พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล
#1
Posted 2 August 2012 - 23:16
ได้ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ฟื้นฟู พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล หรือ พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ขึ้นใหม่
สำหรับผู้ที่ได้รับ พระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์ และถึงแม้ว่าการถือน้ำครั้งนี้
จะกระทำเฉพาะวงการอันจำกัด มิได้กระทำให้ข้าราชการทั้งหมด แต่ก็ยังเรียกได้ว่า เป็นการฟื้นฟู
พระราชประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ และโบราณเกินกว่าที่ ตะนิ่นตาญี จะทราบได้.....
คำสัตย์ปฏิญาณ หรือคำสาบานของผู้ที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยานั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการแต่ขึ้นมาใหม่
ให้ถูกกับกาลสมัย เพราะในถ้อยคำสาบานนั้นได้ สาบานว่า
“จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่ จะปฏิบัติการทุกอย่าง
โดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถและโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญ ความสงบสุข
และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศชาติไทย จนตราบเท่าชีวิตและร่างกาย จะหาไม่.....”
ลงท้ายด้วยการขอให้วิบัติแก่ตน หากไม่ปฏิบัติตามคำสัตย์สาบาน และขอให้เกิดความสุขสวัสดีแก่ตน
หากรักษาคำปฏิญาณนั้นไว้ได้ น้ำ ที่ผู้ถือดื่มในพิธีนั้น ต้องถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สองชั้นคือเป็น
น้ำพระพุทธมนต์หนึ่ง และเป็นน้ำที่ผ่านพิธีกรรมทางด้านไสยศาสตร์ ด้วยการผ่าน “โองการแช่งน้ำ”
และชุบพระแสงศาสตราวุธต่างๆ สำหรับ โองการแช่งน้ำ นั้นเป็นภาษาไทย แต่เป็นภาษาไทยโบราณมากมาก
จน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯลฯ มี พระราชวินิจฉัย ไว้ว่า น่าจะเป็นภาษาไทย
ก่อนสมัย พระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ขึ้นไปเสียอีก เพื่อนเพื่อนลองอ่านกันดู.....
“โอม สิทธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแท่นแกว่นกลืนฟ้า กลืนดิน บินเอาครุฑ มาขี่
สี่มือถือสังข์ จักร คทาธรณี ภีรุอวตาร อสุรแลงลาญทัก ททัคนิจรนาย”
“โอม บรเมศวราย ผายผาหลวงอคร้าว ท้าวเสด็จเหนือโคเผือก เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทร์เป็นปิ่น
ทรงอินทรชฎา สามตาพระแพร่ง แกว่งเพชรกล้า ฆ่าภิฆจรรไร”
“โอม ไชยะไชยไขโสฬสพรหมญาณ บนเศียรเกล้า เจ้าคลี่บัวทอง ผยองเหนือขุนห่าน ท่านรังก่อดินก่อฟ้า
หน้าจตุรทิศ ไทมิตรดา มหากฤตราไตรอมไตยโลเกษ จงตรีศักดิ์ท่าน พิญาณปรเมศธิเบศ ไทธเรศสุรสิทธิพ่อ
เสวยพรหมานทรใช่น้อย ประถมบุญภารดิเรกบูรภพรู้กี่ร้อยก่อมา”
ขอความกรุณาเพื่อนเพื่อนอย่าบอกให้ ตะนิ่นตาญี แปลออกมาด้วยในสิ่งที่เขียนไว้ในเบื้องต้น
เรียนตรงตรงที่เขียนไปนั้นยังไม่แน่ใจเลยครับว่าจะเขียนได้ถูกต้องตาม อักขระวิธี แต่มีมาหรือไม่ !
ทราบแต่เพียงเลาเลาว่าเป็นการสรรเสริญ พระนารายณ์ พระอิศวร และพระพรหม
ส่วนภาษาไทยที่ว่าเก่ามากนั้นมีอยู่หลายคำที่จับความได้ไม่ถนัดนัก และยังเรียก นาค ว่า งู
ดั่งที่ปรากฏอยู่ในตอนที่ว่า “เอางูเป็นแท่น” ในขณะที่ พระอิศวร ทรงสังวาลนาค ก็กล่าวอย่างไทยไทยว่า
“เอาเงือกเกี้ยวข้าง” คำว่า เงือก หมายถึง งู ก็ได้ ส่วนคำว่า เกี้ยว นั้นก็คือ การนำมา พัน
ส่วน พระพรหม ขี่หงส์ นั้นเขียนว่า “ผยองเหนือขุนห่าน” ต่อจากนั้น ไปเป็นเรื่องสร้างโลก
เขียนเป็นโคลงสี่ ซึ่งบทแรกนั้น ยังพอจะเขียนไว้ตามแบบที่เขียนโคลงสี่ในปัจจุบันได้ ดังนี้
“นานาอเนกท้าว เดิมกัลป์
จักร่ำจักราพาฬ เมื่อไหม้
กล่าวถึงตรวันเจ็ด อันพลุ่ง
น้ำแล้งไข้ ขอดหาย”
หลังจากอ้าง ไตรมุนี ของแขกแล้ว โองการแช่งน้ำ ก็ยังเชิญผีไทยไทย ให้คอยมาลงโทษ
ผู้คิดคดทุจริตไม่รักษาคำสาบานเช่น…..
“เจ้าผาดำ เจ้าผาเผือก ช่วยดู หันจ้าวปู่สมิงพราย เจ้าผา หลวงผากลาย ช่วยดู ดีร้ายบอกคนจำ
ผีพราย ผีชร หมื่นดำ ช่วยดู กำรูคลื่นเป็นเปลว บ่ซื่อน้ำตัดคอ”
ยังครับยังไม่หมดยังมีอีกครับ.....
“ปล้ำเงี้ยวรอนราญรงค์ ผีดงผีหมื่นถ้ำ ล้ำหมื่นผา มาหนน้ำหนบก ตกนอกขอบฟ้าแมนแดนฟ้า
ตั้งฟ้าต่อหล่อหลวงเต้าทั้งเหง้าภูตพนัศบดี ศรีพรหมรักษ์ ยักษ์กุมาร หลายบ้านหลายท่า
ล้วนผีห่าผีเหว เร็วยิ่งลมบ้า หน้าเท่าแผง แรงไถยเอาขวัญ ฯลฯ....”
