ในวันนั้นได้ข่าวว่า " หน้าแหก " กันไปหลายคน
ไหนจะเคสของคางคกบรรพชนของคางคูด ก็หงายเงิบมาแล้ว
นายจตุพร กล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ์ยังได้หนีการเกณฑ์ทหาร โดยไม่เข้ารับการตรวจเลือกตั้งแต่ปี 2530 - 2536 จนกระทั่งอายุครบ 29 ปี ไม่ทราบว่า มีผู้ใหญ่ที่สนิทกับอดีตผู้นำคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.) คนหนึ่งอาจแนะนำให้นายอภิสิทธิ์ใช้ช่องนี้ขอรับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย สอนระดับชั้น ม.1 แต่ปรากฏว่าการที่พลเรือนชายไทย จะเข้ารับราชการในโรงเรียนนายร้อย จะต้องแสดงหลักฐานสำคัญทางการทหาร แต่นายอภิสิทธิ์ไปขอใบสำคัญทางการทหารจากสัสดีใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานเท็จ นายอภิสิทธิ์จึงไม่มีสิทธิ์เข้ารับราชการ
"ผมยังไปจับเลย ขนาดเป็นครูดอยลงมา ลุ้นจะตาย เพราะเรารู้เราเป็นดี 1 ประเภท 1 กะเทยยังไปจับเลย เป็นหน้าที่ของชายไทยในการรับใช้ชาติ แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นใคร จึงไม่ได้ไปใช้สิทธิ์จับใบดำใบแดง" ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าว
"ทุกคนที่เป็นนายกฯ ที่มียศ เขาจะใช้ยศ และจะพูดถึงยศด้วยความภูมิใจ แต่มีท่านคนเดียว สิ่งที่บอกเบื้องลึกของท่าน เพราะการใช้ สด.9 ออกเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดง สด.43 เป็นการหลีกเลี่ยงแผลในใจ ท่านจึงไม่ใช้ยศว่าที่ร.ต." นายจตุพร กล่าว
นายอภิสิทธิได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า เรื่องการการหนีทหารว่า เป็นประเด็นที่เป็นข้อกล่าวหาหนักหนาสาหัสมากนั้น ตนก็จะขอพูดเรื่องรับราชการทหาร พร้อมจะชี้แจงเรื่องกม. และคุณธรรมจริยธรรมด้วย
"ท่านประธานที่เคารพ ผมทราบดีว่าชายไทยทุกคนมีหน้ที่รับราชการทหาร สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผมไปศึกษาต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุ 11 และศึกษาต่อจนเรียนจบป.ตรี ประมาณอายุ 22-23 นั่นแหละ ในการรับราชการทหารต้องทำความเข้าใจนะ การรับราชการทหารมันมีช่องทางหลักก็คือ ผ่านการเกณฑ์ทหาร ตามพรบ.รับราชการทหารปี 2497 ซึ่งอันนั้นเป็นช่องทางหนึ่ง ขณะเดียวกันกม.ก็เขียนชัดเจนว่า ถ้าไม่ได้เป็นไปตามกม.ฉบับนั้นก็สามารถไปรับราชการทหาร ตามระเบียบรัชราชการทหารปี 2521 ได้
