ปิดฉากวาทกรรมซื้อเสียงของควายโง่ ผลวิจัยฟันธง ซื้อเสียงจูงใจคนได้เพียง 4.5%
#1
Posted 23 August 2012 - 13:55
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล นำเสนอผลการวิจัย “การป้องกันและแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง”
พบยอมรับเงินจากผู้สมัคร แต่ไม่เลือก 46.79 และแม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก 48.62
สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่โรงแรมเซ็นทาราคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ในการสัมมนาทางวิชาการของสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า นายปริญญา เทวานฤมิตรกุลได้นำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “การป้องกันและแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง” โดยการวิจัยดังกล่าวได้สุ่มตัวอย่างผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 941 คน ในการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 ที่ผ่านมา พบว่าในส่วนการเลือกตั้งระดับชาติปัจจุบันการใช้เงินเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตนเองในการเลือกตั้งระดับชาติมีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งน้อยลงจากเดิมและไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในการแพ้หรือชนะการเลือกตั้งอีกต่อไป
ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ยอมรับเงินจากผู้สมัครแต่ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้น ถึงร้อยละ 46.79 และที่ตอบว่าแม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก มีร้อยละ 48.62 ส่วนผู้ที่ตอบว่าเลือกเพราะได้รับเงินมีเพียง 4.59 ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับผลการสัมมนากลุ่มย่อยของผู้นำชุมชนในพื้นที่ต่างๆที่พบว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกผู้สมัครเพราะเงิน
นอกจากนี้ยังพบว่าความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนที่มีเพิ่มขึ้นและความรู้สึกผิดที่รับเงินแล้วไม่เลือกหรืออาจเป็นบาปที่เลือกลดลงไป ทำให้ในการตัดสินใจเลือกตั้งส.ส.ระดับชาติ ปัจจุบันผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคล โดยจากผลสำรวจในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 54 แม้ในแบบแบ่งเขตซึ่งเลือกเฉพาะชอบตัวบุคคลคิดเป็นร้อยละ 46.26 ขณะที่เลือกเพราะชอบนโยบายพรรคร้อยละ 37.64 และเลือกเพราะอยากได้หัวหน้าพรรค ร้อยละ 16.10 แต่เมื่อรวมผลสำรวจระหว่างการเลือกเพราะชอบนโยบายพรรคและอยากให้หัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ เท่ากับว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาประชาชน เลือกพรรคมากกว่า 53.74
การนำระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนมาใช้ทำให้พรรคการเมืองต้องแข่งขันกันในทางนโยบายมากขึ้น ตัวผู้สมัครมีความสำคัญลดลง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกพรรคมากขึ้นส่งผลให้การใช้เงินซื้อเสียงได้ผลน้อยลงนอกจากนี้ความแตกแยกแบ่งข้างทางการเมืองในช่วง 6 ปีที่ผ่านมายังทำให้ประชาชนพิจารณาเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคลและทำให้การรับเงินแล้วไม่เลือกมีมากขึ้น
ผลวิจัยยังระบุว่าการให้เงินปัจจุบันไม่ใช่ความสัมพันธ์ในลักษณะการซื้อและการขายเสียงอีกแล้วเพราะการให้จะไม่มีการตรวจสอบควบคุมให้คนรับเงินต้องเลือกตนเองแต่เป็นการให้ลักษณะให้เปล่าคล้ายเบี้ยเลี้ยงหรือสินน้ำใจโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้รับเงินก็ไม่รู้สึกว่าถ้าได้รับแล้วไม่เลือกจะเป็นบาปหรือเป็นการไม่ซื่อสัตย์โดยจำนวนเงินที่มีการจ่ายกันก็เพียง 300-500 บาท ไม่มากเหมือนสมัยก่อนซึ่งผู้สมัครที่ยังใช้เงินก็รู้ว่าได้ผลน้อยแต่ที่ยังต้องจ่ายเพราะกลัวแพ้หรือกลัวว่าอีกฝ่ายให้เงินจึงต้องให้เงินด้วย
http://prachatai.com/journal/2012/08/42190
ในที่สุดนักวิชาการก็ตาสว่าง แต่ช้ากว่าชาวบ้านนานอักโข
บทพิสูจน์ว่าเมืองไทยยังมีคนที่คิดล้าหลังและคนที่คิดก้าวหน้าปะปนกันอยู่สักวันคนในประเทศนี้จะค่อยๆเริ่มตาสว่าง คงอีกไม่นานหรอกครับ
#2
Posted 23 August 2012 - 14:05
Edited by แมกซิมัส, 23 August 2012 - 14:06.
- isa, พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน, menergizer and 1 other like this
#3
Posted 23 August 2012 - 14:06
เขียนเรื่องการเมือง : ดราม่า ,เขียนเรื่องสังคม : ดราม่า เขียนเรื่องบันเทิง : ดราม่า
แต่พอโพสเรื่องหื่น : มีความเห็นเป็นไปทางเดียวกันเสมอ >3<
#4
Posted 23 August 2012 - 14:18
ถ้านึกไม่ออก นึกถึงตอนที่ แมน ซิตี้ กับ แมน ยู แข่งกัน นัดที่แมนยู่ แพ้ 1-0 มีผลถึง 6 คะแนน ฉันใดก็ฉันนั้นครับ
แต่จริง ๆ ผมว่า เมืองไทยเราปัญหาหลัก ไม่ได้มาจากการซื้อเสียงหรอกครับ แต่มาจากการซื้อใจกันด้วย บุญคุณที่ต้องตอบแทนต่างหาก คนไทยโดยมาก เป็นคนที่เห็นการได้เป็นเรื่องใหญ่ สิ่งที่สามารถจับต้องได้ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือเงิน ก็สามารถซื้อใจกันได้แล้ว บางคนถึงขั้น ได้แค่นี้ไม่พอ อยากได้อีก แล้วแต่ใครจะสนองให้ได้มากกว่า
