มีแต่คนว่าทักษิณโกงชาติ..ไหนละครับหลักฐาน.ขอดูหน่อย..ชิชิ
#1
Posted 4 September 2012 - 16:33
#2
Posted 4 September 2012 - 16:36
เจ้าของกระทู้ครับ แกล้งโง่หรือว่าโง่จริงอะครับ
อย่างหลงปัจเจกบุคคลจนลืมแยกแยะ ดี / ชั่ว เลยครับ
คนดีๆ คงไม่ต้องไปตายบนผืนแผ่นดินที่ไม่ใช่แผ่นดินเกิดหรอกครับ
ไม่นานมันก็ตายแล้วไอ้แม้วอะ มันกำลังกินบุญเก่าอยู่ แต่ใกล้หมดแล้วแหละ
- iambung, บัวทอง..., ขบวนการเสรีไทย and 3 others like this
#5
Posted 4 September 2012 - 16:46
ถึงสูงศักดิ์อัครฐานสักปานไหน.ถึงวิไลเลิศฟ้าสง่าศรี..ถึงเก่งกาจฉลาดกล้าปัญญาดี..ถ้าไม่มี "คุณธรรม" ก็ต่ำคน.... พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้า รัชกาลที่ ๕ " https://www.facebook...akwarakfromyala https://www.facebook.com/NARAPEACE
#6
Posted 4 September 2012 - 16:54
POPULAR
- พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน, Kyubey, nhum and 7 others like this
If you try hard enough, you can be whatever you want to be.
#7
Posted 4 September 2012 - 16:54
#8
Posted 4 September 2012 - 17:03
ตกงานแน่ กรู
ครองแชมป์มานาน
น้าต้องอั๊พเลเว่ลด่วนเลย....555555
- บัวทอง..., Alanza 4.91 and kon_thai like this
#9
Posted 4 September 2012 - 17:23
#10
Posted 4 September 2012 - 17:35
#11
Posted 4 September 2012 - 17:36
เป็นซะยังงี้ ชาติมันถึงได้เจริญ วันๆฟังแต่ศาสดาแป๊ะลิ้ม กับยกพวกปิดสนามบิน
ส่วนนู่ม๊าก ก็เอาแต่เกาะโพเดียม หนีทหาร ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เอาเขาพระวิหารให้เขมร ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ชั่งไข่ งานการไม่ทำ ปลากระป๋องก็เน่า ปล่อยพรรคร่วมช่วยกันแดรก
สละชีพเพื่อหลักธรรมคือคำขวัญ
ฆ่าคนเพื่อชิงอำนาจคือวิธีการ
ส่วนลิ่วล้อที่ส่งไปตายก็คือตัวหมากแห่งคุณธรรม
#12
Posted 4 September 2012 - 17:37
สนุกสนานกันใหญ่
ไม่รู้ใครเป็นใครแระ
- nhum, lagrangian and kon_thai like this
#13
Posted 4 September 2012 - 17:42
ที่จริง มีเป็นกุรุส
#14
Posted 4 September 2012 - 17:43
หลักฐานเค้าเอาไปใช้ในชั้นศาลครับ
เอามาให้คุณแบบนี้ก็รู้ทันหมดสิ
หาข้อแก้ตัวกันสบายไปเลย
หรือคุณไม่เชื่อในระบบศาล.......ผมไม่ให้ครับ.....
ขอเทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใด
...แม้แต่ลมหายใจก็ยอมพลี
โลกยังไม่สิ้นหวัง ถ้ายังมั่นในความดี
...ศรัทธาไม่เคยหน่ายหนี คนดีไม่มีวันตาย
#16
Posted 4 September 2012 - 18:06
- charlie24 likes this
#17
Posted 4 September 2012 - 18:15
ชั้นศาล
1. คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว หรือคดีหวยบนดิน ซึ่งคดีนี้ คตส. ได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คณะรัฐมนตรี "รัฐบาลทักษิณ" และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คนเป็นจำเลย
และคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวเนื่องจากหนีคดี และได้ตัดสินให้จำคุกนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และนายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผ.อ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล คนละ 2 ปี และให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามไว้คนละ 2 ปี
2. คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์)ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่า
คดีนี้ คตส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157
กรณีที่มีการอนุมัติเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยให้แก่รัฐบาลพม่าจำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจากบริษัทในเครือ ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้จำหน่ายคดีชั่วคราวไว้ก่อนเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคดี
3.คดีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ - ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท
คดีนี้อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 ,122 ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้สั่งจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หลบหนีคดี
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณของคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการกับ ปปช.
1. คดีทุจริตซีทีเอ็กซ์ 9000 ซึ่งคดีนี้เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด (ซีทีเอ็กซ์ 9000)ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กับพวก ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
2. คดีธนาคารกรุงไทย อนุมัติเงินกู้ให้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ซึ่งเป็นการอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทที่เป็นหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยคดีนี้ คตส. ได้ชี้มูลความผิด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กับพวก นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายในข้อหารับของโจร ด้วย
3.คดีทุจริตโครงการระบบจ่ายไฟฟ้าและเครือข่ายท่อร้อยสายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคมกับพวกเป็นจำเลย
#18
Posted 4 September 2012 - 18:17
ศุภาลัยชนะประมูลที่ดินรัชดาฯ ให้ราคาสูงลิ่วกว่า 1.8 พันล้านบาท
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (17 ส.ค.) กองทุนฟื้นฟูได้เปิดซองประกวดราคาที่ดินรัชดา ซึ่งที่ประชุมได้ผู้ชนะการประมูลแล้วคือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเสนอราคามาที่ระดับ 1.815 พันล้านบาท และคณะกรรมการจัดการกองทุนได้อนุมัติเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ที่ดินแปลงดังกล่าวมีราคาสูงขึ้น คาดกันว่าราคาต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท จากอดีตที่ดินแปลงนี้คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ภรรยาของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยชนะการประมูลเสนอราคาซื้อสูงสุด 772 ล้านบาท เมื่อปี 2546 แต่การทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินของกองทุนฟื้นฟูฯกับคุณหญิงพจมาน ถูกศาลตัดสินให้เป็นเป็นโมฆะ และสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการดังกล่าว ส่งผลให้คุณหญิงพจมานต้องคืนที่ดินให้กองทุนฟื้นฟูฯ และให้กองทุนฟื้นฟูฯคืนเงิน 772 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปีให้กับคุณหญิงพจมาน
- marrykate likes this
"น้อมส่งเสด็จสู่พระนิพพาน"
#19
Posted 4 September 2012 - 18:26
หาก ทักษิณ ชินวัตร กลับมาคราวนี้ เขาจะครองอำนาจไปชั่วนิจนิรันดร ?