ดูดูแล้วก็น่ากลัวเอาการอยู่ การอ่านโองการแช่งน้ำและชุบพระแสงศรีนี้ เป็นหน้าที่ของ พระราชครูพราหมณ์
ส่วนคำสาบาน หรือคำคำสัตย์ปฏิญาณนั้น อาลักษณ์ เป็นผู้อ่าน ผู้ถือน้ำว่าตาม เมื่อจบประกาศแล้ว
ยังนำพระแสงอื่นอื่นลงชุบในน้ำพิพัฒน์สัตยา ซึ่งได้แก่ พระแสงขรรค์ชัยศรี พระแสงหอกเพชรรัตน์
พระแสงดาบคาบค่าย พระแสงดาบใจเพชร พระแสงเวียด ทั้งหมดนี้เป็นพระแสงในรัชกาลที่ ๑
ต่อด้วยพระแสงในรัชกาลถัดไป จนถึง พระแสงในรัชกาลปัจจุบัน.....
การเอา เครื่องศาสตราวุธ ลงชุบใน น้ำสาบาน นั้น ว่ากันว่าเป็นประเพณีของ ขัตติยะ คือ นักรบ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นรามาธิบดี นั้นพระราชทานเฉพาะ “ข้าราชการทหาร” ผู้มีความชอบ
ในราชการแผ่นดิน การถือน้ำโดยผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้นจึงเหมาะสมอยู่มาก
น้ำพิพัฒน์สัตยา ซึ่งผ่านพิธีกรรมทั้งปวงแล้วนั้น นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้เสวยด้วย นักรบผู้ถือน้ำ
จึงจะถือว่าตนได้สาบานกับ พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นจอมทัพ และจะต้องถือว่า เป็นคำสาบานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
และจะต้องรักษาคำสาบานนั้นไว้เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด.....
พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต ท่านถือ น้ำพิพัฒน์สัตยา หรือไม่?
ท่านได้สาบานตนไว้กับ พระมหากษัตริย์ ผู้เป็น จอมทัพไทย หรือไม่?
ตะนิ่นตาญี ไม่ทราบ แต่ วิสัยแห่ง ชายชาติทหาร นักรบ ที่แท้จริงนั้น เขาไม่เป็น บ่าวสองนาย หรอกกระมังครับ
ระวังนะครับ พวกผิดน้ำนั้น ตะนิ่นตาญี เห็นมามากต่อมากแล้วครับ
ตะนิ่นตาญี
วันพฤหัสบดีที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๒๓.๑๖ นาฬิกา
#2
Posted 2 August 2012 - 23:51
แต่ด้วยความไม่รู้ และไม่มีคนแนะนำ เมื่อตักน้ำจากอ่างลงศาสตราวุธแล้ว ดื่มไม่หมด ท่านก็เททิ้ง
แทนที่จะราดศีรษะตามประเพณีเดิม คนอื่นๆ ที่ดื่มไม่หมดก็ทำตามบ้าง
จึงถือว่า คำสาบานไม่สมบูรณ์
สำหรับทหาร ก่อนรับกระบี่ ทราบว่ามีการถวายสัตย์ด้วยแต่ไม่มีการแช่งน้ำ
อย่างไรก็ดี สำหรับชายชาติทหาร คำพูดย่อมมัดคอคนพูด
เว้นแต่สุกำพลไม่ใช่ชาย
#3
Posted 2 August 2012 - 23:58
ตราบใดที่ผลประโยชน์แห่งกิเลส ยังมีอยู่ในใจผู้รับราชโองการ ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงรอโทษแห่งโองการแช่งน้ำอยู่เสมอล่ะครับ
คนที่รอชีวิตจะหาไม่ก็เห็นอยู่แล้วคนหนึ่ง ทักษิณ ชินวัตร รอยยิ้มบนความเจ็บปวด
กลบเกลื่อนอำนาจแห่งคำสาปของโองการแช่งน้ำ ไม่ได้
#4
Posted 3 August 2012 - 00:21
Edited by อู๋ ฮานามิ, 3 August 2012 - 00:22.
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#5
Posted 3 August 2012 - 01:29
ขนลุกกรูเกรียว
AMAZING coup d'etat , THAILAND ONLY ..
#6
Posted 3 August 2012 - 02:31
บทความของท่าน ตะนิ่นตาญี แต่ละบทความ ล้วนแต่
แสดงถึงความใส่ใจในการที่จะถ่ายทอดบทความนั้นๆเป็นอย่างมาก
ผมมีโอกาสได้อ่านที่ท่านตะนิ่นตาญี ถ่ายทอดไว้เมื่อครั้ง
ก่อนวันเฉลิมฯของพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี2554
ผมประทับใจมากครับ........ขอขอบคุณใจที่บริสุทธิ์ของท่านที่ตั้งใจนำเสนอครับ
ขอเทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใด
...แม้แต่ลมหายใจก็ยอมพลี
โลกยังไม่สิ้นหวัง ถ้ายังมั่นในความดี
...ศรัทธาไม่เคยหน่ายหนี คนดีไม่มีวันตาย
#7
Posted 3 August 2012 - 03:36
-----------------------------------------------------------------------------
เพลง : โองการแช่งน้ำ
ศิลปิน : วงตาวัน
ฟ้าเคือง ดินโกรธ
ฝนจาง บอกลางร้าย
แผ่นดินแล้ง เกินจะปลูกสิ่งไหน
ภัย...จะโถมทลายเมืองคน
ผองคน โกงโลก
คว้าครอง อย่างใจตน
ทุกสิ่งในโลกนี้ เป็นอย่างไรไม่สน
จนจะผลาญซะจนสิ้นพันธุ์
หลอมคน รวมชาติ
ล้านคน หลากดีร้าย
อยู่รวมกัน คนและสัตว์ทั้งหลาย
ในแผ่นฟ้าและดินเดียวกัน
*เพียงคนเท่านั้นเป็นใหญ่ หรือคุณฟ้าให้กำเนิด
เบียดเบียนชีวิตกัน
แข็งขืนจะฝืนลิขิต วงจรชีวิตจะสั้น
ไฟ...จะเผาล้างพันธุ์คนพาล
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
ดับยุคเข็ญประหัตประหาร ผู้คนล้มตายดั่งผักปลา
คำสาปฟ้าและดินลงฑัณท์ (ดนตรี,ซ้ำ*)
.
