“หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”...
สำนวนนี้เป็นสำนวนที่ต้องบอกว่า “เหมาะสมยิ่ง” สำหรับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เพราะหลังจากเถลิงอำนาจด้วยการจับมือกับพรรคภูมิใจไทยของ “นายเนวิน ชิดชอบ” ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย กาลเวลาได้พิสูจน์ได้เห็นแล้วว่า นายอภิสิทธิ์คือนายกรัฐมนตรีที่ดำรงความเป็นผู้ดีและอยู่บนหอคอยงาช้างอย่าง เสมอต้นเสมอปลาย
บทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การทำงานและการแก้ปัญหาของเขาต่อกรณีน้ำท่วมที่สร้างความเดือดร้อนอย่างแสน สาหัสให้กับประชาชนกว่า 3 ล้านคนใน 36 จังหวัดทั่วประเทศที่นายอภิสิทธิ์มิได้แสดงภาวะผู้นำอย่างที่สมควรจะเป็น จนเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ นั่นคือการนำนายอภิสิทธิ์ไปเปรียบเทียบกับ “นายสรยุทธ์ สุทัศนจินดา” แห่งช่อง 3 ที่จับประเด็นความเดือนร้อนของสถานการณ์อย่างทันท่วงทีและระดมสรรพกำลังเข้า ไปช่วยเหลือ จนกลายเป็นขวัญใจผู้คนทั้งประเทศและแพร่สะพัดไปในโลกไซเบอร์อย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ กว่าที่นายอภิสิทธิ์จะสามารถจับต้นชนปลายแก้ปัญหาได้ถูกก็เล่นเอาคนทั้งบ้าน ทั้งเมืองก่นด่ากันจมหู ซึ่งความผิดพลาดของนายอภิสิทธิ์นั้น พลาดทั้งการสร้างภาพ พลาดทั้งจังหวะเวลาที่ล่าช้า และพลาดทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่มะงุมมะงาหรา
ความผิดพลาดครั้งแรกของนายอภิสิทธิ์ก็คือ นับตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดชัยภูมิและนครราชสีมา กว่าที่นายอภิสิทธิ์จะลงไปดูหรือลงไปสัมผัสด้วยสายตาของตัวเองก็ปาเข้าไปถึง วันที่ 18 ตุลาคม แถมยังเป็นการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปตรวจที่โรงพยาบาลมหาราชอีกต่างหาก
ในครั้งนั้น กระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนายอภิสิทธิ์เท้าไม่ติดดินก็เริ่มดังขึ้นเป็นระยะๆ
ส่วนการสัมผัสกับพื้นที่น้ำท่วมเป็นครั้งแรกนั้น นายอภิสิทธิ์กลับแสดงให้เห็นถึงความเป็นนายกรัฐมนตรีที่ “เท้าไม่ติดดิน” ซ้ำเป็นครั้งที่สอง เพราะเขาสวมชุดสุดหล่อเหมือนที่เคยเห็นในทำเนียบรัฐบาลนั่งในเรือท้องแบนโดย มีเจ้าหน้าที่คอยลากจูงเรือนำทางไปข้างหน้า แถมยังสวมเสื้อชูชีพอีกต่างหากทั้งๆ ที่ระดับน้ำสูงแค่เข่าเท่านั้น
รวมไปถึงการตรวจเยี่ยม แจกถุงยังชีพแค่ประเดี๋ยวประด๋าวแล้วกลับกรุงเทพฯ แทนที่จะปักหลักบัญชาการหมุนเวียนกันอยู่ในพื้นที่
ภาพที่ปรากฏออกมา นอกจากจะไม่ได้ช่วยสร้างภาพของนายอภิสิทธิ์ให้ดูดีขึ้นแล้ว หากยังทำให้คะแนนนิยมที่ใช่ว่าจะดีเท่าใดนักต้องลดหายไปพร้อมกับสายน้ำอย่าง น่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว นายอภิสิทธิ์น่าจะฉกฉวยโอกาสที่ประชาชนเผชิญกับภาวะน้ำท่วมสร้างคะแนนนิยม ให้กับตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างมาก กระทั่งในครั้งต่อๆ มา บรรดาวอลเปเปอร์และที่ปรึกษาจึงไหวตัวทันและปรับกลยุทธ์ใหม่
แต่นั่นดูเหมือนว่า จะสร้างความไม่ประทับใจให้เกิดขึ้นให้หัวใจของประชาชนทั้งที่ได้รับความ เดือดร้อนและไม่ได้รับความเดือนร้อนไปเรียบร้อยแล้ว
แถมน้ำท่วมกันตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม กว่าที่นายอภิสิทธิ์จะตั้งวอร์รูมช่วยเหลือกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวและ เป็นระบบปาเข้าไปถึงวันที่ 24 ตุลาคม เรียกว่า ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปถึง 10 วันถึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการช่วยเหลือผู้ ประสบอุทกภัย(คชอ.) และจัดตั้งศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย(ศชอ.) โดยมีวอลเปเปอร์รู้ใจแต่ไม่รู้ปัญหาอย่าง “นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย” และ “นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน” เป็น:-)านใหญ่
ทั้งนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว ต้องบอกว่า ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากการที่รัฐบาลขาดการบริหารจัดการอย่างเป็น รูปธรรม ทั้งๆ ที่มีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่รองรับอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือคณะกรรมการลุ่มน้ำต่างๆ แต่หน่วยงานเหล่านี้ต่างไม่เคยมีการประชุมเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่า ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีกลไก มีเครือข่าย มีหน่วยงาน มีอำนาจสั่งการ รวมทั้งงบประมาณในมืออย่างล้นเหลือ แต่นายอภิสิทธิ์กลับไม่ได้แสดงถึงภาวะผู้นำที่จะสั่งการใช้ทรัพยากรที่มี อยู่ในมือเหล่านี้อย่างทันท่วงที
