ผมศึกษาเรื่องนี้มาจากเว็บเสรีไทยมาตั้งแต่ปี 2552 เมื่อครั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวโน้น จนกระทั่งวัศุกร์ที่ผ่านมาเมื่อเธอ...จ๊ะโอ๋พลอากาศเอกสุกำพลแถลงข่าว ชี้ผิดแก่นายอภิสิทธิ์ ฟังแล้วรู้สึกคันไม้คันมือ อยากเขียนทันใด เอาเรื่องมาอ่าน เอาเอกสารมาดู ลองเขียนดู 5 หน้ากระดาษ A 4 ก็ยังไม่จบ เลยหยุดไว้่ก่อน พอดีรู้สึกนอยด์กับเรื่องความสูญเสียที่ภาคใต้ เลยไม่ได้เขียนต่อ
วันนี้เรื่องชักซาแล้ว เลยนำมาดูอีกที แล้วพยายามย่นย่อให้สั้นที่สุด เพื่อความเข้าใจในการอ่าน ถ้าเราติดตามดู การโต้ไปโต้มา แบบนี้อีก 10 ปี ก็ไม่จบ เรื่องนี้มันเริ่มมาตั้งแต่ 2542 แล้ว จากพรรคความหวังใหม่ คนกล่าวหาก็คนๆเดียวกันนี่แหละชื่อนายกมล บันไดเพชร พอปี 2544 ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ทำไมไม่จัดการซะให้สิ้นซาก ปล่อยไว้ทำไม ปี 2553 แกนนำเสื้อแดงก็เล่นประเด็นนี้อีก เอกสารที่มาใช้ก็ตัวเดียวกันกับปี 2542 มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะเอาเดอะมาร์คให้ตายคาสภาให้ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ
เอกสารที่นายกมลเจ้าเก่าอ้างมาใช้ ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน ก็คือหนังสือกรมการกำลังสำรองทหารบกลับที่ กห 0426/654 ลงวันที่ 8 มี.ค.2542 ตามที่เว็บมติชเอามาลงไว้เมื่อปี 2552 ในชื่อเรื่องว่า ”งัดไม้ตายสกัด"อภิสิทธิ์"นั่งนายกฯ"สามเกลอ"ชูเอกสาร"ลับ"ทบ.ซัดหนีทหาร-บรรจุ อจ. รร.จปร.ขัดกฎหมาย”
อ้างอิง : http://www.matichon....pid=00&catid=01
เอกสารชุดนี้เป็นเอกสารเดียวที่ใช้หากินจ้องหาเรื่องนายอภิสิทธิ์อย่างจริงจัง แต่รู้ไหมว่า เอกสารนี้ก็ยังมีพิรุธ คือ เป็นเอกสารที่ยังไม่สิ้นสุด คือ มีแต่ผลสอบสวน ซึ่งท้ายเอกสารได้ระบุว่า " จึงเรียนมาเพื่อกรุณาพิจารณา หากเห็นสมควร กรุณาอนุมัติในข้อ 4 " ดังนั้นผู้ที่ออกคำสั่งในขั้นตอนสุดท้าย คีอ ผบทบ.สมัยนั้นคือพลเอกสุรยบุทธ์ จุลานนท์ คำสั่งเป็นเช่นไร เราก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่เข้าใจคือคำสัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา ที่บอกว่า เรื่องจบไปตั้งแต่ปี 25452 แล้ว ผลสอบไม่มีมูล
แต่พวกจ้องจะหาเรื่องกลับนำเอกสารชิ้นนี้ไปหใช้หาประโยชน์ ทั้งๆที่ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งเปรียบได้กับการยืนฉี่แต่ยังไม่สะเด็ดน้ำ อะไรประมาณนั้น
คำแถลงข่าวของจ๊ะโอ๋ สุกำพล
อ้างอิง : http://www.matichon....atid=&subcatid=
กับ
คำเบิกความของนายจตุพร
อ้างอิง : http://www.matichon....pid=00&catid=00
อะไรจะปานนั้น ตรงกันเป๊ะ เพียงแต่ พลอากาศเอกสุกำพลหลีกเลี่ยงจะใช้คำว่าเอกสารเท็จเป็น " เป็นเอกสารที่ไม่อยู่ในระบบทางราชการ " ช่างเป็นการสรรหาคำมาอธิบายได้อย่างหลีกเลี่ยงดีแท้
ผมทนายเบิ้ม ขอบังอาจวิเคราะห์ในเรื่องนี้ โดยใช้กฎหมายอ้างอิง แม้ไม่ฟันธงจนขาดกระจุย แต่ขอบอกว่าเรื่องนี้จบไปตั้งแต่เดือน7 สิงหาคม 2530 แล้ว ที่กระทรวงกลาโหมบรรจุนายอภิสิทธิ์เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ในยุคนั้นรัฐมนตรีกลาโหมนามว่าพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และ ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น คือ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อกันเปล่าๆ