ผมจบจากอ๊อกฟอร์ดในปี 2529 ผมก็เข้าใจว่า เมื่อผมเป็นนักเรียนในการดูแลของก.พ. ก็จะมีการผ่อนผันให้ แต่เมื่อผมกลับมาก็ไปขึ้นทะเบียนในเดือน ก.ค.2529 ซึ่งผมเองก็ได้ดำเนินการตรงนั้น ส่วนที่ล่าช้าไปก็คงเกิดขึ้นกับหลายคน มีการเสียค่าปรับก็ว่ากันไป ประเด็นก็คือว่าเมื่อผมกลับมา ผมก็คิดว่าน่าจะได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือบ้านเมือง พร้อมกับรับราชการทหาร ขณะเดียวกันยุคนั้นก็มีความต้องการให้คนที่จบมาไปเป็นอาจารย์ของโรงเรียนนายร้อยกันมาก และผมก็คิดว่าเอาความรู้ที่ได้มาทั้งเป็นประโยชน์ต่อราชการ และพร้อมกันนั้นผมก็มีความคิดที่จะไปเรียนต่อด้วย มันก็จำเป็นต้องทำสองทางพร้อมกันไป ไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่เลย
ท่านสมาชิกเคยพูดในหลายที่ว่า เมื่อรับสด.9 มาแล้ว ผมไม่ยอมไปเกณฑ์ทหาร และจะหาทางลบล้างความผิดยังไง ที่จริงท่านทราบดีว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเอกสารที่ท่านนำมามันบอกเองว่าผมสมัครก่อนครบหนดเกณฑ์ คือเกิดก่อน 30 เม.ย.30 ทั้งสิ้น แล้วท่านก็มาบอกว่าเอาเอกสารเท็จ เพราะเขารับผมเข้าทำงานในกลางปี 30 แต่เอกสารของท่านมันออกปี 31 ผมจะเอาเอกสารเท็จไปยื่นก่อนได้อย่างไร
ที่จริงผมไม่เคยมีข้อสงสัยเรื่องรับราชการทหารของผมเลย ผมก็แปลกใจเพราะว่าฝ่ายท่านเป็นรัฐบาลมานาน ถ้ามีอะไรไม่ถูกคงมีการดำเนินคดีไปแล้ว ผมเห็นว่าคนที่ท่านพาดพิงมาว่าเขารับโทษต่างๆนานานั้น เพราะทำเอกสารให้ผมนั้น ผมก็ยืนยันว่าบุคคลทั้งสองไม่เคยได้รับโทษแต่อย่างใด และเอกสารที่ท่านอ่าน ก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นเอกสารในขั้นตอนไหน อย่างไร เพราะยังไม่มีการยืนยันว่าเป็นอย่างไร แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ท่านก็ได้ยอมรับว่า ผมได้สมัครรับราชการทหาร และได้รับบรรจุตั้งแตปี 2530
ขณะเดียวกันท่านก็บอกว่า 1.ถ้าอายุไม่ถึง 21 ก็เอาสด.9 ไปสมัคร และ 2.ถ้าเกินกว่า 21 ปี ต้องมีทั้งสด.9และสด.43 หรือมีหนังสือผ่อนผัน เมื่อมีการสงสัยเรื่องนี้ ในที่สุดผมก็ไปค้นพบเอกสาร แล้วก็มีชื่อผมอยู่ในฐานะผู้ได้รับการผ่อนผันปี 30-32 เพราะผมมีความตั้งใจจะไปศึกษาต่อ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าจปร.ให้ผมได้รับการบรรจุอย่างถูกต้อง
ช่วงแรกผมเข้าไปเป็นขรก.พลเรือนกลาโหม พรบ.รับราชการทหารปี 2521 ก็อธิบายครอบคลุมว่า ขรก.ทหารหมายถึงขรก.กลาโหมพลเรือนด้วย เพราะฉะนั้นผมก็เริ่มรับราชการทมหารตั้งแต่กลางปี 2530 ด้วย