วันนี้ ชาวบ้านกำลังจับตามอง ว่า ผลการสอบสวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2553 จะลงเอยอย่างไร
และผมเข้าใจว่าชาวบ้านก็คงสับสนกับข่าวนี้อยู่ไม่น้อยนะครับ
ขณะที่ด้านหนึ่ง ศาลเรียกพยานในเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ไปสอบปากคำ
ตามที่ผมเขียนรายงานไปแล้วว่ามีพยานสองคน ให้การว่าเห็นคนแต่งชุดลายพรางยิงประชาชนไปแล้วนั่นแหละครับ
อีกด้านหนึ่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ.ได้เชิญ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และ
คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ไปให้การในฐานะพยาน
และเท่าที่ดูแนวโน้มในการสอบสวนดูเหมือนว่า ทุกอย่างกำลังพุ่งเป้าไปที่ผู้ได้รับคำสั่งให้ใช้กำลังในการสลายม็อบคือ ทหาร ครับ
หรือพูดภาษาชาวบ้านก็คือ การสอบสวนคดีนี้เหมือนกับกำลังต้องการ “แพะ”มารับบาป หรือไม่อีกทีก็กำลังมีการ “บีบ”ผู้เกี่ยวข้องให้ยอมจำนน
ซึ่งในเรื่องของคดีความ ผมจะไม่ก้าวล่วงวิพากย์วิจารณ์นะครับ แต่ผมกำลังมองว่า ทำไมผมจึงคิดอย่างนั้น
หากทุกคนยังไม่ลืม คงจำได้ว่า ร่างกฎหมายเพื่อการปรองดองยังคงถูก “ดอง” อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคเพื่อไทยมีเสียงข้างมาก
และพร้อมที่จะถูกล้วงขึ้นมาจากโหลที่ “ดอง” ไว้ เพื่อนำขึ้นมาพิจารณาทันที หากฝ่ายที่ต่อต้านการปรองดอง “เออออ” ด้วย
ฝ่ายที่ต่อต้านกฎหมายปรองดองที่เห็นชัด ๆ คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) กับ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ประกาศเป็นหัวหอกชัดเจน
ทั้งนี้โดยมีประชาชนผู้รักชาติ พร้อมให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวหากได้รับสัญญาณจากหัวหอกทั้งสอง
ตอนนี้ สภาฯ “ดอง” ร่างกฎหมายปรองดองเอาไว้ ความเข้าใจของผมคือเพื่อหาเวลาทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ทำไมจึงต้องมีกฎหมายปรองดอง
แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป สภาผู้แทนฯ ก็หาได้ออกมาเคลื่อนไหว ทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายปรองดองแต่อย่างใด
ขณะที่ในส่วนของรัฐบาล ปรากฎว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวานนี้ 28 ส.ค.ครม.ได้มีมติให้ตั้งกรรมการเพื่อแจกแจงการแก้รัฐธรรมนูญแก่ประชาชนแทน
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ปล่อยให้กระบวนการสอบสวนการเสียชีวิตจากการชุมนุมของประชาชนในปี 2553 ดำเนินไปอย่างเข้มข้น
เราจึงเห็นทั้ง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้มีบทบาทสำคัญในทางการเมืองต้องเดินทางไปให้ปากคำเจ้าหน้าที่ไม่หยุดหย่อน
ล่าสุดทั้งสองคน ต้องเสียเวลาให้ปากคำเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นวัน ๆ และด้วย “คำถามแปลก” เหมือนถูกตีกรอบให้เดินไปสู่เป้าที่ถูกวางไว้ล่วงหน้า
โชคดีที่ทั้งคุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพ เป็นนักการเมืองที่มีหลักการและเก๋าเกม จึงสามารถเอาตัวรอดจากการถูกต้อนเข้ามุมได้อย่างหวุดหวิด
ปรากฎการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับ อดีตผู้นำรัฐบาลชุดที่แล้ว เหมือนจะบอกให้รู้ว่า หากไม่ชี้นำให้พลพรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับร่างกฎหมายปรองดอง
ทั้งสองคนก็จะถูกรังควานจากมือที่มองไม่เห็นไม่หยุดหย่อน หรือจนกว่าจะทนไม่ได้และยินยอมที่ให้มีกฎหมายปรองดองเกิดขึ้น
และผมเข้าใจว่า หลังจาก “พักยก” จากคุณอภิสิทธิ์ และ คุณสุเทพ แล้ว “กระบวน”การที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือก็จะหันไปพลิก คดีความของ พธม.ที่ค้างคาอยู่
นั่นก็คือในเดือนหน้า เราอาจจะเห็น “คดีความของพันธมิตร” ที่กองอยู่บนหิ้งจนฝุ่นจับ ถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่
ผู้ต้องการที่เป็นพันธมิตรฯทั้งหมด คงจะถูกเรียกตัวเข้าสู่กระบวนการ คล้ายกับที่ คุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพ ถูกกระทำมาแล้ว
พร้อม ๆ กับคำถามที่ส่งผ่านแววตาว่า จะยอมปรองดองด้วยไหม หรืออะไรทำนองนั้น
หากทั้ง พธม.และ ปชป. “เอาด้วย” ก็แปลว่า คดีความทั้งหลายทั้งปวง ที่ “มือที่มองไม่เห็น” สั่งให้ทำขึ้น และที่ พธม.กับ ปชป.ถูกลากเข้าไปเอี่ยวด้วย มีอันยกเลิก
ดังนั้น การที่ ป.ป.ช.มีมติ ไม่ฟ้อง “ทักษิณ และ สุริยะ” เพราะหลักฐานอ่อน จึงไม่ใช่เรื่องที่ผมรู้สึกแปลกประหลาดแต่อย่างใด
และเชื่อผมเถิดว่า คดีอื่น ๆ ที่ค้างคาอยู่ และค้างเติงมานานนั้น อะไร ๆ ที่เคยแข็ง ก็คงจะอ่อนลงเหมือนดินน้ำมันที่ถูกความร้อนหลอมละลาย นั่นแหละครับ
รอให้คดีความต่าง ๆ ไม่อาจถูกส่งฟ้อง ทักษิณอาจกลับมารับโทษคดีที่ดินรัชดาตามที่ คุณพิชัย รัตตกุล ผู้อาวุโสแห่งประชาธิปัตย์แนะนำไว้ก็เป็นได้
และเมื่อวันนั้นมาถึง ทักษิณ ชินวัตร ก็จะกลับมาครอบครอบประเทศไทยไว้ในกำมืออีกครั้งหนึ่ง
และครั้งนี้ ก็จะเป็นการครอบครองที่เหนียวแน่นและยาวนานชั่วนิจนิรันดร ?
#20
Posted 4 September 2012 - 18:46
"งง" นะเนี่ยะ !
5555555555555555555555555555555
#21
Posted 4 September 2012 - 18:51
#22
Posted 4 September 2012 - 18:53
/人◕ ‿‿ <人\
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Hello, I'm a Kyubey /人◕ ‿‿ ◕人\
╱/(っ◕ ‿‿◕)っ Please Make a contract with me and become a Magical girl! /人◕ ‿‿ <人\
ข้าพเจ้าขอสนับสนุนท่านผู้นำที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ!!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!! Heil Lertih Adolf!!
#23
Posted 4 September 2012 - 19:03
ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้สร้างอิทธิพลด้านความคิด ความรู้สึก และด้านอื่นๆ ไว้อย่างรุนแรงกว้างขวางที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เส้นทางการเมืองของทักษิณเริ่มต้นอย่างธรรมดายิ่ง คือเป็นนักธุรกิจนายทุนอุดหนุนพรรคการเมืองที่ข้ามมา “เล่นเอง” ภายหลัง เริ่มจากเข้าไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ชูนโยบายแก้ปัญหาจราจรภายใน 6 เดือนจนเมื่อพรรคเหลือ 1 เสียงและหมดบทบาททางการเมืองไปก็ย้ายไปเป็นรองนายกฯในรัฐบาลพลเอกชวลิตก่อนยุคที่ประเทศไทยพบวิกฤตค่าเงินบาทลอยตัวไม่นานนัก