จำไว้อย่างนะครับ การชี้ให้คนอื่นเห็นความดีของตน ที่จับต้องได้ หรือโน้มน้าวได้ ผู้นั้นจะชนะ ในกลุ่มคนที่มีฐานความคิดแคบ
ยกตัวอย่าง นายแม้ว มีนโยบาย ช่วยเหลือ จับต้องได้ เห็นเงินเข้ามา แต่ได้ประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าเงินที่เสียไป หรือเปล่าเป็นอีกเรื่อง
ตัวอย่างสอง นายทำมะชะโด มีความสามารถอธิบาย เรื่องการทำสติ ได้เป็นรูปธรรม พูดให้คนเข้าใจได้ เชื่อถือได้ ภายหลังจะโกหกในเรื่องอื่น (ไม่รู้ว่ารู้หรือเปล่าว่าที่พูดเป็นเรื่องไม่จริง) คนก็จะเชื่อถือ เพราะศรัทธาไปแล้ว
- Abraxas, isa, Lucy Van Pelt and 3 others like this
ขอให้พวกเรา ชาวหลากสี และพันธมิตร จงมีชีวิตรอด จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฝีมือปูนา ไปตลอดรอดฝั่งด้วยครับ
PEMDAS ย่อมาจาก ลำดับการคำนวณ Parentheses , Exponentials , Multiply , Divide , Add , Subtract
FWGHSO ย่อมาจาก ลำดับการประเมินผลของ query FROM, WHERE, GROUP BY, HAVING, SELECT, ORDER BY
#5
Posted 23 August 2012 - 14:31
1. ผลงานวิจัยมีความถูกต้องแม่นยำแค่ไหน 10% 20% 50% หรือว่าบอกไม่ได้เลย
2. งานวิจัยสามารถหักล้างได้เสมอ ถ้าอยู่ในวงการวิทยศาสตร์
3. ถ้าไม่มีผล นักการเมืองซื้อเสียงทำไม ขนาด ไทยรักไทย กับ ชาติไทย
ก็ถูกยุบพรรค เพราะกรรมการซื้อเสียงนี่แหล่ะ
อ่านแล้วนึกถึง ผลงานวิจัย สองชิ้น ชิ้นหนึ่งบอกว่า กินไข่แล้วคลอเลสเตอรอลสูง
ส่วนอีกงานหนึ่งบอกว่า กินไข่ไม่เกี่ยวกับคลอเลสเตอรอล
อ้อ ถ้าอ่านแล้วจริงๆ มันไม่ใช่ผลงานวิจัย แต่มันเป็น โพล โว้ย
แล้วก็อีกอย่าง สมัยก่อนมันซื้อกัน 120 บาท (ห้อยร้อยยี่สิบ) แต่เดียวนี้
บอกว่า 500 มันน้อยลงตรงไหน ฟายแท้ๆ
สรุป สมเป็นควายแดง อ่านเกิน 3 บรรทัดไม่ได้
#6
Posted 23 August 2012 - 14:44
เอาเป็นข้อ
1. ผลงานวิจัยมีความถูกต้องแม่นยำแค่ไหน 10% 20% 50% หรือว่าบอกไม่ได้เลย
2. งานวิจัยสามารถหักล้างได้เสมอ ถ้าอยู่ในวงการวิทยศาสตร์
3. ถ้าไม่มีผล นักการเมืองซื้อเสียงทำไม ขนาด ไทยรักไทย กับ ชาติไทย
ก็ถูกยุบพรรค เพราะกรรมการซื้อเสียงนี่แหล่ะ
อ่านแล้วนึกถึง ผลงานวิจัย สองชิ้น ชิ้นหนึ่งบอกว่า กินไข่แล้วคลอเลสเตอรอลสูง
ส่วนอีกงานหนึ่งบอกว่า กินไข่ไม่เกี่ยวกับคลอเลสเตอรอล
อ้อ ถ้าอ่านแล้วจริงๆ มันไม่ใช่ผลงานวิจัย แต่มันเป็น โพล โว้ย
แล้วก็อีกอย่าง สมัยก่อนมันซื้อกัน 120 บาท (ห้อยร้อยยี่สิบ) แต่เดียวนี้
บอกว่า 500 มันน้อยลงตรงไหน ฟายแท้ๆ
สรุป สมเป็นควายแดง อ่านเกิน 3 บรรทัดไม่ได้
สงสัยท่านนี้แยกความแตกต่างระหว่าง... โพล กับ งานวิจัยไม่ออก...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง สังคมศาตร์ทั้งโลกที่เค้าใช้ โพลเป็นส่วนนึงของเครื่องมือคงไม่มีในโลก มันเป็น โพลกันหมด...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง วิทยาศาตร์คงไม่มีัในโลก เพราะ เค้าแค่ทดลองได้ผลมา.... มันเป็นแค่ผลการทดลอง...
เมื่อไรที่ ผลอะไรก็ตามที่ออกมาขัดกับความเชื่อและจินตนการ.... ความขัดแย้งก็จะเริ่มเกิด...
การไม่เชื่อผลไม่ใช่สิ่งผิด ผลวิจัยก็ไม่ใช่ว่าจะถูก ผิดๆก็มี... ถูกบางเวลาและต่อมาผิดก็มี...
แต่ อย่างน้อย สำหรับผม... การที่ มีคนไปเสียเวลาถาม เสียเวลาทำ ... น่าเชื่อว่า.. ความเชื่อเดิมๆ ที่ จิตนาการไปเองว่าจริง...
(จนกว่าจะหาได้ว่า ไอ้ที่ทำมัยไม่ถูกอย่างไร หรือ มีคนทำคนอื่นให้ผมอย่างอื่น ที่น่าเชื่อกว่า.... )
"คนโง่มักจะชอบว่าคนอื่นว่าโง่"
"ถ้าคนเราคิดเหมือนกันหมด ก็ไม่มีเลือกตั้งซิครับ"
"ผมไม่พูด เรื่อง 112 แล้ว นะครับ กรุณาอย่าถาม (17 พค 2012)"
#7
Posted 23 August 2012 - 14:57
เอาเป็นข้อ
1. ผลงานวิจัยมีความถูกต้องแม่นยำแค่ไหน 10% 20% 50% หรือว่าบอกไม่ได้เลย
2. งานวิจัยสามารถหักล้างได้เสมอ ถ้าอยู่ในวงการวิทยศาสตร์
3. ถ้าไม่มีผล นักการเมืองซื้อเสียงทำไม ขนาด ไทยรักไทย กับ ชาติไทย
ก็ถูกยุบพรรค เพราะกรรมการซื้อเสียงนี่แหล่ะ
อ่านแล้วนึกถึง ผลงานวิจัย สองชิ้น ชิ้นหนึ่งบอกว่า กินไข่แล้วคลอเลสเตอรอลสูง
ส่วนอีกงานหนึ่งบอกว่า กินไข่ไม่เกี่ยวกับคลอเลสเตอรอล
อ้อ ถ้าอ่านแล้วจริงๆ มันไม่ใช่ผลงานวิจัย แต่มันเป็น โพล โว้ย
แล้วก็อีกอย่าง สมัยก่อนมันซื้อกัน 120 บาท (ห้อยร้อยยี่สิบ) แต่เดียวนี้
บอกว่า 500 มันน้อยลงตรงไหน ฟายแท้ๆ
สรุป สมเป็นควายแดง อ่านเกิน 3 บรรทัดไม่ได้
สงสัยท่านนี้แยกความแตกต่างระหว่าง... โพล กับ งานวิจัยไม่ออก...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง สังคมศาตร์ทั้งโลกที่เค้าใช้ โพลเป็นส่วนนึงของเครื่องมือคงไม่มีในโลก มันเป็น โพลกันหมด...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง วิทยาศาตร์คงไม่มีัในโลก เพราะ เค้าแค่ทดลองได้ผลมา.... มันเป็นแค่ผลการทดลอง...
เมื่อไรที่ ผลอะไรก็ตามที่ออกมาขัดกับความเชื่อและจินตนการ.... ความขัดแย้งก็จะเริ่มเกิด...
การไม่เชื่อผลไม่ใช่สิ่งผิด ผลวิจัยก็ไม่ใช่ว่าจะถูก ผิดๆก็มี... ถูกบางเวลาและต่อมาผิดก็มี...
แต่ อย่างน้อย สำหรับผม... การที่ มีคนไปเสียเวลาถาม เสียเวลาทำ ... น่าเชื่อว่า.. ความเชื่อเดิมๆ ที่ จิตนาการไปเองว่าจริง...
