จดหมายสำคัญจาก พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร !?
http://www.manager.c...D=9550000087903
จากข้อมูลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ได้รายงานประวัติการสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทยนับตั้งแต่การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2514 มาจนถึงการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2550 นั้น ตลอดระยะเวลาเกือบ 36 ปีได้มีออกสัมปทานไปแล้วทั้งสิ้น 110 สัญญา รวมจำนวนแปลงสัมปทานทั้งสิ้น 157 แปลง ซึ่งในจำนวนนี้ยังคงเหลือดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน 63 สัญญา 79 แปลงสัมปทาน
ที่น่าสนใจก็คือการสัมปทานปิโตรเลียมที่ผ่านมาประเทศไทยได้ค่าตอบแทนจากเอกชนที่ได้รับค่าภาคหลวงเพียงประมาณร้อยละ 12.5 ของปริมาณปิโตรเลียมทุกชนิดที่ขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียม ซึ่งถือว่าผลตอบแทนที่ให้กับรัฐนั้นต่ำมาก
เปรียบเทียบกับประเทศโบลิเวีย ซึ่งผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันน้อยกว่าประเทศไทย แต่ก็ได้รับผลตอบแทนให้กับรัฐสูงถึงร้อยละ 82
เปรียบเทียบกับประเทศคาซัคสถาน ได้รับผลตอบแทนจากการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมจากเอกชนได้สูงถึงร้อยละ 80
รัสเซียได้รับผลตอบแทนจากเอกชนในการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมสูงถึงร้อยละ 90 ของรายได้ในส่วนที่ราคานั้นสูงกว่า 25 เหรียญต่อบาร์เรล
ประเทศไทยจึงได้รับค่าภาคหลวงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก แต่ประชาชนคนไทยกลับต้องใช้ราคาพลังงานที่สูงยิ่งในราคาที่อ้างว่าเป็นไปตามกลไกลตลาดโลก เพื่อสร้างกำไรสูงสุดให้กับกลุ่มธุรกิจพลังงานที่จำกัดความร่ำรวยเอาไว้เพียงไม่กี่คน
ประเทศไทยจึงเสียระโยชน์ถึง 2 ด้าน
ด้านหนึ่งประชาชนคนไทยยังคงต้องใช้พลังงานแพงเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงานเหมือนเดิม
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งรัฐไทยกลับได้ผลตอบแทนต่ำติดดิน ทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กลับใครทั้งสิ้นเพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงานเช่นกัน
ปัจจุบันส่วนแบ่งปริมาณปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้วในการสัมปทานของประเทศไทยที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทเชฟรอนได้มากที่สุดเป็นลำดับที่ 1 สูงถึงร้อยละ 50.5 ของปริมาณสัดส่วนปิโตรเลียม รองลงมาเป็นอันดับที่ 2 ก็คือกลุ่มบริษัท ปตท. มีสัดส่วนร้อยละ 29.2 แต่ผลประโยชน์ใน ปตท. ร้อยละ49 ก็ตกอยู่กับผู้ถือหุ้นคนไทยเพียงไม่กี่คนอยู่ดี
นิตยสารและเว็บไซต์ฟอร์จูน 500 ได้จัดอันดับเชฟรอนให้เป็นบริษัทที่มีรายได้สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก โดยมีรายได้ต่อปีสูงถึง 245,621 ล้านเหรียญสหรัฐ (7.37 ล้านล้านบาท) และมี “กำไร”สูงเป็นอันดับ 3 ของโลกสูงถึง 26,895 ล้านเหรียญสหรัฐ (806,850 ล้านบาท)
ในขณะที่ ปตท. ก็ได้ถูกเลื่อนจากอันดับที่ 128 ของโลก มาเป็นอันดับ 95 ของโลกด้วยรายได้ 7,969 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.39 ล้านล้านบาท) และมีกำไรสุทธิ 3,456 ล้านเหรียญสหรัฐ (103,680 ล้านบาท)
แต่ล่าสุดการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ก็กำลังจะดำเนินการต่อไปในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2555 นี้ โดยเป็นการเปิดสัมปทานทั้งหมด 11 แปลง ภาคกลาง 6 แปลงและอ่าวไทย 5 แปลง ด้วยผลตอบแทนให้กับรัฐต่ำติดดินเหมือนเดิม
Edited by Siren, 18 July 2012 - 09:26.