เรื่องเขย่าขวัญ จากประสบการณ์จริง
#1
ตอบ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:55
....ปัจจุบัน ผมอยู่เมืองจันท์ เมื่อ 3 เดือนก่อนหลังแข่งฟุตบอลชนะแล้วก็ไปฉลองกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ประมาณเที่ยงคืนผมก็จะกลับบ้าน ตอนนั้นก็มึนๆแล้ว ก็เดินไปขึ้นรถ พอเข้าไปนั่งในรถ มันก็มีกลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรงโชยเข้ามาแตะจมูก และเพราะกลิ่นเหม็นเน่านี่แหละ ก็ทำให้ผมขนลุกซู่ทันที !!!
ตอนนั้นภาพในอดีตเมื่อราว 10 กว่าปีก่อนลอยขึ้นมา คือมีเพื่อนสนิทผมคนหนึ่งตาย เพื่อนคนนี้ชื่อ ออด
หลังจากงานเผาศพที่วัดเสร็จ บรรดาเพื่อนๆก็ออกจากวัดมารวมตัวดื่มกินกันที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเพื่อนที่เป็นเจ้าของบ้านจุดธูป 1 ดอก เรียกเพื่อนที่ตายมาด้วย...ตอนนั้นทุกคนก็ไม่ได้คิดอะไร ก็คิดกันแค่ประมาณว่า มาดริ๊งค์กันเว้ยเพื่อน แต่ 2-3 ชั่วโมงหลังจากนั้น เพื่อนคนหนึ่งชื่อ แสบ ก็ขอตัวกลับบ้านก่อน ตอนนั้นทุกคนก็เริ่มตึงๆกันแล้ว เพื่อนคนหนึ่งก็แกล้งเรียกชื่อเพื่อนที่ตาย บอกว่า " เฮ้ย ไอ้ออด ไปส่งไอ้แสบด้วย " ไอ้แสบก็ขำๆแล้วก็ขับรถยนต์ของมันออกไป...
ขับออกไปได้ไม่นานน่าจะซักราว 15 นาที ไอ้แสบก็ขับรถย้อนกลับมาอีก มันลงจากรถ เดินมาเปิดประตูรถอีกข้าง แล้วพูดว่า " ไม่ต้องไปส่ง กรูกลับเองได้ " ตอนนั้นบรรดาเพื่อนๆต่างก็งงๆปนสงสัยผสมตกใจ แต่ก็ยังไม่ได้ทันเอ่ยปากอะไร เพราะพอไอ้แสบพูดจบ ก็ขึ้นรถขับกลับไปเลย โทรไปจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ยอมรับสาย จนถึงบ้านมันถึงโทรกลับมาเล่าให้ฟังว่า....
...ครั้งแรกที่ออกมา ขับมาได้ไม่นาน ก็มีกลิ่นเหม็นเน่า ทีแรกก็คิดว่ากลิ่นติดมาจากเสื้อผ้ามัน เพราะตอนก่อนเผาศพไอ้ออด ได้เปิดโลงศพดูหน้าเพื่อนกันเป็นครั้งสุดท้าย ตอนที่มันได้กลิ่นเหม็นเน่ามันก็ปิดแอร์ เปิดกระจกรถ แต่ก็ยังไม่หายเหม็น แถมยิ่งขับไปกลิ่นก็ยิ่งเหม็นขึ้นๆๆๆๆ ขับไปสักพักก็ทนไม่ไหว และด้วยที่เพื่อนๆบอกให้ไอ้ออดมาส่ง มันจึงมั่นใจว่า วิญญาณเพื่อนนั่งรถมากับมันจริงๆ มันจึงขับกลับมาเพื่อเอาเพื่อนมาส่งที่เดิม และพอหลังจากขับกลับออกไปอีกครั้ง กลิ่นเหม็นเน่าก็หายไป !!!
เรื่องราวบางอย่างพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ และถ้าใครไม่เกิดกับตัวเองก็คงไม่เชื่อ !!!
...ย้อนกลับมาที่ผม หลังจากที่ได้กลิ่นเหม็นเน่า ผมก็สตาร์ทรถ เปิดกระจกทั้ง 4 ด้าน เพื่อระบายอากาศ แล้วก็ขับรถออกมาจากร้าน ในใจก็เริ่มหวั่นๆว่า จะเป็นเหมือนเหตุการณ์ในอดีตที่เพื่อนเราเคยเจอหรือเปล่า ? กรณีเพื่อน เป็นวิญญาณเพื่อนด้วยกันเอง ก็ยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่นี่วิญญาณใครก็ไม่รู้ !!!
ตอนนั้นยอมรับเลยว่ากลัว ขนลุกไปหมด ถ้าไม่ได้แอลกอฮอลล์มาผสมกับเลือดในร่างกายคงแย่แน่ๆ และที่น่าหนักใจก็คือ ทางกลับบ้านผมต้องผ่านป่าช้าวัดคริสต์ด้วย แหม....อะไรๆดูลงตัวไปหมด แต่ผมก็ยังใจดีสู้เสือ ก็ขับไปเรื่อยๆ พยายามมองโลกในแง่ดีว่า อาจมีตัวอะไรเข้าไปตายที่ห้องเครื่อง อาจจะเป็นจิ้งจกก็ได้ แต่อีกใจหนึ่งมันก็ดันสวนมาว่า จิ้งจกบ้านเอ็งสิ เหม็นขนาดนั้น..พอโดนแย้งด้วยเหตุผลที่ยากจะโต้แย้งได้ ก็เปลี่ยนความคิดใหม่ เอ๊ะ... หรือว่าหนูตาย ใช่แน่ๆ มันต้องใช่แน่ๆ หนูตายๆๆๆๆ ท่องแบบนี้ในใจ แต่อีกใจก็สวนมาอีกว่า อย่าหลอกตัวเองเลย รถใช้ทุกวันหนูที่ไหนจะเข้ามาตาย และที่สำคัญ ฝากระโปงรถเอ็งน่ะ ที่นอนนังเหมียวแมวบ้านเอ็งไม่ใช่เหรอ ก็เห็นมันชอบไปนอนบนนั้น...
มาถึงตรงนี้ชักเริ่มไม่ชอบใจตัวเองอีกฝ่ายละ…
....เมื่อหลอกตัวเองไม่สำเร็จ ก็ต้องเปลี่ยนแผนใหม่ หันมาสวดมนต์ ก็ท่องนะโมในใจ ท่องไปได้แป๊บเดียว อีกใจก็สวนมาอีกว่า แถวนี้ผีคริสต์เฟ้ยยยยยย ฟังพุทธไม่ออก... ดูมันๆๆ เลวจริง แย้งตลอด…โอย....แล้วจะทำไงดี ยิ่งตอนใกล้จะผ่านแถวป่าช้าวัดคริสต์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง วิเวกโหวงเหวงวังเวงมากมาย พยายามห้ามใจไม่ให้นึกถึงกรณีเพื่อน แต่ก็ไม่สำเร็จ แถมยิ่งพยายามลืมก็ยิ่งทำให้คิด... อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ ที่โบราณว่าไว้ เข้าใจถ่องแท้ก็วันนี้ ...
และในที่สุดก็ขับมาถึงบริเวณป่าช้าวัดคริสต์... ป่าช้าอยู่ทางซ้ายมือผม ผมก็นั่งขับตัวตรง หน้าตรง มองไปข้างหน้าตรงๆ คือจะเพ่งสายตาไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่อยากเห็นป่าช้าที่อยู่ข้างๆ แต่ไอ้เจ้าหางตาซ้ายผมมันก็อดไม่ได้ พยายามจะเหลือบๆไปมองอยู่นั่นแหละ นาทีนั้นเชื่อ 100 % เลยว่า คนเรามี 2 ด้านจริงๆ...
ผมก็พยายามเร่งความเร็วรถเพื่อให้ผ่านตรงนั้นไปเร็วๆ แต่แล้วในเสี้ยววินาทีนั้นเอง มีหมา 2 ตัว ไม่รู้ว่ามันไล่กัดกัน หรือเล่นกัน วิ่งโผล่พรวดมาจากฝั่งป่าช้าตัดหน้ารถผมกะทันหัน จนต้องทั้งหักหลบ ทั้งเบรกตัวโก่ง !!! จากที่ขนลุกหวาดกลัวอยู่แล้ว ก็ยิ่งสร้างความตื่นเต้น ระทึกใจ ตกใจเพิ่มขึ้นมาอีก อะไรจะซวยขนาดน้านนนนน คนเรานี่เวลาซวย อะไรๆมันช่างดูเลวร้ายไปหมด
แต่แล้วในเสี้ยววินาทีนั้นเองหลังจากหมาตัดหน้า ก็เกิดความคิดแว๊บหนึ่งขึ้นมา......
...นิ่งๆ ตั้งสติ... ความนึกคิดทั้งหมดตอนนั้น มุ่งตรงไปที่อวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่อยู่ต่ำที่สุดนั่นคือ " เท้า " เท้าที่ใส่รองเท้าผ้าใบยี่ห้อหนึ่งที่มีสโลแกนว่า " ทางใครทางมัน " ในนาทีนี้ มันปกติมั้ย ? ว่าแล้วก็เริ่มที่เท้าข้างซ้ายก่อน เพราะรถเกียร์ออโต้ เท้านี้ไม่ได้ใช้งาน ก็ขยับปลายเท้าซ้าย ไปซ้ายขวาเบาๆบนพื้นผ้ายางรองพื้น อืมมมม ปกติ... แล้วข้างขวาล่ะ ? ก็ขยับปลายเท้าขวา ไปซ้ายขวาเบาๆ ขยับในขณะที่เท้าแตะคันเร่งนี่แหละ ปกติไม๊ ? คำตอบคือไม่ปกติ เพราะรู้สึกลื่นนิดหน่อย.....
….จากอารมณ์ที่ขนลุก หวาดกลัว ตื่นเต้น ระทึกใจ ตกใจ ตอนนี้ถูกเพิ่มเติมขึ้นด้วยความรู้สึกน่ารังเกียจขยะแขยงทันที !!!
