จิตกร บุษบา
ด้านได้ อายอด : จากทักษิณ ถึงยงยุทธ, สรยุทธ์, คำรณวิทย์ ฯลฯ
สังคมไทยกำลังอยู่ในยุค “ด้านได้ อายอด” อย่างสมบูรณ์แบบ
คนระดับนำในสังคมเริ่มเนืองแน่นไปด้วยคนชั่ว ที่ไม่กลัวบาปกลัวกรรม ไม่มีศีลธรรมจรรยา สามารถสร้างวาจาบิดเบี่ยงเลี่ยงเส้น “ศีลธรรม” ได้อย่างไม่ต้องสะทกสะท้าน
คนพวกนี้ กำลังเติบโตและได้ดิบได้ดีในสังคมที่อ่อนแอ ไม่เอาจริงเอาจัง สังคมที่มักคิดว่า อาการ“ธุระไม่ใช่” คือ “ความเป็นกลาง”
กะอีแค่อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด ไม่กล้าออกมาชี้ มาตัดสิน ได้แต่นั่งขมิบดาก จีบปากท่องคาถา “อย่าทะเลาะกัน...อย่าทะเลาะกัน” แล้วบ้านเมืองมันจะสงบได้อย่างนั้นหรือ?!
ผมกำลังครุ่นคิดว่า คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร, ยงยุทธ วิชัยดิษฐ, สรยุทธ สุทัศนะจินดา หรือกระทั่งคนอย่าง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างนี้ เป็นดุจ “เชื้อโรค” ของสังคมไทย หรือเป็น “เนื้อแท้” ของสังคมไทยที่เผยตัวออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมกันแน่
ไม่ประหลาดใจกันหรือครับ สังคมที่พยายามประกาศว่าเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนา ดิ้นรนจะบรรจุในรัฐธรรมนูญให้ได้ว่า มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ กะอีแค่ “หิริ-โอตัปปะ” ยังไม่รู้จักกันเลย ขณะที่ประชาชนจำนวนมากก็ให้ท้าย คนที่ทำผิดแล้ว “ไม่อาย” ได้แต่นั่งสุมหัวนินทากันอย่างเงียบเชียบ!!
1.ทักษิณ ชินวัตร : หัวเชื้อ “ศรีธนญชัย”
เพียงเพราะเชื่อกันว่า ทักษิณ “พอแล้ว” หรือ “รวยแล้วไม่โกง” คำว่า “บกพร่องโดยสุจริต” ในคดีซุกหุ้น 1 จึงปรากฏขึ้นอย่างน่าทุเรศ การจงใจซุกหุ้น ถูกทอนน้ำหนักให้เบาลงเป็น “ความบกพร่อง” ไม่มีเจตนา จึงเป็นการกระทำที่ “สุจริต” สังคมไทยปั่นป่วนรวนเรกับการชั่งน้ำหนัก ข้างหนึ่งมีความหวังว่าทักษิณจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองให้ผู้คนอยู่ดีกินดี มั่งคั่งเหมือนเขา อีกด้านหนึ่งบอกว่า จนหรือรวยไม่สำคัญเท่าดีหรือเลว จึงจับตาดูทักษิณมาตั้งแต่นั้น
และในที่สุด “เชื้อทักษิณ” ก็กระจายฟุ้งในหมู่นักการเมือง ข้าราชการ สื่อสารมวลชน และคนไทย
2.สรยุทธ สุทัศนะจินดา : ผมคืนเงินเขาแล้ว ไม่มีความเสียหายใดๆ