ขุนคน คนใหญ่
ขุนนาง กร่างเกลื่อนไป
ลืมวันที่หลั่งรินน้ำ ลืมคำที่เคยให้ไว้
ไม่รักษาสัญญาฟ้าดิน
.
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
ดับยุคเข็ญประหัตประหาร ผู้คนล้มตายดั่งผักปลา
คำสาปฟ้าและดินลงฑัณท์
.
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
.
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
http://youtu.be/RiX-qVSRdjM
#8
Posted 3 August 2012 - 08:56
ครูผมเล่าให้ฟังว่า ในพระราชพิธีครั้งนั้น จอมพลถนอมได้ถือน้ำเป็นคนแรก
แต่ด้วยความไม่รู้ และไม่มีคนแนะนำ เมื่อตักน้ำจากอ่างลงศาสตราวุธแล้ว ดื่มไม่หมด ท่านก็เททิ้ง
แทนที่จะราดศีรษะตามประเพณีเดิม คนอื่นๆ ที่ดื่มไม่หมดก็ทำตามบ้าง
จึงถือว่า คำสาบานไม่สมบูรณ์
สำหรับทหาร ก่อนรับกระบี่ ทราบว่ามีการถวายสัตย์ด้วยแต่ไม่มีการแช่งน้ำ
อย่างไรก็ดี สำหรับชายชาติทหาร คำพูดย่อมมัดคอคนพูด
เว้นแต่สุกำพลไม่ใช่ชาย
ขอบพระคุณ คุณ amplepoor มากครับ
ตะนิ่นตาญี ชอบสิ่งละอันพันละน้อยที่ คุณ amplepoor นำมาเล่าให้ฟังเสมอมา
นี่ยังไม่นับข้อมูลทางวิชาการที่ คุณ amplepoor นำเสนอในทุกทุกครั้งซึ่งต้องถือว่า
เป็นข้อมูลทางวิชาการที่ต้องนำมาพิจารณาร่วมด้วยทุกครั้ง
การชื่นชมของ ตะนิ่นตาญี ที่มีต่อ คุณ amplepoor จึงเป็นการแสดงออกโดยมิได้มีการเสแสร้งแต่อย่างใด
หลายครั้งที่ถูก ผู้ไม่หวังดี ตำหนิเอาว่า เป็น การเยินยอ กันเอง ตะนิ่นตาญี จึงต้องขออภัยไว้ตรงนี้ด้วยครับ
คุณ amplepoor สังเกตุไหมครับ ปกติแล้ว การถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ในครั้งโบราณนั้น
จะเป็นการ ถวายสัตย์ ให้ความจงรักภักดี ต่อ เจ้าฟ้า-เจ้าแผ่นดิน
ไม่ใช่ ต่อบ้านเมือง ต่อประชาชน และ ต่อหน้าที่
จะมีก็แต่ ในหลวง พระองค์นี้ พระองค์ไม่พึงประสงค์เฉกเช่น กษัตริย์ แต่โบราณ
แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ก็ยังมี สัตว์****** บางตัว
จาบจ้วงหยาบช้าต่อพระองค์ บิดเบือน ความจริงที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอย่างไร
ในการตำหนิ ดิรัจฉาน ตัวนั้น นอกจาก เลว จริงจริง
ขอบพระคุณ คุณ amplepoor มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ขอบพระคุณความรู้ของคุณตะนิ่น ตาญี ครับ
ตราบใดที่ผลประโยชน์แห่งกิเลส ยังมีอยู่ในใจผู้รับราชโองการ ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงรอโทษแห่งโองการแช่งน้ำอยู่เสมอล่ะครับ
คนที่รอชีวิตจะหาไม่ก็เห็นอยู่แล้วคนหนึ่ง ทักษิณ ชินวัตร รอยยิ้มบนความเจ็บปวด
กลบเกลื่อนอำนาจแห่งคำสาปของโองการแช่งน้ำ ไม่ได้
ขอบพระคุณ คุณ kaidum มากครับ
สำหรับผู้ที่ ทรยศ ต่อ น้ำพิพัฒน์สัตยา นั้น เขาจะต้องได้รับกรรมเช่นนั้น
ตะนิ่นตาญี เห็นด้วยกับ คุณ kaidum ครับ
ขอบพระคุณ คุณ kaidum มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ผมจำได้ประมาณว่า พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยามีมาช้านานแล้ว ยกเลิกไปหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แล้วก็มีการฟื้นฟูใหม่ในปี 2512
ขอบพระคุณ คุณ อู๋ ฮานามิ มากครับ
หาก ตะนิ่นตาญี จำได้ไม่ผิด ถูกต้องตาม คุณ อู๋ ฮานามิ เล่ามาแล้วครับ
ขอบพระคุณ คุณ อู๋ ฮานามิ มากครับ
ตะนิ่นตาญี
วันศุกร์ที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๘.๕๖ นาฬิกา
#9
Posted 3 August 2012 - 09:03
อ่านตอนตีหนึ่ง
ขนลุกกรูเกรียว
ขอบพระคุณ คุณ หนูอ้อย มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ขอบคุณสำหรับความรู้ที่นำมาแบ่งปันครับ
บทความของท่าน ตะนิ่นตาญี แต่ละบทความ ล้วนแต่
แสดงถึงความใส่ใจในการที่จะถ่ายทอดบทความนั้นๆเป็นอย่างมาก
ผมมีโอกาสได้อ่านที่ท่านตะนิ่นตาญี ถ่ายทอดไว้เมื่อครั้ง
ก่อนวันเฉลิมฯของพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี2554
ผมประทับใจมากครับ........ขอขอบคุณใจที่บริสุทธิ์ของท่านที่ตั้งใจนำเสนอครับ
ขอบพระคุณ คุณ RaRa มากครับที่กรุณา
ตะนิ่นตาญี
อ่านแล้ว นึกถึงเพลงนี้ โดยทันที
-----------------------------------------------------------------------------
เพลง : โองการแช่งน้ำ
ศิลปิน : วงตาวัน
ฟ้าเคือง ดินโกรธ
ฝนจาง บอกลางร้าย
แผ่นดินแล้ง เกินจะปลูกสิ่งไหน
ภัย...จะโถมทลายเมืองคน
ผองคน โกงโลก
คว้าครอง อย่างใจตน
ทุกสิ่งในโลกนี้ เป็นอย่างไรไม่สน
จนจะผลาญซะจนสิ้นพันธุ์
หลอมคน รวมชาติ
ล้านคน หลากดีร้าย
อยู่รวมกัน คนและสัตว์ทั้งหลาย
ในแผ่นฟ้าและดินเดียวกัน
*เพียงคนเท่านั้นเป็นใหญ่ หรือคุณฟ้าให้กำเนิด
เบียดเบียนชีวิตกัน
แข็งขืนจะฝืนลิขิต วงจรชีวิตจะสั้น
ไฟ...จะเผาล้างพันธุ์คนพาล
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
ดับยุคเข็ญประหัตประหาร ผู้คนล้มตายดั่งผักปลา
คำสาปฟ้าและดินลงฑัณท์ (ดนตรี,ซ้ำ*)
.
