นักข่าวเนเธอร์แลนด์ชี้จุดที่ถูกยิง จากการชุมนุมปี 53
นักข่าวเนเธอร์แลนด์ชี้จุดถูกยิงบาดเจ็บสาหัส แฉนาทีเฉียดตายใช้เลนส์ซูมดึงภาพทหารอาวุธในมือเลยถูกยิง มั่นใจทหารรู้ตนเองเป็นนักข่าวต่างชาติไม่ใช่ นปช. ปัดไม่เห็น “ฟาบิโอ-
นักข่าวอิตาลี” ถูกยิงดับ
วันนี้ (26 ก.ย.) นายมิเชล มาสส์ ผู้สื่อข่าวชาวเนเธอร์แลนด์ สังกัดวิทยุเนเธอร์แลนด์ เรดิโอ เวิลด์ไวด์ และหนังสือพิมพ์โฟล์กส์แรนต์ เดินทางมามาชี้จุดเกิดเหตุหลังถูกยิงที่หลังได้รับบาดเจ็บขณะรายงานข่าวช่วงเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ปี 2553 บริเวณถนนราชดำริ ใกล้สี่แยกราชดำริ
นายมิเชลกล่าวว่า ขณะเกิดเหตุนั้นตนได้ลงพื้นที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งตนยืนอยู่ฝั่งกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. บริเวณหน้าบริษัทไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จากนั้นได้ใช้กล้องซูมไปทางแยกราชดำริ ใกล้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อหาชายชุดดำ สังเกตเห็นเจ้าหน้าที่ทหารถืออาวุธปืนครบมือและได้ยิงมาทางกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งตนยืนอยู่ในนั้นด้วย ตนเชื่อว่าทหารทราบว่าตนเป็นนักข่าวไม่ใช่ผู้ชุมนุม เนื่องจากตัวสูงกว่าทุกคนและเป็นชาวต่างชาติ อีกทั้งถือกล้องถ่ายรูป ส่วนของกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นตนเห็นเพียงถืออาวุธเป็นไม้กระบอง และปืนไทยประดิษฐ์ขนาดเล็ก 1 กระบอกเท่านั้น
“จากนั้นทุกคนรวมถึงผมได้พากันวิ่งหลบหนีจนมาถึงบริเวณ 185 ราชดำริ คอนโดมิเนียม ผมก็ถูกกระสุนปืนยิงเข้าบริเวณด้านหลัง แต่วิ่งต่อมาจนกระทั่งมีคนเห็นพานั่งรถจักรยานยนต์ส่งโรงพยาบาล ส่วนกรณี นายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวชาวอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตนั้น ตอบไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใครยิงเนื่องจากไม่เห็นเหตุการณ์ เห็นแค่เพียงโดนยิงเสียชีวิตแล้ว” นายมิเชลกล่าว
ชุมนุมปราศจากอาวุธครับ นี้เฉพาะนักข่าวคนนี้เห็นนะครับ
ส่วนอีกคนตายยังไม่รุ้เรื่องเลย แล้วที่บอกว่ามือถือกล้องอยู่นี่ มีรูปรึปล่าวครับ [คุณซูมไปเห็นไม่กดถ่ายภาพ โคตรแปลก นักข่าวแบบไหนฟ่ะกลัวความจุ HD ไม่พอรึไง5555+]
หมูอวกาก เอารูปมาลงเลย แถมเค้ายังบอกว่าไม่เห็นคนยิงเพราะวิ่งหนีอยู่ ตอนโดนยิงข้างหลัง
ถ้าแปะข่าวแบบนี้ผมก็แปะได้
อ่ะผมเอามาหมดเลย
พวกคุณนี้ชอบตัดข่าวมาไม่เต็มทุกทีเลย
เดลินิวส์
นักข่าวดัตช์ชี้จุดถูกยิงย่านราชดำริ
วันพุธที่ 26 กันยายน 2555 เวลา 14:54 น.