แต่หลังจากนั้นเขาก่อตั้งพรรคไทยรักไทยและความเป็นผู้ทรงอิทธิพลหลายๆ อย่างจึงฉายออกมาอย่างชัดเจน
ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้การตลาดนำการเมืองโดยโหมโฆษณานโยบายที่ทุ่มทุนวิจัยทางการตลาดมาแล้วว่าโดนใจคนส่วนใหญ่ ด้วยชื่อนโยบายและถ้อยคำที่กระชับเร้าใจไม่น่าเบื่อ ต่างจากสไตล์ของพรรคการเมืองไทยอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยความเข้าใจถึงนิสัยเบื่อเร็วทางการเมืองของคนไทยกับจุดอ่อนทางภาพลักษณ์ของพรรคคู่แข่ง ลีลาการพูด การปรากฏตัวของทักษิณยุคนั้นจึงนำเสนอความกล้าได้กล้าเสีย ผูกมัดตัวเองด้วยเด๊ดไลน์กับนโยบายประชานิยมเอาใจ “รากหญ้า” ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ควบไปกับการโจมตีภาพความเชื่องช้าของคู่แข่งขณะนั้น ได้ผลโดนใจคนไทยจำนวนมากจนได้เป็นรัฐบาลด้วยเสียงมากพอที่จะมีอิทธิพลเหนือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
ภาพลักษณ์ความเป็นนักธุรกิจใหญ่มาก่อนถูกชูมาเป็นจุดขายเด่นของสินค้า สร้างอิทธิพลทางความคิดค่านิยมว่านักการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศยุคใหม่ต้องเป็นประสบความสำเร็จทางธุรกิจมาก่อน คิดแบบเถ้าแก่ “ไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน”
และเขาเองก็คงความเป็นเถ้าแก่โดยโอนหุ้นกลุ่มชินให้ลูกๆ ถือครองตลอด 5 ปีแรกของการเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทำงานการแก้กฎหมายอย่างมีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างของชาติกับของธุรกิจกลุ่มชิน
“ทักษิโนมิกส์” หรือการบริหารเศรษฐกิจแบบทักษิณ เดินเครื่องด้วยใช้การโหมใช้จ่ายภาครัฐช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอย่างรวดเร็ว เร่งเครื่องด้วยข่าวดีและเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ก้าวไกลที่รัฐโหมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจดี ส่งเสริมให้กู้ยืมไปลงทุนและใช้จ่ายต่างๆ เกิดการหมุนเวียนของเงิน
แรงผลักดันเบื้องหลังการทุ่มงบประมาณนี้เกิดขึ้นได้จากการขายรัฐวิสาหกิจและสาธารณูปโภคต่างๆ ผ่านกลไกตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่องหลายหน่วยงาน ที่นอกจากจะได้รายได้เข้ารัฐแล้วยังกระตุ้นตลาดหุ้นได้มาก ด้วยอิทธิพลทางความคิดที่รัฐบาลปลูกฝังว่ายิ่งมูลค่าตลาด (Market cap.) ยิ่งสูงยิ่งดี
เสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้นยากจะเล็ดลอดผ่านอิทธิพลของรัฐในสื่อหลักๆ ทั้งฟรีทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ที่ยังพึ่งพิงระบบสัมปทานและการซื้อสื่อโฆษณา รวมไปถึงการซื้อสื่อโดยตรง
ทักษิณทรงอิทธิพลทางการเมืองด้วยการบริหารแบบรวมศูนย์เบ็ดเสร็จ ควบคุมทุกเสียงในรัฐบาลให้เงียบสงบในลักษณะเจ้าของกิจการบริหารบริษัท หลายครั้งที่อิทธิพลนี้ขยายออกไปป้องปรามนักวิชาการและสื่อมวลชนต่างๆที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาลด้วย
นอกจากด้านความคิดแล้ว อิทธิพลของทักษิณที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ อิทธิพลเหนือกลไกตรวจสอบอย่างเป็นทางการไม่ว่าจะเป็นวุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ กกต. คตง. ปปช. ฯลฯ ที่มีมติเป็นผลบวกต่อฝ่ายรัฐบาลบ่อยครั้งจนเป็นที่ครหาตลอดมาจนถึงทุกวันนี้
ด้วยเสียงมหาศาลทั้งจากการหาเสียงและการดึงการดูดยุบรวมพรรคอื่นเข้ามาอยู่เสมอ บทบาทฝ่ายค้านในสภาก็แทบจะสูญหายไปเพราะได้เสียงไม่ถึงจำนวนที่จะมีบทบาทได้ เช่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ โดยเฉพาะในสมัยที่สองที่พรรคไทยรักไทยของทักษิณกวาดไปถึงเกือบสี่ร้อยเสียง เหลือไว้ให้ฝ่ายค้านเพียงร้อยกว่าเสียงเท่านั้น เกิดทางตันในระบบตรวจสอบจนมาระเบิดที่ภาคประชาชนแทนในที่สุดในปรากฏการณ์ม็อบต่างๆ
จะด้วยปัญหาน้ำมันแพงหรือนโยบายรัฐบาลผิดพลาดก็ตาม ปัจจุบันนี้เศรษฐกิจไทยกลับส่อเค้าหยุดเติบโตและกลับมีปัญหาหลายๆ อย่างมากขึ้นเรื่อยๆ
และบางอิทธิพลทางความคิดที่ทักษิณเคยปูทางไว้ พลิกกลับจนเกิดเป็นคำถามทั่วไปว่าสังคมไทยต้องการคนดีมากกว่าคนเก่งหรือไม่? และจะมีอาชีพมีความสุขได้ต้องกู้หนี้มาใช้มาลงทุนจริงหรือ? และล่าสุดกลับกระแสชาตินิยมที่ทักษิณเคยสร้างไว้ผ่านวลีเดือดตามสไตล์ที่ว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” ได้กลับกลายร่างมาเป็นกระแสต้านสิงคโปร์อันเริ่มจากการขายกิจการกลุ่มชินให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก กระแสต่อต้านการขายรัฐวิสาหกิจ ควบคู่ไปกับกระแสอารมณ์เกลียดชังเขาที่ลุกลามขึ้นอย่างรวดเร็วกว้างขวางตั้งแต่ปลายปีก่อน
ทุกก้าวของทักษิณเต็มไปด้วยอิทธิพลไม่ว่าโดยเจตนาหรือไม่ กระเทือนไปทั่วทุกวงการ และสังคมไทยยังคงต้องจับตาก้าวต่อไปของเขาที่ยังไม่มีท่าทีจะหยุดเดินแต่อย่างใด
#24
Posted 4 September 2012 - 19:23
จากนิตยสาร ‘อาทิตย์’ ฉบับที่ 919 วันที่ 20 -26 มกราคม 2538
000
ตอนที่ 1
สายสัมพันธ์กับนายกรัฐมนตรีก่อนที่จะถึงพรรคพลังธรรม
ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก นางสาวไทยและนางงามจักรวาล เคยเปรียบเทียบวันแห่งความรุ่งโรจน์ของเธอทันทีที่ได้สวมมงกุฎนางงามจักรวาลว่า ปานประดุจเธอกลายสภาพเป็น ‘ซินเดอเรลลลา’ โดยทันที ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นนางฟ้าจนแทบแยกแยะไม่ออกว่ามันเป็นความฝันหรือความจริง...
สำหรับพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร นั้น วิถีชีวิตของเขาคงวิลิศมาหลาถึงขั้นนั้น แต่ใครจะไปคิดบ้างว่า นายตำรวจติดตามที่คอยพูดจาสนิทสนมกับนักการเมืองในบริเวณหน้าห้องทำงานของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดร.ปรีดา พัฒนถาบุตร จะใช้เวลาเพียง 4 ปีเท่านั้นพลิกวิถีชีวิตของเขา จากคนที่นักการเมืองหรือใครต่อใครไม่ให้ค่ามากนัก กลายมาเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ ผู้ซึ่งพรรคการเมืองอย่างความหวังใหม่เคยมีการเรียกร้องเสนอชื่อบุคคลผู้นี้เป็นรองนายกรัฐมนตรีในโควตาพรรคความหวังใหม่ทั้งที่เขาไม่ได้เป็น ส.ส. เช่นเดียวกับพรรคพลังธรรม ได้แสดงความดีใจอย่างสุดขีดปานประดุจดอกฟ้าโน้มกิ่งมาสู่บรรดากระต่ายที่กระโดดโลดเต้นอยู่บนพื้นดิน เมื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจรับข้อเสนอของพรรค ที่จะเข้าเป็นรัฐมนตรีการต่างประเทศในโควตาของพรรคพลังธรรม