ขี้หมา !!!! นี่เราเหยียบขี้หมารึเปล่า ? คำถามนี้เกิดขึ้นในใจ...แต่ถ้าไม่ใช่ขี้หมา ก็คือผี !!! มันก็คงมีอยู่แค่นี้แหละ....เป็นไงครับ ชีวิต.... คนเราบางครั้งมันเหลือทางเลือกน้อยจริงๆ แถมช่างน่าสมเพทเวทนา น่าสังเวชใจ น่าอเน็จอนาถใจทั้ง 2 ทางเลือก.... เมื่อทางออกดีๆ ไม่มีสักทาง ผมก็เลยขับไปแบบปลงๆ เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ไอ้ที่ขนลุกอยู่ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ละ แต่ไอ้กลิ่นเหม็นเน่าก็ยังคงเท่าเดิม ตอนนั้นคิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจไปในทางขี้หมามากกว่า ราคาต่อรอง ความน่าจะเป็น ขี้หมาเป็นต่อผี ประมาณ 2-1 แล้วผมก็ขับไปเรื่อยๆจนถึงบ้าน พอถึงบ้านจอดรถก็พิสูจน์ทันที...
ดับเครื่อง เปิดไฟหน้าไว้ เปิดประตูรถ เดินมาหน้ารถ ยกเท้าขวามาส่องกับไฟหน้า ดูที่พื้นรองเท้า ก็สรุปได้ว่า.... ผมเหยียบขี้หมาเต็มๆ !!!
" ทางใครทางมัน " สโลแกนของรองเท้าผ้าใบยี่ห้อหนึ่งที่ผมสวมใส่ มันไม่สามารถทำได้แบบสโลแกนที่ว่า......
ทางของเราก็มี ไปเหยียบทางเขาทำมายยยยย....ไหนบอกทางใครทางมันงายยยยย..... อันนี้ตัดพ้อแบบขำๆในใจ
เรื่องจริงจากประสบการณ์จริงๆเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจหมา เพราะขี้มันเหม็นนนนนนนนนนนน
- แสนยานุภาพ, wat, asawinee and 5 others like this
#2
ตอบ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 09:54
#3
ตอบ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 16:53
ของผมเป็นกลิ่นที่มา แล้วรับรู้ว่าพ่อแน่นอน พอบอกว่าไม่เป็นไร กลิ่นก็หายไปทันที เป็นกลิ่น ซอฟเซลล์กลิ่นดอกไทเรเนียม
#4
ตอบ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 23:08
ต้องเป็นเพราะหัวเราะ คุณแน่ๆๆ กรรมติดจรวดเร็วจัง
เรื่องกลิ่น เคยเจอมาครั้งนึง จะ จะ วันนั้นไปเช็งเม้งพ่อที่วัดญวน เมืองกาญจน์ อามาบอกว่าให้ไปเลี้ยงเพลพระ แถววัดบ้านเก่าพ่อ ซึ่งห่างจาก วัดญวน 20 กว่ากิโล
ระหว่างทางที่ขับไป ได้กลิ่นดอกมะลิ โชยเข้ามาในรถวูบหนึ่ง ซึ่งรถปิดหน้าต่างเปิดแอร์ สักพักกลิ่นหายไป รีบตั้งหน้าตั้งตาขับไม่กล้าพูดอะไร
กลับถึงบ้านคุยกลับแม่ แม่ก็บอกว่าได้กลิ่นเหมือนกัน คิดว่าพ่อนั่งรถไปด้วยเพื่อไปรับบุญที่วัดบ้านเก่า ที่สมัยเด็กพ่อผูกผันมาก
- กรกช likes this
#5
ตอบ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 11:05
หลังจากเพื่อนชื่อออดตายไม่นาน ก็มีเพื่อนตายอีกคน ชื่อ หนู
หลังจากไปงานศพในตอนกลางคืน ก็มาต่อที่บ้านเพื่อน ซึ่งจัดงานวันเกิด
ก็ทำเหมือนครั้งก่อนนั้นคือ จุดธูปเรียกเพื่อน ยังคุยกันขำๆเลยว่า จะเป็นเหมือนครั้งก่อนหรือเปล่า
หลังจากจุดธูปก็เรียกเพื่อน เฮ้ย ไอ้หนู มากินเหล้ากัน แค่นั้นแหละ กลิ่นก็มาเลย แรงมาก
ถ้าใครเคยเปิดโลงศพดูหน้าคนตายก่อนเผา ก็กลิ่นนั้นเลยแหละ
ปล.เรื่องเล่าจากกระทู้ ตอนที่ผมเอะใจนึกถึงอึหมา ก็มาจากตอนที่หมาตัดหน้า คือพอเห็นหน้าหมาแล้วก็นึกได้ 55
#6
ตอบ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 11:29
เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นเจ้าของอู่ และทำประดับยนต์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัด
มีลูกน้องคนหนึ่ง ซึ่งอยู่กันมานานจนสนิทสนม เชื่อใจ ไว้ใจได้
บ้านของลูกน้องอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 7 กิโล ถ้าวันไหนมันเมากลับบ้านไม่ไหว มันก็จะนอนที่อู่
วันหนึ่งมันไปเที่ยวกินเหล้าจนดึก แล้วก็มานอนที่อู่ ทีแรกนอนบนโซฟาที่ตั้งไว้นอกร้าน ที่ไว้ให้ลูกค้านั่ง
แต่นอนแล้วยุงกัด มันก็เลยเข้าไปนอนในรถปิคอัพของเพื่อน ซึ่งไว้ใช้งานที่ร้าน
ซึ่งมันรู้ที่เก็บกุญแจ ก็เอามาไขแล้วไปนอนในนั้น ในด้านที่นั่งข้างๆคนขับ
นอนไปสักพักมันก็เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ว่ามีเด็กมาเคาะกระจกประตูซ้ายตรงที่มันนอน
ตอนนั้นมันก็เมาด้วย แล้วก็งงด้วย ว่าจริงหรือฝัน หรือเมา แต่มันก็ลงรถมาดู แต่ก็ไม่มีอะไร
นอนไปสักพักก็เหมือนเดิม คือมีเด็กมาเคาะกระจกอีก คราวนี้มันกลับบ้านเลย
พออีกวันมาทำงานมันก็เล่าให้เพื่อนผมฟังว่าเจอแบบนี้ๆ เพื่อนผมฟังแล้วแทบช็อค
เพราะรถคันนี้เพื่อนผมซื้อต่อมาจากพี่เขย ซึ่งพี่เขยเคยขับรถคันนี้ชนเด็กตาย
และเพื่อนผมมันก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
มันก็ไปปรึกษากับแม่ สรุปแล้วก็ต้องทำบุญหรือทำพีธีอะไรสักอย่างแบบจีนนี่แหละ(เพื่อนผมเชื้อสายจีน) แต่ผมก็จำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร แล้วก็ขายรถคันนี้ไป
- iba likes this
#7
ตอบ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:52
POPULAR
หวังว่า เจ้าของกระทู้ คุณ กรกช คงจะไม่ว่ากระไร...หลายปีก่อน ตะนิ่นตาญี ขับรถไปรับ คุณแม่ ของ ตะนิ่นตาญี
ที่ บ้านเพื่อน ของ ท่าน ซึ่ง ท่าน มักจะไปเยี่ยมเยือนเพื่อนเพื่อนของท่านอยู่เป็นประจำ ขออธิบายเพิ่มเติมสักนิดหนึ่งเถอะครับ
หน้าที่ของ ตะนิ่นตาญี คือ หลังจากเลิกงานแล้ว ขากลับบ้าน จะต้องแวะไปรับ คุณแม่ กลับมาพร้อมกันด้วยเสมอเสมอ
ซึ่งก็จะเป็น เวลาประมาณสองทุ่มไปแล้ว ทำเช่นนี้เป็นกิจวัตร มีอยู่วันหนึ่ง ตะนิ่นตาญี ไปรับ คุณแม่ เช่นเคย
เหตุการณ์ก็เป็นปกติ จนเลี้ยวรถออกถนนใหญ่ ทั้ง คุณแม่ และ ตะนิ่นตาญี ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น
เป็นเสียง ผู้หญิง ครับ เสียงนั้นร้องอย่าง โหยหวน ว่า....ช่วยด้วย....จริงจริงนะครับเสียงร้องดังอย่างนี้จริงจริง
ดังชัดเจนด้วย คุณแม่ ของ ตะนิ่นตาญี ร้อง "เฮ้ย..." ในขณะที่ ตะนิ่นตาญี ตาชำเลืองไปที่ วิทยุ-ซีดี ก่อน
แล้วเอื้อมมือไป ปิด วิทยุ-ซีดี ทันที ปิดแล้วก็ยังมีเสียง ผู้หญิง คนเดิมร้อง โหยหวน ซ้ำมาอีกว่า....ช่วยด้วย....
"ช่วยรับโทรศัพท์ด้วย" เท่านั้นเอง ตะนิ่นตาญี ก็โดน คุณแม่ท่าน ลำดับรากเหง้าของตระกูลให้ฟังจนครบ
แล้วบอกว่าทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีก ปั๊ดโธ่...ก็เมื่อตอนกลางวัน ตะนิ่นตาญี ไปตั้งเสียง โทรศัพท์ รับเข้า
ให้เป็นเสียงร้องโหยหวนว่า ช่วยด้วย...ช่วยรับโทรศัพท์ด้วย แล้วดันลืมน่ะครับ 555+
ตะนิ่นตาญี
วันเสาร์ที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๑๗.๕๒ นาฬิกา
- กรกช, RiDKuN_user, iba and 7 others like this
#8
ตอบ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:04
ผีเสื้อนั้นคือวิญญาณของญาติมาหา เพื่อบอกกล่าวบางสิ่งบางอย่าง
เหตุการณ์ผีเสื้อบินมาหาเมื่อมีงานศพญาติ มันน่าแปลกที่เกิดขึ้นกับตัวเราโดยตรง
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
แต่เป็นถึง 3 ครั้ง!!!