(จนกว่าจะหาได้ว่า ไอ้ที่ทำมัยไม่ถูกอย่างไร หรือ มีคนทำคนอื่นให้ผมอย่างอื่น ที่น่าเชื่อกว่า.... )
สุดยอดของการโกหกคือสถิติครับ
คนกลางที่สุดในสามโลก จะบอกว่างานวิจัยที่ไม่มีความน่าเชื่อถือนั้นน่าเชื่อถือเหรอครับ
มันทะแม่งๆ นะ
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#8
Posted 23 August 2012 - 15:02
หากผู้ทำโพล หรือ ผู้วิจัย มีสิ่งเหล่านี้ไว้ในตัว
- อคติในใจ
- การตั้งธงแห่งผลวิจัยหรือโพลไว้แล้ว
- อกุศลจิต
- 5250401101 likes this
#9
Posted 23 August 2012 - 15:05
#10
Posted 23 August 2012 - 15:20
เอาเป็นข้อ
1. ผลงานวิจัยมีความถูกต้องแม่นยำแค่ไหน 10% 20% 50% หรือว่าบอกไม่ได้เลย
2. งานวิจัยสามารถหักล้างได้เสมอ ถ้าอยู่ในวงการวิทยศาสตร์
3. ถ้าไม่มีผล นักการเมืองซื้อเสียงทำไม ขนาด ไทยรักไทย กับ ชาติไทย
ก็ถูกยุบพรรค เพราะกรรมการซื้อเสียงนี่แหล่ะ
อ่านแล้วนึกถึง ผลงานวิจัย สองชิ้น ชิ้นหนึ่งบอกว่า กินไข่แล้วคลอเลสเตอรอลสูง
ส่วนอีกงานหนึ่งบอกว่า กินไข่ไม่เกี่ยวกับคลอเลสเตอรอล
อ้อ ถ้าอ่านแล้วจริงๆ มันไม่ใช่ผลงานวิจัย แต่มันเป็น โพล โว้ย
แล้วก็อีกอย่าง สมัยก่อนมันซื้อกัน 120 บาท (ห้อยร้อยยี่สิบ) แต่เดียวนี้
บอกว่า 500 มันน้อยลงตรงไหน ฟายแท้ๆ
สรุป สมเป็นควายแดง อ่านเกิน 3 บรรทัดไม่ได้
สงสัยท่านนี้แยกความแตกต่างระหว่าง... โพล กับ งานวิจัยไม่ออก...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง สังคมศาตร์ทั้งโลกที่เค้าใช้ โพลเป็นส่วนนึงของเครื่องมือคงไม่มีในโลก มันเป็น โพลกันหมด...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง วิทยาศาตร์คงไม่มีัในโลก เพราะ เค้าแค่ทดลองได้ผลมา.... มันเป็นแค่ผลการทดลอง...
เมื่อไรที่ ผลอะไรก็ตามที่ออกมาขัดกับความเชื่อและจินตนการ.... ความขัดแย้งก็จะเริ่มเกิด...
การไม่เชื่อผลไม่ใช่สิ่งผิด ผลวิจัยก็ไม่ใช่ว่าจะถูก ผิดๆก็มี... ถูกบางเวลาและต่อมาผิดก็มี...
แต่ อย่างน้อย สำหรับผม... การที่ มีคนไปเสียเวลาถาม เสียเวลาทำ ... น่าเชื่อว่า.. ความเชื่อเดิมๆ ที่ จิตนาการไปเองว่าจริง...
(จนกว่าจะหาได้ว่า ไอ้ที่ทำมัยไม่ถูกอย่างไร หรือ มีคนทำคนอื่นให้ผมอย่างอื่น ที่น่าเชื่อกว่า.... )
งานวิจัย?
เอาแค่ถามว่า ใช้วิธีใดในการเก็บข้อมูล ความแม่นยำเป็นเท่าไหร่?
(รู้หรือเปล่าว่าคนตอบ โกหก?) แค่โพล
อย่ามาบอกว่าเป็นงานวิจัยเลย
โง่สุดๆ แล้ว
ผลออกมาก็เห็นแล้วว่า มั่วสุดๆ ยังมีหน้าอ้างว่าเป็นงานวิจัย
ตอบหน่อยสิ แค่ข้อเท็จจริงเรื่อง 120 เป็น 500 ยังผิด ยังมีหน้า
บอกว่าเป็นงานวิจัย
โง่ไม่ลืมหูลืมตาเลยโว้ย
- SPDZ likes this
#11
Posted 23 August 2012 - 15:33
- Abraxas, nornoo, blackdragon and 4 others like this
#12
Posted 23 August 2012 - 15:52
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ทุกวันนี้เขาเอาหญ้าซื้อเสียงกัน
- nornoo, voodoo and blackdragon like this
" ประกาศบอยคอต ช่อง 3 ไม่ว่าจะข่าว ละคร หรือการ์ตูนลูก กรูไม่ดู !!! "
#13
Posted 23 August 2012 - 15:54
#14
Posted 23 August 2012 - 16:04
#16
Posted 23 August 2012 - 16:27
มันใช้ไม่ได้จริงๆ เพราะการจ่ายเงินมันไปถึงมือผู้มีสิทธิน้อยมาก ซึ่งนักเลือกตั้งเขาทราบดี
ยุคนี้มันเปลี่ยนการซื้อเสียงมาในรูปแบบ นโยบายประชานิยม การสัญญาว่าจะให้ แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ
การใช้เงินซื้อ สื่อ ครับ !!!
- blackdragon and annykun like this
#17
Posted 23 August 2012 - 16:28
Edited by 3.5v, 23 August 2012 - 16:29.
ช่วงนี้ คนเป่านกหวีดเสียงดังกันเยอะ ปีนี้เลยกลายเป็น " ปี แสบ หู "
#18
Posted 23 August 2012 - 16:34
#19
Posted 23 August 2012 - 16:42
เหมือนคนไปนั่งคุยกับหมอดูเเหละ หมอดูเก่งๆ เขารู้หมดเเหละว่า โลกจะเเตกวันไหน เเต่ถ้าวันนั้นโลกไม่เเตกจริงๆ เขาก็มีเหตุผลมาเเก้ตัวได้เสมอเเหละ หมอดูเขาก็มีหลัก มีวิชา เขาเรียนมาเหมือนกัน มีหลักการ มีเก็บตัวอย่างเป็นจะพันปีหมื่นปี
การพยายามสร้างความรู้ไหม่ๆ เป็นสิ่งที่ดี
เเต่ไม่ควรเอาไปอ้างอิงเป็นหลักจนหัวปักหัวปม ในสภาพเเวดล้อมที่เปลี่ยนเเปลงตลอดเวลาอย่างนี้
เเต่ถ้าเอามาเล่นอยากชนะกันตามบอร์ดเเบบนี้ ก็พอได้
- ตะนิ่นตาญี likes this
รำคาญสลิ่มเที่ยมที่เข้ามาปล่อยสารพิษเรียกร้องความรุนเเรงเสดงออกถึงความคลั่งสงครามกลางเมืองยุเเยงสร้างภาพชั่วๆ
เอียนวะ เห็นคนเเถวนี้ไอคิวต่ำกว่า 90 หรือไง
#20
Posted 23 August 2012 - 16:53
ไปถามเค้าว่าขายเสียงไหม ควายยังไม่ตอบเลย
#21
Posted 23 August 2012 - 17:03
#23
Posted 23 August 2012 - 18:00
- Octavarium and QueenBee like this
#24
Posted 23 August 2012 - 18:39
ที่โรงแรมเซ็นทรา วันที่ 17 ส.ค. 55 เมื่อเวลา 09.00 น. งานสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง ข้อเสนอวาระแห่งชาติ : ยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงอย่างยั่งยืน โดยสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ร่วมกับ สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาธรรมศาสตร์
โดยมีนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะหัวหน้าคณะทีมวิจัยฯเป็นผู้นำเสนอผลงานวิจัยฯ ได้นำเสนอผลงานในฐานะหัวหน้าคณะทีมวิจัยเรื่อง "การป้องกันและแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง" กล่าวตอนหนึ่งว่า ปัญหาการซื้อเสียงหรือการให้เงินหรือสิ่งของเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ตัดสินใจเลือกผู้สมัครนั้น ถือเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยไม่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย ซึ่งการซื้อเสียงเลือกตั้งก็ยังปรากฏทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น แต่ปัญหาที่คณะผู้วิจัยได้พบนั้น มีความแตกต่างกัน โดยในระดับชาติ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น ประชาชนจะเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคล แต่ในระดับท้องถิ่นการซื้อสิทธิ์ขายเสียงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินผล การเลือกตั้ง ถึงแม้ว่า จะมีมาตรการทางกฎหมายควบคุมไม่ให้เกิดการซื้อเสียง เช่น การตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค การกำหนดให้มีสินบนในการนำจับผู้ที่กระทำการซื้อสิทธิ์ขายเสียง เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะว่า ประชาชนไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระบบอุปถัมภ์ยังมีผลอยู่ และขาดมาตรการที่ดีพอในการทำให้ผู้ร้องเรียนรู้สึกปลอดภัยในการยื่นเรื่อง ร้องเรียน