ระยะเวลา 4 ปีนั้นเร็วเหลือเกิน หากมาเปรียบเทียบกับรายได้ที่เขาประกาศอย่างเป็นทางการเอาไว้ถึงทรัพย์สินของเขาก่อนเข้าเป็นรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศว่า มีจำนาน 60,000 ล้านบาท ยังไม่นับรวมของภรรยาและยังไม่สืบสาวไปถึงจำนวนหุ้นที่แตกกระจายอยู่ในรูปการลงทุนอีกหลายบริษัท ระยะเวลา 4 ปีที่พลิกผันให้เขามีเงินเกือบแสนล้านบาทนั้น มันทำให้วิถีชีวิตของเขายิ่งกว่าซินเดอเรลลลา ปานประดุจเป็น ‘เทวดา’ หรือ ‘โอปปาติกะ’ ที่สามารถเติบโตได้แบบเกิดปุ๊บโตปั๊บ...เขาไม่ต้องใช้เวลาดิ้นรนต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง ไม่ต้องใช้พรรษาทางการเมืองสนับสนุนความเป็นนายกรัฐมนตรี ก้าวแรกที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่การเมืองอย่างเปิดเผย ก้าวที่มาในฐานะของรัฐมนตรีการต่างประเทศ หรือ ’ในฐานะตัวแทนของประเทศไทย’ เวทีสากล วิถีชีวิตของเขาจึงไม่ผิดอะไรกับเทวดา และก่อนหน้าหรือหลังจากการเข้ามาเป็นรัฐมนตรีการต่างประเทศ แม้นว่าจะต้องเผชิญมรสุมและการกล่าวหาหนักหน่วงเพียงไรก็ตามที และแม้นกระทั่งปัญหาคุณสมบัติของเขาจนบัดนี้...แต่ทักษิณ ชินวัตร แกร่งจริงๆ อดทน และยืนทะนงเผชิญหน้ากับมรสุมที่พัดสาดซัดเข้าใส่
ถ้าหากเปรียบเทียบกับวัสดุใดๆ แล้ว เขาไม่ใช่ใบไม้ที่จะหลุดปลิวตามลมทันทีที่เกิดมรสุมฟ้าคะนองสาดซัด เขาไม่ใช่สังกะสีที่ผุกร่อนไปตามกาลเวลาโดยรวดเร็ว แต่ความแข็งแกร่ง ความแน่นหนาของเขาไม่ต่างอะไรกับกระเบื้องชั้นดี ตกลงมาจากฟ้าก็ยังไม่แตก ด้วยเหตุนี้วิถีการเมืองที่อุบัติขึ้นปั๊บเติบโตทันทีปานประดุจเทวดา บวกกับความแข็งแกร่งและความแน่นหนา...ไม่ถือเป็นการยกย่องเกินไปนัก ถ้าหากใครตั้งสมญาให้กับเขาว่า ‘เทวดาห้าห่วง’
สายสัมพันธ์กับนายกรัฐมนตรีก่อนที่จะถึงพรรคพลังธรรม
ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเวลาอันรวดเร็ว ชื่อของ ทักษิณ ชินวัตร ถูกดึงเข้ามามีส่วนพูดจากันในวงการเมืองของหลายต่อหลายพรรค บุคลิกลักษณะในความเป็นคนหนุ่มในภาคธุรกิจของเขานั้น ดูไม่แตกต่างมากนักจาก ไพโรจน์ เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ ไม่นานก็สนิทสนมกับนักการเมืองหลายต่อหลายราย ไม่ว่าเคยนั่งอยู่หน้าห้องรองนายกรัฐมนตรีณรงค์ วงศ์วรรณ มีฐานะเป็น ‘บอร์ดใหญ่’ อย่างไม่เป็นทางการในการจัดตั้งรัฐบาลสุจินดา คราประยูร หรือมีชื่ออยู่ในฐานะผู้สนับสนุนกลุ่ม 16 ผู้ก่อตั้งพรรคประชารัฐ...ฯลฯ
บุคคลทั้งสองเข้ามาใกล้กับวงการการเมืองในท่าทีที่ไม่ต่างกัน คือมีเพื่อนนักการเมืองมากมาย ตามลีลาที่นักธุรกิจเรียกไว้ว่า ‘การกระจายความเสี่ยง’ แต่สำหรับทักษิณ ชินวัตร นั้น ยังมีบุคลิกพิเศษที่ต่างไปจากไพโรจน์ เปี่ยมพงศ์สานต์ เนื่องจากธุรกิจของเขาไม่ใช่ธุรกิจที่ดินอย่างไพโรจน์ ทักษิณ เติบโตมาจาก ‘สัมปทานของรัฐ’ ไม่ว่าจากบริษัทชินวัตรไดเร็คทอรี ที่เข้าไปประมูลการจัดทำสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองติดต่อมาหลายต่อหลายปี และแม้กระทั่งในระยะอันใกล้นี้ บริษัทภายใต้การนำของเขาก็ใช้ความชาญฉลาดอย่างสูงทีเดียวในโอกาสที่จะได้มาซึ่งสัมปทานดังกล่าวต่อไป ทันทีที่บริษัทเทเลเพจเจส ซึ่งเต็มไปด้วยพนักงานของชินวัตรไม่สามารถผ่านเงื่อนไขทำการผลิตสมุดโทรศัพท์ได้ตามสัญญากับรัฐหรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
ทักษิณ ชินวัตร ยังถูกยกย่องว่าเป็นนักธุรกิจไทยรายแรกที่นำเสนอโครงการใหญ่เข้าสู่การพิจารณาของรัฐ นั่นก็คือ ‘โครงการดาวเทียม’ ในยุคเมื่อ 6-7 ปีที่แล้วยังเป็นคำที่ดูตลก และกลายเป็นคำพูดของนักฝัน เมื่อร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่คุมงานการสื่อสาร ได้แสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดของทักษิณ สมญานามของร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ก็ถูกตั้งขึ้นมาใหม่แทนที่จะใช้คำว่า ‘สารวัตรนินจา’ ก็กลายเป็น ‘เหลิมดาวเทียม’
แต่สมญาที่เคยตั้งกันขึ้นด้วยความขบขันครั้งนั้น...ใครจะคิดบ้างว่า มันจะกลายเป็นรากฐานอันสำคัญของบริษัทชินวัตร ภายใต้การนำของ ดร.ทักษิณ ผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐในการยิงดาวเทียมดวงแรกเพื่อธุรกิจ ขอพระราชทานนามจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เรียกชื่อว่า ‘ดาวเทียมไทยคม’
เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่า ทักษิณเกิดทางธุรกิจครั้งใหม่มาพร้อมๆ กับความสนิทสนมกับร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง และหลังจากนั้นชื่อเสียงของเขาก็กลายเป็นดาวบนท้องฟ้า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองยุค รสช. ที่พยายามห้ำหั่น ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ไม่สามารถรุกเข้าหาธุรกิจของเขาได้มากนัก เขามีความคล่องแคล่วไม่เทอะทะอย่างเช่นบริษัทซีพี (เจริญโภคภัณฑ์) ที่กำลังตีปีกจากสัญญาโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมายที่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน อนุมัติให้ก่อนหน้าถูกรัฐประหาร
ความพยายามทวงหากำไรสูงสุดให้กับรัฐบาล โดยรัฐบาลของอานันท์ ปันยารชุน นั้น ทำให้บริษัทซีพีกับรัฐบาลอานันท์มีปัญหายุ่งยากต่อกันทีเดียว ในการแก้ไขสัญญาที่เห็นว่ารัฐเสียเปรียบ มาเหลือสัญญาใหม่คือซีพีถูกลดสัมปทานไปจาก 3 ล้านเลขหมายโทรศัพท์เหลือ 2 ล้านเลขหมายโทรศัพท์ ในขณะที่ชินวัตรที่ได้รับสัญญาณดาวเทียมว่องไวกว่าในการเข้าประกบกับ ‘อำนาจใหม่’ เขาเสนอลดสัมปทานของตัวเองจาก 30 ปี เหลือ 20 ปี เขาหลบรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ และดูเหมือนว่า จากจุดนี้นี่เอง เขาก็ได้ ‘เพื่อนใหม่’ ทางการเมืองตามนโยบายกระจายความเสี่ยง นั่นก็คือสายโยงใยที่ทอดไปหา ‘กลุ่มเพื่อนอานันท์’ ทั้งหลาย ไม่ว่า วิชิต สุรพงษ์ชัย, ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ,โอฬาร ชัยประวัติ,และอนันต์ อัศวโภคิน...