ครั้งแรก
เมื่อคราวที่ตาของเราเสีย จัดงานศพที่วัด
ในวันหลังๆของการจัดงาน ตอนบ่ายแก่ๆ มีผีเสื้อตัวใหญ่บินมาวนเวียนที่เราและน้าสาวอีก 2 คน ซึ่งยืนอยู่ตรงทางขึ้นศาลา ตรงกับประตู
บินวนรอบๆเราสามคนอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมไปไหน
พวกเราไม่ได้ใส่น้ำหอม เพราะคนจีนถือว่า ไม่ใช้การประทิน การประดับประดาร่างกายในระหว่างงานศพ โดยเฉพาะงานศพของญาติผู้ใหญ่
ดังนั้นผีเสื้อไม่น่าจะมาบินวนเวียน เพราะคิดว่ากลิ่นน้ำหอมคือกลิ่นดอกไม้
แถมเวลานั้น อากาศค่อนข้างร้อน ลานซีเมนต์หน้าทางขึ้นศาลาก็มีไอแดด ผีเสื้อน่าจะหลบความร้อนไปอยู่ในที่ร่ม แต่ก็ไม่ไป
จนกระทั่งน้าอีกคนหนึ่งซึ่งอาวุโสกว่าน้า 2 คนนั้นมาพบเข้า จึงบอกพวกเราว่า อากงมาหา คงตั้งใจมาลา
อากงจึงมาดักรอที่ทางเ้ข้าศาลา
ระหว่างนั้น ก็มีญาติๆขึ้นๆลงๆศาลากันตลอด
ที่เป็นผู้ใหญ่ก็รับรู้ว่าอากงมาหา ส่วนเด็กๆก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
ผีเสื้อบินอยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมง ก็จากไป
ครั้งที่สอง
เรากลับจากงานศพยายในเวลาดึกมาก พ่อแม่ พีี่น้องอาบน้ำอาบท่าแยกย้ายกันเข้านอนกันไปหมด
เหลือเราเป็นคนสุดท้ายที่กำลังจะไปอาบน้ำ ตอนนั้นเรานั่งอยู่ที่ตั่งตัวใหญ่ตามลำพัง
จู่ๆ ก็มีอะไรสักอย่างมาเกาะที่ศีรษะเรา
เราตกใจรีบเอามือปัด ปรากฏว่า เป็นผีเสื้อ
ผีเสื้อตัวใหญ่มากกกกก... สีดำ แบบผีเสื้อกลางคืน
ผีเสื้อบินหนีมือเรา แต่แป๊บเดียวก็บินกลับมาเกาะที่ศีรษะเราตามเดิม
เรานึกขึ้นทันทีทันใดว่า อาม่ามาหาแน่ๆ
เรานั่งนิ่งๆปล่อยให้ผีเสื้อเกาะศีรษะไปนานพอดู จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
เรากำลังจะไปอาบน้ำ
ผีเสื้อก็เลยบินจากไป มุ่งหน้าออกไปทางประตูหน้าบ้าน ลอดช่องเล็กๆของประตูออกไป
ครั้งที่สาม
วันนั้นเป็นวันเผาศพน้าสาวคนหนึ่ง งานเสร็จตั้งแต่ช่วงเย็น
ตอนกลางคืน เรากำลังอาบน้ำ สายตาดันไปเจออะไรขาวๆเล็กๆเกาะอยู่บนผนังเหนือชักโครก
เพ่งมองดีๆ เห็นเป็นผีเสื้อตัวเล็กเกาะอยู่
เราบอกตัวเองว่า น้าสาวมาหา
แต่ผีเสื้อตัวเล็กจัง
พอมาคิดอีกที หน้าร้อนอย่างเดือนกลางเมษา อากาศร้อนมาก ยอดใบอ่อนของพืชที่เป็นอาหารของหนอนผีเสื้อมีน้อย จำนวนผีเสื้อในฤดูร้อนก็มีน้อยตามไปด้วย จะหาผีเสื้อตัวโตๆได้ที่ไหน
ได้ตัวเล็กๆก็ดีแล้ว
คราวนี้ผีเสื้ออยู่นานมาก
ก่อนนอน เรามาเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ผีเสื้อก็ยังอยู่
เราคิดตั้งนานว่า คราวนี้น่าจะไม่ใช่วิญญาณของน้าสาว
คิดไปคิดมา ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ที่จริงน้าสาวคนนี้สนิทกับน้องสาวของเรามากกว่าใครๆ
คงตั้งใจมาลาน้องสาวของเรา
แต่ว่าช่วงนั้น พอดีน้องสาวเราอยู่ต่างประเทศ น้าเราคงอยากเจอน้องเรา แต่ไม่รู้จะบินไปหายังไง
กลางดึก เราอดรนทนไม่ไหว ลงไปดูที่ห้องน้ำอีกครั้ง
คราวนี้ไม่พบผีเสื้ออีกแล้ว
- ตะนิ่นตาญี, กรกช and Nong like this
#11
ตอบ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:27
และเป็นเรื่องที่ดังสนั่นในกลุ่มผมกับเพื่อนๆ และญาติพี่น้องเพื่อน ที่เมืองจันท์เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน
เรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องคือ แสบ เพื่อนที่เคยได้กลิ่นเหม็นในรถ หลังจากงานเผาศพเพื่อนตามที่ผมเล่าไปในโพสต์แรก
แสบมีพี่น้อง 4 คน มันเป็นคนสุดท้อง และมีพี่สาว 3 คน
บ้านแสบมีแต่เด็กๆกับผู้หญิง ลูกๆหลานๆมันจะสนิทกับผมทุกคน
ถ้าครอบครัวญาติพี่น้องมันจะมากรุงเทพฯเมื่อไหร่ ผมคือคนขับรถประจำบ้านมัน
เพราะผมเคยเรียนและทำงานที่ กทม. จึงรู้เส้นทางพอสมควร
แสบ ทำธุรกิจซื้อขายพลอย โดยแสบจะไปซื้อพลอยที่ประเทศ มาดากัสกา แล้วมาขายที่เมืองไทย
มันเคยออกรายการ เปิดเลนส์ส่องโลกของ นิติภูมิ ที่ไปถ่ายทำรายการที่มาดากัสกามาแล้ว ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นช่อง 3 เมื่อ 7-8 ปีก่อน
เวลามันจะไปหรือกลับจากมาดากัสก้า ผมก็คือโชเฟอร์ขับรถไปรับ และ ส่งมันที่ดอนเมือง (ตอนนั้นยังไม่มีสุวรรณภูมิ)
ครั้งหนึ่งผมไปรับมันที่ดอนเมือง แต่เที่ยวนี้มันไม่ได้กลับคนเดียว มีพี่ผู้ชายคนหนึ่ง ติดรถกลับมาด้วย
ชื่อ ศักดิ์ เป็นพ่อค้าพลอยอยู่เมืองจันท์เหมือนกัน แต่ไปรู้จักกันที่มาดากัสกา
พี่ศักดิ์อายุตอนนั้นประมาณ 40 กว่าๆ เป็นพ่อค้าพลอยที่มีชื่อเสียงพอสมควรในเมืองจันท์
จำได้ว่าออกจากดอนเมืองตอนหัวค่ำ ผมขับ แสบนั่งหน้า พี่ศักดิ์นั่งเบาะหลัง(รถเก๋ง)
ก็ขับไป คุยเฮฮากันไป พอประมาณน่าจะสัก 4 ทุ่ม ตอนนั้นเข้าเขต อ. ท่าใหม่แล้ว เหลืออีก 30 กว่ากิโลจะถึงตัวเมืองจันท์
อยู่ๆพี่ศักดิ์ซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังก็โผล่พรวดโน้มตัวมาระหว่างเบาะคู่หน้า แกนิ่งอยู่สักครู่ แล้วแกก็ถามผมว่า
" เบิร์ดเคยทำบุญบ้างมั๊ย " ผมก็ตอบไปแบบขำๆว่า
" ผมไม่ค่อยได้ทำเลยพี่ เพราะผมดีพอแล้ว "
แล้วแกก็พูดต่อว่า " เบิร์ดไปทำบุญบ้างนะ เชื่อพี่นะ "
แกพูดอย่างนี้ซ้ำๆตลอด 30 กว่ากิโล และก็นั่งอยู่ท่านั้นจนถึงเมืองจันท์
ตอนนั้นผมก็คิดว่าพี่ศักดิ์คงเป็นคนใจบุญ ธรรมะธรรมโม
แกคงทำบุญบ่อยๆแล้วทำให้ชีวิตมีความสุข ครอบครัวเป็นสุข ก็เลยอยากแนะนำให้ผมทำบุญบ้าง ....