คำถาม คือ นายอภิสิทธิ์หลีกเลี่ยงการการเกณฑ์ทหาร เมื่อปรากฎว่าในวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 นายอภิสิทธิ์ได้ลงบัญชีขอขึ้นทหารกองเกินตามแบบ สด.1 และรับแบบ สด.9 ลงวันที่เดียวกันไป ถามต่อไปว่านายอภิสิทธิ์มีเจตนเอาใบ ส.ด.9ไปทำอะไร ไปเข้าเกณฑ์ทหาร หรือ ตั้งใจไปนำไปใช้เพื่ออะไร คำตอบอยู่ที่เอกสารนี้ ครับ
ถ้าไม่มีดี เดอะมาร์คกี้ ทูนอาร์มี่แห่งเมืองนิวคาสเซิล เมื่อคราวไปเรียนที่อ๊อกฟอร์ดในคราวนั้น คงไม่มีชีวิตนักการเมืองยาวนานกว่า 20 ปี นายอภิสิทธิ์ตั้งใจนำใบ ส.ด.9 ที่ได้มาจากการแสดงตนไปใช้เพื่อประกอบการสมัครเป็นข้าราชการที่โรงเรียน จปร.เอกสารนี้ลงวันที่ 24 กันยายน 2529 หลังจากวันที่ไปรับ ส.ด.9 ประมาณเดือนเศษ
ใบ สด.9 ฉบับที่ 1 พลอากาศเอกสุกำพลยอมแล้วรับว่าถูกต้อง แต่ในคำแถลงจ๊ะโอ๋บอกว่า วันที่ 31 มีนาคม 2530 กรมสารบรรณทหารบก ได้ขอเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องหลักฐานการเกณฑ์ทหาร (สด.43) ซึ่งหมายถึง ใบรับรองผลการตรวจเลือกทหาร ตรงนี้สุกำพลแถลงผิดเต็มๆเพราะเอกสารที่ได้ขอเพิ่มเติมนั้น คือ หลักฐานการผ่อนผันทหาร ซึ่งเอกสารที่เสื้อแดงเอามาอ้างก็ระบุว่าเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ สด.43 และเอกสารฉบับนี้ ก็บ่งบอกไว้ว่าเป็นหลักฐานการผ่อนผันจริงๆ
เมื่อมีการสมัครเข้ารับราชการเป็นทหารแล้ว เหตุใดนายอภิสิทธิ์ต้องไปตรวจเลือกในวันที่ 7 เมษายน 2530 ด้วยเล่าทั่นสุกำพล ซึ่งตรงนี้กฎหมายทหารตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.2497 มาตรา 8 บัญญัติไว้ว่า
"การรับบุคคลเข้าเป็นทหารกองประจำการ ให้กระทำด้วยวิธีเรียกมาตรวจเลือกหรือจะรับเข้าเป็นทหารกองประจำการ โดยวิธีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงก็ได้"
ซึ่งตามมาตราต้องนำไปใช้ร่วมกับกฎกระทรวงฉบับที่ 35 (พ.ศ.2516) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ข้อ 3.(3)ที่ระบุไว้ว่า
"การร้องขอเข้าเป็นทหารกองประจำการโดยผู้ซึ่งยังไม่ถูกเรียกเข้าเป็นทหารกองประจำการหรือผู้ซึ่งเคยถูกเรียกเข้าเป็นทหารกองประจำการแล้ว แต่ไม่ถูกเข้ากองประจำการ ให้บุคคลดังกล่าวร้องขอต่อเจ้าหน้าที่กรมกองฝ่ายทหาร หรือฝ่ายตำรวจ ที่บุคคลนั้นประสงค์จะเข้ารับราชการกองประจำการ เมื่อเจ้าหน้าที่ดังกล่าวพิจารณารับบุคคลใด ให้นำบุคคลนั้นขึ้นทะเบียนกองประจำการ การที่กรมกองฝ่ายทหารหรือฝ่ายตำรวจจะรับผู้ร้องขอเข้าในสังกัดหรือเหล่าใด ให้เป็นไปตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด"
ข้อเท็จจริงคือเดอะมาร์คทำเรื่องสมัครรับราชการทหารก่อนวันเกณฑ์ทหารแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปในวันที่ 7 เมษายน 2530 เมื่อนายอภิสิทธิ์ส่งใบสมัครเมื่อ 9 เมษายน 2530 ต่อมาวันที่ 7 สิงหาคม 2530 นายอภิสิทธิ์เข้ารับราชการเป็น ข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงกลาโหม ตามคำสั่งที่ 720/30
เพื่อคลายความสงสัย มาดูข้อกฎหมายกันอีกนิดว่า เป็นข้าราชการพลเรือน แล้วได้ยกเว้นการไม่ไปเกณฑ์ทหารหรือ เกี่ยวอะไรกับการเป็นข้าราชการทหาร ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 มาตรา 4 วรรค 1 ได้ให้คำนิยามของคำว่า ข้าราชการทหารไว้ดังนี้