ขุนคน คนใหญ่
ขุนนาง กร่างเกลื่อนไป
ลืมวันที่หลั่งรินน้ำ ลืมคำที่เคยให้ไว้
ไม่รักษาสัญญาฟ้าดิน
.
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
ดับยุคเข็ญประหัตประหาร ผู้คนล้มตายดั่งผักปลา
คำสาปฟ้าและดินลงฑัณท์
.
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
.
เบื้องบนฟ้าจะกดลงมา
เบื้องต่ำน้ำจะกลบภูผา...ล้างมารครองเมือง
ขอบพระคุณ คุณ ชาวสวน มากครับ
ตะนิ่นตาญี
#10
Posted 3 August 2012 - 09:42
ผมไม่แน่ใจว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จะเคยเข้าร่วมพระราชพิธี ( ที่จัดขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ ) ,พิธีนี้ ( ที่หน่วยงานจัดขึ้นเอง ) หรือไม่ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เคยเข้าร่วม
พระราชพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ในส่วนของกรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ และในตำแหน่งเสนาธิการทหารอากาศ,ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ
ซึ่งในพระราชพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่จะเสด็จฯออก พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและเหล่าพระบรมวงศานวงศ์ มีการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ ดังนี้
ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า (ยศ-ชื่อ-นามสกุล) ขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณ ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
ข้าพระพุทธเจ้า จะยอมตายเพื่อรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพระพุทธเจ้า จะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่
ข้าพระพุทธเจ้า จะเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์
ทั้งจะปฏิบัติตน ให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
อีกทั้งยังมี พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล หรือภาษาปากว่า พิธีสาบานธง เป็นพิธีการทางทหารซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันกองทัพไทย และวันสำคัญของแต่ละเหล่าทัพ ผู้ที่เป็นทหารทุกคนจะต้องผ่านการเข้าร่วมพิธีดังกล่าว เพื่อแสดงถึงความเป็นทหารอย่างสมบูรณ์ ธงชัยเฉลิมพลถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของทหาร เป็นเกียรติยศของหน่วยทหารนั้นๆ เมื่อเวลาเข้าสู่สงคราม ทหารทั้งปวงต้องพิทักษ์รักษาธงชัยเฉลิมพลของหน่วยตนไว้ด้วยชีวิต ธงชัยเฉลิมพลจึงเป็นเครื่องนำความองอาจ กล้าหาญ แห่งหมู่ทหารทั้งปวง ให้เข้าต่อสู้ข้าศึกศัตรูให้ได้ชัยชนะกลับมา
ซึ่งในพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล จะมีการกล่าวคำปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล ดังนี้
ข้าพเจ้า (เอ่ยยศ นาม และนามสกุล) ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า
ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ
ข้าพเจ้า จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา
ข้าพเจ้า จะเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ข้าพเจ้า จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม
ข้าพเจ้า จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการทหารเป็นอันขาด
ก็ลองมาดูกันครับ พล.อ.อ. ท่านนี้จะมีจุดจบอย่างไร
#11
Posted 3 August 2012 - 09:43
คุณแอมพูดผิด สัจจะวาจาเป็นเรื่องของมนุษย์ หญิงชายไม่ต่างกันครูผมเล่าให้ฟังว่า ในพระราชพิธีครั้งนั้น จอมพลถนอมได้ถือน้ำเป็นคนแรก
แต่ด้วยความไม่รู้ และไม่มีคนแนะนำ เมื่อตักน้ำจากอ่างลงศาสตราวุธแล้ว ดื่มไม่หมด ท่านก็เททิ้ง
แทนที่จะราดศีรษะตามประเพณีเดิม คนอื่นๆ ที่ดื่มไม่หมดก็ทำตามบ้าง
จึงถือว่า คำสาบานไม่สมบูรณ์
สำหรับทหาร ก่อนรับกระบี่ ทราบว่ามีการถวายสัตย์ด้วยแต่ไม่มีการแช่งน้ำ
อย่างไรก็ดี สำหรับชายชาติทหาร คำพูดย่อมมัดคอคนพูด
เว้นแต่สุกำพลไม่ใช่ชาย
"เว้นแต่สุกำพลเป็นสัตย์******" น่าจะถูกกว่านะครับ
#12
Posted 3 August 2012 - 10:20
คุณตะนิ่นตาญี
ผมไม่แน่ใจว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จะเคยเข้าร่วมพระราชพิธี ( ที่จัดขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ ) ,พิธีนี้ ( ที่หน่วยงานจัดขึ้นเอง ) หรือไม่ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เคยเข้าร่วม
พระราชพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ในส่วนของกรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ และในตำแหน่งเสนาธิการทหารอากาศ,ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ
ซึ่งในพระราชพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่จะเสด็จฯออก พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและเหล่าพระบรมวงศานวงศ์ มีการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ ดังนี้
ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า (ยศ-ชื่อ-นามสกุล) ขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณ ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
ข้าพระพุทธเจ้า จะยอมตายเพื่อรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพระพุทธเจ้า จะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่