ตอนเช้าแสบโทรมาหาผมแต่เช้า ในใจก็คิดเลยว่า ทำไมวันนี้มันตื่นเช้าจัง เพราะปกติมันเป็นคนตื่นสาย
มันบอกว่า เมื่อกี๊พี่ศักดิ์โทรมาหามันแล้วเล่าให้ฟังว่า
ตอนที่เข้าเขต อ. ท่าใหม่ ตอนนั้นพี่ศักดิ์นั่งอยู่ด้านซ้ายของเบาะหลัง
อยู่ๆก็เหลือบเห็นว่ามีผู้หญิงมานั่งข้างๆแกทางด้านขวามือ
แกก็เลยตกใจโผล่พรวดไปข้างหน้าระหว่างเบาะ
แกต้องตั้งสติสุดขีด เพราะผมขับรถอยู่ กลัวผมตกใจ กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ
พอตั้งสติได้ แกก็เลยถามผม ว่าเคยทำบุญบ้างมั้ย และบอกผมให้ไปทำบุญ
เพราะแกคิดว่าระหว่างทาง อาจผ่านที่ๆเคยมีอุบัติเหตุ
และวิญญาณของผู้หญิงที่ตายคงติดรถมาเพื่อขอส่วนบุญ
แต่พี่ศักดิ์ไม่รู้หรอกว่า หลังจากที่แกเล่าให้แสบฟังแล้ว
คนที่ตกใจมากกว่าแกก็คือ แสบ และญาติๆมัน รวมถึงตัวผมหลังจากรู้ว่าแกเจออะไร
เรื่องของเรื่องคือว่า
พี่สาวคนโตของแสบ ได้ป่วยเป็นมะเร็งตาย
และตายหลังแสบได้บินไปมาดากัสกาครั้งล่าสุดเพียง 1 สัปดาห์ แสบก็เลยไม่ได้ลงมางานศพพี่สาว
ลงมาอีกทีก็ตอนที่ผมไปรับแล้วเจอเหตุการณ์นี้นี่แหละ
และตอนที่พี่สาวแสบป่วยนั้น ผมเองก็เป็นคนขับรถไปส่งที่ รพ.วชิระถึง 4 ปี โดยขึ้นไปแทบทุกอาทิตย์
และรถที่ขับไปส่งพี่สาวแสบที่ รพ. ก็เป็นรถคันที่ผมขับไปรับแสบนั่นแหละ (เป็นรถของพี่สาวแสบ)
แสบและญาติมันทุกคนเชื่ออย่างสนิทใจว่า คงเป็นวิญญาณของพี่สาวคนโต
ส่วนพี่ศักดิ์เองก็ไม่เคยรู้จักครอบครัวแสบเลย ไม่รู้ว่าแสบมีพี่สาว
ก็เลยคิดว่า ผู้หญิงที่เห็น คือวิญญาณคนอื่นมาขอส่วนบุญ
Edited by กรกช, 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:30.
- ตะนิ่นตาญี, DarkSwan and Siren like this
#12
ตอบ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:23
- ตะนิ่นตาญี likes this
#13
ตอบ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:05
สักพักได้ยินเสียง โครม ๆๆๆๆ อยู่ข้างหลัง
หันกลับไปดูกับพี่ เจอรถเบ็นซ์ตกเขากลิ้งลงมาที่ไร่ของย่า
แต่ไม่เป็นไรมาก เพราะถูกเถาวัลย์ อันใหญ่ พัน ๆ ประคองไว้
แต่แรงกระแทกก็ทำให้กระจกรถร้าว (แต่ไม่แตก) รถเบ็นซ์ทนมากกก
สักแป๊ปก็มีรถจอดถามตะโกนมาหาว่าเป็นไงบ้าง.
เราก็บอกไม่เป็นไรค่ะ คนขับไม่เป็นไรเพราะ
แต่เขาตะโกนมาอีกว่าแล้วผู้หญิงอีกคนที่เขาเห็นนั่งมาด้วยละเป็นไรไหม
เราก็ขนลุกเลย. ตอบกลับพี่เค้าไปว่า พี่ มีผู้ชายขับมาคนเดียวค่ะ
สรุปคือพี่เค้าเป็นรถที่ขับตามหลังมาแล้วเห็นว่ามีผู้หญิงนั่งมาด้วย
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, asawinee and 2 others like this
#15
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 19:04
สมัยยังเด็ก ไปตักน้ำที่บ่อกับพี่ชาย
สักพักได้ยินเสียง โครม ๆๆๆๆ อยู่ข้างหลัง
หันกลับไปดูกับพี่ เจอรถเบ็นซ์ตกเขากลิ้งลงมาที่ไร่ของย่า
แต่ไม่เป็นไรมาก เพราะถูกเถาวัลย์ อันใหญ่ พัน ๆ ประคองไว้
แต่แรงกระแทกก็ทำให้กระจกรถร้าว (แต่ไม่แตก) รถเบ็นซ์ทนมากกก
สักแป๊ปก็มีรถจอดถามตะโกนมาหาว่าเป็นไงบ้าง.
เราก็บอกไม่เป็นไรค่ะ คนขับไม่เป็นไรเพราะ
แต่เขาตะโกนมาอีกว่าแล้วผู้หญิงอีกคนที่เขาเห็นนั่งมาด้วยละเป็นไรไหม
เราก็ขนลุกเลย. ตอบกลับพี่เค้าไปว่า พี่ มีผู้ชายขับมาคนเดียวค่ะ
สรุปคือพี่เค้าเป็นรถที่ขับตามหลังมาแล้วเห็นว่ามีผู้หญิงนั่งมาด้วย
น่ากัวมากกกกกก....
ของผมอาจดูไม่น่ากลัวเพราะผมเล่าไม่เก่งนะครับ
ผมเป็นคนไม่ค่อยเจอผีนะครับ แปลกมาก (แต่ดีแล้ว อย่ามาเลย กัวววว)
มีอยู่ครั้ง ผมกับเพื่อนๆขับรถไปเที่ยวกาญจน์กัน อัดเป็นปลากระป๋องมาในรถน่าจะ 6 คนนะถ้าจำไม่ผิด
เราไปพักที่บ้านเรือนแพริมน้ำ เพื่อนเป็นคนหาให้ครับ
พอกินข้าวเสร็จอาบน้ำเข้านอน ผมก็ไหว้พระสวดมนต์กับหมอนเสร็จ หลับครับพี่น้อง...หลับยาววววววจนเช้า
ตื่นมาบิดขี้เกียจ รู้สึกสดชื่นด้วยความหลับสบายอย่างที่สุด แต่หันซ้ายหันขวา
อ้าว ตายโหง เตียงเืพื่อนผมไม่มีมนุษย์อยู่สักตัว
เปิดประตูห้องพักออกไป ที่ระเบียงหน้าห้องพัก (เป็นระเบียงรวมของทุกห้อง) เพื่อนผมทั้งชายและหญิงนั่งกองนอนกองกันอยู่ตรงนั้น
หน้าแห้งอิดโรยไร้สภาพกันหมด
ผมก็นึกว่าเพื่อนหนีออกมากินเหล้ากันแล้วไม่ปลุกผมเหรอ
ที่ไหนได้ เพื่อนหัวโจกที่เป็นคนจองห้อง(เพื่อนคนนี้เป็นนักแต่งเพลงดัง แต่งเพลงรักโรแมนติกระดับเมพมามากมาย)
บอกว่า "กรูไม่ได้กินเหล้า พวกกรุเจอผี!"
หะ?.. ผมนึกว่าเพื่อนล้อเล่น... แต่รุ่นน้องผู้หญิงอีกคนถามผมว่า
"พี่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว ปลุกก้ไม่ตื่น นี่ทั้งคืนนี่ พี่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจริงๆดิ๊?"
ผมไม่ได้ยินจริงๆครับ หลับไม่รู้เรื่อง
เพื่อนทุกคนก็เฉลยว่าที่ระเห็จกันมากองอยู่นอกห้องนี่เพราะอยู่ในห้องไม่ได้ ไม่ไหว เสียงมันดังทั้งคืน
ตอนแรกเสียงเป็นคนลากเท้าเดินแกรกๆอยู่หน้าห้องไปมา
เปิดประตูไปดูแล้ว...ไม่มีคน
ตอนนั้น เพื่อนบางคนบอกว่าคิดว่าห้องอื่นเมาแล้วเคาะประตูผิดก็ได้ ก็ขึ้นเตียงหลับต่อ
สักพัก คราวนี้เป็นโซ่ครับ โซ่ลากแกรกๆ ลากยาวตั้งแต่ปลายห้องไปจนสุดหน้าห้อง แล้วอ้อมมาทางหน้าต่าง
เพื่อนๆก็แหงะหน้าดูตรงหน้าต่าง ...ทำไมมันไม่มีคน!
คราวนี้เพื่อนๆเริ่มตื่นกันหมด (เหลือผม) ตั้งตาและเงี่ยหูฟัง
ได้เรื่องเลยครับ เสียงทุบฝาห้องปัง! ปัง! ปัง! แล้วก็เสียงเล็บขูดแกรก แกรก แกรก
จนนอนกันไม่ได้เลย ต้องกระเด็นกันออกมาอยู่นอกห้องฉะนี้แล
ทั้งคืนผมจึงนอนหลับอยู่ในห้องนั้นคนเดียว โดยไม่รู้เรื่องอะไรสักนิด
จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าทำไมทุกคนโดนกันหมด ยกเว้นผม!
ผีไม่รักผมแน่ๆเลย...ฮือ...ลำเอียง
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, asawinee and 3 others like this
#16
ตอบ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 22:47
จำได้ว่าไปในเดือนมกราคมซึ่งหนาวเข้ากระดูก แต่ทัวร์ราคาถูกเพราะเป็นโลว์ซีซั่น
พวกเราได้ไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ ตามโปรแกรมพื้นๆซึ่งบริษัททัวร์ที่ไหนๆก็พาไป
เรื่่องสยองขวัญได้บังเกิดขึ้น เมื่อพวกเราได้มาพักที่เรียวกังแห่งหนึ่งริมทะเลสาบคาวาคุชิโกะ ใกล้ภูเขาไฟฟูจิ
โดยรอบเรียวกัง มีหิมะขาวๆ บางส่วนกลายเป็นน้ำแข็งอยู่ตามพื้นดิน
เรียวกังแห่งนี้สร้างติดกับภูเขา โดยผนังเรียวกังด้านในตลอดความยาวคือเนื้อหินสีดำของภูเขา
เจ้าของเป็นหญิงชรา แก่มากๆๆๆๆ ใส่ชุดกิโมโน ออกมาต้อนรับ
พอเราก้าวเท้าเข้าไปข้างใน เรารู้สึกอึดอัด เหมือนบรรยากาศโดยรอบอึมครึม รู้สึกเหมือนหนักๆ ตื้อๆ
ใครๆอาจคิดว่า เพราะอากาศหนาว ที่นี่เลยปิดประตูไม่ให้ความหนาวเย็นเข้ามา จึงไม่มีการระบายอากาศเพียงพอ เราจึงหายใจไม่สะดวก
แต่ที่จริงไม่ใช่
เรารู้สึกได้เลยว่า ที่นี่....มีพลังงานบางอย่างแฝงตัวอยู่ วนเวียนไปมา
พอตกค่ำ ก่อนออกไปรับประทานอาหารเย็น เราเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ซึ่งอยู่ในห้อง โดยที่เพื่อนร่วมห้องของเรานั่งเล่นอยู่ในห้อง ตรงส่วนที่จัดเป็นบริเวณชงชา
แล้วเราเจอดี
ห้องอาบน้ำที่นี่เป็นแบบญี่ปุ่น เมื่อเปิดมีประตูเข้าไป จะเจอบริเวณแต่งตัว ถัดเข้าไปจะเป็นบ่อสี่เหลี่ยม ลึกลงไปในพื้น ใช้อาบน้ำ จะใช้ฝักบัว หรือนอนแช่ก็ได้
เราก้าวขาลงไปในบ่อ อาบน้ำด้วยฝักบัวด้วยความรีบเร่ง เนื่องจากหนาวมาก จึงใช้เวลาไม่นาน
เรารีบเช็ดตัว ใส่เสื้อผ้า
จะออกจากห้องอาบน้ำ เพื่อให้เพื่อนเข้าไปใช้ต่อ
แต่.....ออกไม่ได้
บิดหมุนตัวล็อคยังไงก็ไม่สามารถเปิดประตูออกไปได้
ขยับประตูไปมา ดันประตูไปข้างหน้า ดึงเข้าหาตัว ยกประตูขึ้นเผื่อมันไม่ตรงร่องประตู ทำทุกวิถีทาง ตัวล็อคก็ไม่ขยับ
เราเริ่มหนาวจนสั่น เพราะใส่เสื้อผ้าแค่ชั้นเดียว เสื้อกันหนาวบุนวมอยู่ในห้อง
หนาวจนฟันกระทบกันกึกกัก
ตะโกนเรียกเพื่อน เพื่อนก็ไม่ตอบสนองแต่อย่างใด
สงสัยจะไม่ได้ยิน เพราะห้องน้ำปิดทึบ
เราพยายามเปิดประตู บิดตัวล็อคอยู่เป็นสิบนาที แต่ก็เปิดไม่ได้ซักที
ชักโมโหแล้วนะว้อยยยยย....