นายปริญญา ยังกล่าวด้วยว่า คณะผู้วิจัยฯ ได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ การแก้ปัญหาที่ตัวบุคคล คือ การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดยส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนว่า การซื้อเสียงถือเป็นความผิด ในส่วนของนักการเมืองหรือผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น ควรจะมีกระบวนการ "ตกลงกัน" ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งความจริงก็มีการดำเนินการอยู่แล้ว แต่ควรจะทำให้เกิดการคิดวิเคราะห์ในส่วนของผู้สมัครมากขึ้น จะทำให้ผู้สมัครหันมาสู้กันตามกฎกติกามากขึ้น ส่วนมาตรการทางกฎหมายที่ต้องแก้ไขนั้น เห็นควรว่าการเลือกตั้งระดับชาติควรให้ศาลฎีกา (แผนกคดีเลือกตั้ง) เป็นผู้ตัดสินแต่เพียงอย่างเดียว โดยให้ กกต. เป็นผู้ส่งคำร้อง โดยขอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีส่วนของ วิธีพิจารณาคดีเลือกตั้ง เป็นการเฉพาะ ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นก็ให้ศาลอุทธรณ์ในแต่ภาคทำหน้าที่ เพื่อลดภาระของศาลฎีกาในส่วนกลาง ต่อมา มาตรการในการยุบพรรคการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 237 นั้น ไม่ได้ผล ควรเปลี่ยนเป็นการลงโทษเป็นรายบุคคลแทน โดยเพิ่มโทษให้รุนแรงขึ้น และการสืบสวนสอบสวนการกระทำการทุจริตในการซื้อสิทธิ์ขายเสียงนั้น ประสบปัญหาผู้รับเงินไม่กล้าร้องเรียน และปัญหาพยานกลับคำให้การ จึงควรที่จะมีระบบการคุ้มครองผู้ร้องและพยานให้มากขึ้น
http://breakingnews....p?newsid=645960
ขอร้องเถอะครับ อย่าเพิ่ง "ปิดฉากวาทกรรมเลย"
มันเหมือนเจ้าของกระทู้มีความเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าการซื้อเสียงเป็นเรื่องปกติ
และผมขอเสนอความเห็นอย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่า จขกท.จะเห็นด้วยหรือไม่
ผมเชื่อจริงๆครับว่า มันไม่มีใครหรอกที่อยากจะตอบว่า "รับเงินซื้อเสียงมา และก็เลือกคนที่ให้เงิน" เพราะมันทำให้คนตอบดูโง่ ให้เค้าจูงจมูก และเป็นผู้ร้ายเกินไป (ถึงแม้ในแบบสอบถามจะไม่ต้องระบุชื่อก็ตาม แต่กลไกป้องกันตนเองมันทำงาน) 4.59 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบมาคงเป็นพวกที่เถรตรงจริงๆ หรืออาจเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าต้องทำอย่างนั้น
Edited by Kraken, 23 August 2012 - 21:08.
- aya likes this
#25
Posted 23 August 2012 - 19:45
เหอ เหอ เหอ ตั้งชื่อกระทู้เหมือนยากบอกว่า 46.79 % ที่รับเงิน
แล้วไม่เลือก มันไม่โง่นาเว้ย ที่ โง่ มันแค่ 4.59 % 555555555
ถ้ารวมทั้ง โง่ และ ไม่โง่ มันก็ซื้อเสียงเข้าไปถึง 51.8 % แล้ว ปริญญา
น่าจะบอกด้วยว่า คนขายเสียง ฉลาดกว่าคนซื้อเสียง เพราะวิจัยแล้ว
ปรากฎว่า คนซื้อเสียงถูกหลอก แดก เงิน 5555555555555555555
#26
Posted 23 August 2012 - 19:48
เขียนเรื่องการเมือง : ดราม่า ,เขียนเรื่องสังคม : ดราม่า เขียนเรื่องบันเทิง : ดราม่า
แต่พอโพสเรื่องหื่น : มีความเห็นเป็นไปทางเดียวกันเสมอ >3<
#27
Posted 23 August 2012 - 20:02
"ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ" - หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
"คนเราสามารถเปลี่ยนต้นไม้ประหลาด ให้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนคนผิดให้เป็นพระเจ้า เปลี่ยนสีขาวให้เป็นสีดำ เพียงเพราะความเชื่อของตัวเองเพียงเท่านั้น"
#28
Posted 23 August 2012 - 20:18
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#30
Posted 23 August 2012 - 20:40
สุ่มถามคนมาเลือกตั้งว่ารับเงินมาเลือกตั้งหรือเปล่า ใครมันจะโง่ตอบว่ารับเงินมาฟ่ะ ( แต่ก็ดันมีคนตอบว่ารับเงิน 4.5% )
ผมเคยอ่านจากที่ไหนไม่รู้ เค้าก็บอกไว้ว่า การสำรวจวิธีการสอบถาม(โพล)
ถ้าถามเรื่องที่ไม่ดีว่าเคยทำหรือไม่ คนส่วนใหญ่เค้ามักจะไม่บอกหรอกว่าเคยทำ
แต่ในทางกลับกันถ้าถามว่าเคยทำความดีหรือไม่ ก็มักจะตอบว่าเคยทำทั้งนั้นแหละ
และการทำวิจัยเรื่องพวกนี้เค้าจะไม่สอบถามตรงๆหรอกว่า"คุณซื้อเสียงรึเปล่า"หรอก
ถ้าทำอย่างนี้จริง คนทำแบบสอบถามคงจะโง่มากด้านการทำโพลจริงๆ(คนที่เก่งจริงๆเค้าจะถามอ้อมๆ)
Edited by คนผ่านมา, 23 August 2012 - 20:46.
สิทธิตามระบอบประชาติปไตยมีไว้สำหรับให้เสื้อแดงผู้เรียกร้องประชาติปไตยเท่านั้น
ผู้อื่นห้ามใช้มิเช่นนั้นจะโดนประชาติปไตยลงโทษ
#31
Posted 23 August 2012 - 20:46
คุณต้องลงมือ จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลง "คานธี"
กฏของเสียงข้างมาก จะใช้กับเรื่องของมโนธรรมไม่ได้ "คานธี"
#32
Posted 23 August 2012 - 21:03
สุ่มถามคนมาเลือกตั้งว่ารับเงินมาเลือกตั้งหรือเปล่า ใครมันจะโง่ตอบว่ารับเงินมาฟ่ะ ( แต่ก็ดันมีคนตอบว่ารับเงิน 4.5% )
ผมเคยอ่านจากที่ไหนไม่รู้ เค้าก็บอกไว้ว่า การสำรวจวิธีการสอบถาม(โพล)
ถ้าถามเรื่องที่ไม่ดีว่าเคยทำหรือไม่ คนส่วนใหญ่เค้ามักจะไม่บอกหรอกว่าเคยทำ
แต่ในทางกลับกันถ้าถามว่าเคยทำความดีหรือไม่ ก็มักจะตอบว่าเคยทำทั้งนั้นแหละ
และการทำวิจัยเรื่องพวกนี้เค้าจะไม่สอบถามตรงๆหรอกว่า"คุณซื้อเสียงรึเปล่า"หรอก
ถ้าทำอย่างนี้จริง คนทำแบบสอบถามคงจะโง่มากด้านการทำโพลจริงๆ(คนที่เก่งจริงๆเค้าจะถามอ้อมๆ)
ผมว่าก็ทำแค่ choice 3 อันนี่แหละ ถึงตอบออกมาแบบนี้
ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
1. ยอมรับเงินจากผู้สมัครแต่ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้น ถึงร้อยละ 46.79
2. และที่ตอบว่าแม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก มีร้อยละ 48.62
3. ส่วนผู้ที่ตอบว่าเลือกเพราะได้รับเงินมีเพียง 4.59
- MuuSang likes this
"Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely."