แต่สำหรับสายตานักธุรกิจมีระดับอย่างอานันท์ ปันยารชุน ทักษิณไม่ใช่พวก ‘บลัด-อีลีท’ หรือเลือดผู้ดี เขาเป็นเพียงเศรษฐีใหม่ที่ทะยานขึ้นมาในบรรยากาศที่ผู้มีสกุลเหล่านี้มองการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทยว่าอยู่ในยุค ‘ผู้ดีเดินตรอก – ขี้ครอกเดินถนน’ ซีพีและกลุ่มธุรกิจที่ใกล้ชิดกับประเทศจีน ดูจะน่าอันตรายยิ่งกว่าถ้าเทียบกับทักษิณ ชินวัตร ผู้ยังมีดีกรีความเป็นด็อกเตอร์ เป็นนายตำรวจยศพันตำรวจโท มีภรรยาในตระกูลที่ดีพอ อย่างเช่นตระกูลดามาพงศ์ เชื้อสายก็ไม่เลวนักหากพิจารณาถึงความมีหน้าตาของตระกูลในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
แต่ถึงกระนั้นความแนบแน่นทางการเมืองของทักษิณก็ไม่ได้มุ่งเป้าหมายที่กลมกลืนกับกลุ่ม ‘เพื่อนอานันท์’ หรือ ‘บลัด – อีลีท’ มากนัก ทักษิณคลุกคลีกับผู้แทนราษฎรมานาน นานพอที่เขาจะรู้สึกกลมกลืน และเข้าใจกับความดิ้นไปดิ้นมาอันเป็นสัญชาตญาณของนักการเมือง วิถีทางการเมืองของทักษิณค่อนข้างเอียงเข้าหา การเข้าสังกัดพรรคการเมือง...มากกว่าการมองไปว่า ‘การเมืองเป็นเรื่องสกปรก’ แบบอีลีท บลัด ทั้งหลาย
ในเขตภาคเหนือ ธรรณพ ธนะเรือง อดีตนักหนังสือพิมพ์รุ่นใหญ่ ผู้ใช้ความพยายามเอาชนะการเลือกตั้งที่จังหวัดเชียงรายบ้านเกิดมาหลายต่อหลายครั้งในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามามีส่วนเป็นกลไกอันหนึ่งในบริษัทชินวัตรในฐานะประชาสัมพันธ์ของบริษัท แต่คงไม่ใช่เพราะธรรณพเพียงคนเดียว ที่ทำให้สายสัมพันธ์ในวิถีทางการเมืองของทักษิณมุ่งเข้าหาคนชื่อชวน หลีกภัย... ดูเหมือนว่า ลีลานักการเมืองภาคใต้อย่างชวน จะสร้างความประทับใจให้กับทักษิณมาเป็นเวลานานพอสมควร แนวนโยบายที่ตึงตัวแบบพรรคพลังธรรม มีภาพพจน์ที่เลวน้อยกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ
การให้ความสนใจต่อพรรคประชาธิปัตย์และต่อชวน หลีกภัย นั้น มากถึงขั้นคนใกล้ชิดทักษิณระบุว่า เขาแสดงความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ในระหว่างที่พบปะกับชวน หลีกภัย ในฐานะผู้สนับสนุนการเลือกตั้งที่ผ่านมา ถึงกับมีคำถามอย่างซีเรียสต่อลูกแม่ถ้วน หลีกภัย ผู้นี้ว่า... “จะต้องใช้เงินเท่าไหร่ ถึงสามารถทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรแบบพรรคเดียว หรือ 181 เสียง” ตามประสบการณ์การเมืองของชวน หลีกภัยแล้วนั้น...ทำให้เขาได้แต่ยิ้มๆ ตามรายงานของคนใกล้ชิด แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็พอจะเป็นเครื่องยืนยันได้ถึงความเอาจริงเอาจัง และความปรารถนาดีที่ทักษิณมีต่อชวน หลีกภัย และพรรคประชาธิปัตย์...
นอกไปจากนี้...การที่ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เปลี่ยนเก้าอี้จากกรรมการผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในโควตาพรรคประชาธิปัตย์นั้นยิ่งทำให้วิถีทางของทักษิณกับพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งดูแนบแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ หากทักษิณคิดจะก้าวสู่วงการเมืองโดยการเลือกตั้ง สนามที่เขาจะลงนั้นเชื่อว่าไม่พ้นจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากธารินทร์ นิมมานเหมินท์ หรือ ‘อ้ายน้อย’ ของตระกูลนิมมานเหมินท์ ตระกูลคนชั้นสูงหลายสมัยหลายยุคในอาณาจักรล้านนา หากบุคคลทั้งสองจับมือเข้าหากันในนามพรรคประชาธิปัตย์...เขาทั้งคู่จะมีฐานะเป็นขุนพลภาคเหนือได้โดยไม่ยาก การเงินของทักษิณที่เหนือกว่าธารินทร์นั้น...ก็อาจทำให้ทักษิณอยู่ในฐานะ ‘ผู้นำ’ แบบเดียวกับชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน ที่เติบโตเคียงคู่กันมาได้ แต่แม้นว่า...โดยท่าทีที่แสดงออกถึงส่วนลึกในจิตใจของทักษิณนั้น จะมุ่งตรงสู่ค่ายประชาธิปัตย์...ในทางธุรกิจ การ ‘กระจายความเสี่ยง’ เป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มี ‘สัมปทานกับรัฐ’ ทักษิณจึงมีชื่อกว้างไกลไปถึงพรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าความหวังใหม่ ชาติไทย ชาติพัฒนา กิจสังคม ฯลฯ นักการเมืองหลายรายที่มี ‘หุ้นราคาพาร์’ ของบริษัทชินวัตรอยู่ในมือ ไม่ต่างอะไรกับสื่อมวลชนดังๆ หลายรายที่ใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ ‘โนเกีย’ ที่บริษัทชินวัตรจำหน่าย ...แต่ไม่เคยมีใครคาดหวังเอาไว้เลยว่า...เมื่อทักษิณก้าวขาเข้ามาสู่วงการเมืองอย่างเป็นทางการ เขาจะก้าวเข้ามาในนามพรรคพลังธรรม ผู้ประกาศนโยบายทั้งต่อหน้าและลับหลังว่าจะยืนหยัดแนวคิด ‘บุญนิยม’ ต่อต้าน ‘ทุนนิยม’ มาโดยตลอด
#25
Posted 4 September 2012 - 19:32
เจอที่ไหน ให้ลากคอมันมา
- ข้ามศพกูไปก่อน and บัวทอง... like this
#26
Posted 4 September 2012 - 19:40
#27
Posted 4 September 2012 - 19:41
Now! Restart Thailand
#28
Posted 4 September 2012 - 19:46
#29
Posted 4 September 2012 - 19:46
จากนิตยสาร ‘อาทิตย์’ ฉบับที่ 919 วันที่ 20 -26 มกราคม 2538
000
ตอนที่ 4 (จบ)
เส้นทางการเมืองทักษิณ ‘เทวดาห้าห่วง’
การที่พลเอกสุจินดา คราประยูร ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเพื่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น...ก็คือการกระทำตามหลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วย คอนฟลิก ออฟ อินเตอร์เรสต์ อย่างที่บวรศักดิ์ อุวรรณโณว่าไว้ ถ้าหากทักษิณต้องการเดินสู่เส้นทางนี้ เขาก็คงจะต้องเสียสถานะที่เคยทำให้เขามีอำนาจบัญชาการไม่ผิดอะไรกับผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดในบริษัทธุรกิจที่ทำกำไรให้เขามาถึง 60,000 ล้านบาท ภายใน 4 ปี...ไม่มีอะไรต่างกันเลย