ข้าพระพุทธเจ้า จะเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์
ทั้งจะปฏิบัติตน ให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
อีกทั้งยังมี พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล หรือภาษาปากว่า พิธีสาบานธง เป็นพิธีการทางทหารซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันกองทัพไทย และวันสำคัญของแต่ละเหล่าทัพ ผู้ที่เป็นทหารทุกคนจะต้องผ่านการเข้าร่วมพิธีดังกล่าว เพื่อแสดงถึงความเป็นทหารอย่างสมบูรณ์ ธงชัยเฉลิมพลถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของทหาร เป็นเกียรติยศของหน่วยทหารนั้นๆ เมื่อเวลาเข้าสู่สงคราม ทหารทั้งปวงต้องพิทักษ์รักษาธงชัยเฉลิมพลของหน่วยตนไว้ด้วยชีวิต ธงชัยเฉลิมพลจึงเป็นเครื่องนำความองอาจ กล้าหาญ แห่งหมู่ทหารทั้งปวง ให้เข้าต่อสู้ข้าศึกศัตรูให้ได้ชัยชนะกลับมา
ซึ่งในพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล จะมีการกล่าวคำปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล ดังนี้
ข้าพเจ้า (เอ่ยยศ นาม และนามสกุล) ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า
ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ
ข้าพเจ้า จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา
ข้าพเจ้า จะเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ข้าพเจ้า จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม
ข้าพเจ้า จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการทหารเป็นอันขาด
ก็ลองมาดูกันครับ พล.อ.อ. ท่านนี้จะมีจุดจบอย่างไร
ขอบพระคุณ คุณ เด็กปากดี มากครับ
ที่ได้นำภาพสวยสวย และรายละเอียด ใน พระราชพิธี ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ของ ทหารรักษาพระองค์
และ พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตน ต่อ ธงชัยเฉลิมพล ซึ่งถือว่า ศักดิ์สิทธิ์ มาก
โดยเฉพาะ พระราชพิธี ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ของ เหล่าทหารรักษาพระองค์
ก็เห็นแล้วน่ะนะครับ สำหรับ ผู้ที่ทรยศต่อ คำสาบานใน พระราชพิธี ดังกล่าวนี้
ที่ อดีตนายทหารใหญ่ พ.พาน ได้รับอยู่ทุกวันนี้
ขอบพระคุณ คุณ เด็กปากดี มากครับ
ตะนิ่นตาญี
คุณแอมพูดผิด สัจจะวาจาเป็นเรื่องของมนุษย์ หญิงชายไม่ต่างกัน
ครูผมเล่าให้ฟังว่า ในพระราชพิธีครั้งนั้น จอมพลถนอมได้ถือน้ำเป็นคนแรก
แต่ด้วยความไม่รู้ และไม่มีคนแนะนำ เมื่อตักน้ำจากอ่างลงศาสตราวุธแล้ว ดื่มไม่หมด ท่านก็เททิ้ง
แทนที่จะราดศีรษะตามประเพณีเดิม คนอื่นๆ ที่ดื่มไม่หมดก็ทำตามบ้าง
จึงถือว่า คำสาบานไม่สมบูรณ์
สำหรับทหาร ก่อนรับกระบี่ ทราบว่ามีการถวายสัตย์ด้วยแต่ไม่มีการแช่งน้ำ
อย่างไรก็ดี สำหรับชายชาติทหาร คำพูดย่อมมัดคอคนพูด
เว้นแต่สุกำพลไม่ใช่ชาย
"เว้นแต่สุกำพลเป็นสัตย์******" น่าจะถูกกว่านะครับ
555+ ขอบพระคุณ คุณ baboon มากครับ
ตะนิ่นตาญี
#13
Posted 3 August 2012 - 10:48
#14
Posted 3 August 2012 - 12:38
คุณตะนิ่นตาญี
ผมไม่แน่ใจว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จะเคยเข้าร่วมพระราชพิธี ( ที่จัดขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ ) ,พิธีนี้ ( ที่หน่วยงานจัดขึ้นเอง ) หรือไม่ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เคยเข้าร่วม
พระราชพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ในส่วนของกรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ และในตำแหน่งเสนาธิการทหารอากาศ,ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ
ซึ่งในพระราชพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่จะเสด็จฯออก พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและเหล่าพระบรมวงศานวงศ์ มีการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ ดังนี้
ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า (ยศ-ชื่อ-นามสกุล) ขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณ ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
ข้าพระพุทธเจ้า จะยอมตายเพื่อรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพระพุทธเจ้า จะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่
ข้าพระพุทธเจ้า จะเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์
ทั้งจะปฏิบัติตน ให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
พิธีนี้ก็เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์พิธีหนึ่ง ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กทั้งภาพนิ่งและการถ่ายทอดสดในโทรทัศน์ในช่วงเย็น พิธีนี้จะมีทหารชุดเต็มยศเดินสวนสนาม(คล้ายๆ ของอังกฤษที่เรียกว่า Trooping the Colour) จัดที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันที่ 2 หรือ 3 ธันวาคม ของทุกปี จัดขึ้นหลังสุดคือปี 2551
หลังจากที่ในหลวงทรงประชวรและประทับที่ศิริราขเมื่อปี 2552 ก็เลื่อนพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ออกไป แล้วนำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณฯ มารวมกับการเสด็จออกมหาสมาคมในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ของทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา
Edited by อู๋ ฮานามิ, 3 August 2012 - 12:43.
