คนไทยคงจำ ‘คดีค่าโง่ทางด่วน’ (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ที่ ประเทศไทยถูกบริษัทต่างชาติ ‘วาลเทอร์ เบา’ (Walter Bau) ฟ้องรัฐบาลไทยว่า ให้เขามาทำทางด่วน แต่ทำเขาเสียหายขาดทุน สุดท้ายไทยแพ้คดี ถูกสั่งให้จ่ายค่าโง่ประมาณ 1,200 ล้านบาท
คดีค่าโง่ ‘ภาคนี้’ น่าสนใจเพราะต่างจากคดีค่าโง่ ‘ภาคอื่น’ ซึ่งมักจบลงที่ ‘ศาลไทย’ แบบ ‘เงียบๆ งงๆ’ เพราะศาลไทยเคยบอกว่า เจ้าหน้าที่ไทยและบริษัทเอกชนร่วมกันโกง สัญญาเป็นโมฆะ แม้เอกชนอาจเสียหาย แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ต้องจ่าย
แต่คดีค่าโง่ ‘ภาคดอนเมืองโทลล์เวย์’ นี้ พิเศษตรงที่มี ‘สนธิสัญญา’ ที่ดึงคดีไปถึง ‘อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ’ ซึ่งเป็นเหมือนกรรมการตัดสินคดีแทนศาล
‘คณะอนุญาโตตุลาการ’ อาจไม่ค่อยเกรงใจรัฐบาลไทย และคงไม่บอกว่าอะไรๆ ก็โมฆะไปหมด สุดท้าย ไทยแพ้คดี ถูก ‘คณะอนุญาโตตุลาการ’ ชี้ขาดให้จ่ายค่าเสียหายให้ ‘วาลเทอร์ เบา’ ประมาณ 1,200 ล้านบาทบวกดอกเบี้ย
หนี้รัฐบาลไทย กระเทือนถึง ‘เครื่องบินพระที่นั่งส่วนพระองค์’ ?
พอรัฐบาลไทยไม่ยอมจ่าย กลุ่มเจ้าหนี้ของ ‘วาลเทอร์ เบา’ ซึ่งล้มละลาย (ซึ่งไม่แน่อาจมีบริษัทหรือธนาคารชื่อดังที่ตั้งในกรุงเทพรวมอยู่ด้วย) ก็พยายามตามยึดทรัพย์สินแทนหนี้ ลามปามไปจนขอให้ศาลเยอรมนีสั่งอายัด ‘เครื่องบินพระที่นั่งส่วนพระองค์’ ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ซึ่งบินไปจอดที่เยอรมนีเมื่อปีที่แล้ว
ศาลเยอรมนีกล้าสั่งอายัด เพราะมองว่า ‘เครื่องบินพระที่นั่งส่วนพระองค์’ ซึ่งไม่ได้ใช้ในภารกิจราชการอาจถือเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทยที่ยึดได้ ในขณะที่กฎหมายไทยอาจมีแนวคิดเรื่อง ‘ทรัพย์สินส่วนพระองค์’ ‘ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์’ และ ทรัพย์สินประเภทอื่นของรัฐบาล ที่ต่างกันไป
เหตุการณ์นี้น่าสนใจมากทั้งในแง่การเมืองและกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงมีพระราชปณิธานพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ระงับข้อพิพาท (อ่านแถลงการณ์ได้ที่ http://astv.mobi/AgWO7Xa )
น่าคิดว่า ‘รัฐบาลหน้าไหน’ จะกล้ารับพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์มาแก้ปัญหาที่รัฐบาลเป็นผู้ก่อ ?