ตอนนี้เลยปล่อยมือจากประตู พูดออกมาดังๆด้วยความโกรธ
"อย่านึกว่าจะแกล้งกันได้ง่ายๆนะ ชั้นไม่กลัวหรอก เล่นเป็นเด็กไปได้ สนุกเรอะไงที่เห็นคนอื่นเดือดร้อน"
พูดเสร็จก็เอื้อมมือไปบิดตัวล็อคประตู
ผลัวะ!!
ตัวล็อคไปอยู่ตำแหน่ง "เปิด" อย่างง่ายดาย แค่บิดทีเดียว
เราลองเช็คให้แน่ใจด้วยการบิดตัวล็อคไปที่ตำแหน่ง "ปิด" อีกครั้ง"
ลองเปิดดู ก็ลื่นมือ ไม่เห็นฝืดเลย
เมื่อออกจากห้องอาบน้ำ รีบเดินไปใส่เสื้อกันหนาว ถามเพื่อนว่า ไม่ได้ยินที่ตะโกนเรียกเหรอ
เพื่อนบอกว่า ไม่ได้ยินอะไรเลย
เราเองกลัวเพื่อนจะตกใจกลัว
เลยบอกเพื่อนว่า ตัวล็อคในห้องอาบน้ำมันไม่ค่อยดี ฝืดๆ
เวลาจะออกมาให้ระวังหน่อย
แต่เพื่อนกลับไม่เป็นไร ไม่เจอดีอย่างเรา
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and 2 others like this
#17
ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 03:49
น่ากัวม้ากม้าก
เป็นแรงใจให้ผมนึกได้อีกเรื่อง มาเล่าต่อครับ
อย่างที่บอก ผมเป็นคนไม่เคยเจอผีเลย ทั้งที่คนอื่นเจอกันหมด
จะบอกว่าบ้านผมพื้นที่ค่อนข้างเยอะ สมัยผมซื้อใหม่ๆ ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนอย่างเดียว
เลยใช้ทำออฟฟิศครึ่งนึง
ผมไม่เคยรู้เลยว่าตลอดเวลาหลายปีที่น้องๆพนักงานอยู่ที่บ้านผม เจอกันทุกคน
ส่วนใหญ่น้องจะทำงานกันถึงค่ำ แต่ประเด็นคือ เขามาไม่เลือกกลางวันกลางคืนเลยครับ
บางทีก็เห็นผู้ชายนั่งดูทีวีอยู่ตอนที่น้องๆเปิดประตูเข้ามาทำงาน
บางทีก็เหมือนมีคนเดินผ่านหลังเก้าอี้ไป แล้วหายเข้าไปในกำแพง (เห็นเป็นเค้าร่างดำๆนะครับ ไม่เห็นเป็นคน)
ผู้ช่วยผมเคยเปิดประตูห้องน้ำไปหนนึง ก็เห็นภาพแว่บเหมือนเป็นห้องแบบบ้านโคโลเนียลยุครัชกาลที่ 5
ส่ายหัวสุดชีวิตว่า..ตาต้องฝาดไปแน่แท้
เรื่องของเรื่องคือทีมงานผมเจอกันทุกคนแต่..ไม่มีใครเล่าอะไรให้กันฟังเลย เพราะคิดว่า "เราคงเจอคนเดียว"
จนแม่ผมมาจากต่างจว.มาหาผม แต่ผมไม่อยู่
แม่ก็ทักว่า "เหมือนมีใครอยู่ในห้องตลอดเวลา เดินไปเดินมา"
ทุกคนถึงได้รู้กันว่า...อ้าว เจอกันทุกคน
และแน่นอน ยกเว้นเจ้าของบ้าน คือผม ผมไม่เจออยู่คนเดียว
เอาสิเอาสิ
เพื่อนผมเคยมาเยี่ยมที่โฮมออฟฟิศ เพื่อนคนนี้ออกแนวมีญาณสัมผัส และไปเรียนทาโรต์ที่สถาบันมีชื่อเสียงด้านปรจิตของเยอรมันด้วย
เขาก็ออกปากว่า..บ้านผมเป็นประตูทางผ่านไปอีกมิติ
สิ่งที่เห็นไม่ใช่วิญญาณก็ได้ แต่เป็นคนอีกมิติที่เขาก็อยู่ในที่ของเขา ซึ่งมาซ้อนทับกับที่ของผม
แต่น้องๆผมบอกว่า "ชินซะแล้ว คุ้นแล้ว สนุกดี"
ทั้งคนทั้ง"ร่าง" ก็เลยอยู่รวมๆกันไป แบ่งๆที่กัน
เคยมีคนบอกว่าที่บ้านผมเจ้าที่แรง ขายเหอะ
แต่ผมเชื่อตลอดว่าถ้าเราเป็นคนดี ผีบ้านผีเรือนจะคุ้มเรา แล้วก็จริงนะครับ
จนป่านนี้ผมก็ยังอยู่บ้านหลังที่ใครๆก็ว่าเจ้าที่แรง ไม่มีใครอยู่ได้ จนบัดนี้ และได้รับแต่สิ่งดีๆมากมายจากบ้าน
และ....ผมยังไม่เคยเจออะไรเลยแม้แต่สักแว้บคร้าบ
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, asawinee and 3 others like this
#18
ตอบ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 19:22
ขาดประสบการณ์ชีวิตที่มีสีสันอย่างหนึ่งเลย
หุ หุ
สงสัย "สถานีรับคลื่นวิญญาณ" ของคุณผึ้งน้อยจะเจ๊งบ้งเนอะ
เลยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รู้สึก ใดๆ
น่าฉงฉานจังเรยยย
คริ คริ
- ตะนิ่นตาญี and ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ like this
#19
ตอบ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 08:14
^
ฮิฮิ ผีไม่ร้าก
แต่เคยมีอยู่ครั้งนึง นอนหลับอยู่บนเตียง รู้สึกยุกยิกๆ
มองไปที่ข้างๆ(เตียงผมควีนไซส์ ไม่ถึงขนาดคิง แต่ผมชอบนอนเบียดไปข้าง เหลือข้างๆไว้เบ้อเร่อ ไม่รู้ทำไม)...
เตียงมันบุ๋มครับ! เหมือนรอยคนนอน
ที่สำคัญ... แล้วมันก็ค่อยๆคืนตัว เหมือนมีคนลุก!!
ผมเหรอ...เหวออยู่พักหนึ่ง...
แล้วคลุมโปงนอนต่อ
- ตะนิ่นตาญี, กรกช and asawinee like this
#20
ตอบ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 12:21
- ตะนิ่นตาญี, asawinee and Nong like this
Now! Restart Thailand
#21
ตอบ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 20:03
สถานที่ยังเป็นที่เดิมคือ เรียวกังซึ่งตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบคาวาคูชิโกะ และมีเจ้าของเป็นหญิงชราใส่ชุดกิโมโน
เหอ เหอ เหอ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของรุ่นพี่ ที่ไปด้วยกัน
รุ่นพี่คนนี้มีกำหนดการสอบเอ็มบีเอหลังจากกลับมาจากญี่ปุ่น
พี่เค้าจึงต้องขนตำราเรียนไปอ่านด้วย
กลางดึกคืนนั้น อากาศหนาว..... จับขั้วหัวใจ
รุ่นพี่นอนคว่ำเหยียดยาว สอดตัวเข้าไปในผ้านวมซึ่งปูทับที่นอนแบบฟูกญี่ปุ่น (Futon) เอาตำราวางบนหมอน อาศัยไฟจากโคมอ่านหนังสือเตรียมสอบไปเรื่อยๆ
ส่วนรูมเมทนอนหลับสนิทบนฟูกอีกอันห่างออกไป
ราวๆเที่ยงคืน จู่ๆ พี่เค้าก็รู้สึกขนคอลุกชัน หนาวสะท้านจนทนไม่ไหว
ต้องลุกขึ้นมาจากท่านอนมาเป็นท่านั่ง การเปลี่ยนอิริยาบถทำให้รุ่นพี่ต้องตลบผ้านวมออก
พลันสายตาก็เจอะกับอะไรบางอย่างที่ติดอยู่กับด้านในของผ้านวม ซึ่งปกติเราไม่มีทางเห็น
บริเวณที่เห็นอยู่ประมาณกลางๆผ้านวม
มันคือ.....รอยสีน้ำตาลเล็กๆเป็นดวง
มันคือ
...