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#15
Posted 3 August 2012 - 14:56
อ่านแล้วขนลุกเหมือนกัน
ก็ไม่น่าเชื่อว่า คนที่ผ่านพิธีนี้ ยังจะกล้าเล่นกับคำสาบานขนาดนี้ได้อีกหรือ
แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ทั้งกษัตริย์ยังทรงคุณธรรมอันสูงส่ง
จำคำนี้ไว้ไปบอกยมบาลเวลาเจ้าลงนรกก็แล้วกัน
#16
Posted 3 August 2012 - 15:05
#17
Posted 3 August 2012 - 15:44
ผมไปค้นมาจนเจอว่า พลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณทัต ได้เคยเข้าร่วมพระราชพิธีสำคัญ คือ พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตน และสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2548 ตามเนื้อข่าวนี้
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 2 ธันวาคม ที่ลานพระราชวังดุสิต(พระบรมรูปทรงม้า) มีพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตน และสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2548 โดยมี พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช เสนาธิการทหาร พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ เสนาธิการทหารบก พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ร.อ.วีรพล วรานนท์ เสนาธิการทหารเรือ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เสนาธิการทหารอากาศ ตามเสด็จพระราชดำเนินทรงตรวจพลสวนสนาม
พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ในฐานะผู้บังคับกองผสมนำทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จำนวน 13 กองพัน ร่วมพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน จากนั้นเวลา 17.15 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่ง มายังบริเวณต้นขบวนแถวทหาร
จากนั้น พล.ต.พฤณท์ได้กราบบังคมทูลถวายรายงานขอพระราชทานกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินตรวจพลสวนสนามด้วยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยนายทหารพิเศษ ประจำหน่วยทหารรักษาพระองค์ 8 นาย ตามเสด็จฯ ซึ่งภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรวจพลสวนสนามแล้ว ได้เสด็จขึ้นสู่พลับพลาที่ประทับ ผู้บังคับกองพันและหมู่เชิญธงชัยเฉลิมพลเข้าประจำที่หน้าพลับพลา
ต่อมา พล.อ.เรืองโรจน์นำนายทหารผู้ใหญ่กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล แล้วนำพานดอกไม้ธูปเทียนแพทูลเกล้าฯ ถวาย และนำทหารถวายคำสัตย์ปฏิญาณ เมื่อถวายคำปฏิญาณเสร็จ ผู้บังคับกองผสมสั่งถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมปล่อยลูกโป่ง แพถวายพระพรทรงพระเจริญ พร้อมปืนใหญ่ยิงสลุตถวาย 21 นัด และปล่อยลูกโป่งอีก 7,200 ลูก ภายในบริเวณสนามเสือป่า
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินหน้าพลับพลาที่ประทับ พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นายทหารผู้ใหญ่ที่เข้าเฝ้าฯ และทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ความว่า
"ข้าพเจ้าและพระราชินีมีความชื่นชมที่ได้เห็นความพร้อมเพรียงของเหล่าบรรดาทหารรักษาพระองค์ในพิธีปฏิญาณสวนสนามครั้งนี้ ขอขอบใจในคำอำนวยพรและคำปฏิญาณสัญญาที่ว่าจะมีความจริงใจของแต่ละคน ขอสนองพรและไมตรีด้วยใจจริงเช่นเดียวกัน
เป็นที่ทราบกันดีว่าทหารมีหน้าที่ป้องกันประเทศและปกป้องคุ้มครองประชาชนให้มีชีวิตอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นปกติสุข หน้าที่นี้ถือว่าสำคัญมาก โดยเฉพาะในระยะปัจจุบันสถานการณ์ในบ้านเมืองเรา อาจจะกล่าวได้ว่าไม่น่าไว้วางใจนัก เหตุเพราะภัยอันตรายและความไม่เป็นปกตินานาประการ ทหารจึงต้องสำนึกตระหนักถึงความรับผิดชอบนี้ให้ดี และทำหน้าที่ของตนให้เข้มแข้งหนักแน่นยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าสามารถกระทำได้ครบถ้วน แท้จริง ก็จะเป็นความสำเร็จ เป็นความดี เป็นเกียรติ เป็นศักดิ์ศรีของทหารไทย และกองทัพไทย ประชาชนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองก็จะอยู่รอดปลอดภัย และดำรงอยู่ได้ในความมั่นคงสวัสดี
ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับทั้งอำนาจแห่งความภักดีที่มีต่อชาติบ้านเมือง จงบันดาลให้ทหารทุกคนประสบความสุขความเจริญ ความมีชัย ความสำเร็จ ในสิ่งที่พึ่งปรารถนาจงทั่วกัน"
ต่อมาเวลา 18.10 น. ผู้บังคับกองผสมได้สั่งกองผสมสวนสนามผ่านหน้าพลับพลาที่ประทับจำนวน 12 กองพัน และกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพัน สวนสนามผ่านหน้าพลับพลาตามลำดับ ภายหลังเสร็จสิ้นการสวนสนามกองดุริยางค์ขับร้องเพลง "ป่ารักน้ำ" จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯกลับ ด้วยรถยนต์พระที่นั่ง ผู้บังคับกองผสม พร้อมทหารนำถวายพระพรเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" พร้อมกัน 3 ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
ที่มา .- นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 03 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 10129
อ้างอิง : http://www.watthasai...nailuang02.html
ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ พระบรมราโชวาทวันนั้น กับสถานการณ์ในวันนี้ จะมีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ไม่รู้ว่า พลอากาศเอกสุกำพล ฯ ยังจำพระบรมราโชวาทนี้แล้วน้อมนำรับใส่เกล้าฯไปปฏิบัติหรือไม่
#18
Posted 3 August 2012 - 16:28
กระทู้ตัวอย่าง ที่น่าชื่นชม มีทั้งความรู้ และ คำวิจารย์ที่อยู่ในหัวข้อกระทู้
ขอบพระคุณ คุณ susu มากครับที่กรุณา
ตะนิ่นตาญี
คุณตะนิ่นตาญี