การยืนยันไม่ ‘ปรับตัว’ ให้เข้ากับกฎหมาย ก็ไม่ต่างอะไรจากความพยายามเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมๆกับขอคุมกองทัพบกต่อไป แต่ดูเหมือนว่า...เส้นทางการเมืองที่ทำให้ทักษิณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีนั้น...มันยังแยกไม่ได้จาก ‘อำนาจบัญชาการ’ ที่เขามีอยู่ในบริษัทชินวัตรในระยะเวลาสั้นๆ ที่เขาเป็นรัฐมนตรีการต่างประเทศ ทักษิณที่ยังมีอำนาจอยู่ในบริษัทที่มีชื่อเดียวกับนามสกุลของเขา บริษัทที่มีภรรยาผู้นอนเคียงข้างเขาทุกคืนเป็นประธาน ยากเหลือเกินที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะติดเครื่องดักฟังในห้องนอนเพื่อการฟังการพูดจาของเขากับภรรยาได้ทุกประโยค ในระยะสั้นๆ เหล่านี้เขาประสบความสำเร็จในการเร่งให้กระทรวงคมนาคมที่ควบคุมโดย วิชิต สุรพงษ์ชัย อนุมัติแผนการให้ความช่วยเหลือประเทศพม่าในการวางข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมพื้นฐานไว้ล่วงหน้า อันจะสามารถรองรับกับบริษัทที่ที่จะเข้าไปขอสัมปทานธุรกิจสื่อสารในพม่าต่อไปไม่ว่า ล็อกซเล่ย์ หรือชินวัตรก็ตาม ทักษิณพยายามวางตัวข้าราชการการต่างประเทศให้เป็นผู้แทนไทยในองค์กรการค้าโลกที่จะกลายเป็น ‘ แหล่งข้อมูลสำคัญ’ ในวงการการค้าโลก และก่อนหน้านั้นเขาประสบความสำเร็จไม่น้อยในการสร้างความสัมพันธ์ทางจิตใจกับบรรดาข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ...มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะขนาดเขายังไม่เป็นรัฐมนตรีคมนาคมเลยสักครั้ง เขายังสามารถซื้อใจคนอย่างบุญคลี ปลั่งศิริ ข้าราชการอนาคตไกลขององค์การโทรศัพท์ฯหรือไพบูลย์ ลิมปะพยอม อดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์ฯ ให้มารับใช้เขาอยู่ในเครือข่ายชินวัตรในทุกวันนี้
ถึงแม้ว่าทักษิณจะทำไม่รู้ไม่ชี้ในการเดินทางไปประชุมเอเปคในฐานะรัฐมนตรีการต่างประเทศที่อินโดนีเซีย แต่บริษัทไอบีซีอินโดนีเซียที่กำลังเร่งหาเครดิตและความมั่นใจในการบุกตลาดอินโดนีเซียคงชื่นใจไม่น้อย ที่เห็นอดีตเจ้านายและผู้ที่ยังถือหุ้นใหญ่ของบริษัทตัวเองยืนจับมืออยู่กับซูฮาร์โต ทักษิณเคยได้รับเหรียญสดุดีจากลีกวนยูอดีตประธานาธิบดีสิงคโปร์ในช่วงที่เขาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และบริษัทชินวัตรของเขาในขณะนี้ก็เติบโตขึ้นด้วยการลงทุนจากบริษัทสิงคโปร์ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง รองจากเขาและภรรยา ระหว่างที่หุ้นสิงคโปร์กำลังขึ้นอยู่ในบริษัทชินวัตร ทักษิณก็เยือนสิงคโปร์ด้วยเครื่องบินชาแลนเจอร์ที่เขาเหมาโดยภรรยาของเขาเอง หรือโดยการบริจาคของประทานบริษัทชินวัตร ชินวัตรประสบความสำเร็จด้วยดีในการได้รับความไว้วางใจให้วางโครงการสื่อสารพื้นฐานในเขตสามเหลี่ยมเศรษฐกิจด้านใต้ ที่มีสิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียเตรียมพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน แต่อะไรต่อมิอะไรไม่ได้ดีไปทั้งหมด...ทักษิณไม่สามารถกู้สถานภาพทางธุรกิจไอบีซีในกัมพูชาให้ดีขึ้นกว่าก่อนเป็นรัฐมนตรี แม้ว่าเขาเคยพยายามใช้ความเป็นรัฐมนตรีการต่างประเทศเข้าพบปะเจ้านโรดมสีหนุที่กรุงปักกิ่ง พยายามขอเข้าพบปะเจ้านโรดมรณฤทธิ์ที่พนมเปญ...แต่ผลออกมาคือ เจ้านโรดมรณฤทธิ์ เปิดทางให้บริษัทมาเลเซียเข้าไปรุกธุรกิจไอบีซีที่กัมพูชาเต็มเครือข่าย ประเทศไทยแสดงท่าทีตอบโต้อย่างแข็งกร้าวต่อกัมพูชามากขึ้นเรื่อยๆ ปิดช่องอานม้าจนเดี๋ยวนี้ ทักษิณนำทูตานุทูตไปเยี่ยมชายแดนเพื่อยืนยันกรณีไทยไม่ได้สนับสนุนเขมรแดง ซึ่งก่อนหน้าก็เคยมีการนำทูตานุทูตไปเยือนมาหลายครั้งแล้วแบบเป็น ‘พิธีการ’ แต่ยังไม่เคยลบข้อกล่าวหาในเรื่องนี้ได้หมดสิ้น...ฯลฯ
วันที่ 10 มกราคม ที่นายกรัฐมนตรีอาศัยมติคณะรัฐมนตรีให้ตีความรัฐธรรมนูญเรื่องคุณสมบัติต่อตุลาการรัฐธรรมนูญนั้น เป็นวันเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีตัดสินใจเรื่องสปอร์ตคอมเพล็กซ์...หนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวคล้ายกันว่า...นี่คือ ‘การแบ่งเค้ก’ และนั่นก็คงจะเป็นคำตอบแล้วว่า บรรยากาศการเมืองในวันนี้และในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ? อนาคตทางการเมืองของทักษิณก็จะต้องสัมพันธ์ไปกับบรรยากาศทางการเมืองเช่นนี้แหล่ะ เค้กยังมีอีกหลายก้อน แต่ละก้อนล้วนแล้วแต่เป็นก้อนใหญ่ๆ...ทักษิณเองก็ไม่ต่างอะไรกับธนินทร์ เจียรวนนท์ แห่งซีพีที่มีสัมปทานโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมายกับรัฐ ไม่ต่างอะไรกับอนันต์ กาญจนพาสน์ ที่กำลังมีสัมปทานสปอร์ตคอมเพล็กซ์ และอาจจะมีสัมปทานรถไฟฟ้ากับรัฐอีกต่อไป คนเหล่านี้จะสามารถ ‘เดินตามรอย’ ทักษิณได้ทันที หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียง 3 ใน 10ราย ออกเสียงต่างกัน ไม่มีใครที่อยากกินเค้กก้อนใหญ่แล้วไม่พยายามเข้ามามีส่วนตัดด้วยตัวเอง ถึงวันนั้น...รายจ่ายที่คิดกันว่า...มากเหลือหลายสำหรับการเป็นรัฐมนตรีของทักษิณก็อาจเป็นรายจ่ายที่น้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มา ไม่ว่าศักดิ์ศรีของนักการเมืองที่หลายคนยอมทอดตัวเป็นศพให้ทักษิณเดิน ศักดิ์ศรีเหล่านั้นแทบจะกลายเป็น ‘เศษเงิน’ เลยทีเดียว การสร้างสมบารมีทางการเมืองอย่างยาวนาน 10 ปีของพลตรีจำลอง ศรีเมือง นั้น ‘ถูกมาก’ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มาในขณะนี้ของทักษิณ ชินวัตร เกียรติประวัติของชวน หลีกภัย 25 ปียังมีราคาไม่มากนัก ถึงได้ยอมแลกกับการเสนอชื่อทักษิณเป็นรัฐมนตรีและยอมตีความรัฐธรรมนูญให้กับทักษิณต่อไป...
ดูเหมือนว่า ‘เงิน’ จะมีค่ามากกว่าอะไรทั้งสิ้นแม้กระทั่ง ‘วิญญาณ’ ถึงขณะนี้ทักษิณได้เริ่มแสดงท่าทีออกมาครั้งใหม่ว่า เขากำลังตัดสินใจบางอย่างในเร็ววัน ก็คงจะต้องติดตามต่อไปว่า ถึงเวลานั้นเขาอาจจะลาออก พร้อมกับบรรดานักการเมืองที่ยอมศิโรราบให้กับเขาทั้งหลายออกโรงมาแซ่ซ้องสรรเสริญอีกหรือเปล่า แต่ถึงขั้นนี้ วิลาส จันทรพิทักษ์ ส.ส.กทม.พรรคพลังธรรม แห่งกลุ่ม 23 ไม่คิดเช่นนั้น เขาระเบิดอารมณ์ออกมาว่า “ทำอย่างนี้ถือว่าหน้าด้านเกินไปแล้ว”
Beer Forum Manager
ตอบ: 22636 สมัครสมาชิก: 24 Oct 2003 15:18 ที่อยู่: Bangkok
#31
Posted 4 September 2012 - 19:49
อันนี้ผมคัดลอกเค้ามานะครับ.แต่ลืมที่มา...หาก ทักษิณ ชินวัตร กลับมาคราวนี้ เขาจะครองอำนาจไปชั่วนิจนิรันดร ?