...
...
รอยเลือด!!!
รุ่นพี่พิจารณาอยู่หลายอึดใจ ทั้งๆที่ขนลุกไปทั่วร่าง
จะว่าป็นรอยเลือดจากรอบเดือนผู้หญิง ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะมันควรเปรอะที่ฟูกด้านล่างมากกว่าที่จะไปเลอะที่ผ้านวมด้านบน
จะว่า เจ้าของเรียวกังซักผ้านวมไม่สะอาดก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะคนญี่ปุ่นขึ้นชื่อมากเรื่องความสะอาด
รอยเลือดอะไรกัน????
ความเงียบและวังเวงทำให้รุ่นพี่เริ่มฟุ้งซ่าน
ไม่เอาล่ะ อย่าไปคิดมาก นอนดีกว่า
รุ่นพี่รีบตลบผ้านวมกลับคืนเข้าที่
ระหว่างที่นั่งจัดผ้านวมให้ชายผ้าอยู่ใต้ฟูก ก่อนที่จะล้มตัวนอน
คราวนี้สายตาอันยอดเยี่ยมก็เจออะไรอีกอย่าง
รอยเย็บผ้าฝีเข็มละเอียด ปราณีต ซึ่งถ้ามองผ่านๆก็จะไม่เห็น
รอยเย็บเป็นแนวยาวประมาณหนึ่งนิ้ว ซ่อมแซมรอยขาดของผ้า
รุ่นพี่ไม่รอช้า รีบพลิกผ้านวม จับตำแหน่งของรอยเลือดและรอยเย็บ
ชัดเลย ตรงกันเป๊ะ!!!
ย้อนไปดูที่รอยเลือด
คราวนี้สังเกตชัดๆเห็นรอยเย็บผ้าเหมือนกัน
แสดงว่าผ้าขาดทั้งด้านบนและด้านล่างของผ้านวม
เหวอ!!
จินตนาการพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีทันใด
ที่เรียวกังแห่งนี้ มีคนนอนอยู่ข้างในฟูกโดยมีผ้านวมห่มทับอยู่
พลันมีคนร้ายใช้มีดแทงทะลุผ้านวมสังหารคนที่นอนอยู่
เลือดพุ่งขึ้นมาเลอะผ้านวม
หลังจากนั้น เจ้าของเรียวกังเสียดายผ้านวม
นำมาซ่อมแซมรอยขาดจากมีด
แล้วนำมาให้ลูกค้าใช้ใหม่
จินตนาการหยุดเพียงแค่นั้น
รุ่นพี่รีบซุกตัวเข้าไปข้างในผ้านวม
รีบนอนดีกว่า
หลับแล้วๆกัน
ขืนฟุ้งซ่านมากกว่านี้ เดี๋ยวตัวเป็นๆมาหาจะยุ่ง!!!
- ตะนิ่นตาญี and กรกช like this
#22
ตอบ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 03:14
^
งึ้ยยยย หนุกหนุกหนุก เล่าอีกเล่าอีกครับ
ผมเคยเล่าเรื่องแท็กซี่ เล่าเรื่องผีที่เค้าเจอให้ฟังอ๊ะยังครับ
เสียดาย ผมมักจำเรื่องผีไม่ค่อยได้ อาจดูไม่ปะติดปะต่อบ้าง ต้องขออภัยแฟนานุแฟนไว้ล่วงหน้านะครับ
พี่แท็กซี่เขาจะกลับบ้านนอกทุกปี
ทุกครั้งที่แกกลับบ้านนอกแกจะชอบออกไปวางอวนดักปลาตอนกลางคืน แกบอกว่ามันผ่อนคลายดี
มีอยู่ครั้งที่แกกลับบ้าน แกก็ออกไปวางอวนตามปกติ ไล่วางอวนไปเรื่อย ไกลจากบ้านโขอยู่ เพราะปลาชุกมาก
แล้วก็กลับบ้านรอให้ปลาติดอวน กลางดึกก็ไปไล่เก็บทีละอวน
ตอนที่ไปเก็บอวนก็ไม่มีอะไรครับ แกทำจนชิน
แกเล่าว่าคืนนั้นเดือนใกล้จะหงาย ก็สว่างอยู่นะ เห็นทางเดินได้ยาวๆ แล้วแกก็เอาหมาที่บ้านไปด้วย
เอาปลาใส่ข้องเสร็จ เดินกลับบ้านกับหมา....
ตอนนั้นแหละที่ปัญหาเกิดขึ้น คือแกบอกว่าเดินเท่าไหร่ๆก็ไม่ถึงบ้านเสียที เดินจนเหนื่อย ทำไมทางยาวนักวะ
คือแกบอกว่าแกเห็นไฟบ้านแกอยู่ลิบๆ แต่มันลิบไม่ถึงเสียที
ตอนนั้นแกยอมรับว่าเริ่มขนลุก แล้วก็กลัวแล้ว ก็แข็งใจเดินไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านแก
ปรากฏว่าตอนเดินใกล้ถึง...เฮ้ย มันไม่ใช่บ้านแกนี่หว่า
อ้าว...
แต่ตอนนั้นแกบอกว่า...แกทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งง่วงมากๆ ก็เลยนั่งพักตรงข้างบ้าน
แกเล่าว่าง่วงมากจนอยากจะหลับสักงีบแล้วค่อยไปต่อ
แต่หมาของแกเห่าตลอดจนแกโมโห หลับไม่ได้
แกก็เลยลุกเดินต่อ แต่ทั้งๆที่ทางมันก็ตรงนะ ไม่ได้ลดเลี้ยวมากแต่มันเดินไม่ถึงง่ะครับ
แกมองพระจันทร์...ปกติเดินเป็นชม.ขนาดนี้จันทร์ต้องเคลื่อน....มันอยู่ที่เดิมง่ะครับ
แล้วแกก็เดินผ่านบ้านอีก...
เป็นบ้านหลังเดิม...
แกบอกว่า...ตอนนั้น...รู้ในใจเลยว่า "หลงแน่แล้ว" แล้วก็ไม่ใช่หลงทางกลับบ้านด้วย
แกหลงอยู่ในทางวนที่ไหนก็ไม่รู้
ความที่ตอนนั้นแกง่วงมาก ตาจะปิดอยู่แล้ว เดินไม่ไหว แต่แกรู้ในใจว่าถ้าคืนนี้หาทางออกไม่ได้แกหลับไปต้องตายแน่
แกเลยตัดใจทิ้งปลาหมดเลยตรงข้างทางนั่นแหละ...
ตรงนี้ถึงตอนเด็ดเลยครับ..ผมฟังผมยังตาค้าง..กลมแบ๋วเลย...
แกบอกกับหมาว่า "เมริงพากุกลับบ้านหน่อยวะ กุไม่ไหวแล้ว"
หมาก็เดินนำแกไป แกเดินตามไปสวดมนต์ไปตลอดทาง
หมาพาแกเดินจนถึงบ้านได้ครับ!
สรุป แกตื่นมาตอนเช้า ออกไปดูร่องรอยปลาที่ทิ้ง...
อันนี้ยอมรับว่าผมจำไม่ได้แล้วจริงๆว่าแกไปเจออยู่ข้างทางที่ใกล้บ้านมากๆ
(ทั้งที่แกบอกว่าหลงไกลขนาดนั้น)
หรือแกไปเจอที่อวนก็ไม่รู้ คือเหมือนกับว่าแกไม่ได้เก็บปลามาเลย
แต่สรุปคือญาติที่บ้านแกบอกว่าพักนี้มีผู้ชายออกไปหาปลาแล้วหลับตรงเพิงที่พัก ไหลตายหลายคน
คือหลับไปเลย
แกบอกผมว่าถ้าไม่ได้หมาที่ซื่อสัตย์ของแกนำทางจนออกมาได้ แกจะตายมั้ยเนี่ย
หมาช่วยชีวิตแกไว้แท้ๆ
.
Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 03:17.