#33
Posted 23 August 2012 - 21:24
โพล (Poll) หรือ การสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เป็นการสำรวจ (Survey) ที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดอย่างหนึ่ง แต่โพลไม่ถือว่าเป็นการวิจัย
เอาเป็นข้อ
1. ผลงานวิจัยมีความถูกต้องแม่นยำแค่ไหน 10% 20% 50% หรือว่าบอกไม่ได้เลย
2. งานวิจัยสามารถหักล้างได้เสมอ ถ้าอยู่ในวงการวิทยศาสตร์
3. ถ้าไม่มีผล นักการเมืองซื้อเสียงทำไม ขนาด ไทยรักไทย กับ ชาติไทย
ก็ถูกยุบพรรค เพราะกรรมการซื้อเสียงนี่แหล่ะ
อ่านแล้วนึกถึง ผลงานวิจัย สองชิ้น ชิ้นหนึ่งบอกว่า กินไข่แล้วคลอเลสเตอรอลสูง
ส่วนอีกงานหนึ่งบอกว่า กินไข่ไม่เกี่ยวกับคลอเลสเตอรอล
อ้อ ถ้าอ่านแล้วจริงๆ มันไม่ใช่ผลงานวิจัย แต่มันเป็น โพล โว้ย
แล้วก็อีกอย่าง สมัยก่อนมันซื้อกัน 120 บาท (ห้อยร้อยยี่สิบ) แต่เดียวนี้
บอกว่า 500 มันน้อยลงตรงไหน ฟายแท้ๆ
สรุป สมเป็นควายแดง อ่านเกิน 3 บรรทัดไม่ได้
สงสัยท่านนี้แยกความแตกต่างระหว่าง... โพล กับ งานวิจัยไม่ออก...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง สังคมศาตร์ทั้งโลกที่เค้าใช้ โพลเป็นส่วนนึงของเครื่องมือคงไม่มีในโลก มันเป็น โพลกันหมด...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง วิทยาศาตร์คงไม่มีัในโลก เพราะ เค้าแค่ทดลองได้ผลมา.... มันเป็นแค่ผลการทดลอง...
เมื่อไรที่ ผลอะไรก็ตามที่ออกมาขัดกับความเชื่อและจินตนการ.... ความขัดแย้งก็จะเริ่มเกิด...
การไม่เชื่อผลไม่ใช่สิ่งผิด ผลวิจัยก็ไม่ใช่ว่าจะถูก ผิดๆก็มี... ถูกบางเวลาและต่อมาผิดก็มี...
แต่ อย่างน้อย สำหรับผม... การที่ มีคนไปเสียเวลาถาม เสียเวลาทำ ... น่าเชื่อว่า.. ความเชื่อเดิมๆ ที่ จิตนาการไปเองว่าจริง...
(จนกว่าจะหาได้ว่า ไอ้ที่ทำมัยไม่ถูกอย่างไร หรือ มีคนทำคนอื่นให้ผมอย่างอื่น ที่น่าเชื่อกว่า.... )
งานวิจัยต่างจากโพลดังนี้
1. งานวิจัยมุ่งทดสอบความเชื่อ
ในขณะที่โพลอยากรู้ความคิดเห็นตาม กระแส งานวิจัยอยากรู้ในเรื่องที่เป็นความเชื่อ คือ เรื่องนี้มีประวัติ ดำเนินมาอย่างไร ในทางทฤษฎี (คือ ความเชื่อเดิม) บอกว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แล้วเราสงสัยว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ เราจึงเก็บข้อมูลมาทดสอบความเชื่อดังกล่าว
มีคำกล่าวว่าในภาษาเยอรมันว่า Forchen, Glauben, Leben แปลว่า เรามีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ และที่เราเชื่อก็เพราะพิสูจน์แล้วด้วยงานวิจัย
2. งานวิจัยมุ่งตอบว่า ทำไม
ในขณะที่โพลถามความเห็นของประชาชนว่า ท่านพอใจกับการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ การวิจัยต้องตอบได้ว่าทำไมถึงพอใจ โดยต้องแสดงเหตุและผลได้อย่างชัดเจน เรียกว่า แบบจำลอง
3. งานวิจัยแยกแยะสาเหตุได้อย่างละเอียด
ในขณะที่โพลระบุว่าประชาชนร้อยละ 80 ไม่พอใจในการทำงานของรัฐบาล งานวิจัยสามารถบอกได้ว่าอะไรทำให้ไม่พอใจ เช่น คนที่ไม่พอใจมีลักษณะอย่างไร เป็นชายหรือหญิง ทำงานอะไร อาศัยในเมืองหรือชนบท มีรายได้เท่าไร มีหนี้สินมากน้อยเพียงใด ฯลฯ
4. งานวิจัยไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ
ในขณะที่โพลบอกว่าความนิยมของนายก รัฐมนตรีในเดือนนี้สูงกว่าสามเดือนที่แล้ว แต่จริง ๆ อาจจะไม่แตกต่างกันก็ได้ งานวิจัยใช้เทคนิคทางสถิติเพื่อบอกว่าตัวเลขที่ดู ต่างกันนั้นแตกต่างกันจริงหรือไม่ เช่น t-test
5. งานวิจัยใช้ข้อมูลที่เป็นตัวแทนของประชากร
ในขณะที่โพลถามใครก็ไม่รู้ อาจจะถามคนจำนวนมากแต่ก็ไม่ทราบว่ากระจายทั่วถึงหรือไม่ แต่งานวิจัยต้องบอกได้ว่าคนที่ให้ข้อมูลมานั้นเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร โดยใช้กระบวนการสุ่มตัวอย่างที่ถูกต้องตามหลักการทางสถิติ
6. งานวิจัยมุ่งเสนอแนะ
ในขณะที่โพลรู้แล้วก็คือรู้ งานวิจัยมุ่งที่จะเสนอแนวทางในการจัดการด้วยการเปลี่ยนแปลงกลไกบางอย่าง คือ ควรปรับตรงจุดไหนเท่าไรแล้วอะไร ๆ จะดีขึ้น
7. งานวิจัยสามารถต่อยอดองค์ความรู้
ในขณะที่โพลทำเสร็จแล้วก็แล้วกันไป แต่งานวิจัยใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่งได้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนหรือคัดค้านความเชื่อเดิม และอาจนำไปสู่องค์ความรู้ใหม่ หรือความเชื่อใหม่ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนต่อไปในอนาคต
#34
Posted 23 August 2012 - 21:45
#35
Posted 23 August 2012 - 21:55
- tonythebest and blackdragon like this
เราตระกูลชินจัง ขอยก ฐานะ เสื้อแดง จาก ไพร่ เป็น ควายแดง ณ.บัดนี้
ถึงแม้ พ่อแม่ เองจะให้ฐานะความเป็น คน มาแต่กำเนิดก็ตาม