“ข้าราชการทหาร” หมายความว่า ทหารประจำการและข้าราชการกลาโหม พลเรือนที่บรรจุในตำแหน่งอัตราทหาร" เรื่องนี้เกมส์ไปตั้งแต่ปี 2530 แล้วครับ เรื่องนี้ ยังอุตส่าห์ขุดกันขึ้นมาอีก คราวนี้เรามาดูประเด็นเอกสารที่ไม่อยู่ในระบบทางราชการ ตามที่สุกำพลแกอ้างบ้าง ทั้ง 2 ใบ เป็นใบ สด.9
ใบนี้ปี 2529
ใบนี้ปี 2531
สุกำพลบอกว่า ใบที่ 2 มีข้อความ ในต้นขั้วทั้งสองใบว่าลงวันที่ไม่ตรงกัน ถ้าลงตามใบที่ 1 คือวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 จะปรากฎชัดว่า ไม่ได้ไปคัดเลือกทหารเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2530 แต่สิ่งที่ป๊ะป๋าจ๊ะโอ๋ไม่ได้บอกต่อว่าการสมัครเป็นทหารก่อนวันคัดเลือก จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องไปในวันเกณฑ์
สิ่งที่ผมขอบอกไว้สั้นๆคือ ในเมื่อใบ สด.9 ไม่เท็จ ใบที่ 2 ก็ไม่เท็จ แต่ข้อความที่ลงไว้เรื่องวันที่นั้น ถ้าเดอะมาร์คถือว่าได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการแล้ว จะต้องนำมาเป็นข้อพิจารณาอีกหรือ ทั้งนี้ กฎหมายได้บัญัติไว้เช่นไร กรณีนี้พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.2497 มาตรา 18 บัญญัติไว้ว่า
" บุคคลซึ่งยังมิได้ลงบัญชีทหารกองเกินที่อำเภอพร้อมกับคนชั้นปีเดียวกันเพราะเหตุใด ๆ ก็ดี ถ้าอายุยังไม่ถึงสี่สิบหกปีบริบูรณ์ ให้ปฏิบัติทำนองเดียวกับมาตรา ๑๖ ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่สามารถจะปฏิบัติได้ แต่จะให้ผู้อื่นแจ้งแทนไม่ได้ ถ้านายอำเภอจะเรียกตัวลงบัญชีทหารกองเกิน ก็ย่อมทำได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว
เมื่อได้รับการลงบัญชีทหารกองเกินตามมาตรานี้ ให้นายอำเภอออกใบสำคัญหรือใบรับให้ไว้ เป็นหลักฐาน หากใบสำคัญชำรุดหรือสูญหาย ให้ผู้ถือแจ้งนายอำเภอท้องที่เพื่อขอรับใบสำคัญใหม่ โดยเสียค่าธรรมเนียมฉบับละหนึ่งบาท แต่ถ้าการชำรุดหรือสูญหายนั้น เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ไม่ต้อง
เสียค่าธรรมเนียม
ผู้ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกินตามมาตรานี้แล้วให้ถือว่าเป็นทหารกองเกิน ตั้งแต่วันลงบัญชี ทหารกองเกิน แต่ถ้ามีอายุครบกำหนดปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ ๒ ตามมาตรา ๓๙ เมื่อได้ลงบัญชีทหารกองเกินแล้วให้ปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ ๒ ทันที
การลงบัญชีทหารกองเกินตามมาตรานี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่กำหนด ในกฎกระทรวง"
ซึ่งก็คือ ใบที่ 2 หากถือได้ว่าเป็นการแทนฉบับที่ชำรุดเสียหาย และเมื่อเป็นข้าราชการทหารตามกฎหมายแล้ว จะไปพะวงอะไรกับการไม่ไปคัดเลือกทหาร คราวนี้มาดูหลักฐานการขาดการตรวจเลือก หากไม่ถือว่าเอสารใบ สด.9ที่ 2 ไม่อยู่ในระบบ เหตุใดจึงระบุไว้ตั้งแต่ปี 2532 ว่า ขาดการตรวจเลือก และย้อนไปในปี 2531 ถึงตรวจไม่พบชื่อ
สุดท้าย กฎหมายอาญาและกฎหมายทหารนั้น น่าจะขาดอายุความไปนานแล้ว เพราะเรื่องนี้ เมื่อสมบูรณ์เมื่อสิงหาคม 2530 แต่ปล่อยไว้ถึง 13 ปี-22 ปี ถึงได้มาขุดคุ้ยกัน แต่อายุความใหม่ในข้อหาหมิ่นประมาท และ การปฎิบัติหน้าที่ กำลังจะเริ่มต้นสำหรับพลอากาศเอกสุกำพลนั้น กำลังจะเริ่มต้นขึ้นมา คาดว่าอีกไม่นาน
สำหรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงจะต้องจดจำไปอีกนาน ควักเงิน 1 บาท จ่ายค่าธรรมเนียมใบแทน สด.9 แต่ต้องมาถูกกล่าวหาว่า ใช้เอกสารอันเป็นเท็จเสียนี่ ฮาไม่ออก บอกไม่ถูก พี่น้องเอ๋ย
.........
ขอเจ๋งๆ งัดหลักฐานแย้งทนายเบิ้มหน่อยครับ