สรยุทธ์เป็นสื่อที่นิยมทักษิณคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาแทบไม่เคยขุดคุ้ยและวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของทักษิณอย่างเอาจริงเอาจังเลย ทั้งๆ ที่เขาทำความเสียหายให้แก่ประเทศมากมายเหลือคณานับ แต่กรณี “ควายหาย” สรยุทธ์ใช้เวลาหลายวันช่วยตามหา เงินของประเทศชาติหายไป กับการใช้อำนาจหน้าที่นายกรัฐมนตรีเข้าเอื้อประโยชน์ สรยุทธไม่เคยช่วยชาติตามหาหรือทวงถาม
เขาเข้าร่วมทำรายการกับช่อง 9 อสมท. ด้วยข้อตกลงแบ่งรายได้จากการขายโฆษณา คนละ 5 นาที โดยราคาขายต้องไม่ต่ำกว่านาทีละ 2 แสนบาท บ.ไร่ส้มของสรยุทธ ขายโฆษณาเกิน 5 นาที กินเวลาในส่วนโฆษณาของ อสมท. ไป ยังไม่รวมการเอาผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาวางมาแสดง หรือติดอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ในขณะจัดรายการอีก ซึ่งถือว่าผิดข้อตกลง เป็นทรัพย์ที่ไม่ควรได้
อสมท. ใช้เวลาระยะหนึ่ง ถึงรู้สึกผิดสังเกต ว่าทำไมรายการอื่นๆ จึงมาช้ากว่าเวลาในผัง โดยเฉพาะข่าวเที่ยงคืน มาช้ามาก จึงตรวจสอบไล่เวลาดู ถึงได้รู้ว่ามีโฆษณาเกินเวลาในรายการของสรยุทธ ก็ตั้งกรรมการตรวจสอบ โดยมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน ทั้งนี้ก็เพื่อให้การตรวจสอบนั้น เป็นไปอย่างโปร่งใส แน่นหนา น่าเชื่อถือ
เมื่อผลสอบออกมา พบว่า มีการยักยอกเงินจากการขายโฆษณาเกินเวลา โดยมีพนักงาน อสมท. รู้เห็นเป็นใจด้วย จึงดำเนินการแจ้งความเอาผิดที่ สน.ห้วยขวาง และเรื่องยังเข้ากรอบที่จะต้องส่งต่อไปยังองค์กรอิสระ หรือ ปปช. ช่อง 9 ก็ส่งต่อ ปปช. ก็ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นไต่สวนทวนความ แล้วมีมติออกมาว่าผิดจริง กรรมการ ปปช. พิจารณาซ้ำ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่งผลให้คนพุ่งเป้าไปยังนายสรยุทธ์ ว่าจะรับผิดชอบกรณียักยอกเงิน 138 ล้านบาทนี้อย่างไร
สรยุทธ์ก็สุดยอด ใช้เวลา 6 นาทีกว่าๆ ในรายการทางช่อง 3 คลุกประเด็นหลายๆ เรื่องเข้าด้วยกัน โดยชูประเด็นที่สำคัญคือ “เพราะฉะนั้น ขอย้ำนะครับ ท่านผู้ชมนะครับ ว่า เงินจำนวน 138 ล้านเศษๆ นั้น ได้ชำระให้ อสมท ครบถ้วน จึงไม่ได้มีความเสียหายกับ อสมท. ในส่วนนี้ ในแง่ของจำนวนเงิน”
คำถาม ก.) เอาของเขามาทำไมตั้งแต่ต้น ทำไมไม่ตรงไปตรงมา เงินค่าโฆษณาที่ขายได้เกินเวลา 5 นาที ทำไมไม่นำส่ง อสมท. แล้วหักค่านายหน้าขายโฆษณาให้สุจริตเสียตั้งแต่แรก ทำไมนำส่งเมื่อเขาตรวจสอบพบและแจ้งความเอาผิด
ข.) เมื่อนำส่งเงินแล้ว ไม่มีความผิดติดตัวเลยหรือ? อุปมาเหมือนคนล้วงประเป๋าเอาเงินคนอื่นเขาไป โดยที่เจ้าทรัพย์เขาไม่รู้ตัว จนเมื่อเขาเอะใจ ตรวจสอบ รู้ตัว จึงบากหน้าเอาเงินไปคืนเขา แน่นอน...ครบตามจำนวน แต่คุณขโมยของเขามาไม่ใช่รึ?