ผมไม่แน่ใจว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จะเคยเข้าร่วมพระราชพิธี ( ที่จัดขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ ) ,พิธีนี้ ( ที่หน่วยงานจัดขึ้นเอง ) หรือไม่ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เคยเข้าร่วม
พระราชพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ ในส่วนของกรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ และในตำแหน่งเสนาธิการทหารอากาศ,ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ
ซึ่งในพระราชพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่จะเสด็จฯออก พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและเหล่าพระบรมวงศานวงศ์ มีการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ ดังนี้
ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า (ยศ-ชื่อ-นามสกุล) ขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณ ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
ข้าพระพุทธเจ้า จะยอมตายเพื่อรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพระพุทธเจ้า จะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนชีวิตหาไม่
ข้าพระพุทธเจ้า จะเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ ของทหารรักษาพระองค์
ทั้งจะปฏิบัติตน ให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
พิธีนี้ก็เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์พิธีหนึ่ง ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กทั้งภาพนิ่งและการถ่ายทอดสดในโทรทัศน์ในช่วงเย็น พิธีนี้จะมีทหารชุดเต็มยศเดินสวนสนาม(คล้ายๆ ของอังกฤษที่เรียกว่า Trooping the Colour) จัดที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันที่ 2 หรือ 3 ธันวาคม ของทุกปี จัดขึ้นหลังสุดคือปี 2551
หลังจากที่ในหลวงทรงประชวรและประทับที่ศิริราขเมื่อปี 2552 ก็เลื่อนพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ออกไป แล้วนำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณฯ มารวมกับการเสด็จออกมหาสมาคมในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ของทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา
ขอบพระคุณ คุณ อู๋ ฮานามิ มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ขอชื่นชมกระทู้นี้เป็นอย่างยิ่งครับ
อ่านแล้วขนลุกเหมือนกัน
ก็ไม่น่าเชื่อว่า คนที่ผ่านพิธีนี้ ยังจะกล้าเล่นกับคำสาบานขนาดนี้ได้อีกหรือ
ขอบพระคุณ คุณ มังกือดำ มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ระวังนะนี่คือพิธีศักสิทธิ์ ใครทำไรไว้ระวังจะเจอดี
ขอบพระคุณ คุณ Emolution มากครับ
ตะนิ่นตาญี
#19
Posted 3 August 2012 - 16:35
สำหรับทหาร ก่อนรับกระบี่ ทราบว่ามีการถวายสัตย์ด้วยแต่ไม่มีการแช่งน้ำ
อย่างไรก็ดี สำหรับชายชาติทหาร คำพูดย่อมมัดคอคนพูด
เว้นแต่สุกำพลไม่ใช่ชาย
คุณแอมพูดผิด สัจจะวาจาเป็นเรื่องของมนุษย์ หญิงชายไม่ต่างกัน
"เว้นแต่สุกำพลเป็นสัตว์******" น่าจะถูกกว่านะครับ
คำว่า ชาย ชายชาติทหาร ที่ผมใช้ในประโยคนี้ ไม่ใช่เพศนะครับ
เป็นสถานะภาพ เหมือนคำว่า gentleman agreement ก็ไม่ได้หมายถึงสัตว์มนุษย์ตัวผู้
ผมอาจจะใช้คำในความหมายที่ละเอียดเกินไปหน่อย
คือถ้าผมพูดว่า สุกำพล ไม่ใช่ "ผู้ชาย"....จึงจะผิดตามที่คุณบาบูนทัก
แต่ผมใช้ว่า เว้นแต่สุกำพลไม่ใช่ชาย ก็ต้องขอแก้ตัวหน่อย.....ฮา
เสริมคุณตะนิ่นตาญีอีกหน่อย
ตามประเพณีเดิม การแช่งน้ำ ทำในระดับต่ำกว่าเหนือหัวลงมา
และไม่มีส่วนของพระพุทธศาสนาเลย
รัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไข ซึ่งแสดงถึงน้ำพระทัยอันล้ำลึกที่มีต่อแผ่นดิน
คือให้มีพิธีสงฆ์นำ และ
ทรงรับน้ำสาบานเช่นเดียวกับข้าราชการทุกคน....
ผมว่าทรงยิ่งใหญ่อย่างนึกไม่ถึงทีเดียวครับ
#20
Posted 3 August 2012 - 16:39
คุณตะนิ่นตาญี
ผมไปค้นมาจนเจอว่า พลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณทัต ได้เคยเข้าร่วมพระราชพิธีสำคัญ คือ พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตน และสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2548 ตามเนื้อข่าวนี้
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 2 ธันวาคม ที่ลานพระราชวังดุสิต(พระบรมรูปทรงม้า) มีพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตน และสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2548 โดยมี พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช เสนาธิการทหาร พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ เสนาธิการทหารบก พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ร.อ.วีรพล วรานนท์ เสนาธิการทหารเรือ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เสนาธิการทหารอากาศ ตามเสด็จพระราชดำเนินทรงตรวจพลสวนสนาม
พล.ต.พฤณท์ สุวรรณทัต ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ในฐานะผู้บังคับกองผสมนำทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จำนวน 13 กองพัน ร่วมพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน จากนั้นเวลา 17.15 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯโดยรถยนต์พระที่นั่ง มายังบริเวณต้นขบวนแถวทหาร
จากนั้น พล.ต.พฤณท์ได้กราบบังคมทูลถวายรายงานขอพระราชทานกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินตรวจพลสวนสนามด้วยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยนายทหารพิเศษ ประจำหน่วยทหารรักษาพระองค์ 8 นาย ตามเสด็จฯ ซึ่งภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรวจพลสวนสนามแล้ว ได้เสด็จขึ้นสู่พลับพลาที่ประทับ ผู้บังคับกองพันและหมู่เชิญธงชัยเฉลิมพลเข้าประจำที่หน้าพลับพลา