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, asawinee and 4 others like this
#23
ตอบ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 09:55
สมัยยังเรียนอยู่เวลาถึงวันพระใหญ่ก็จะกลับบ้านไปทำบุญเวียนเทียน
ทีนี้มีวันพระใหญ่ครั้งนึงต้องเดินไปเวียนเทียนที่วัดตอนกลางคืน ก็เลยชวนพี่สาวกับน้องข้างบ้านอีกคนไปด้วยกันรวมเป็น 3 คน
ก่อนถึงวัดจะเป็นโค้งหักศอก และมีการทำถนนใหม่ เราเห็นรอยยางมะตอยมันตะปุ่มตะปั่มก็คิดว่าเค้าคงทำยังไม่เสร็จดี ไม่ได้คิดอะไรก็เดินต่อ พอถึงหน้าวัดต้องเดินข้ามถนนแสงไฟรถที่วิ่งผ่านหน้าวัดทำให้เห็นเป็นคน กำลังเดินเลี้ยวเข้าวัดไป ก็ไม่คิดอะไรสามคนพากันดูรถแล้วข้าม
แต่ด้วยความเป็นถนนสี่เลนมันก็กว้างอยู่ พอข้ามไปได้เกือบ ๆ ครึ่ง รถทัวร์มาจากไหนไม่รู้ (อันนี้ต้องบอกว่าไม่รู้จริง ๆ เพราะก่อนข้ามถนนคิดว่าดูกันดีแล้ว) พวกเราเห็นรถกันตอนจวนตัวมาก ทำไงดีล่ะ ตอนนั้นก็ใส่เกียร์น้องหมาวิ่งข้ามกันสุดสีดรีนเลย ผ่านกันชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด แล้วสามคนก็พากันงง มันมาจากไหน ปกติถึงโค้งจะหักศอก แต่ไฟต้องส่องออกมาก่อนให้เห็น แต่นี่ไม่เห็นเลย
ก็ยังลั้นลา สามคนพากันเดินเข้าวัดไปเวียนเทียนต่อ พอไปในวัดหมาก็พากันเห่าจนเรารำคาญ ถามยายที่มาถือศีลที่วัดว่า ทำไมคนที่เข้ามาก่อนนี้หมาถึงไม่เห่า ยายบอกว่าไม่มีใครเข้ามา พวกหนูมากันเป็นกลุ่มแรก เอาละสิเริ่มตะหงิด ๆ เลยหันไปถามเจ๊ เจ๊เห็นไหม เจ๊บอกไม่เห็น สรุปมีเราเห็นแค่คนเดียว น้องอีกคนก็ไม่เห็น แล้วยายยังเล่าต่ออีกว่าดีจังนะพากันเดินมาไม่กลัว เพราะที่ทางลาดยางใหม่เขาเพิ่งชนกันตายไป 1 ศพ เพราะเขาบอกห้ามวิ่ง แต่ก็ยังมีคนไปฝืนวิ่ง พอโพล้เพล้มองไม่เห็นก็เลยชนกันตาย แถมเลยหน้าวัดไปอีกหน่อยก็เพิ่งมีรถชนกันตายไป 2 ศพ
คราวนี้ต่อมเอะกำเริบเลย มันรวมเป็น 3 ศพ พอดี แล้วเราก็เดินกันมา 3 คนพอดี
กลับบ้านเลยมาเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าแม่กังวลอยู่แล้ว เลยบอกฝากเจ้าพ่อที่ศาลด้านล่างถนนให้ช่วยไปส่งให้ปลอดภัยด้วย สรุปเลยเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เชื่อว่าเรื่องตัวตายตัวแทนมีอยู่จริงค่ะ
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and 1 other like this
#24
ตอบ 14 มกราคม พ.ศ. 2556 - 01:02
ขอบ้างครับ นึกว่าเวบบ์นี้ ไม่มีช่องทางให้เล่าเรื่องแบบนี้
สัก3ปีมาแล้ว ผมมีป้าอายุ 80 กว่า เป็นเบาหวานอยู่ที่สุพรรณ ส่วนผมอยู่ที่บ้านนี้(โคราช)คนเดียว เป็นบ้านเตี้ยเกือบติดดิน บัน
ได2ขั้น เมียลูกอยู่กท. คีนหนึ่งสัก3ทุ่ม นั่งเล่นคอม ประตูหน้าบ้านเปิดอยู่ หมาเห่าดังมาก หันหน้าไปถนนหน้าบ้าน ชะโงกหน้าออกไปดู
ไม่มีอะไร มานั่งเล่นคอมต่อ ดูเหมือนหมาเงียบไป ไม่ถึงอึดใจ ก็ต้องตกใจสุดขีด หมาเห่ากระโชกรุนแรง มันยืนคาประตูอยู่ ห่างจากผม
สักวากว่า มันหันหน้าเห่าเข้าบ้าน ผมดุว่าเห่าอะไร มันหันมาดูผม สายตามันเหมือนบอกว่า เฮ้ยคนเข้าบ้าน มึงมองไม่เห็นหรือ
สวดมนต์หลายบทมาก(เปิดหนังสือ) นึกในใจว่าใครวะงานนี้ สัก5ทุ่มน้องสาวโทรมาบอก ป้าไปเสียแล้ว ปัญหาคือที่สุพรรณ น้องสาว
ผมสนิทกับเพื่อนน้าคนเดียว (มันมาเรียนกท.ตั้งแต่เล็ก) เพื่อนน้าคนนี้ไม่ถูกกับเจ้าอาวาสวัดที่ป้า+ผมทั้งตระกูลไปทำบุญ เพื่อนน้าจึงเอา
ศพไปไว้อีกวัดหนึ่ง ฐานะผมเป็นหลานโปรด และว่างงาน จึงต้องไปเฝ้าศพทั้ง5คืนบนศาลาใหญ่-เก่า นอนเฝ้ากัน3คนบ้าง 5คนบ้าง
เพราะชาวบ้านแอนตี้ผม ทำไมไม่เอาศพไปไว้วัดที่ทำบุญมาตลอด เลยไม่ค่อยมีคนมาร่วมงานสักเท่าไร
ปรกติงานศพ แถวบ้านผมจะครึกครื้นกันตลอด ด้วยไฮโลว์ ป๊อกเด้ง หมากรุก แต่ด้วยเหตุผลข้างต้น บวกกับเดี๋ยวนี้พัฒนามากขึ้น มีบ่อน
ประจำหมู่บ้าน ขาพนันเลยเข้าบ่อนซึ่งปลอดภัยกว่า ทำให้งานศพป้าผมค่อนข้างเงียบเหงา
นอกจากเรื่องความกลัวในจิตใจ แล้วก็ไม่มีอะไรผิดปรกติ จนเผาเสร็จผมก็ต้องนอนอีกคืนเพื่อพิธีกรรมวันรุ่งขึ้น คืนนั้นจากที่อยู่มา
หมาไม่เคยหอนคืนนี้พร้อมใจกันหอน ทั้งวัดเป็นสิบตัว เริ่มจากที่ห่างจากศาลา ไกล้เข้ามาที่ศาลา มาหยุดที่บันไดขึ้นศาลา แล้วรวมใจ
กันหอนเกือบครึ่งชั่วโมง ...ไม่กลัวครับเปิดทีวีดังๆ 2คนกับลูกชายเพื่อนน้า ดับกลัวด้วยช้างไปลังกว่า ยืนฉี่บนศาลาละครับ
สอบถาม2-3คน ที่เคยนอนเฝ้างานตลอด เขาบอกคืนเผาจะเกิดเหตุผิดปรกติ อย่างนี้ ...ใครเคยมีประสพการณ์บ้างไหมครับ
กลับมาอยู่บ้านโคราช ระยะแรก ได้กลิ่นธูปบ่อยมาก และพอพวกญาติมาเยี่ยม กลิ่นธูปก็มาบ่อย ...แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
ทำไมไม่กลับไปนอนบ้าน ...ก็ขนาดกลางวัน น้องเขยผมกับลูกหลานรุ่นหนุ่ม อีก3-4คน ถูกใช้ให้ไปเอาของที่บ้าน พอมีคนบอก
ว่าหาของได้แล้ว กลับได้ แค่นั้นบันไดแทบพังน้องเขยผมอาศัยความอาวุโสพรวดลงเป็นคนแรก ทิ้งลูกหลานให้ตามหลังมา บ้าน
ผมระยะหลังผีดุ และข้างบ้านบันไดขึ้นติดกัน เป็นบ้านคนทรงเลี้ยงลูกกรอกพราย ผมเจอกับตัวเองเลย ...และมีคนเล่าว่าบางทีเหมือน
ผีบ้านผม กับลูกกรอกอีกบ้านคุยกันให้ได้ยินด้วย ...และเนื่องจากผมจนที่สุดในกลุ่มพี่น้อง เขาจึงจะยกเรือนใหญ่ให้ผมมาปลูกที่นี่
ผมตอบว่าอยู่บ้านฟากสับดีกว่า ...เรื่องบ้านที่สุพรรณนี่ถ้าสนใจจะเล่าให้ฟังทีหลังครับ เมียกับลูกนี่เจอจังๆ ขนาดลูกไม่ค่อย
กลัวผี ยังประกาศไม่นอนที่บ้านสุพรรณอีก
2.เห็นคุณกรกช เป็นคนจันท์ เลยเล่าเรื่องเกี่ยวกับจันท์ สักเรื่อง
สัก15-17ปีที่แล้ว ผมทำงานที่เชียงใหม่ น้องเมียโทรมาจากคลองตะเฆ้(เขียนอย่างนี้) อ.เมืองจันท์ ว่าน้องชายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
น้องคนนี้เมียผมรักมาก ผมไม่กล้าบอกความจริง บอกเพียงว่าอยากไปหาแม่(ยาย) แค่นั้นเมียผมก็ดีใจมากแล้ว ปรกติ2-3 ปีผมจะไปเยี่ยมสัก
ครั้ง ส่วนเมียผมไปเยี่ยมปีละครั้งสองครั้ง ...รุ่งขึ้นออกเดินทาง พอเข้าเขตจันทน์ กลิ่นเหม็นตลบรถซึ่งเปิดแอร์ ลูกเมียถามว่ากลิ่นอะไร ผม
โบ้ยว่ากลิ่นหญ้า-ฟาง แช่น้ำจนเน่า ลูกชายมองข้างถนน แล้วบอกไม่เห็นมีน้ำท่วมเลยพ่อ เมียมองหน้าผม
จนเข้าเขตคลองตะเฆ้ ก็บอกเมียว่าถึงทางเลี้ยว บอกด้วยนะ ผลปรากฏว่าเลยไปถึง3แยก เมียบอกว่าเลยแล้ว ต้องย้อนกลับมา พอถึง
บ้านเมียถึงรู้เรื่อง แทบเป็นลมเลย สอบถามที่ตาย จึงรู้ว่าเป็น3แยกที่ขับรถหลงไปถึง ...เฮ้อพาไปดูที่ตายด้วย
ที่นี่แปลกเอาศพตายโหงเข้าบ้าน/ตั้งศพที่บ้าน ต่างจากบ้านผมเน้นให้เอาไปวัดเลย ...จนงานศพเสร็จ ก่อนขึ้นรถกลับผมพึมพำเบาๆ
เฮ้ยไม่ต้องไปส่งนะ
Edited by IFai, 14 มกราคม พ.ศ. 2556 - 01:14.