ค.) ที่สรยุทธพยายามจะบอกว่า “เมื่อ อสมท เรียกเก็บเงินโฆษณาส่วนเกินของบริษัท และ อสมท ยืนยันว่าบริษัทต้องชำระเงินโฆษณาส่วนเกินให้กับ อสมท เมื่อได้ตรวจสอบแล้ว ผมก็ได้มีการชำระไปจนครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ในส่วนที่ อสมท ได้ลงเงินโฆษณาเกินโควตาของ อสมท ในความเข้าใจของบริษัท ซึ่งมีข้อตกลงระหว่างกัน ว่าแบ่งอัตราโฆษณา 50:50 อสมท ปฏิเสธที่จะชำระให้บริษัท ซึ่งผมในนามของบริษัทไร่ส้มฯ ก็ได้ฟ้องร้อง ขอพึ่งศาลปกครอง ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง” แน่ใจหรือว่าควรใช้คำว่า “เรียกเก็บ” เขาแจ้งความเอาผิดครับ เพื่อจะเอาเงินส่วนที่ถูกยักยอกไปคืนมาเป็นของเขาตามสิทธิ ส่วนเงินที่คุณอ้างว่า ก็ถูก อสมท. ขายเกินเวลาเหมือนกัน แล้วคุณฟ้องร้องอยู่นั้น มันคนละเรื่อง จะเอามาอ้างเพื่อหวังสื่อสารว่า “อสมท. มันก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมเลย” ก็ไม่มีผลช่วยให้คุณสุจริตขึ้นมาหรอกครับ
ง.) สรยุทธบอกด้วยว่า “ป.ป.ช.มีมติว่าบริษัทและผม ยังมีความผิด เพราะคำให้การของพนักงาน อสมท ระดับธุรการคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่า ดำเนินการตามคำแนะนำของผม ผมก็มีหน้าที่จะไปพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมต่อไปเนี่ยนะฮะ ว่าผมไม่ได้รู้เห็น ไม่ได้ให้คำแนะนำ ไม่แม้กระทั่งจะไปรู้จักกับพนักงานคนนี้ และก็ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว ผมก็จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของผม ในขั้นตอนของศาลต่อไป” นั้น
คำถามที่สำคัญที่สุด คุณไม่คิดจะหยุดทำรายการด้วยตัวเองบ้างเลยหรือ ในเมื่อคุณถูกตรวจสอบและจับได้ไล่ทันว่ามีพฤติกรรมยักยอกเงิน คุณเอาไปคืนเขา เท่ากับคุณยอมรับว่าคุณเอาเงินเขามา ส่วนประเด็นเรื่อง ขั้นตอนการเอามา จะเอามาอย่างไร รู้จักพนักงานที่คุณย้ำเหลือเกินว่าระดับธุรการคนนั้นหรอืไม่ คุณก็ไปสู้กับเขาต่อไปในศาล เพื่อทุเลาหรือเอาชนะความผิดอาญาของคุณเท่านั้นเอง
แต่ความผิดคุณมันสำเร็จแล้ว และคุณก็ยอมเอาเงินไปคืนแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ผิดก็ต้องเก็บเงินไว้สิ แล้วสู้ความกัน แต่นี่เอาเงินไปคืน มันก็ยอมรับอยู่ในตัวอยู่แล้ว เมื่อผิดแล้ว รู้สึกผิดบาปบ้างไหม อายคนดูบ้างหรือเปล่า เท่านั้นแหละ ที่สังคมเขาเฝ้าจับตาดูอยู่ ซึ่งผมก็เชื่อว่า คนส่วนใหญ่เคลิ้มไปกับสรยุทธแล้วล่ะ ว่าคืนเงินแล้ว จบแล้ว ส่วนยายพนักงานธุรการคนนั้นฉันไม่รู้จัก ฉันจะไปสู้ แล้วฉันก็จะฟ้องเอาเงินจาก อสมท. ที่โฆษณาเกินเวลาฉันด้วยเหมือนกัน สุดยอดไหมครับ
3.พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง : เขาเป็นพี่ที่เคารพ ผมเอารูปเขามาติดในห้องทำงาน เพื่อระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่เขาสอน มันผิดตรงไหน
จนบัดนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และตำรวจทั้งเด็กและแก่จำนวนมาก ยังตีมึน ทำเซ่อ แยกประเด็นไม่ออก ว่าการที่สังคมเขาถามว่า คุณเป็นตำรวจ บินไปพบผู้ร้าย มีหมายจับ ต้องคำพิพากษาศาลให้จำคุกแล้วหลบหนีไป มันสะท้อนว่า คุณละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ใช่ไหม
ก.) คุณรู้ที่อยู่ผู้ร้ายชื่อทักษิณ กระทั่งบินไปพบกันได้ คุณแจ้งแก่ทางการไหม ไม่ต้องอ้างว่าไม่มีอำนาจจับกุมในต่างประเทศ ไม่ต้องจับกุมก็ได้ แต่แจ้งแก่ทางการไทยไหม ว่าพบกับผู้ร้ายที่ทางการต้องการตัว
ข.) ทักษิณจะเป็นที่เคารพรักของคุณปานใดก็ตาม ตราบเท่าที่คุณยังเป็นตำรวจ กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน คุณไปพบโดยนัดหมายกันกับผู้ร้ายไม่ได้ นอกจากนี้ คุณยังภาคภูมิใจ ไม่เกรงใจสังคม เอารูปมาติดประจานตัวเองไว้ในที่ทำงาน ซึ่งก็เกิดจากภาษีของประชาชนอีกเช่นกัน มันเนเครื่องยืนยันว่า “กูไม่สน” คุณยกทักษิณไว้เหนือกฎหมาย และคุณไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย สังคมก็ต้องซักไซ้คุณ