ตอนนั้น รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ จึงได้นำหลักประกัน (letter of guarantee) มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท ไปวางไว้ต่อศาบที่เยอรมนี เพื่อถอนการอายัดเครื่องบินพระที่นั่ง แล้วสู้คดีต่อ (ซึ่งก็มีคำถามทางกฎหมายว่า การทำแบบนี้ทำให้รูปคดีเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะตามปกติบุคคลฝ่ายที่สามซึ่งสุจริต ย่อมควรอ้างสิทธิของตนด้วยตนเอง)
ถอนเครื่องบินได้แล้วไม่พอ รัฐบาลไทยก็ฟ้องกลับไปฝ่ายเจ้าหนี้ตัวดี ที่บังอาจไปขอศาลยึดเครื่องบินพระที่นั่ง
ถอน ‘เครื่องบิน’ ที่ ‘เยอรมนี’ เสร็จ จะถูกยึดที่ ‘สหรัฐฯ’ ต่ออีก ?
คดียังไม่จบ เพราะรัฐบาลไทยยังไม่ยอมจ่ายหนี้ง่ายๆ เพราะหากจ่ายไปก็มีเรื่องร้อนย้อนกลับมาหาคนผิด ในกรมโน้น กระทรวงนี้ รัฐบาลนั้น ว่าค่าโง่นี้ ท่านได้แต่ใดมา ต่างจากค่าโง่อื่น ที่ ‘ศาลฎีกาไทย’ บอกว่าเป็นโมฆะอย่างไร ?
ประชาชนก็ได้แต่สงสัยว่า แล้วใครจะรับผิดชอบ ตอนนี้ดอกเบี้ยค่าเสียหายก็เพิ่มพูนไปเรื่อยๆ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2555 ศาลอุทธรณ์ในสหรัฐฯ (US 2nd Cir.) ได้ตัดสินยืนยันว่า คำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการที่ให้ประเทศไทยแพ้คดี 'ค่าโง่ทางด่วนดอนเมือง' นั้น กฎหมายสหรัฐฯ ให้การรับรองได้ (อ่านได้ที่ http://bit.ly/FoolFee )
พูดให้เข้าใจโดยง่าย ก็คือ กรณี ‘เครื่องบินพระที่นั่ง’ ที่ ‘เยอรมนี’ นั้นจบไปแล้วเฉพาะในส่วนตัวเครื่องบิน แต่หนี้ยังไม่หายไปไหน ดังนั้น หากรัฐบาลไทยไม่ยอมจ่ายหนี้ ทรัพย์สินของรัฐบาลไทยในนิวยอร์ก (บางอย่าง) ก็อาจถูกศาลสหรัฐฯสั่งยึดได้ เพื่อไปชำระหนี้ให้เจ้าหนี้
จึงน่าคิดต่อว่า หาก ‘เครื่องบินพระที่นั่งส่วนพระองค์’ ไปจอดที่นิวยอร์ก และไม่ได้ใช้ในภารกิจราชการ ศาลสหรัฐฯ จะถือว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลไทยที่ยึดได้หรือไม่ ?
เจ้าหนี้ต่างชาติ ตามยึดทรัพย์ไทยไปทั่วโลก ?
หลายท่านอาจ ‘งง’ บอกว่า คดียึดเครื่องบินที่เยอรมนี ไฉนมาโผล่ที่สหรัฐฯได้
ตอบแบบทั่วไปว่า กระบวนพิจารณาใน ‘เยอรมนี’ และ ‘สหรัฐฯ’ แม้มีที่มาจาก คำชี้ขาดฉบับเดียวกันโดยคณะอนุญาโตตุลาการชุดเดียวกัน แต่ไม่ได้ถือเรื่องเดียวกันเสียทีเดียว และการบังคับคดียึดทรัพย์แบบนี้ ทำได้ในหลายที่ เพราะมีสนธิสัญญารองรับอยู่กว่า 140 ประเทศทั่วโลก
ดังนั้น ตราบใดที่รัฐบาลไทยไม่ยอมจ่าย คดีตามยึดทรัพย์รัฐบาลไทย จึงอาจไปโผล่ที่ประเทศอื่นซึ่งมีสนธิสัญญารองรับอยู่ ก็เป็นได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไปยึดได้ทุกอย่างทันที เพราะยังมีขั้นตอนและข้อยกเว้น เพียงแต่หนทางต่อสู้เหลือน้อยเต็มที
ค่าโง่ที่พอกพูน ?