วันนี้ (26 ก.ย.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษาสบ. 10 เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้ข้อมูลกรณีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ 91 ศพ โดยระบุว่า ได้เข้าให้ข้อมูลในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบการทำงานในช่วงดังกล่าว ซึ่งได้ชี้แจงเกี่ยวกับภารกิจต่าง ๆ เช่น การตั้งด่าน การรักษาเส้นทาง ส่วนกรณีชายชุดดำ ตนจำไม่ได้ว่ามีอยู่ในสำนวนคดีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม วันนี้ตนยังให้ปากคำไม่แล้วเสร็จเนื่องจากพนักงานสอบสวนมีพยานชาวต่างชาติอีก 1 ปากรอให้ข้อมูล ดังนั้น จึงจะนัดหมายให้ตนเข้าให้ข้อมูลอีกครั้งในภายหลัง
ด้านนายมิเซล มาสส์ ผู้สื่อข่าวชาวเนเธอร์แลนด์ สังกัดวิทยุเนเธอร์แลนด์ เรดิโอเวิลด์ไวด์ เดินทางเข้าให้ข้อมูลคดีดังกล่าว ในส่วนการเสียชีวิตของ นายฟาบริโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตในช่วงเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 กล่าวว่า ตนต้องการเข้าให้ข้อมูลในฐานะพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่นายฟาบิโอถูกยิงจนเสียชีวิต เพราะตนก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอยู่บริเวณใกล้กัน ล่าสุดได้ผ่ากระสุนที่ฝังอยู่ออกไปแล้วโดยเก็บไว้ที่บ้านพักที่กรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย หากดีเอสไอต้องการนำกระสุนไปพิสูจน์ก็ยินดีจะส่งกระสุนดังกล่าวมาให้ตรวจสอบ แต่วันนี้ไม่ได้นำกระสุนที่ผ่าออกมาด้วย มีเพียงภาพถ่ายกระสุนที่ได้มอบให้พนักงานสอบสวนไปก่อนหน้านี้
“ตนไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิงตน แต่เห็นทหารถือปืนอยู่บริเวณนั้น การเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนครั้งนี้เพื่อให้การเป็นพยานกับดีเอสไอจะได้มีหลักฐานดำเนินคดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยขณะที่ตนถูกยิงนั้นอยู่ระหว่างการโทรศัพท์เพื่อรายงานสดเข้าสถานี”
พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า ดีเอสไอได้ขอให้นายมาสส์ส่งภาพและรายละเอียดเกี่ยวกับการทำข่าวในช่วงที่เกิดเหตุรุนแรงมาประกอบการพิจารณาคดีเพิ่มเติม นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนพร้อมด้วยนายมาสส์ จะลงพื้นที่เพื่อชี้จุดเกิดเหตุ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาคดีการเสียชีวิตของ นายฟาบริโอ โดยนายมาสส์เป็นนักข่าวที่ได้รับบาดเจ็บถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 และเพิ่งผ่าลูกกระสุนออก ก่อนหน้านี้เคยให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนไปแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งได้ให้การว่าเป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่นายฟาบิโอถูกยิง ทั้งนี้ นายมาสส์จะยังไม่ใช่พยานปากสุดท้ายในคดีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การสอบสวนคดีการเสียชีวิตมีความคืบหน้าไปมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้นำตัวนายมาสส์ มาชี้จุดที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บบริเวณแยกราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน โดยนายมาสส์ เริ่มชี้จุดแรกหลังเดินมาจากแยกราชประสงค์เพื่อจะมาสังเกตการทำข่าวของคนเสื้อแดงที่ปักหลักบริเวณย่านราชดำริ แต่เมื่อจะเดินตรงไปทางแยกราชดำริก็พบกับเพื่อนนักข่าวชาวอินโดนีเซียกับไทยกำลังบันทึกภาพกลุ่มทหารที่อยู่บริเวณด้านหน้าคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งห่างจากจุดที่ยืนอยู่ประมาณ 100 เมตร นายมาสส์จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรรายงานเหตุการณ์เข้าสถานีข่าว แต่เมื่อทหารเห็นเข้าจึงเดินหน้าเข้ามาหานายมาสส์ซึ่งขณะนั้นกำลังโทรศัพท์และยืนปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม โดยระหว่างรายงานข่าวนายมาสส์ระบุว่าได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาจากฝั่งทหารทำให้กลุ่มเสื้อแดงกระจายกันหลบหนี ขณะที่นายมาสส์เองก็หันหลังวิ่งหลบหนีด้วย กระทั่งมาถึงบริเวณด้านหน้าบริษัท ไลมอน แลนด์ จำกัด นายมาสส์ก็ถูกยิงที่ชายโครงด้านหลังและหัวไหล่ รวม 2 นัด ก่อนที่จะมีผู้ชุมนุมพาหนีออกไปจากจุดเกิดเหตุ ส่วนกรณีการเสียชีวิตของนายฟาบริโอนั้น นายมาสส์บอกว่าไม่ได้เห็นเหตุการณ์ว่านายฟาบริโอถูกยิงอย่างไร แต่ได้ยินเสียงปืนและมีเพื่อนนักข่าวโทรศัพท์มาบอกว่านายฟาบริโอถูกยิง แต่ก็ไม่สามารถออกไปดูเหตุการณ์ได้เพราะยังมีเสียงปืนดังอยู่
นายมาสส์ กล่าวภายหลังชี้จุดเกิดเหตุว่า ได้ยินเสียงปืนดังมาจากฝั่งทหารเท่านั้น ส่วนผู้ชุมนุมเห็นว่าส่วนใหญ่จะมีอาวุธเช่น ไม้พอง กระบอก เห็นอาวุธปืนเพียงแค่กระบอกเดียวเท่านั้น ซึ่งการที่ตนถูกยิงไม่แน่ใจว่าเป็นเจตนาหรือลูกหลง เมื่อถามถึงชายชุดดำ นายมาสส์ กล่าวว่า ไม่เห็นชายชุดดำ การเดินทางมาครั้งนี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะจับคนทำผิดได้ แต่ต้องการรู้แค่ใครเป็นคนทำ..
Edited by Tea Time, 27 กันยายน พ.ศ. 2555 - 05:41.