ค.) ไม่มีใครสน ว่าคุณรักทักษิณแค่ไหน เขาแค่ต้องการให้ “ตำรวจคนหนึ่ง” ทำหน้าที่ “รักษากฎหมาย” ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องออกไป ถ้าทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกตรวจสอบ แต่พอถูกตรวจสอบ กลับปลุกม็อบลูกน้องให้ไปกดดันที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์เสียอย่างนั้น มันสะท้อนถึงความ “กร่าง” อย่างเห็นได้ชัด
4.ยงยุทธ วิชัยดิษฐ : "ไม่ตอบ..เป็นเรื่องของเรา"
ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์เพื่อขอสัมภาษณ์นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย เกี่ยวกับกรณีที่มีข่าวว่า อนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อกพ.) กระทรวงมหาดไทยได้ประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ 21 ก.ย.2555 กรณีที่ดินอัลไพน์ ที่ป.ป.ช.มีมติว่านายยงยุทธ ในครั้งที่เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ซึ่ง อกพ. มีมติกำหนดโทษให้ "ปลดออก" นายยงยุทธ กล่าวว่า "ไม่ขอตอบ.. มีเบอร์แฟกซ์หรืออีเมลไหม เดี๋ยวเราจะส่งข้อเท็จจริงให้อ่าน"
เมื่อถามว่า อกพ.มีมติให้ "ปลดออก" จะตัดสินใจอย่างไร ยงยุทธ ตอบว่า "ไม่ตอบ..เป็นเรื่องของเรา" และวางสายไปทันที
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว ป.ป.ช.มีมติด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา ชี้มูลนายยงยุทธมีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งในส่วนโทษทางวินัยนั้น จะมีเพียง "ปลดออก" "ให้ออก" หรือ "ไล่ออก" เท่านั้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นโทษใด จะส่งผลให้นายยงยุทธ ขาดคุณสมบัติในการเป็น ส.ส.และ รมต.ทันที
อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวใกล้ชิด นายยงยุทธ เปิดเผยว่า มีช่องทาง พ.ร.บ.ล้างมลทินที่สามารถช่วยนายยงยุทธได้ โดยทันทีที่ทาง อกพ.กระทรวงมีคำสั่งปลดออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะย้อนหลังไปมีผลตั้งแต่ 2545 ก็เท่ากับนายยงยุทธได้รับโทษไปแล้วส่วนหนึ่ง พ.ร.บ.ล้างมลทินก็จะสามารถช่วยได้ทันที "เคยมีแนวคำอธิบายของ ก.พ.เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว" แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ ในเนื้อหาของ พ.ร.บ.ล้างมลทิน ปี 2550 ในมาตรา 5 กำหนดเกี่ยวกับเรื่องการล้างมลทินกรณีโทษทางวินัยไว้ว่า "ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ถูกลงโทษทางวินัยในกรณีซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2550 และได้รับโทษหรือรับทัณฑ์ทั้งหมดหรือบางส่วนไปก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ. นี้ใช้บังคับโดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัยในกรณีนั้นๆ"
ด้าน นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย ในฐานะประธาน อกพ.กระทรวงมหาดไทย ซึ่งตามข่าวได้เป็นประธานที่ประชุม อกพ.เมื่อวันศุกร์ และมีมติให้ "ปลดออก" นายยงยุทธ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดยบอกว่า "เราอยู่กระทรวงเดียวกัน อย่าให้พูดอะไรเลย กราบเป็นกราบ มันเป็นเรื่องข้อกฎหมาย" และตัดสายโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวทันที
ทั้งหมดทุกคนที่ผมยกตัวอย่างมานี้ ล้วน “ไม่รู้ร้อนรู้หนาว” ต่อความผิดและการตรวจสอบ สามารถคัดง้างประเด็นตรวจสอบแบบข้างๆ คูๆ บิดๆ เบือนๆ ได้อย่างทะนงองอาจ บางคนมีกระบวนการของพรรคพวกเข้ามาปกป้อง ช่วยเหลือเสียด้วย
ถึงได้บอกว่า หากผู้คนในสังคมไทย ยังนั่ง “กลวงๆ” อยู่ ไม่กล้าออกมาชี้ถูกชี้ผิด ให้คนเหล่านี้รู้สำนึก ได้อาย และพ้นไปจากอำนาจและประโยชน์ที่มี ประเทศไทยไม่มีวันเจริญและผาสุกได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้แน่นอน!!
ที่มา:http://www.naewna.co.../columnist/3315
Edited by juemmy, 23 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:02.