรรถนั้นว่าเป็นธรรมไปได้

ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ก็ยังไม่ได้ถึงการปฏิบัติตามซึ่งพระวินัย

#43 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:54

พระไตรปิฎกย่อมรักษาอรรถ แต่ไม่อาจบอกอรรถแห่งธรรมได้ ความเข้าใจเป็นส่วนของสัญญา แต่ไม่ใช่การรู้ถึงธรรมที่เกิดดับนั้น การศึกษาพระไตรปิฎกมีส่วนดีคือทำให้ละเอียดในการบรรยายธรรม แต่ก็พึงระวังอรรถจะปิดธรรม เพราะถ้าไม่ระวังก็อาจไปติดในอรรถนั้นว่าเป็นธรรมไปได้

ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ก็ยังไม่ได้ถึงการปฏิบัติตามซึ่งพระวินัย


ความเห็นเรื่องสมมุติไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร แต่ธรรมเห็นเหมือนกัน ครับ เป็นเช่นนั้นแล

Edited by ter162525, 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:55.

บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#44 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:20

โทษที่ ที่ขุด แต่ผมไปเจอพุทธะ วจะนะ บท หนึ่งน่าสนใจ ที่จะตอบ ข้อสังสัย ได้

 

 

[๕๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ มาสู่อุเทศ
ทุกกึ่งเดือน ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สิกขา ๓ นี้ ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด สิกขา ๓ นั้นเป็นไฉน คือ
อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓
นี้แล  ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำพอประมาณในสมาธิ เป็นผู้ทำ
พอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง
ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้
แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์
เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และเป็นผู้มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่
ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นพระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป
เป็นผู้มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า 
   ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำพอประมาณ
ในสมาธิ เป็นผู้ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง
ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคน
อาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓
หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง จะมายังโลกนี้อีกคราวเดียว
เท่านั้น แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ 
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ 
เป็นผู้ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่สิกขาบทเหล่าใด
เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และ
มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็น
ผู้ผุดขึ้นเกิด จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ หมดสิ้นไป 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ใน
ปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบท
เหล่าใด เป็นเบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีล
ยั่งยืน และมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
เธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย
สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ 
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ทำได้เพียงบางส่วน ย่อมให้สำเร็จบางส่วน ผู้ทำให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำเร็จได้
บริบูรณ์อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสิกขาบททั้งหลายว่า ไม่เป็น หมันเลย ฯ 

 

ติก.อํ 20/526/297

 

ตกลง พูดหยาบ นี้อาบัติ(ละเมิดสิกขาบท) ขั้นไหนครับ

 

ปราชิก 4 ข้อ หรือเปล่า ทำแล้วบอกเป็นพระอรหันต์ทำได้ อันนี้ มั่วแล้ว

สังฆาทิเลส 13 ข้อ มีข้อไหนบ้างหว่า


บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#45 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 21:10

โทษที่ ที่ขุด แต่ผมไปเจอพุทธะ วจะนะ บท หนึ่งน่าสนใจ ที่จะตอบ ข้อสังสัย ได้

 

 

[๕๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ มาสู่อุเทศ
ทุกกึ่งเดือน ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สิกขา ๓ นี้ ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด สิกขา ๓ นั้นเป็นไฉน คือ
อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓
นี้แล  ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำพอประมาณในสมาธิ เป็นผู้ทำ
พอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง
ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้
แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์
เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และเป็นผู้มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่
ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นพระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป
เป็นผู้มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า 
   ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำพอประมาณ
ในสมาธิ เป็นผู้ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง
ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคน
อาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓
หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง จะมายังโลกนี้อีกคราวเดียว
เท่านั้น แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ 
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ 
เป็นผู้ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่สิกขาบทเหล่าใด
เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และ
มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็น
ผู้ผุดขึ้นเกิด จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ หมดสิ้นไป 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ใน
ปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะ
เหตุไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบท
เหล่าใด เป็นเบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีล
ยั่งยืน และมีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
เธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย
สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ 
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ทำได้เพียงบางส่วน ย่อมให้สำเร็จบางส่วน ผู้ทำให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำเร็จได้
บริบูรณ์อย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสิกขาบททั้งหลายว่า ไม่เป็น หมันเลย ฯ 