ท่านก็อาจไม่ทราบว่าในช่วงที่ผมสอนอยู่โรงเรียนนายร้อย ในช่วงแรกยังไม่มียศ เพราะยังไม่ได้รับการฝึก วิธีการของเขาก็คือเขาจัดให้มีการฝึก ซึ่งเขาจะมีเป็นรอบๆเหมือนกับการฝึกอบรมของส่วนราชการอื่นๆ เขาจะจัดเป็นรุ่น ผมก็ฝึกเหมือนกับเพื่อนฝึกรด.แหละ แต่ความต่างก็คือท่านฝึกรด.ก็ไปสัปดาห์ละครึ่งวัน แต่ของผมฝึกต่อเนื่อง มีการไปเขาชนไก่เหมือนกัน (โชว์รูปที่ฝึกทหารมาโชว์ 3 รูป) ไม่ได้มีอะไรลึกลับซับซ้อน แล้วก็เข้าไปรับราชการทหาร ท่านถามว่าผมมีลูกศิษย์มั้ย ผมได้พาคณะไปเยี่ยม 3จว.ใต้ มีนายทหารวิ่งเข้ามาหาผม บอกว่าเป็นลูกศิษย์ผม
ผมก็สอนหนังสือตามปกติ ทีนี้พอถึงช่วงปี 2531 พอฝึกเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องเข้าสู่การขอพระราชทานยศ ก็มีการมาขอเอกสารหลักฐานที่ใช้ รวมถึง สด.9 ก็ปรากฏว่ามันหาย เลยไปขอใบแทนออกมา ซึ่งก็ไม่ได้มีผลใดๆทั้งสิ้นต่อการรับราชการ และการรับพระราชทานยศ ถัดมาในปี 2531 เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยประสานมา ผมก็ตัดสินใจว่าต้องไปเรียนต่อ และก็จะไปสอนหนังสือด้วย ผมก็ได้ทำเรื่องลาและได้รับการอนุมัติถูกต้องทุกประการ ถ้าถามว่าผมทำหน้าที่รับราชการหรือยัง ก็ต้องบอกว่าการรับราชการทหารในระเบียบปี 21 ทีให้ทำเป็นเวลาหนึ่งปีเป็นอย่างน้อยนั้น ผมก็ทำเกินหนึ่งปีแน่นอน ไม่ได้มีอะไรเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของประเทศไทย ทุกเรื่องไม่มีสองมาตรฐานและผมก็ได้รับการตรวจสอบและยินดีที่จะชี้แจงตามที่ท่านมีข้อสงสัย
ที่ท่านมาบอกว่าผมต้องเดินบนความหวาดกลัวกองทัพ เป็นเรื่องไร้สาระ ผมไม่ทราบว่าท่านกลัวใครบ้างแต่ผมไม่กลัว ไม่ว่าเรื่องภาคใต้ หรือการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพก็ตาม ท่านไม่เคยได้ยินหรอกนะครับว่า ถ้ามีบุคคลของกองทัพทำไอะไรผิดต้องได้รับโทษ แต่ผมพูด และได้รับการขานรับอย่างดีจากท่านผบ.ทบ. ไม่ว่าจะเป็นกรณีโรฮิงญา หรือการปฏิบัติหน้าที่ของทหารใน 3 จว.ใต้ ผมทำบนมาตรฐานที่ชัดเจน หลายเรื่องท่านต้องทราบ แต่ท่านก็มองข้าม ไม่ไปดูหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้ทางกระทรวงก็เคยมาชี้แจงต่อกมธ.ทหาร ก็ยืนยันว่าการบรรจุผมมีระเบียบที่แน่ชัด