คดีทั้งหมดไปถึงไหน ? ตกลงไทยฟ้องเอาผิดเจ้าหนี้ที่มายึดเครื่องบินได้หรือไม่ ? ไทยเอาภาษีไปจ่ายค่าทนายไปเท่าไหร่ ? ทนายที่ไทยจ้างในคดีพระวิหาร เคยเป็นทนายฟ้องไทยมาหรือไม่ (ซึ่งถ้าเก่งจริงก็ไม่ผิดอะไร) ? รัฐบาลไทย ไม่ยอมบอกประชาชนเลย
ล่าสุด มีข่าวว่า ครม. อนุมัติงบ 157 ล้านบาท เพื่อเป็น ‘เงินประกันศาลในการต่อสู้คดี’ ( http://bit.ly/PiE4Jx )
ค่านี้ก็ไม่รู้ว่าค่าอะไรอีก ถ้าร้อยกว่าล้านบาท เดาว่าอาจเป็นค่าทนายและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคดี เพราะหนี้พันกว่าล้าน ยังไม่หายไปไหน
ที่แน่ๆ ‘ค่าโง่’ อาจจ่ายได้เรื่อยๆ แต่ ‘ความโง่’ จะไม่หายไป หากรัฐบาลไทย ไม่ให้ ‘ความจริงครบๆ’ กับประชาชน !
http://www.isranews....gLA1gY.facebook
7 ความเห็นในกระทู้นี้
#2
cabala
-
- Members
-
- 893 posts
ประชาธิปไตย นี้ ถ้ากล่
ตอบ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 19:09
ปูมหลัง'ดอนเมืองโทลล์เวย์-วอลเตอร์ บาว'
บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ได้รับสัมปทานจากกรมทางหลวงให้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการทางยกระดับวิภาวดีรังสิต หรือโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ โดยมีอายุสัมปทาน 25 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2532 สิ้นสุดสัมปทานปี 2557
โครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหาจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งในช่วงปี 2530 มีความแออัดมาก ไม่สามารถขยายช่องจราจรได้ ส่งผลให้การเดินทางไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศในขณะนั้น ไม่มีความสะดวกคล่องตัวเท่าที่ควร จึงต้องก่อสร้างทางยกระดับ เพื่อแก้ปัญหาการจราจร
ในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงเปิดโอกาสให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารโครงการ แลกกับรายได้จากค่าผ่านทาง โดยเงื่อนไขสำคัญคือรัฐบาลจะทุบทิ้งสะพานลอยหลักสี่และบางเขน ซึ่งอยู่ตามแนวถนนวิภาวดีรังสิต และก่อสร้างสะพานลอยข้ามถนนวิภาวดีรังสิตแทน รวมทั้งจะไม่ก่อสร้างโครงการอื่นมาแข่งขัน
ทั้งนี้ โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์เปิดให้บริการช่วงแรก จากดินแดง-ดอนเมืองในเดือนธ.ค. 2547 หลังเปิดบริการไม่นาน บริษัทได้มีข้อพิพาทกับกรมทางหลวง โดยระบุว่ากรมทางหลวงไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ เพื่อก่อสร้างทางขึ้น-ลงได้ตามกำหนดในสัญญา เพราะมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่ยอมส่งมอบพื้นที่ให้ อีกทั้งรัฐบาลยังก่อสร้างโครงการต่างๆ เช่น ถนนโลคอลโรด ทางหลวงวงแหวนด้านตะวันออก ทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด รวมทั้งไม่อนุมัติให้บริษัทปรับค่าผ่านทางตามสัญญา นอกจากนี้ การท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
บริษัทเห็นว่าการกระทำของรัฐส่งผลให้ปริมาณจราจรไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และกระทบต่อรายได้ค่าผ่านทาง
ที่ผ่านมา บริษัทและกรมทางหลวงได้เจรจาหาทางยุติข้อพิพาท จนนำไปสู่การแก้ไขสัญญา 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2539 โดยรัฐบาลขยายอายุสัมปทานเพิ่มอีก 7 ปี โดยจะสิ้นสุดสัมปทานปี 2564 จากเดิมปี 2557 เพราะไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ตามกำหนด และ แก้ไขสัญญาอีกครั้งในปี 2550 เพราะว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ไม่อนุมัติให้ปรับค่าผ่านทางตามกำหนดในปี 2542 และ ปี 2547 และยังให้ลดค่าผ่านทางเหลือ 20 บาทตลอดสาย ในปี 2548