 

ติก.อํ 20/526/297

 

ตกลง พูดหยาบ นี้อาบัติ(ละเมิดสิกขาบท) ขั้นไหนครับ

 

ปราชิก 4 ข้อ หรือเปล่า ทำแล้วบอกเป็นพระอรหันต์ทำได้ อันนี้ มั่วแล้ว

สังฆาทิเลส 13 ข้อ มีข้อไหนบ้างหว่า

 

 

ไม่เข้าใจครับ สรุปว่ายอมารับว่า หลวงตาถือศีลไม่ครบแล้วหรือ

ตกลง ศีลห้ามพูดคำหยาบคายหรือไม่ ถ้าไม่ห้าม ก็ไม่ต้องยกข้างบนมา

แต่ถ้าห้าม แสดงว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบ? แล้วที่สำคัญ อ้างเรื่องปราชิก 4

แปลว่า หลวงตานอกจาก "ปราชิก 4" แล้ว ไม่เคยถือศีลข้อไหนเลยหรือครับ

 

ถ้าคิดว่ามีจุดยืนมั่นคง มีธรรมเป็นที่ยึด ไม่ตอแหลไปมา ผมจะได้ต่อ

ถ้าคิดว่าเพียงแค่ได้เถียง แถไปได้ ก็ชนะ แล้วก็พอ คิดว่าก็เขียนๆ ต่อไปเถอะ

ขี้เกียจต่อล้อต่อคำด้วยแล้ว "เบื่อ"



#46 ter162525

ter162525

    มหาอำมาตย์ใต้พระบาทตลอดกาล

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 6,077 posts

ตอบ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:32

พุทธวจนะ นี้ บอก ชัดแล้วไม่ใช่หรือ ครับ ว่า พระอรหันต์ นั้น ก็ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ส่วนคุณจะบอกว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบ คุณเอาคำพูดคุณยัดใส่ปาก คนอื่นนะครับ ผมไม่เคยพูดว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบหรือหลวงตาบอกว่าฉันถือศีลแค่ข้อนี้เท่านั้น เคยได้ยินไหม แต่ผมบอกเสมอว่า พระอหันต์ ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ผมมีพุทธวจะ มาแสดงให้คุณคุณมีอะไรมาแสดงบ้างครับ นอกจาก ความคิดที่ว่าพระอรหันต์ต้องห้ามทำผิดเลย

ทำผิดสิกขาบทเล็กน้อยๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นพระอรหันต์ พระสารี บุตร คงไม่ใช้ พระอรหันต์ ทั้งที่ พระพุทะเจ้ายกให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา

พระจักรขุบาล คงไม่ใช่เหมือนกันเพราะเหยียบสัตว์ตายเป็นเบื่อ หรือคุณจะยัดคำพูดคุณใส่ปากคนอื่นว่าพระจักขุบาลถือศีลไม่ครบ ไม่ถือข้อห้ามฆ่าสัตว์


บรรพชนเป็นพยาน ข้าลูกหลานแผ่นดินท่าน ขอสาปส่ง มันผู้ใด ทรยศ คดโกงชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันบรรลัย อย่าได้มีสุขในแผ่นดินนี้ เดินเหยียบไปในถิ่นใด ขอให้มันร้อนรนดังถูกเพลิงเผา มันผู้ใด คิดล้มล้างกษัตริย์ผู้ทรงทศพิธ ของให้มันผู้นั้นเกิดเป็นคนอนาถทุกชาติไป

#47 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:11

พุทธวจนะ นี้ บอก ชัดแล้วไม่ใช่หรือ ครับ ว่า พระอรหันต์ นั้น ก็ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ส่วนคุณจะบอกว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบ คุณเอาคำพูดคุณยัดใส่ปาก คนอื่นนะครับ ผมไม่เคยพูดว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบหรือหลวงตาบอกว่าฉันถือศีลแค่ข้อนี้เท่านั้น เคยได้ยินไหม แต่ผมบอกเสมอว่า พระอหันต์ ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ผมมีพุทธวจะ มาแสดงให้คุณคุณมีอะไรมาแสดงบ้างครับ นอกจาก ความคิดที่ว่าพระอรหันต์ต้องห้ามทำผิดเลย