จากนั้นนายจตุพร ได้ลุกขึ้นตอบโต้นายอภิสิทธิ์ โดยพยายามซักถามต่อว่า ใช้หลักฐานอะไรในการสมัครเป็นอาจารย์ ร.ร.นายร้อยจปร. เพราะหลักฐานที่ต้องนำมานั้น มันต้องใช้สด.9 สด.8 และหลักฐานการผ่อนผันอื่น เพราะท่านนายกฯมาสารภาพกลางสภาเองว่าได้รับการบรรจุ 7 ส.ค.30 ท่านไม่ได้ให้สด.9 ไปแสดง ท่านไปเป็นทหารได้อย่างไร เพราะมีเอกสารต้องแสดง 16 รายการ ท่านจะมาขอสด.9 ใบแทน ซึ่งออกเอกสารใบแทนปี 31 ได้อย่างไร นายจตุพรยังตั้งคำถามาต่อไปว่า ในปี 2530 นายอภิสิทธิ์ ไม่เข้ารับการตรวจเลือก และถ้าได้รับการผ่อนพันจริง ทำไมถึงปรากกชื่อในบัญชีคนขาดใน 32-33-34 ตนไม่ได้กล่าวหานายอภิสิทธิ์โดยปราศจากหลักฐาน เพราะผลการสอบของกองทัพ รวมถึงผลการตรวจสอบ ท่านไม่มีสิทธิ์ได้รับการบรรจุในวันที่ 7 ส.ค.30 เพราะท่านยอมรับว่าสด.9 หาย แต่ไปขอวันที่ 8 เม.ย.ปี 31
นายอภิสิทธิ์ลุกขึ้นใช้สิทธิ์ชี้แจงกลับไปว่า ตนไม่เคยพูดว่าสมัครเข้าไป เพราะตนไม่มีสด.9 ท่านพูดเอง เอกสารที่เรียกร้องเพิ่มเติมคือหลักฐานการผ่อนผัน ตนเข้าใจว่าเป็นกระบวนการภายในเมื่อเขาตรวจผมแล้วเขาถึงบรรจุ ส่วนเรื่องบัญชีผ่อนผันมันเป็นคนละเรื่อง ส่วนการแทงบัญชีขาดนั้น ก็อาจเป็นไปได้ว่าในการแก้เอกสารอาจไม่ได้แก้
นายจตุพร ยังได้ลุกขึ้นตอบโต้อีกครั้งว่า ขอถามย้ำอีกครั้งว่าเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ท่านสมัครเป็นอาจารย์รร.นายร้อยจปร. ท่านได้แสดง สด.9 หรือไม่ ถ้าท่านไม่แสดง เขารับท่านได้อย่างไร เพราะท่านหนีทหาร 7 เม.ย.30 แสดงว่าโรงเรียนนายร้อยจปร.ทำสด.9 ท่านหายใช่หรือไม่ แล้วการออกสด.9 ใบแทน แล้วลงวันผิด ทำไมท่านไม่ทักท้วง
นายอภิสิทธิ์ชี้แจงอีกว่า วันที่ตนสมัคร เอกสารสด.9 มี และตรวจสอบได้ เพราะมีต้นขั้วอยู่ ส่วนการผ่อนผันก็มีตามหลักฐานที่เอามาให้ดู เวลาที่ออกใบแทน เขาก็เขียนใบแทนใบที่หาย และลงวันที่วันนั้น เขาจะไปออกลงวันที่ย้อนหลังให้ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม นายจตุพรไม่ลดละ ยังได้ลุกขึ้นตั้งคำถามกลับไปอีกว่าที่ ท่านนายกฯอธิบายความก็คือใบแทน 8 เม.ย.31 ที่ท่านไปขอใบแทนถูกต้อง แต่ในการกรอกรายละเอียดเข้าบัญชีทหารกองเกินวันที่ มันต้องเป็น 4 ก.ค.29 แต่นี่ใส่วันที่ 8 เม.ย.31 จึงกลายเป็นเอกสารเท็จไป เพราะท่านไปขึ้นทะเบียนคือ 4 ก.ค.29 ที่ผมถามก็คือวันที่ 7 ส.ค.นั้นท่านได้แสดงใบนั้นหรือไม่ เพราะหนังสือ 8 เม.ย.31 นั้นถูกต้อง แต่วันที่ขึ้นทะเบียนไม่ถูก เพราะฉะนั้นการเป็นอาจารย์รร.นายร้อยของท่านจึงเป็นโมฆะแต่ต้น
นายอภิสิทธิ์ลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้ง โดยบอกว่าการออกใบแทนอันนี้ ไม่ได้มีผลหรือความหมายกับการรับราชการทหารเลย เพราะมันเกิดขึ้นหลังจากรับตนเข้ารับราชการมาแล้วครึ่งปี ส่วนเอกสาร 4 ก.ค.29 นั้นก็มีเรียบร้อยแล้ว และเขาใช้ใบนั้นในการรับตนเข้าไปแล้ว