แม้กระทั่งน้ำท่วมในภาคใต้ซึ่งเป็นฐานเสียงที่สำคัญของพรรคประชาธิปัตย์เอง การแก้ปัญหาก็ไม่ทันท่วงที จนทำให้ประชาชนหลายพันคนต้องติดอยู่ในน้ำเพื่อรอความช่วยเหลือ รวมทั้งมีกลุ่มคนที่หิวโหยพยายามทุบและงัดประตูบ้านหรือร้านค้าเพื่อเข้าไป หาสิ่งของมารับประทาน ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ทหารนำสิ่งของไปแจก ต่างก็พากันวิ่งกรูเข้ามาแย่งชิงด้วยความโกลาหล
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงไม่แปลกใจอะไรที่มีผู้นำไปเปรียบเทียบกับการช่วยเหลือของช่อง 3 โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสรยุทธ์ที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและถึงลูกถึงคนมากกว่า ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า การใช้ "ช่อง3" เป็นเครื่องมือ เพื่อการ "สร้างภาพ" พลิกวิกฤตเป็นโอกาสของนักธุรกิจสื่อรายนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับความเชื่องช้าอืดอาดในการเข้าไปช่วยเหลือบรรเทา ทุกข์แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมของฟากรัฐบาลด้วยแล้วยิ่งเห็นได้ชัด
ที่สำคัญคือ ช่อง3 สามารถเข้าพื้นที่ได้เร็ว คนที่ลงพื้นที่เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา เข้าไปในวารเวลาที่เดือดร้อน ย่อม "ได้ใจ" ผู้ประสบภัยซึ่งเป็นประชาชนตาดำๆ ที่รอคอยความช่วยเหลืออยู่ งานนี้มีการพูดกันปากต่อปาก สรรเสริญเยินยอทั้งอาสาสมัครจากกลุ่มเอกชนต่างๆ ดารานักแสดงนักร้องที่ระดมกำลังไปช่วย แต่บังเอิญว่าช่อง3เป็นสื่อใหญ่ และสรยุทธ์ก็เป็นคนดัง แถมบรรดาแฟนคลับและกลุ่มจัดตั้งเพื่อ "เชียร์" ก็โหมกระพือคุณงามความดีจนงานนี้กลายเป็นกระแส "เกลียดมาร์ค-รักสรยุทธ์" ในโลกไซเบอร์
และการณ์นี้ก็สบช่องของกลุ่มเสื้อแดงที่ชิงชังนายกรัฐมนตรี "หน้าหล่อแต่บ้อท่า" ด้วยการโหมกระพือข่าวการช่วยเหลือของนายสรยุทธ์กันอย่างขนานใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในเว็บบอร์ดสีแดงที่มีอยู่เกลื่อนในโลกไซเบอร์ หรือแม้แต่ในโซเชียลเนตเวิร์คสุดฮอตอย่าง "เฟซบุค" ก็มีบรรดากลุ่มผู้นิยมแดงทั้งหลาย พยายามโพสต์ข้อความโจมตีรัฐบาลและยกย่องช่อง3รวมถึงสรยุทธ์ในโลกไซเบอร์กัน ยกใหญ่
งานนี้ถือว่า นายอภิสิทธิ์พลาดมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่การดูเบาปัญหาฝนตก น้ำท่วม ละเลยการเอาใจใส่ในงานด้านการชลประทาน จนเกิดความเสียหาย ปล่อยน้ำไม่ทัน เกิดน้ำท่วมแถบอีสาน แล้วไปซ้ำที่ภาคใต้ แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะระดมกำลังลงไปช่วยเหลือ แต่ด้วยการแก้ปัญหาที่ไร้ซึ่งประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีผู้เดือดร้อนจำนวนมาก ไม่แปลกที่ "จำเลย" คนแรกจะเป็น "รัฐบาล" ที่ทุกวันนี้ "ประชาไม่ค่อยนิยม"
ยิ่งเมื่อมีคนนำไปเปรียบเทียบนายสรยุทธ์และช่อง 3 ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์เสียหายหนักเข้าไปอีก
ทั้งนี้ หลายคนอาจมองอย่างเข้าข้างว่า ไม่เป็นธรรมที่นำนายอภิสิทธิ์ไปเปรียบเทียบกับนายสุรยุทธ์เพราะนายสรยุทธ์มี สื่ออยู่ในมือจึงทำให้สร้างภาพได้มากกว่า รวมทั้งสามารถรายงานออกอากาศบรรยายให้เห็นภาพอันสลดหดหู่อย่างทันควัน เช่น “เวลานี้มีคนติดอยู่บนหลังคาบ้านนานกว่า8-9 วันแล้วยังไม่มีหน่วยงานไหนมาช่วยเหลือ มีแต่ช่อง 3 นี่แหละที่เข้ามาเป็นรายแรก” แต่นายอภิสิทธิ์ก็ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลของเขาก็มีสื่ออยู่ในมือไม่น้อยเช่น กันทั้งสถานีโทรทัศน์และวิทยุที่แทบไม่ได้ถูกใช้ในการระดมความช่วยเหลือ อย่างเต็มที่
ยิ่งสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนปีละนับเป็นพันๆ ล้านด้วยแล้ว ยิ่งต้องบอกว่า แทบไม่ได้ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
แน่นอน นายอภิสิทธิ์รับรู้ว่ามีการนำเขาไปเปรียบเทียบกับนายสรยุทธ์ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่ยี่หระกับการเปรียบเทียบเท่าใดนัก
Edited by หมูอวกาศ, 11 September 2012 - 20:38.