ทำผิดสิกขาบทเล็กน้อยๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นพระอรหันต์ พระสารี บุตร คงไม่ใช้ พระอรหันต์ ทั้งที่ พระพุทะเจ้ายกให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา

พระจักรขุบาล คงไม่ใช่เหมือนกันเพราะเหยียบสัตว์ตายเป็นเบื่อ หรือคุณจะยัดคำพูดคุณใส่ปากคนอื่นว่าพระจักขุบาลถือศีลไม่ครบ ไม่ถือข้อห้ามฆ่าสัตว์

 

^_^  สิกขาบทเป็นพระวินัยที่พระต้องนำมาสวดทบทวนตนเองในอาวาสที่มีพระอยู่ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปทุกกึ่งเดือน... แต่ศีลที่พระต้องรักษาให้ครบทั้ง 3 หมู่นั้นมีสองพันกว่าข้อนะขอรับ... เนื่องเพราะอรหันต์นั้นเป็นเพียงแค่ "มรรคานุคา" ผู้เดินตามมรรคของพระตถาคตเท่านั้น พระอรหันต์ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในพุทธกาล เพราะฉะนั้นจึงมีความเห็น, การกระทำที่ยังไม่ถูกต้อง ครอบคลุมปฏิปทาทั้งหมดได้อย่างพระตถาคตขอรับ มีพระสูตรที่พระอรหันต์ถูกพระตถาคตแย้งในความเห็น, การกระทำใดๆอยู่หลายพระสูตร แม้เพียงแต่พระสารีบุตรที่พระตถาคตกล่าวรับรองว่ามีปัญญาเลิศราวกับเป็นรองพระองค์เพียงผู้เดียว พระโมคลานะผู้มีฤทธิ์มากเหลือคณานับ ก็ยังถูกตำหนิจากความเห็น หรือการกระทำใดๆของพระอรหันต์นั้นจากพระตถาคตเช่นกันขอรับ...

 

...จึงยืนยันได้ว่าศีลเล็กน้อยนั้น พระอรหันต์ก็ทำผิดได้เช่นกัน แต่ไม่ล่วงเกินเลยจากมรรค8 ทางใดทางหนึ่งแน่นอนขอรับ...

 

^_^  ช่วยอธิบายขยายความนะขอรับ...


Edited by wat, 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:16.

:) Sometime...Sun shine through the rain...

#48 chackrapbong

chackrapbong

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,057 posts

ตอบ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:43

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 

 

พระอรหันต์ คือผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว พระอรหันต์จะมีได้ ก็เพราะการประชุมรวมกันของสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกและรูปเมื่อยังมีจิต เจตสิก

พระอรหันต์ก็ยังมีการคิด เมื่อมีการคิดก็ยังมีการแสดงออกทางกายและวาจา แต่เมือ่พระอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว การคิดของพระอรหันต์จึงไม่เป็นไป

ในกุศลหรือ อกุศลเลยแต่คิดเป็นไปในทางที่ดี เป็นกิริยาจิตที่ดีนั่นเอง กายวาจาของพระอรหันต์ก็เป็นไปในทางที่ดี ไม่เป็นไปกับกิเลส


-ซึ่งคำถามมีอยู่ว่า


เวลาพูดของพระอรหันต์ลึกซึ้งมากน้อยเพียงใด เพราะจิตท่านบรรลุธรรมแล้ว ขอยกตัวอย่างพระอรหันต์ที่เลิศที่สุด คือ พระพุทธเจ้าครับ

พระพุทธเจ้าก็ทรงเปล่งพระวาจาแต่พระวาจาของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นไปเนื่องกับกิเลสและพระวาจาของพระองค์ก็ประกอบด้วยประโยชน์  

ที่สำคัญพระอรหันต์ไม่ว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านเหล่านั้นก็ล้วนพูดวาจาที่เป็นไปด้วย 2 อย่าง คือ ปรมัตถะสัจจะ และ สมมติสัจจะ


    ปรมัตถสัจจะคือ ความจริงที่เป็นสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เช่น จิต เจตสิก รูป อายตนะ อริยสัจจะ   