ต่อมา พล.อ.เรืองโรจน์นำนายทหารผู้ใหญ่กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล แล้วนำพานดอกไม้ธูปเทียนแพทูลเกล้าฯ ถวาย และนำทหารถวายคำสัตย์ปฏิญาณ เมื่อถวายคำปฏิญาณเสร็จ ผู้บังคับกองผสมสั่งถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมปล่อยลูกโป่ง แพถวายพระพรทรงพระเจริญ พร้อมปืนใหญ่ยิงสลุตถวาย 21 นัด และปล่อยลูกโป่งอีก 7,200 ลูก ภายในบริเวณสนามเสือป่า
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินหน้าพลับพลาที่ประทับ พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นายทหารผู้ใหญ่ที่เข้าเฝ้าฯ และทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ความว่า
"ข้าพเจ้าและพระราชินีมีความชื่นชมที่ได้เห็นความพร้อมเพรียงของเหล่าบรรดาทหารรักษาพระองค์ในพิธีปฏิญาณสวนสนามครั้งนี้ ขอขอบใจในคำอำนวยพรและคำปฏิญาณสัญญาที่ว่าจะมีความจริงใจของแต่ละคน ขอสนองพรและไมตรีด้วยใจจริงเช่นเดียวกัน
เป็นที่ทราบกันดีว่าทหารมีหน้าที่ป้องกันประเทศและปกป้องคุ้มครองประชาชนให้มีชีวิตอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นปกติสุข หน้าที่นี้ถือว่าสำคัญมาก โดยเฉพาะในระยะปัจจุบันสถานการณ์ในบ้านเมืองเรา อาจจะกล่าวได้ว่าไม่น่าไว้วางใจนัก เหตุเพราะภัยอันตรายและความไม่เป็นปกตินานาประการ ทหารจึงต้องสำนึกตระหนักถึงความรับผิดชอบนี้ให้ดี และทำหน้าที่ของตนให้เข้มแข้งหนักแน่นยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าสามารถกระทำได้ครบถ้วน แท้จริง ก็จะเป็นความสำเร็จ เป็นความดี เป็นเกียรติ เป็นศักดิ์ศรีของทหารไทย และกองทัพไทย ประชาชนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองก็จะอยู่รอดปลอดภัย และดำรงอยู่ได้ในความมั่นคงสวัสดี
ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับทั้งอำนาจแห่งความภักดีที่มีต่อชาติบ้านเมือง จงบันดาลให้ทหารทุกคนประสบความสุขความเจริญ ความมีชัย ความสำเร็จ ในสิ่งที่พึ่งปรารถนาจงทั่วกัน"
ต่อมาเวลา 18.10 น. ผู้บังคับกองผสมได้สั่งกองผสมสวนสนามผ่านหน้าพลับพลาที่ประทับจำนวน 12 กองพัน และกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพัน สวนสนามผ่านหน้าพลับพลาตามลำดับ ภายหลังเสร็จสิ้นการสวนสนามกองดุริยางค์ขับร้องเพลง "ป่ารักน้ำ" จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯกลับ ด้วยรถยนต์พระที่นั่ง ผู้บังคับกองผสม พร้อมทหารนำถวายพระพรเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" พร้อมกัน 3 ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
ที่มา .- นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 03 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 10129
อ้างอิง : http://www.watthasai...nailuang02.html
ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ พระบรมราโชวาทวันนั้น กับสถานการณ์ในวันนี้ จะมีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ไม่รู้ว่า พลอากาศเอกสุกำพล ฯ ยังจำพระบรมราโชวาทนี้แล้วน้อมนำรับใส่เกล้าฯไปปฏิบัติหรือไม่
ขอบพระคุณ คุณ เด็กปากดี มากครับ
ที่กรุณาได้นำ รับสั่ง ของ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมฯ มาเผยแพร่ อีกครั้ง
ตอกย้ำให้ทุกคน ได้รู้-ได้เห็น-ได้เป็นพยาน ของผู้ที่มี่ชื่อว่า พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต
ตอกย้ำให้เขารู้จักที่จะ สนอง พระเดช-พระคุณ เจ้าฟ้า-เจ้าแผ่นดิน ที่ได้ชุบเลี้ยงคนใน สกุล นี้มา
ว่าอย่าได้ทำตนเป็น บ่าวสองนาย เป็นอันขาด นรกจะกินกบาลเอาครับ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต ครับ
ตะนิ่นตาญี
วันศุกร์ที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๑๖.๓๙ นาฬิกา
#21
Posted 3 August 2012 - 17:08
สำหรับทหาร ก่อนรับกระบี่ ทราบว่ามีการถวายสัตย์ด้วยแต่ไม่มีการแช่งน้ำ
อย่างไรก็ดี สำหรับชายชาติทหาร คำพูดย่อมมัดคอคนพูด
เว้นแต่สุกำพลไม่ใช่ชาย
คุณแอมพูดผิด สัจจะวาจาเป็นเรื่องของมนุษย์ หญิงชายไม่ต่างกัน
"เว้นแต่สุกำพลเป็นสัตว์******" น่าจะถูกกว่านะครับ
คำว่า ชาย ชายชาติทหาร ที่ผมใช้ในประโยคนี้ ไม่ใช่เพศนะครับ
เป็นสถานะภาพ เหมือนคำว่า gentleman agreement ก็ไม่ได้หมายถึงสัตว์มนุษย์ตัวผู้
ผมอาจจะใช้คำในความหมายที่ละเอียดเกินไปหน่อย
คือถ้าผมพูดว่า สุกำพล ไม่ใช่ "ผู้ชาย"....จึงจะผิดตามที่คุณบาบูนทัก
แต่ผมใช้ว่า เว้นแต่สุกำพลไม่ใช่ชาย ก็ต้องขอแก้ตัวหน่อย.....ฮา
เสริมคุณตะนิ่นตาญีอีกหน่อย
ตามประเพณีเดิม การแช่งน้ำ ทำในระดับต่ำกว่าเหนือหัวลงมา
และไม่มีส่วนของพระพุทธศาสนาเลย
รัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไข ซึ่งแสดงถึงน้ำพระทัยอันล้ำลึกที่มีต่อแผ่นดิน
คือให้มีพิธีสงฆ์นำ และ
ทรงรับน้ำสาบานเช่นเดียวกับข้าราชการทุกคน....
ผมว่าทรงยิ่งใหญ่อย่างนึกไม่ถึงทีเดียวครับ
ขอบพระคุณ คุณ amplepoor มากครับ
...ตามประเพณีเดิม การแช่งน้ำ ทำในระดับต่ำกว่าเหนือหัวลงมา
และไม่มีส่วนของพระพุทธศาสนาเลย
รัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไข ซึ่งแสดงถึงน้ำพระทัยอันล้ำลึกที่มีต่อแผ่นดิน
คือให้มีพิธีสงฆ์นำ และ
ทรงรับน้ำสาบานเช่นเดียวกับข้าราชการทุกคน
ผมว่าทรงยิ่งใหญ่อย่างนึกไม่ถึงทีเดียวครับ...
ไม่ทราบจะตอบ คุณ amplepoor อย่างไร น้ำตาซึม แล้วครับ
ขอบพระคุณ คุณ amplepoor มากครับ
ตะนิ่นตาญี