วันนี้ ชาวบ้านกำลังจับตามอง ว่า ผลการสอบสวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปี 2553 จะลงเอยอย่างไร
และผมเข้าใจว่าชาวบ้านก็คงสับสนกับข่าวนี้อยู่ไม่น้อยนะครับ
ขณะที่ด้านหนึ่ง ศาลเรียกพยานในเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ไปสอบปากคำ
ตามที่ผมเขียนรายงานไปแล้วว่ามีพยานสองคน ให้การว่าเห็นคนแต่งชุดลายพรางยิงประชาชนไปแล้วนั่นแหละครับ
อีกด้านหนึ่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ.ได้เชิญ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และ
คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ไปให้การในฐานะพยาน
และเท่าที่ดูแนวโน้มในการสอบสวนดูเหมือนว่า ทุกอย่างกำลังพุ่งเป้าไปที่ผู้ได้รับคำสั่งให้ใช้กำลังในการสลายม็อบคือ ทหาร ครับ
หรือพูดภาษาชาวบ้านก็คือ การสอบสวนคดีนี้เหมือนกับกำลังต้องการ “แพะ”มารับบาป หรือไม่อีกทีก็กำลังมีการ “บีบ”ผู้เกี่ยวข้องให้ยอมจำนน
ซึ่งในเรื่องของคดีความ ผมจะไม่ก้าวล่วงวิพากย์วิจารณ์นะครับ แต่ผมกำลังมองว่า ทำไมผมจึงคิดอย่างนั้น
หากทุกคนยังไม่ลืม คงจำได้ว่า ร่างกฎหมายเพื่อการปรองดองยังคงถูก “ดอง” อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคเพื่อไทยมีเสียงข้างมาก
และพร้อมที่จะถูกล้วงขึ้นมาจากโหลที่ “ดอง” ไว้ เพื่อนำขึ้นมาพิจารณาทันที หากฝ่ายที่ต่อต้านการปรองดอง “เออออ” ด้วย
ฝ่ายที่ต่อต้านกฎหมายปรองดองที่เห็นชัด ๆ คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) กับ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ประกาศเป็นหัวหอกชัดเจน
ทั้งนี้โดยมีประชาชนผู้รักชาติ พร้อมให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวหากได้รับสัญญาณจากหัวหอกทั้งสอง
ตอนนี้ สภาฯ “ดอง” ร่างกฎหมายปรองดองเอาไว้ ความเข้าใจของผมคือเพื่อหาเวลาทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ทำไมจึงต้องมีกฎหมายปรองดอง
แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป สภาผู้แทนฯ ก็หาได้ออกมาเคลื่อนไหว ทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายปรองดองแต่อย่างใด
ขณะที่ในส่วนของรัฐบาล ปรากฎว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวานนี้ 28 ส.ค.ครม.ได้มีมติให้ตั้งกรรมการเพื่อแจกแจงการแก้รัฐธรรมนูญแก่ประชาชนแทน
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ปล่อยให้กระบวนการสอบสวนการเสียชีวิตจากการชุมนุมของประชาชนในปี 2553 ดำเนินไปอย่างเข้มข้น
เราจึงเห็นทั้ง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้มีบทบาทสำคัญในทางการเมืองต้องเดินทางไปให้ปากคำเจ้าหน้าที่ไม่หยุดหย่อน
ล่าสุดทั้งสองคน ต้องเสียเวลาให้ปากคำเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นวัน ๆ และด้วย “คำถามแปลก” เหมือนถูกตีกรอบให้เดินไปสู่เป้าที่ถูกวางไว้ล่วงหน้า
โชคดีที่ทั้งคุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพ เป็นนักการเมืองที่มีหลักการและเก๋าเกม จึงสามารถเอาตัวรอดจากการถูกต้อนเข้ามุมได้อย่างหวุดหวิด
ปรากฎการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับ อดีตผู้นำรัฐบาลชุดที่แล้ว เหมือนจะบอกให้รู้ว่า หากไม่ชี้นำให้พลพรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับร่างกฎหมายปรองดอง
ทั้งสองคนก็จะถูกรังควานจากมือที่มองไม่เห็นไม่หยุดหย่อน หรือจนกว่าจะทนไม่ได้และยินยอมที่ให้มีกฎหมายปรองดองเกิดขึ้น
และผมเข้าใจว่า หลังจาก “พักยก” จากคุณอภิสิทธิ์ และ คุณสุเทพ แล้ว “กระบวน”การที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือก็จะหันไปพลิก คดีความของ พธม.ที่ค้างคาอยู่
นั่นก็คือในเดือนหน้า เราอาจจะเห็น “คดีความของพันธมิตร” ที่กองอยู่บนหิ้งจนฝุ่นจับ ถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่
ผู้ต้องการที่เป็นพันธมิตรฯทั้งหมด คงจะถูกเรียกตัวเข้าสู่กระบวนการ คล้ายกับที่ คุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพ ถูกกระทำมาแล้ว
พร้อม ๆ กับคำถามที่ส่งผ่านแววตาว่า จะยอมปรองดองด้วยไหม หรืออะไรทำนองนั้น
หากทั้ง พธม.และ ปชป. “เอาด้วย” ก็แปลว่า คดีความทั้งหลายทั้งปวง ที่ “มือที่มองไม่เห็น” สั่งให้ทำขึ้น และที่ พธม.กับ ปชป.ถูกลากเข้าไปเอี่ยวด้วย มีอันยกเลิก
ดังนั้น การที่ ป.ป.ช.มีมติ ไม่ฟ้อง “ทักษิณ และ สุริยะ” เพราะหลักฐานอ่อน จึงไม่ใช่เรื่องที่ผมรู้สึกแปลกประหลาดแต่อย่างใด
และเชื่อผมเถิดว่า คดีอื่น ๆ ที่ค้างคาอยู่ และค้างเติงมานานนั้น อะไร ๆ ที่เคยแข็ง ก็คงจะอ่อนลงเหมือนดินน้ำมันที่ถูกความร้อนหลอมละลาย นั่นแหละครับ
รอให้คดีความต่าง ๆ ไม่อาจถูกส่งฟ้อง ทักษิณอาจกลับมารับโทษคดีที่ดินรัชดาตามที่ คุณพิชัย รัตตกุล ผู้อาวุโสแห่งประชาธิปัตย์แนะนำไว้ก็เป็นได้
และเมื่อวันนั้นมาถึง ทักษิณ ชินวัตร ก็จะกลับมาครอบครอบประเทศไทยไว้ในกำมืออีกครั้งหนึ่ง
และครั้งนี้ ก็จะเป็นการครอบครองที่เหนียวแน่นและยาวนานชั่วนิจนิรันดร ?
#32
Posted 4 September 2012 - 20:00
ตกงานแน่ กรู
ผมบอกแล้วไงลองเข้าทดสอบเป็นคนกลางดู...
อาจจะยากกว่านิดหน่อยเพราะต้องตีสำบัดสำนวนให้ดูเป็นกลาง
แต่แก้ตัวแทนฝ่ายแดง ด่าฝ่ายค้าน
- พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน likes this
เขียนเรื่องการเมือง : ดราม่า ,เขียนเรื่องสังคม : ดราม่า เขียนเรื่องบันเทิง : ดราม่า
แต่พอโพสเรื่องหื่น : มีความเห็นเป็นไปทางเดียวกันเสมอ >3<
#33
Posted 5 September 2012 - 00:01
ต้องรอให้โดนด่า ไม่ต่ำกว่า 10 rep จึงสามารถเฉลยได้
ไม่ทันขำเลย รีบเฉลยทำไม ท่าน kon_thai
#34
Posted 5 September 2012 - 02:50
#35
Posted 5 September 2012 - 06:30
- thaidotcom and kon_thai like this
#36
Posted 6 September 2012 - 00:15
หาก ทักษิณ ชินวัตร กลับมาคราวนี้ เขาจะครองอำนาจไปชั่วนิจนิรันดร ?