สำหรับ การแก้ไขสัญญาครั้งที่ 2 อยู่ในช่วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยขยายอายุสัมปทานเพิ่มอีก 13 ปี ส่งผลให้บริษัทได้รับสัมปทานรวม 45 ปี โดยจะสิ้นสุดสัญญาในปี 2577 และสัญญากำหนดให้ปรับค่าผ่านทางทุก 5 ปี โดยครั้งต่อไปจะปรับวันที่ 22 ธ.ค. 2557 ซึ่งค่าผ่านทางรถ 4 ล้อ จะเพิ่มเป็น 100 บาทตลอดสาย
ส่วนบริษัท วอลเตอร์ บาว ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการให้อายัดเครื่องบินโบอิง 737 ซึ่งเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์นั้น เป็นอดีตผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของบริษัททางยกระดับดอนเมือง โดยถือหุ้น 9% โดย วอลเตอร์ บาว เห็นว่าการกระทำของรัฐบาลไทยกระทบต่อนักลงทุน จึงยื่นฟ้องรัฐบาลไทยในปี 2548 และการฟ้องร้องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับบริษัททางยกระดับดอนเมือง แต่เป็นการใช้สิทธิตามข้อตกลงในอนุสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พ.ศ. 2545 โดย วอลเตอร์ บาว ระบุว่าได้รับความเสียหายจากการที่รัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตามสัญญา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2549 นายสมบัติ พานิชชีวะ ประธานบริษัททางยกระดับดอนเมือง ได้ซื้อหุ้นของ วอลเตอร์ บาว ทั้งหมดที่อยู่ในบริษัท เพื่อยุติปัญหาการฟ้องร้อง เพราะว่าต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือโครงการ จนได้รับการอนุมัติให้ขยายสัมปทานในปี 2550 ต่อมาในปี 2552 อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ฝ่ายไทยแพ้คดีพิพาท และต้องจ่ายค่าเสียหาย 29 ล้านยูโร ต่อมา วอลเตอร์ บาว ยื่นฟ้องศาลที่นิวยอร์ก เบื้องต้นศาลตัดสินให้รัฐบาลไทยแพ้ ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการอุทธรณ์คำตัดสิน
http://www.suthichai...om/detail/12674
บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ได้รับสัมปทานจากกรมทางหลวงให้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการทางยกระดับวิภาวดีรังสิต หรือโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ โดยมีอายุสัมปทาน 25 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2532 สิ้นสุดสัมปทานปี 2557
โครงการนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหาจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งในช่วงปี 2530 มีความแออัดมาก ไม่สามารถขยายช่องจราจรได้ ส่งผลให้การเดินทางไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศในขณะนั้น ไม่มีความสะดวกคล่องตัวเท่าที่ควร จึงต้องก่อสร้างทางยกระดับ เพื่อแก้ปัญหาการจราจร
ในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงเปิดโอกาสให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารโครงการ แลกกับรายได้จากค่าผ่านทาง โดยเงื่อนไขสำคัญคือรัฐบาลจะทุบทิ้งสะพานลอยหลักสี่และบางเขน ซึ่งอยู่ตามแนวถนนวิภาวดีรังสิต และก่อสร้างสะพานลอยข้ามถนนวิภาวดีรังสิตแทน รวมทั้งจะไม่ก่อสร้างโครงการอื่นมาแข่งขัน