    สมมุติสัจจะ คือ ความจริงที่ชาวโลกสมมติขึ้นให้เข้าใจกันเช่น พระราชา   มนุษย์ เทวดา โต๊ะ เก้าอี้ เรา เขา เป็นต้น    

 

วาจาของพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงไม่ละเว้นสมมติของชาวโลกไม่ใช่ว่า พระอรหันต์ท่านดับกิเลสแล้ว ท่านจะกล่าวแต่ถ้อยคำ

อันลึกซึ้งที่เป็นปรมัตถสัจจะ เช่นกล่าวแต่เรื่องอายตนะ ปฏิจจสมุปบาท จิต เจตสิก รูป ขันธ์ 5 แต่ พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้

ฉลาดในโวหารของชาวโลก จึงกล่าวคำของชาวโลกที่สมมติกันเช่น กล่าวในเรือ่งของ พระเจ้าแผ่นดิน เรื่อง ดิน ฟ้า อากาศ

เรื่อง สัตว์บุคคล ใช้คำว่าเรา เขา ตามปกติในชีวิตประจำวันครับ คือ พูดกันเป็นปกติเหมือนที่ชาวโลกพูดกัน เช่น ถามสาระทุกข์สุขดิบ

แต่ต่างตรงที่ ไม่มีกิเลสขณะที่พูดเลยเป็นกิริยาจิตครับ ส่วนบางโอกาส เมื่อเป็นคราวสนทนาธรรม พระอรหันต์ทั้งหลายก็กล่าวถ้อยคำ

อันลึกซึ้งอันสมควรกับธรรมนั้น   ซึ่งอาจจะกล่าวพระธรรมโดยลึกซึ้ง โดยนัยของสัตว์บุคคลที่เป็นพระสูตร ซึ่งพระสุตรลึกซึ้งโดยอรรถะ

กล่าวเรื่องพระราชา กล่าวเรื่องของสัตว์ บุคคลต่างๆ เป็นต้นและบางคราวก็สิ่งที่ลึกซึ้งในส่วนของสภาพธรรมที่เป้นปรมัตถะสัจจะที่กล่าว

แต่สภาพธรรมเท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคลที่เป็น จิต เจตสิก  รูปอายตนะ สัจจะ เป็นต้นครับ

 

-สรุป

  พระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมกล่าววาจาที่เหมาะสม สมควรกับสถานการณ์และกาลเวลา  

 ทั้งสมมติสัจจะ ที่เป็นเรื่องราวของสัตว์ บุคคล และ ปรมัตถสัจจะ ที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นจริง

 ซึ่งบางคราวก็กล่าววาจาที่ชาวโลกพูดกัน เช่น การถามสุข ทุกข์ไม่ได้กล่าวลึกซึ้งแต่จิตของท่านไม่มีกิเลส จิตของท่านลึกซึ้งครับ

 ส่วนบางคราวก็กล่าววาจาที่เป็นพระธรรมของพระพุทธเจ้าที่ลึกซึ้งทั้งอรรถะและธรรมท่านจึงใช้ชีวิตเป็นปกติ ทั้งกายและวาจาของท่าน

 ก็เป็นปกติแต่ไม่มีกิเลสนั่นเอง

 

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๓๕

๕.  อรหันตสูตร

[๖๔]          
ท.  ภิกษุใดเป็นผู้ไกลจากกิเลส มีกิจทำเสร็จแล้ว   
มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด

ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่าเราพูดดังนี้บ้าง บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้บ้าง.

[๖๕]        
ภ.  ภิกษุใดเป็นผู้ไกลจากกิเลส  มีกิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด 

ภิกษุนั้น พึงกล่าวว่าเราพูดดังนี้บาง บุคคลทั้งหลายอื่นพูดกะเราดังนี้บ้างภิกษุนั้นฉลาด ทราบคำพูดในโลก

พึงกล่าวตามสมมติที่พูดกัน.



 

 


 



 



 


Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy


#49 wat

wat

    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ นะเมโสอัตตา.