หากทุกคนยังไม่ลืม คงจำได้ว่า ร่างกฎหมายเพื่อการปรองดองยังคงถูก “ดอง” อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคเพื่อไทยมีเสียงข้างมาก
และพร้อมที่จะถูกล้วงขึ้นมาจากโหลที่ “ดอง” ไว้ เพื่อนำขึ้นมาพิจารณาทันที หากฝ่ายที่ต่อต้านการปรองดอง “เออออ” ด้วย
ฝ่ายที่ต่อต้านกฎหมายปรองดองที่เห็นชัด ๆ คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) กับ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ประกาศเป็นหัวหอกชัดเจน
ทั้งนี้โดยมีประชาชนผู้รักชาติ พร้อมให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวหากได้รับสัญญาณจากหัวหอกทั้งสอง
ตอนนี้ สภาฯ “ดอง” ร่างกฎหมายปรองดองเอาไว้ ความเข้าใจของผมคือเพื่อหาเวลาทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ทำไมจึงต้องมีกฎหมายปรองดอง
แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป สภาผู้แทนฯ ก็หาได้ออกมาเคลื่อนไหว ทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความจำเป็นที่ต้องมีกฎหมายปรองดองแต่อย่างใด
ขณะที่ในส่วนของรัฐบาล ปรากฎว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวานนี้ 28 ส.ค.ครม.ได้มีมติให้ตั้งกรรมการเพื่อแจกแจงการแก้รัฐธรรมนูญแก่ประชาชนแทน
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ปล่อยให้กระบวนการสอบสวนการเสียชีวิตจากการชุมนุมของประชาชนในปี 2553 ดำเนินไปอย่างเข้มข้น
เราจึงเห็นทั้ง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้มีบทบาทสำคัญในทางการเมืองต้องเดินทางไปให้ปากคำเจ้าหน้าที่ไม่หยุดหย่อน
ล่าสุดทั้งสองคน ต้องเสียเวลาให้ปากคำเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นวัน ๆ และด้วย “คำถามแปลก” เหมือนถูกตีกรอบให้เดินไปสู่เป้าที่ถูกวางไว้ล่วงหน้า
โชคดีที่ทั้งคุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพ เป็นนักการเมืองที่มีหลักการและเก๋าเกม จึงสามารถเอาตัวรอดจากการถูกต้อนเข้ามุมได้อย่างหวุดหวิด
ปรากฎการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับ อดีตผู้นำรัฐบาลชุดที่แล้ว เหมือนจะบอกให้รู้ว่า หากไม่ชี้นำให้พลพรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับร่างกฎหมายปรองดอง
ทั้งสองคนก็จะถูกรังควานจากมือที่มองไม่เห็นไม่หยุดหย่อน หรือจนกว่าจะทนไม่ได้และยินยอมที่ให้มีกฎหมายปรองดองเกิดขึ้น
วิเคราะห์ได้น่าอ่าน แต่ ผิด
ปชป.ก็เห็นด้วยกับกฎหมายปรองดอง เพราะตนเองก็โดนเสื้อแดงฟ้อง
ย่อมต้องการนิรโทษกรรม แต่ที่ปฎิเสธกฎหมายนี้ เพราะช่วยแม้วเป็นหลัก ปชป.ไม่เคยปฎิเสธกฎหมาย
แต่ปฎิเสธจุมุ่งหมายของการออกกฎหมายนี้
และการที่เอาสองคนนั้นไปสอบสวน ก็เพื่อเล่นงานต่างหาก ต้องการให้เป็นจำเลยในฐานะผู้สั่งการให้สลายการชุมนุม
แต่สองคนนี้เป็นนักการเมือง เวลาสั่งย่อมไม่ยอมให้คำสั่งเป็นในลักษณะสั่งฆ่าคนแน่นอน การที่ทหารไปยิงคนตาย
สองคนนี้จึงไม่ยอมรับว่าสั่งแน่นอน
แต่ถ้าจะเอาผิดทหาร รัฐบาลปูกล้าลองของไหม ในจังหวะที่สุกำพลยังเอากองทัพไม่อยู่อย่างนี้
กล้าไหม
หาก ทักษิณ ชินวัตร กลับมาคราวนี้ เขาจะครองอำนาจไปชั่วนิจนิรันดร ?
และ ผมเข้าใจว่า หลังจาก “พักยก” จากคุณอภิสิทธิ์ และ คุณสุเทพ แล้ว “กระบวน”การที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือก็จะหันไปพลิก คดีความของ พธม.ที่ค้างคาอยู่
นั่นก็คือในเดือนหน้า เราอาจจะเห็น “คดีความของพันธมิตร” ที่กองอยู่บนหิ้งจนฝุ่นจับ ถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่
ผู้ต้องการที่เป็นพันธมิตรฯทั้งหมด คงจะถูกเรียกตัวเข้าสู่กระบวนการ คล้ายกับที่ คุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพ ถูกกระทำมาแล้ว
พร้อม ๆ กับคำถามที่ส่งผ่านแววตาว่า จะยอมปรองดองด้วยไหม หรืออะไรทำนองนั้น
หาก ทั้ง พธม.และ ปชป. “เอาด้วย” ก็แปลว่า คดีความทั้งหลายทั้งปวง ที่ “มือที่มองไม่เห็น” สั่งให้ทำขึ้น และที่ พธม.กับ ปชป.ถูกลากเข้าไปเอี่ยวด้วย มีอันยกเลิก
อีกที วิเคราห์ได้น่าอ่าน แต่ ผิด
คดีพันธมิตรจะถูกใช่ต่อเมื่อมีการเรียกชุมนุม เพื่อขัดขวางการชุมนุม เพราะพันธมิตรประกาศมานานแล้วว่า
ขอสู้คดี จะไม่เอากฎหมายปรองดอง
คุณไม่เคยได้ยินหรือ เขาพูดและก็ทำเช่นนั้นจริงๆด้วย จึงมีกองทุนพันธมิตรสู้คดีไง
ข้อมูลผิด จึงวิเคราะห์ผิด
หาก ทักษิณ ชินวัตร กลับมาคราวนี้ เขาจะครองอำนาจไปชั่วนิจนิรันดร ?
ดังนั้น การที่ ป.ป.ช.มีมติ ไม่ฟ้อง “ทักษิณ และ สุริยะ” เพราะหลักฐานอ่อน จึงไม่ใช่เรื่องที่ผมรู้สึกแปลกประหลาดแต่อย่างใด
และ เชื่อผมเถิดว่า คดีอื่น ๆ ที่ค้างคาอยู่ และค้างเติงมานานนั้น อะไร ๆ ที่เคยแข็ง ก็คงจะอ่อนลงเหมือนดินน้ำมันที่ถูกความร้อนหลอมละลาย นั่นแหละครับ
รอให้คดีความต่าง ๆ ไม่อาจถูกส่งฟ้อง ทักษิณอาจกลับมารับโทษคดีที่ดินรัชดาตามที่ คุณพิชัย รัตตกุล ผู้อาวุโสแห่งประชาธิปัตย์แนะนำไว้ก็เป็นได้
และเมื่อวันนั้นมาถึง ทักษิณ ชินวัตร ก็จะกลับมาครอบครอบประเทศไทยไว้ในกำมืออีกครั้งหนึ่ง
และครั้งนี้ ก็จะเป็นการครอบครองที่เหนียวแน่นและยาวนานชั่วนิจนิรันดร ?
ปปช.ยกฟ้องเพราะหลักฐานที่อเมริกามีการกลับคำ มันเกิดขึ้นตอนปูได้เป็นนายกฯ
เรื่องCTX เริ่มเรื่องมาจากอเมริกา ไทยจึงสานต่อ พออเมริกามากลับคำอย่างนี้
คิดเองละกันว่ามันสองมาตรฐานไหม55555.....
คดีอื่นๆมันยังคาอยู่ เพราะมันทุจริตคนละเรื่องกัน
ถ้าแม้วจะกลับมา มันจะตายกลับมาหรือมาตายที่สนามบิน อันนี้ตอบไม่ได้
เพราะศัตรูมันเยอะมาก ผมว่ามันคงกลับมาไม่ได้มากกว่า เพราะถ้ามันกลับมาได้
พวกเห็บหมัดในรัฐบาลจะได้เงินจากใครละ และยังอำนาจที่ต้องคืนให้แม้วอีกล่ะ
พวกนี้ไม่อยากให้มันกลับมาหรอก
เห็นไหมว่าพวกของมันไม่อยากให้มันกลับมา แต่ตรงข้าม ศัตรูของมันอยากให้มันกลับมา(ตาย)
555 555 555
Edited by father, 6 September 2012 - 00:18.
- kon_thai likes this
0 user(s) are reading this topic
0 members, 0 guests, 0 anonymous users