ทั้งนี้ โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์เปิดให้บริการช่วงแรก จากดินแดง-ดอนเมืองในเดือนธ.ค. 2547 หลังเปิดบริการไม่นาน บริษัทได้มีข้อพิพาทกับกรมทางหลวง โดยระบุว่ากรมทางหลวงไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ เพื่อก่อสร้างทางขึ้น-ลงได้ตามกำหนดในสัญญา เพราะมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่ยอมส่งมอบพื้นที่ให้ อีกทั้งรัฐบาลยังก่อสร้างโครงการต่างๆ เช่น ถนนโลคอลโรด ทางหลวงวงแหวนด้านตะวันออก ทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด รวมทั้งไม่อนุมัติให้บริษัทปรับค่าผ่านทางตามสัญญา นอกจากนี้ การท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
บริษัทเห็นว่าการกระทำของรัฐส่งผลให้ปริมาณจราจรไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และกระทบต่อรายได้ค่าผ่านทาง
ที่ผ่านมา บริษัทและกรมทางหลวงได้เจรจาหาทางยุติข้อพิพาท จนนำไปสู่การแก้ไขสัญญา 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2539 โดยรัฐบาลขยายอายุสัมปทานเพิ่มอีก 7 ปี โดยจะสิ้นสุดสัมปทานปี 2564 จากเดิมปี 2557 เพราะไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ตามกำหนด และ แก้ไขสัญญาอีกครั้งในปี 2550 เพราะว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทักษิณ ไม่อนุมัติให้ปรับค่าผ่านทางตามกำหนดในปี 2542 และ ปี 2547 และยังให้ลดค่าผ่านทางเหลือ 20 บาทตลอดสาย ในปี 2548
สำหรับ การแก้ไขสัญญาครั้งที่ 2 อยู่ในช่วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยขยายอายุสัมปทานเพิ่มอีก 13 ปี ส่งผลให้บริษัทได้รับสัมปทานรวม 45 ปี โดยจะสิ้นสุดสัญญาในปี 2577 และสัญญากำหนดให้ปรับค่าผ่านทางทุก 5 ปี โดยครั้งต่อไปจะปรับวันที่ 22 ธ.ค. 2557 ซึ่งค่าผ่านทางรถ 4 ล้อ จะเพิ่มเป็น 100 บาทตลอดสาย
ส่วนบริษัท วอลเตอร์ บาว ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการให้อายัดเครื่องบินโบอิง 737 ซึ่งเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์นั้น เป็นอดีตผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของบริษัททางยกระดับดอนเมือง โดยถือหุ้น 9% โดย วอลเตอร์ บาว เห็นว่าการกระทำของรัฐบาลไทยกระทบต่อนักลงทุน จึงยื่นฟ้องรัฐบาลไทยในปี 2548 และการฟ้องร้องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับบริษัททางยกระดับดอนเมือง แต่เป็นการใช้สิทธิตามข้อตกลงในอนุสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนต่างตอบแทนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พ.ศ. 2545 โดย วอลเตอร์ บาว ระบุว่าได้รับความเสียหายจากการที่รัฐบาลไทยไม่ปฏิบัติตามสัญญา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2549 นายสมบัติ พานิชชีวะ ประธานบริษัททางยกระดับดอนเมือง ได้ซื้อหุ้นของ วอลเตอร์ บาว ทั้งหมดที่อยู่ในบริษัท เพื่อยุติปัญหาการฟ้องร้อง เพราะว่าต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือโครงการ จนได้รับการอนุมัติให้ขยายสัมปทานในปี 2550 ต่อมาในปี 2552 อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ฝ่ายไทยแพ้คดีพิพาท และต้องจ่ายค่าเสียหาย 29 ล้านยูโร ต่อมา วอลเตอร์ บาว ยื่นฟ้องศาลที่นิวยอร์ก เบื้องต้นศาลตัดสินให้รัฐบาลไทยแพ้ ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการอุทธรณ์คำตัดสิน
http://www.suthichai...om/detail/12674
#3
cabala
-
- Members
-
- 893 posts
ประชาธิปไตย นี้ ถ้ากล่
ตอบ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 19:10
ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิครับ ว่าทำไมรัฐบาลต้องสู้คดีด้วย ถ้าจ่ายไปก็น่าจะจบเรื่อง
Edited by cabala, 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 19:11.
#4
ปุถุชน
-
- Members
-
- 27,531 posts
มหาเมพ
ตอบ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 21:21
เราเบี้ยวคำสั่ง"อนุญาโต"ไม่จ่ายสหรัฐเหมือนสหรัฐเบี้ยว"กม.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน" ดีมั๊ย......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#5
THE THIRD WAY
-
- Members
-
- 5,417 posts
มาหาความจริง
ตอบ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 21:52
น่าคิดนะเราเบี้ยวคำสั่ง"อนุญาโต"ไม่จ่ายสหรัฐเหมือนสหรัฐเบี้ยว"กม.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน" ดีมั๊ย......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หรือบอกว่ากรูจ่ายก็ได้มรึงส่งไอ้แม๊วมาก่อน
อยู่เฉยๆ แล้วบอกว่าเป็นกลางทีคนอื่นทำอีกอย่าง บอกว่าเอียง
#6
Kyubey
-
- Members
-
- 4,482 posts
รับสมัครสาวน้อยเวทมนตร์หลายอัตรา
ตอบ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 22:04
ผมว่าการยืดอายุสัมปทานไปตั้ง 20 ปีก็คุ้มมากๆ แล้วนะครับนั่น และผมมองไม่ออกว่าโครงการไหนจะมาแข่งขัน?
ผมว่าที่ฟ้องเพราะบริษัทจะล้มละลาย ต้องการเงินมาใช้จ่ายมากกว่าครับ ซึ่งการกระทำของบริษัทนี้ ผมว่าน่าเกลียดไปหน่อยนะครับ
ผมว่าที่ฟ้องเพราะบริษัทจะล้มละลาย ต้องการเงินมาใช้จ่ายมากกว่าครับ ซึ่งการกระทำของบริษัทนี้ ผมว่าน่าเกลียดไปหน่อยนะครับ
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Hello, I'm a Kyubey ／人◕ ‿‿ ◕人＼
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Please Make a contract with me and become a Magical girl! ／人◕ ‿‿ <人＼
ข้าพเจ้าขอสนับสนุนท่านผู้นำที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ!!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!!
#7
BeastGuy
-
- Members
-
- 1,364 posts
ขาประจำ
ตอบ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 23:21
แม่เจ้า 100 บาทตลอดสาย
แพงมาก
แพงมาก
#8
ppneer
-
- Members
-
- 7,201 posts
เมพ
ตอบ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 - 23:28
ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิครับ ว่าทำไมรัฐบาลต้องสู้คดีด้วย ถ้าจ่ายไปก็น่าจะจบเรื่อง
นายกคนไหนไง่คุณก็ไปถามคนนั้น เข้าใจมั้ยครับ
ขวานทอง บรรพบุรุษ เป็นคนสร้างให้เราทุกวันนี้ ตัวกูจะปกปักรักษาเท่าชีวิตเพื่อ พ่อหลวง กูถวายชีวิตใอ้แม้ว ออกไปๆๆๆ กูเกลียดใอ้แม้ว