#36
Posted 23 August 2012 - 22:27
เพราะนายเวร มักแสดงออกเช่นตัวเลือกที่หนึ่ง
โดยการพยายามตั้งกระทู้หรือใช้ถ้อยคำเชิงดูแคลนผู้เห็นต่าง
ทั้งที่เมื่อท้ายสุดในทุกกระทู้
นายเวรก็ไม่เคยหาทางไปถูกได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลายต่อหลายกระทู้ ตั้งในเชิงที่หวังจะตบเกรียน
ในขณะที่ประกาศกร้าวว่าจะตบเกรียนผุ้อื่น
หน้านายเวรยังไม่พ้นกองขี้ หลังจากถูกตบไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เล่าให้เจ้าของกระทู้เป้นตัวอย่างครับ
สำหรับโพลที่ตั้งขึ้นมาเช่นนี้
โพล ต้องตั้งในลักษณะที่ตอบครอบคลุมครับ
ไม่ใช่มีเพียงทางเลือกจากฝั่งเดียว
แล้วใครจะตอบเมิ งครับ
ถ้า จขกท หัดอ่านสื่อฝั่งอื่นๆ เสียบ้าง
ก็น่าจะทราบได้ว่า การซื้อเสียงมันมีพัฒนาการครับ
สมัยก่อน อาจลงทุนด้วยการนำเงินไปแจก
สมัยหลังๆ การซื้อเสียงพัฒนาขึ้น ด้วยการนำเงินภาษีของประเทศไปใช้ครับ
ไม่ว่าจะโครการประชานิยมใดๆ ที่มีมา
เป็นประชานิยมเลือกข้างทั้งสิ้น
นับรวมไปถึงเงินชดเชยผู้เสียชีวิต 7.75 ล้าน
ทั้งที่หลายคน อาจเสียชีวิตจากกรณีอื่นๆ
ในขณะที่ทหารรักษาชาติ ตายเพื่อประเทศ กลับได้น้อยกว่า
นี่คือการซื้อเสียงสมัยใหม่ ที่ไม่ แม้จะออกเงินส่วนตัวด้วยซ้ำ
แต่เป็นเงินก้อนใหญ่กว่า (แน่ล่ะ ไม่ใช่เงินของมันหนิ)
ถ้าถาม ผมว่าอาจารย์ปริญญาทำวิจัยข้าไปสิบปีครับ
- blackdragon and เพื่อไทยทำได้ทุกอย่าง like this
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#37
Posted 23 August 2012 - 23:26
1. ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ยอมรับเงินจากผู้สมัครแต่ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้น ถึงร้อยละ 46.79
2. ที่ตอบว่าแม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก มีร้อยละ 48.62
3. ส่วนผู้ที่ตอบว่าเลือกเพราะได้รับเงินมีเพียง 4.59
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับผลการสัมมนากลุ่มย่อยของผู้นำชุมชนในพื้นที่ต่างๆที่พบว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกผู้สมัครเพราะเงิน
ผมจะชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของงานวิจัย (?) นี้นะครับ
ยกตัวอย่าง ถ้าในพื้นที่หนึ่ง มีผู้สมัคร 4 คน มี 3 คนที่จ่ายเงินซื้อเสียง และคุณเลือก 1 ใน 3 คนที่มาซื้อเสียง เพราะคุณชอบสีนี้
คุณจะตอบข้อ 1, 2 หรือ 3
ถ้าตามหลักการแล้วคุณต้องตอบทั้งข้อ 1 และ 2
แต่เวลาผลโพลออกมาแล้ว เขาแยกข้อ 1 และ 2 ออกเป็นกลุ่มบุคคลคนละประเภทกัน
ความจริงก็คือ ถ้าคุณเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง และคุณมั่นใจในฐานเสียงของตัวเอง
แต่คุณรู้ว่าคู่แข่งคุณซื้อเสียง คุณก็ต้องจ่ายตามให้ใกล้เคียงกัน
นั่นคือการทำให้ปัจจัยเรื่องเงินหายไป เพราะทุกฝ่ายจ่ายเหมือนกัน
อันนี้เป็นเรื่องปกติในทุกพื้นที่ที่อยู่นอกเขตเมือง
ทีนี้ถ้าจะทำโพลควรจะทำยังไง
คุณก็ต้องทำแยกย่อยออกไปอีก ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนขึ้น เช่น
1. คุณเลือกคนที่จ่ายเงินให้คุณ
2. คุณเลือกคนที่ไม่จ่ายเงิน
3. คุณเลือกคนที่จ่ายเงินให้มากกว่าคนอื่น
4. คุณเลือกคนที่จ่ายเงินให้น้อยกว่าคนอื่น
#38
Posted 24 August 2012 - 02:44
เอามาถามให้เลือกตอบแบบนี้ไม่ได้พิสูจน์อะไร ลองมาพิจารณากันดูนะครับ
1. ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ยอมรับเงินจากผู้สมัครแต่ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้น ถึงร้อยละ 46.79
นี่คือกลุ่มที่รับเงินแต่ไม่ไปเลือก เพราะไม่ใช่เบอร์ที่ตั้งใจไว้
แล้วถ้าเป็นเบอร์ที่ชอบอยู่ให้เงินแล้วจะรับหรือเปล่า?
(คงรับมั้ง ขนาดไม่ชอบก็ยังรับ)
แต่ว่ารับแล้วจะเลือกไหมล่ะ พรรคที่ชอบเขาซื้อเสียงนี่? รับได้เหรอ?
2. ที่ตอบว่าแม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก มีร้อยละ 48.62
อันนี้ว่าแม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก
แล้วถ้าได้รับล่ะก็คงยิ่งจะเลือกงั้นสิ (ใช่ไหม?)
ฐานนี้มันแยกจากฐานข้างบนได้ยังไง
คือเหมือนข้างบนรับของแจกน้ำท่วมแม้นว่าจะไม่ได้ใช้
ข้อนี้เป็นจะใช้ของนั้นแม้นว่าจะไม่ได้รับบริจาคงั้นหรือ ผมว่าโพลมันเละตั้งแต่คำถามแล้ว
3. ส่วนผู้ที่ตอบว่าเลือกเพราะได้รับเงินมีเพียง 4.59
นี่ยิ่งไปกันใหญ่ มันเป็นคำถามให้สารภาพบาป
ใครจะสารภาพกันสักกี่เปอร์เซนต์ก็ไม่รู้
ก็ด่ากันเรื่องขายสิทธิขายเสียงโครมๆ แล้วจะให้เขาตอบว่าเขาขายงั้นหรือ
ทีมวิจัยใช้คนแบบไหนไปถาม วิธีการถามยังไง คนตั้ง 1 ใน 20 กว่าคนยอมรับผมถือว่ามากนะครับ
น่าจะมากเกินไป มันเหมือนคุณถามว่าถ้ามีโอกาสโกงชาติได้คุณจะทำไหม?
คนทำกันเยอะแน่ ดูจากการโกงภาษีเล็กๆน้อยๆ การยัดเงินใบสั่ง ฯลฯ
แต่คนจะสารภาพกันน้อยมากครับถ้าถาม
(งานวิจัยพวกนี้ถ้าเป็นฝรั่งทำเขาจะใช้งบมากแต่เชื่อถือได้พอควร
เช่นถามคำถามแล้วให้เลือกว่าจะรับเงินหนึ่งพันบาทหรือว่าจะไม่รับ นี่เป็นงบหลวงท่านอยากประหยัดงบให้ชาติหรือไม่ ฯลฯ)
สรุปคือผมว่าข้อมูลพวกนี้ใช้ไม่ได้ครับ
การซื้อเสียงเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ได้ทำกันเฉพาะตอนก่อนเลือกตั้งแล้ว
เดี๋ยวนี้เขาแนบเนียนกว่านั้น ซื้อใจกันมาตลอด ทั้งงบหลวงหรือใส่ซองช่วยงานกันเนืองๆ
ใครไปซื้อเสียงกันหลังยุบสภาหรือ กกต.กำหนดวันเลือกตั้งก็สอบตกแน่นอน
ทว่าสิ่งที่ทั้ง 3 คำถามนี้ชี้ชัดให้เห็นก็คือประเทศไทยมีการซื้อเสียงกันแน่นอน
อย่างเป็นที่ยอมรับกันกลายๆด้วย (เกินกว่า 50%ได้รับเงินแน่ ที่เหลือตอบว่าถ้าได้ก็รับ)
รับกันแหลกทั้งพรรคที่ชอบและไม่ชอบ
Edited by คลำปม, 24 August 2012 - 02:48.
- beta likes this
วิธีการยุติระบอบทักษิณ
ก็แค่เพียงทำให้คนไทยส่วนใหญ่ "ฉลาด"
#39
Posted 24 August 2012 - 04:22
#40
Posted 24 August 2012 - 06:00
*คือ100% ที่เป็นตย.นี่รับเงินทั้งหมด รับแล้วทำอย่างไรอีกเรื่อง
*ปลายปีนี้(มั๊ง) หมู่บ้นผมเลือก อบต. ยังไม่เปิดรับสมัคร ข่าวออกมามีคนให้แล้ว หัวละ2,000บ. (เน้นครับสองพัน)
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#41
Posted 24 August 2012 - 10:44
#42
Posted 24 August 2012 - 10:57
เงินของชาติ โอกาสของลูกหลานที่จะได้รับการดูแลที่ดี
#43
Posted 24 August 2012 - 11:14
มันผู้ได สนับสนุนการนิรโทษกรรม ไม่ลากคอไอ้ฆาตกรชั่วใจสัตว์ โหดอำมหิต ผู้บงการฆ่าพี่น้องเสื้อแดงของกู 91 ศพ และพี่น้อง กปปส.ของกูอีก 20 ศพ มาลงโทษลงทัณฑ์ตามกบิลเมือง กูขอสาปแช่งให้มันและทุกๆคนที่มันรัก จงประสพกับความวิบัติฉิบหายในชาตินี้ และต่อๆไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะสิ้นกาล
#44
Posted 24 August 2012 - 11:14
#45
Posted 24 August 2012 - 20:34
เอาเป็นข้อ
1. ผลงานวิจัยมีความถูกต้องแม่นยำแค่ไหน 10% 20% 50% หรือว่าบอกไม่ได้เลย
2. งานวิจัยสามารถหักล้างได้เสมอ ถ้าอยู่ในวงการวิทยศาสตร์
3. ถ้าไม่มีผล นักการเมืองซื้อเสียงทำไม ขนาด ไทยรักไทย กับ ชาติไทย
ก็ถูกยุบพรรค เพราะกรรมการซื้อเสียงนี่แหล่ะ
อ่านแล้วนึกถึง ผลงานวิจัย สองชิ้น ชิ้นหนึ่งบอกว่า กินไข่แล้วคลอเลสเตอรอลสูง
ส่วนอีกงานหนึ่งบอกว่า กินไข่ไม่เกี่ยวกับคลอเลสเตอรอล
อ้อ ถ้าอ่านแล้วจริงๆ มันไม่ใช่ผลงานวิจัย แต่มันเป็น โพล โว้ย
แล้วก็อีกอย่าง สมัยก่อนมันซื้อกัน 120 บาท (ห้อยร้อยยี่สิบ) แต่เดียวนี้
บอกว่า 500 มันน้อยลงตรงไหน ฟายแท้ๆ
สรุป สมเป็นควายแดง อ่านเกิน 3 บรรทัดไม่ได้
สงสัยท่านนี้แยกความแตกต่างระหว่าง... โพล กับ งานวิจัยไม่ออก...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง สังคมศาตร์ทั้งโลกที่เค้าใช้ โพลเป็นส่วนนึงของเครื่องมือคงไม่มีในโลก มันเป็น โพลกันหมด...
ถ้าใช้ตรรก สุดเมพ ว่ามันเป็น แค่โพล... สงสัย งานวิจัยทาง วิทยาศาตร์คงไม่มีัในโลก เพราะ เค้าแค่ทดลองได้ผลมา.... มันเป็นแค่ผลการทดลอง...
เมื่อไรที่ ผลอะไรก็ตามที่ออกมาขัดกับความเชื่อและจินตนการ.... ความขัดแย้งก็จะเริ่มเกิด...
การไม่เชื่อผลไม่ใช่สิ่งผิด ผลวิจัยก็ไม่ใช่ว่าจะถูก ผิดๆก็มี... ถูกบางเวลาและต่อมาผิดก็มี...
แต่ อย่างน้อย สำหรับผม... การที่ มีคนไปเสียเวลาถาม เสียเวลาทำ ... น่าเชื่อว่า.. ความเชื่อเดิมๆ ที่ จิตนาการไปเองว่าจริง...
(จนกว่าจะหาได้ว่า ไอ้ที่ทำมัยไม่ถูกอย่างไร หรือ มีคนทำคนอื่นให้ผมอย่างอื่น ที่น่าเชื่อกว่า.... )
งานวิจัย?
เอาแค่ถามว่า ใช้วิธีใดในการเก็บข้อมูล ความแม่นยำเป็นเท่าไหร่?
(รู้หรือเปล่าว่าคนตอบ โกหก?) แค่โพล
อย่ามาบอกว่าเป็นงานวิจัยเลย
โง่สุดๆ แล้ว
ผลออกมาก็เห็นแล้วว่า มั่วสุดๆ ยังมีหน้าอ้างว่าเป็นงานวิจัย
ตอบหน่อยสิ แค่ข้อเท็จจริงเรื่อง 120 เป็น 500 ยังผิด ยังมีหน้า
บอกว่าเป็นงานวิจัย
โง่ไม่ลืมหูลืมตาเลยโว้ย
ผมว่า ยกตัวอย่างง่ายๆ
อย่างการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมา exit poll ยังไม่ตรงเลย
ไปยืนถามเขาตอนออกจากคูหาแท้ๆ และความผิดพลาดก็คงมาจากเรื่องเดียวกัน
คือเพราะว่า "กลุ่มตัวอย่างไม่ยอมบอกความจริง"
และการซื้อเสียง ไม่ได้ทำลายแค่ความชอบธรรมของผลการเลือกตั้ง
แต่ทำลายระบบการเมืองทั้งระบบ คนซื้อเสียงไปแล้ว มีหรือจะไม่มาถอนทุนคืน
- MIRO and คนสับปะหลี้ like this
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#46
Posted 24 August 2012 - 23:01
สุ่มถามคนมาเลือกตั้งว่ารับเงินมาเลือกตั้งหรือเปล่า ใครมันจะโง่ตอบว่ารับเงินมาฟ่ะ ( แต่ก็ดันมีคนตอบว่ารับเงิน 4.5% )
ผมเคยอ่านจากที่ไหนไม่รู้ เค้าก็บอกไว้ว่า การสำรวจวิธีการสอบถาม(โพล)
ถ้าถามเรื่องที่ไม่ดีว่าเคยทำหรือไม่ คนส่วนใหญ่เค้ามักจะไม่บอกหรอกว่าเคยทำ
แต่ในทางกลับกันถ้าถามว่าเคยทำความดีหรือไม่ ก็มักจะตอบว่าเคยทำทั้งนั้นแหละ
และการทำวิจัยเรื่องพวกนี้เค้าจะไม่สอบถามตรงๆหรอกว่า"คุณซื้อเสียงรึเปล่า"หรอก
ถ้าทำอย่างนี้จริง คนทำแบบสอบถามคงจะโง่มากด้านการทำโพลจริงๆ(คนที่เก่งจริงๆเค้าจะถามอ้อมๆ)
อันนี้ล่ะเหตุผลหลัก ที่ว่ามันเป็น "งานวิจัย" ไม่ได้
เพราะคำถามเกี่ยวกับ "ศีลธรรม" จะไปถามดื้อๆ คนมันก็โกหก
กันหลายคนอยู่ รู้ๆ ว่าซื้อเสียงมันผิด แต่ฉันจะรับ พอมีคนถาม
จะให้ตอบว่ายังไง? เอาแค่นี้ก็รู้แล้วว่า มันเป็นแค่โพลกากๆ
ผมว่า ยกตัวอย่างง่ายๆ
อย่างการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมา exit poll ยังไม่ตรงเลย
ไปยืนถามเขาตอนออกจากคูหาแท้ๆ และความผิดพลาดก็คงมาจากเรื่องเดียวกัน
คือเพราะว่า "กลุ่มตัวอย่างไม่ยอมบอกความจริง"
และการซื้อเสียง ไม่ได้ทำลายแค่ความชอบธรรมของผลการเลือกตั้ง
แต่ทำลายระบบการเมืองทั้งระบบ คนซื้อเสียงไปแล้ว มีหรือจะไม่มาถอนทุนคืน
ตรงนี้ละเป็นการยืนยัน โพลเมืองไทยมันมี 2 อย่างคือ
+ โพลที่ซื้อผลได้
+ โพลที่มั่วริยำ
เมื่ออินพุทผิดๆ แล้วจะเอามาทำงานวิจัย
ก็ได้แต่เศษขยะ แถมเอาข้อเท็จจริงเรื่องจำนวนเงินซื้อเสียง
ลดลง ที่ก็น่าขำ (เดี๋ยวนีบางที่เขาแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ แล้ว
ตั้งแต่ยังไม่มีเบอร์)
#48
Posted 25 August 2012 - 01:28
1.ยอมรับเงินจากผู้สมัครแต่ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้น ถึงร้อยละ 46.79 (440.2939 คน)
2.แม้ไม่ได้รับเงินก็จะเลือก มีร้อยละ 48.62 (457.5142 คน)
3.ผู้ที่ตอบว่าเลือกเพราะได้รับเงินมีเพียง 4.59 (43.1919 คน)
46.79 + 48.62 + 4.59 = 100 % เป๊ะเลย
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับผลการสัมมนากลุ่มย่อยของผู้นำชุมชนในพื้นที่ต่างๆที่พบว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกผู้สมัครเพราะเงิน
งง....
1.ขนาดของกลุ่มตัวอย่างน้อยมาก ทำให้ความค่าคลาดเคลื่อนสูงมาก
2.ร้อยละของคำตอบ ทำไมหารจำนวนแล้วมันไม่ลงตัว ทั้งที่จำนวนกลุ่มตัวอย่าวก็ระบุมาชัดเจน
ว่าแต่.........มีเวลาไปทำงานวิจัยด้วยหรอเห็นเอาแต่จะแก้ 112
สรุปว่า กรูเสียเวลามานั่งอ่าน - ตอบ กระทู้นี้ทำไมว่ะ
48 หน้า 1
#49
Posted 25 August 2012 - 07:05
แล้วจะมีวิธีไหนคุยให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เค้าจ่ายขนาดนั้น เค้าต้องได้มากกว่านั้น
เงินของชาติ โอกาสของลูกหลานที่จะได้รับการดูแลที่ดี
มันยากครับ ลักษณะแบบนี้เหมือนจำลอง เลือกสส.ละครับ
*ต้องเลือกข้าง สาเหตุที่เลือกข้างก็แล้วแต่รายไป สมัยก่อนคนรวยกินเหล้า เลี้ยงเหล้าประจำ ..ได้เป็น อบต. แต่ตกในสมัยต่อมา เพราะแค่เลี้ยงเหล้าไม่พออย่างเดียวไม่พอแล้ว พอไกล้เลือกตั้งต้องมีค่าส่งเสริมประชาธิปไตยด้วยถึงจะได้
ปัจจุบันมีเงิน มีโครงการต่างๆลงมาที่หมู่บ้านมากมาย แกนนำที่สนับสนุนจะมีตำแหน่งในโครงการต่างๆ ผมเคยถามในที่ประชุมกับคนหนึ่งว่า จำได้ไหมถูกแต่งตั้งมาทั้งหมดกี่ตำแหน่ง ขอให้ระบุหน้าที่ ในตำแหน่งนั้นๆมาสัก2ตำแหน่งว่ามีอะไรบ้าง ตอบไม่ได้ คือพวกนี้รู้แค่สิทธิในตำแหน่ง แต่ไม่รู้หน้าที่
เกือบทุกตำแหน่งเดี๋ยวนี้มีเงินตอบแทนเกือบทั้งหมด ..ครอบครัวผญบ. มีรายรับจากตำแหน่งต่างๆ เกือบ2หมื่น/เดือน ..เงินนอกระบบ เอาแค่พัฒนาหมู่บ้าน ได้จากอบต.2,000 คนที่ไม่ได้มาช่วยก็บริจาคน้ำ/เครื่องดื่ม, พวกรีสอร์ท/บ้านจัดสรร ให้เงิน, ช่วง2-3ครั้งหลังผมไม่ออกไปช่วยเลย เพราะมีข่าวผญบ.จ้างบางคน500บ. ต่อการทำงานครึ่งวัน
อบต.ละก็เลิกกันแค่งบกราบเท้าแทนคุณก็หลาแล้ว ..ปลัดออกมายืนเขตก็ 4-6หมื่น, ยิ่งได้อยู่ในตำแหน่งเกี่ยวกับเงินก็..เฮ้อ
*นี่แหละครับ ผู้สมัครต้องหาทางให้ได้รับเลือก, คนเลือกก็ต้องเลือกข้าง คนที่ไม่ได้รับเลือกก็เงียบทำนอง..ที*คุณ*ได้กูไม่ว่า ถ้ากูได้บ้างมึงอย่าโวย
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#50
Posted 25 August 2012 - 07:30
หารไม่ลงตัวไม่แปลกหรอกครับ เพราะต้องมีการปัดเศษขึ้นหรือลงอยู่แล้ว แต่พอเอาจำนวนหารจริง ๆ กับไม่ตรงกับจำนวน % ที่บอกนี่สิ2.ร้อยละของคำตอบ ทำไมหารจำนวนแล้วมันไม่ลงตัว ทั้งที่จำนวนกลุ่มตัวอย่าวก็ระบุมาชัดเจน
อย่างเช่น 3.ผู้ที่ตอบว่าเลือกเพราะได้รับเงินมีเพียง 4.59% เท่ากับ 43.1919 คน ฉะนั้นคนที่เลือกข้อนี้ต้องมี 43 คน ไม่ก็ 44 คน แต่ลองเอามาหารด้วย 941 คนคิดเป็นร้อยละจะได้ 4.5696 กับ 4.6759 ซึ่งไม่มีตรงไหนปัดแล้วได้ 4.59 เลย
Edited by Solidus, 25 August 2012 - 07:30.
- สุกี้น้ำ likes this
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
1 user(s) are reading this topic
0 members, 1 guests, 0 anonymous users