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,542 posts

ตอบ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 18:22

^_^  อ้อ... ลองไปดูพระสูตรที่ว่าถึงพระอรหันต์องค์หนึ่งที่ชอบพูดจาหยาบคาย, ยกตน มีหมู่ภิกษุไปฟ้องพระตถาคต พระตถาคตก็กล่าวว่ามันเป็นสัญญาที่พระภิกษุท่านนั้นเคยเป็นกษัตริย์, พราหมณ์มาแล้วห้าร้อยชาติ แก้ไม่ได้ และก็ไม่ได้ปรับเป็นอาบัติใดๆกับพระภิกษุท่านนั้นเพราะพระอรหันต์นั้นล่วงพ้นแล้วซึ่งกรรมทางกาย วาจา จิตในปัจจุบัน...

 

:huh:  ทั้งนี้ทั้งนั้น พระสูตรที่อ้างถึงนี่ ไม่ได้หมายความรับรองความเป็นอรหันต์ของพระในสมัยนี้นะขอรับ... มันเป็นปัจจัตตัง...มีแค่พระตถาคตเท่านั้นที่ทราบได้...


:) Sometime...Sun shine through the rain...

#50 eAT

eAT

    ผมเป็นเสื้อแดงฮับ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,589 posts

ตอบ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 23:12

พุทธวจนะ นี้ บอก ชัดแล้วไม่ใช่หรือ ครับ ว่า พระอรหันต์ นั้น ก็ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ส่วนคุณจะบอกว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบ คุณเอาคำพูดคุณยัดใส่ปาก คนอื่นนะครับ ผมไม่เคยพูดว่าหลวงตาถือศีลไม่ครบหรือหลวงตาบอกว่าฉันถือศีลแค่ข้อนี้เท่านั้น เคยได้ยินไหม แต่ผมบอกเสมอว่า พระอหันต์ ล่วงสิกขาบทเล็กๆน้อยๆได้ ผมมีพุทธวจะ มาแสดงให้คุณคุณมีอะไรมาแสดงบ้างครับ นอกจาก ความคิดที่ว่าพระอรหันต์ต้องห้ามทำผิดเลย

ทำผิดสิกขาบทเล็กน้อยๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นพระอรหันต์ พระสารี บุตร คงไม่ใช้ พระอรหันต์ ทั้งที่ พระพุทะเจ้ายกให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา

พระจักรขุบาล คงไม่ใช่เหมือนกันเพราะเหยียบสัตว์ตายเป็นเบื่อ หรือคุณจะยัดคำพูดคุณใส่ปากคนอื่นว่าพระจักขุบาลถือศีลไม่ครบ ไม่ถือข้อห้ามฆ่าสัตว์

 

ผมว่าผมถามชัดเจนแล้วนะครับ

1. ถ้ายืนยันว่าหลวงตาไม่ล่วงสิขาบท (ศีล) คุณจะเอามายันกับผมทำไม

2. ผมไม่เคยบอกว่า พระอรหันต์ห้ามทำผิดไม่ได้ แต่ทำผิดโดยเจตนานั้นเป็นไปไม่ได้

3. สิกขาบทเล็กน้อย ก็ต้องทำถามว่าอย่างไรถึงเรียกว่าเล็กน้อย เพราะเหตุนี้ถึงได้

แตกเป็นมหายาน กับเถรวาท คุณอ้างว่าตัวคุณเองเหนือกว่าพระเถระทั้งปวง

ถึงได้ตัดสินได้ว่า อะไรคือสิกขาบทเล็กน้อย เปลี่ยนไปถือ "มหายาน" ดีกว่าครับ

เป็น "เถรวาท" แต่ทำแบบนี้มาเลวเกินไปแล้ว

4. หลวงตาบัวประกาศว่า "พระไตรปิฎก" พวกคลังกิเลสบันทึกผิดๆ ถูกๆ แล้ว

คุณจะเอาพระไตรปิฎกมายันกับผมอีกหรือ?

5. อ้างว่าเป็น "วาสนา" ไม่ได้ เพราะไม่มีคำ "เญ็ดแม่" ทุกครั้งที่เทศน์

6. แล้วทุกครั้งทีพูดคำหยาบ ได้ปลง "อาบัติ" บ้างไหม? หรือยังคงยืนยันว่า

"พูดคำหยาบคาย" ไม่ใช่ศีลของพระ หรือว่า พระไตรปิฎกเขียนผิด ไม่มีศีลข้อนี้อยู่






ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน