แต่ทว่า หากเข้าไปดูไส้ในเหตุใดเศรษฐกิจขยายตัว เรื่องที่น่ายินดีอาจกลายเป็นสิ่งที่น่ากังวลก็เป็นไปได้
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ระบุว่า เศรษฐกิจไตรมาส 2 เติบโตจาก 3 เครื่องยนต์หลัก ได้แก่ การใช้จ่ายของประชาชน การใช้จ่ายของรัฐ และการลงทุนของภาคเอกชน
ทว่าเครื่องยนต์ที่สำคัญอย่างการส่งออกกลับไม่มีแรงส่ง ดับสนิท
นั่นหมายความว่า การเติบโตที่เป็นอยู่ปัจจัยสำคัญไม่ได้มาจากความสามารถในการแสวงหาเงินตราต่างประเทศ แต่เป็นการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นหลัก
แล้วใครล่ะใช้จ่าย
แม้ตัวเลขจะออกมาว่ามีการใช้จ่ายจากทั้งประชาชน รัฐบาล และภาคเอกชน แต่เนื้อแท้แล้ว ผู้ใช้จ่ายรายใหญ่คือรัฐบาล
คำแถลงของสภาพัฒน์ชี้ชัดว่า นโยบายของรัฐบาลและมาตรการทางภาษีอันหลากหลาย เป็นตัวกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน อาทิ นโยบายรถยนต์คันแรก จึงทำให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวอย่างมาก
เมื่อประชาชนใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ ก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดการขยายตัว เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม
มันจึงไม่ต่างจากการใช้งบประมาณไปกระตุ้น หรือปั่นให้เศรษฐกิจขยายตัว
และสิ่งที่ตามมาคืออะไร?
จากข้อมูลของสภาพัฒน์อีกเช่นกัน ระบุว่าในช่วงเดือน เม.ย. ถึง มิ.ย. รัฐบาลจัดเก็บรายได้รวม 6.2 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 2.16 หมื่นล้านบาท โดยสาเหตุมาจากเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าเป้า ส่วนภาษีที่เกินเป้าคือภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ที่มาจากการกระตุ้นของรัฐ ( สุดท้าย ก็ต้องจ่ายคืนบางส่วนน่าจะเป็นส่วนใหญ่กับนโยบายรถยนต์คันแรก )
ทั้งหมดหมายความว่า การที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นมาได้ ก็ต้องแลกกับฐานะการคลังที่ย่ำแย่ลง
และเมื่อเก็บภาษีไม่พอกับการใช้จ่าย สุดท้ายก็ต้องเจอภาระหนี้สิน
สภาพัฒน์ รายงานหนี้สาธารณะคงค้างในเดือน พ.ค. ว่าอยู่ที่ระดับ 4.66 ล้านล้านบาท หรือเท่ากับ 42.6% ของขนาดเศรษฐกิจ โดยมีอัตราที่เพิ่มขึ้นมาตลอด ไม่ว่าจะเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือนับจากสิ้นงบประมาณปี 2554 ที่ผ่านมา
นี่แหละ มายาแห่งประชานิยม มายาแห่งตัวเลขเศรษฐกิจ หลอกซ้าย ล่อขวา กว่าจะรู้ตัวอีกที หนี้ก็พอกหัวโต
กรีซ หรือหลายประเทศที่ล้มละลาย ก็ด้วยวิธีซุกซ่อนแบบนี้แหละ
http://www.posttoday...291/โดน-อีกแล้ว
แล้ววันหน้า ก็อย่าขี้คุยว่าเก่งเรื่องเศรษฐกิจอีกล่ะ
![:)](http://static.serithai.net/webboard/public/style_emoticons/default/smile.png)