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and 2 others like this
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#25
ตอบ 16 มกราคม พ.ศ. 2556 - 10:49
เรื่องนี้เกิดเมื่อเร็วๆนี้ ก่อนปีใหม่ไม่นาน ที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งอยู่ในเขต อ. ท่าใหม่ ห่างจากตัวเมืองจันท์ประมาณ 10 กิโล
ที่บ้านเพื่อนคนนี้จะเป็นที่สังสรรค์กินข้าวกันทุกวันของบรรดาเพื่อนๆ รวมถึงตัวผมด้วย
เพราะหลังบ้านบรรยากาศดี มีสระน้ำธรรมชาติหลังบ้าน มีต้นไม้ร่มรื่น
มีลมพัดเย็นตลอดเพราะอยู่ไม่ไกลจากทะเล เป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้
เพื่อนคนหนึ่งจะเป็นขาประจำที่นี่ ตอนเย็นก็จะมากับเมียและไปรับลูกสาววัย 5-6 ขวบที่โรงเรียนใน อ. ท่าใหม่ แล้วก็จะแวะมาที่บ้านนี้ทุกวัน
ลูกสาวเพื่อนทุกวันหลังจากกินข้าวเสร็จก็จะไปนอนดูทีวีในบ้าน ส่วนพ่อก็ตั้งวงอยู่กับบรรดาเพื่อนๆอยู่หลังบ้าน
วันหนึ่งลูกสาวเพื่อนก็มาถามเพื่อนที่เป็นเจ้าของบ้านว่า " ลุงปุ๋ย ตาที่อยู่ชั้นบนเขาลงมากินข้าวตอนไหน "
พอถามว่าไปเห็นที่ไหน เด็กก็ไม่บอก ก็เลยวิเคราะห์กันว่าเด็กคงแอบขึ้นไปชั้นบนของบ้าน
ซึ่งพ่อแม่ของเด็กและเพื่อนที่เจ้าของบ้านจะเตือนห้ามไม่ให้ขึ้นไป เพราะของมันเยอะรกรุงรัง ก็กลัวว่าจะมีสัตว์ที่มีพิษซุกซ่อนอยู่
ตรงนี้หลังจากเพื่อนเจ้าของบ้านได้ฟังเด็กมาถามอย่างนั้นก็คงขนลุกเหมือนกัน
เพราะบ้านหลังนี้ ชั้นบนไม่มีคนอยู่ ไว้เป็นที่เก็บของ แต่ชั้นบนนี้เคยเป็นที่นอนของปู่ ซึ่งเสียชีวิตไปนานเป็น 10 ปีแล้ว
เพื่อนก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นวิญญาณของปู่ แต่ปู่ใจดี และรักเด็ก ชอบเล่นกับเด็กๆ
พอได้ฟังแบบนี้ก็เลยไม่ค่อยกลัวกันเท่าไหร่ แต่ก็แปลกใจกันว่า ตายไปตั้งนานแล้วยังไม่ไปไหนอีก
- ตะนิ่นตาญี, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, Nong and 1 other like this
#26
ตอบ 16 มกราคม พ.ศ. 2556 - 12:41
เพิ่งเห็น... กระพ๊มก็มีเรื่องหนึ่งขอรับ เกิดเรื่องนี้เมื่อตอนก่อนน้ำท่วม 54 สักไม่ถึงปีกี่เดือนขอรับ...
...ช่วงนั้น ที่บ้านได้ปรับปรุงใหญ่ รื้อทุบ+ทำแทบทั้งหลังยันหลังคา (เป็นทาวเฮ้าส์สองหลังคู่) กระพ๊มฐานะช่างหย่ายก็ทำการออกแบบ, เขียนแปลน, แบ่งสรรห้องใหม่ทั้งหมด จนงานแล้วเสร็จก็จัดหาเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้าบ้านรอบที่ 1 (รอบที่ 2 หลังน้ำท่วม ข้างล่างยกชุด ) ห้องกระพ๊มเองก็จัดหาเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้จริงของจีนที่เป็นของใหม่เป็นหลัก แต่คุณแม่ท่านชอบของเก่าๆ... เหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น...
...วันหนึ่งได้พาคุณแม่, พี่สาวและผู้ปกครองส่วนตัว ไปดูเฟอร์นิเจอร์ไม้แถวเส้นถนนลำลูกกา ที่มีมาขายอยู่หลากหลายเจ้า ได้ขับรถวนดูกันสองรอบแล้วก็ยังไม่ถูกใจคุณแม่นัก พอกำลังจะกลับขับรถออกมาได้สักระยะ เกิดอาการเหมือนอะไรมาดลใจให้หันไปมองที่ร้านข้างซอยร้านหนึ่งโดยพร้อมเพรียงกันทุกคน... คุณแม่จึงให้ลองจอดแวะเข้าไปดูสิเผื่อจะดี จึงวนกลับมาหาที่จอดหน้าร้านนั้นอีกครั้ง เป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่า มีโต๊ะ, ตู้, เตียงแบบโบราณเก่าๆหลายชิ้น คุณแม่ก็เดินเข้าไปดูอย่างตื่นตาตื่นใจ กระพ๊มได้ไปสะดุดตาที่ตู้เสื้อผ้าไม้สักโบราณขนาดใหญ่ใบหนึ่งเข้า ซึ่งรูปแบบหน้าตู้ทำไม้เป็นลอนคลื่น ซึ่งเป็นลูกเล่นที่แปลกตา ไม่เคยเห็นในแบบเฟอร์นิเจอร์ในปัจจุบัน ซึ่งคุณแม่ก็เห็นงามด้วย สรุปที่ร้านนั้น ได้ตู้เสื้อผ้าใบดังกล่าวกับตู้ไม้สักขนาดใหญ่ (หนักมาก) เป็นตู้โชว์แกะลูกฟักทั้งด้านหน้าและหลัง ใช้เป็นตู้โชว์กั้นส่วนห้องได้อย่างสวยงาม และโต๊ะแบบโต๊ะราชการสมัยก่อนที่มีฝาด้านบนเปิดขึ้นได้พร้อมลิ้นชักข้างเป็นไม้สักหนาๆมาอีกตัวหนึ่ง ในขณะที่เจ้าของร้านทำการสรุปการซื้อขายกับคุณแม่อยู่ กระพ๊มกับพี่สาวก็มองไปที่ตู้เสื้อผ้าใบนั้นและคุยกันเบาๆ "แกจะเอาไปไว้ห้องแกมั้ย ถ้าไว้ห้องฉันไม่เอาว่ะ เสียว" พี่สาวเอ่ยขึ้น... กระพ๊มก็ว่าไป... "โหเจ๊ แกไม่รู้จักของดีซะแล้ว ต่อไปหาไม่ได้แล้วนะโว้ยตู้แบบนี้ ไม้แบบนี้น่ะ ฟลุ๊คโคตรๆเลยมาเจอเนี่ย... อืมมมม แต่ดูๆก็น่าคิดเหมือนกันว่ะ ประวัติเป็นมาไงก็ไม่รู้ด้วย... " สองพี่น้องสบตากันด้วยความหวั่นใจเล็กๆ แฟนยืนอยู่ใกล้ๆก็เอ่ยบอกว่า "คิดมากน่า" แต่ดูสายตาเธอก็เห็นความหวั่นไหวกังวลน้อยๆอยู่เช่นกัน...
...จนทางร้านมาจัดส่งเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่บ้าน พร้อมจัดวางตามตำแหน่งที่ต้องการเรียบร้อย ตู้เสื้อผ้านั้นคุณแม่เห็นพี่สาวบ่นกลัวๆว่ามาจากไหนไม่รู้ จึงเอาไว้ที่ห้องท่านเอง ตู้โชว์ยาวนั้นก็ตั้งกั้นส่วนไว้ด้านล่าง แบ่งส่วนนั่งเล่น รับแขกกับส่วนรับประทานอาหารไว้ได้อย่างลงตัวสวยงาม ค่ำวันนั้นก็นั่งทานข้าวพร้อมชื่นชมตู้ข้างล่างกัน (แฟนมีงานบุญที่บ้านญาติจึงไปก่อนหน้านั้นแล้ว) สักพักจึงแยกย้ายห้องใครห้องมัน... คืนนั้นอากาศเย็นสบายมากจึงเปิดพัดลม และเปิดหน้าต่างรับลมแทนการเปิดแอร์ นอนดูทีวีไปเรื่อยเปื่อยจนงีบหลับไป...
...มารู้สึกตัวตอนไหนไม่ทราบ เพราะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องดังแว่วๆ "ช่วยด้วยๆๆ" ตรงหน้าต่างที่เปิดอยู่ ตอนแรกขนลุกซู่ไม่กล้าหันไปมอง นึกขึ้นในใจ "เอากรูแล้ว" นอนคลุมโปงอยู่อย่างนั้นสักพัก จึงตั้งสติค่อยๆฟังต่อไป... "ช่วยด้วยๆๆ จอร์จ ช่วยชั้นด้วยๆๆ" ... ... นึกในใจ "ตู้แม่มมาจากอังกฤษหรือไงฟะ ผีแม่มชื่อฝรั่งจัง" ... จึงค่อยๆดึงผ้าห่มออกแล้วลืมตาดูรอบๆห้องปรากฏว่า... ภาพที่เห็นในทีวี นางเอกถูกโจรมัดติดอยู่กับเสา พระเอกกำลังจะหาทางเข้าไปช่วยอยู่... "โอ้วววว จอร์จจจจ ช่วยชั้นด้วยๆๆ" ...
... ลืมปิดทีวีขอรับ... จิตปรุงแต่งสังขาร+สัญญาจากตู้ไม้โบราณเสียยืดยาว ฟุ้งซ่านเสียฉี่แทบแตก แถมพอไปเล่าให้คุณแม่, พี่สาวกับแฟนฟังวันหลัง ได้รับการสรรเสริญโดยพร้อมเพรียงกันว่า "อีตาบ้า" เสียอีกขอรับ... เวงจริงๆ...
Edited by wat, 16 มกราคม พ.ศ. 2556 - 12:43.
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, Nong and 1 other like this
#27
ตอบ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 - 09:35
เรื่องการครัว หรืออะไรก็ไว้ใจได้ในความซื่อสัตย์ไม่มีกินนอกในค่ากับข้าว
วัดที่บ้านมักจะให้แกไปเป็นแม่ครัวประจำเวลาวัดมีงาน
ก่อนหน้าเคยมีอีกชุดนึง ที่เจ้าอาวาสคนก่อนมักจะไว้ใจให้เงินไปซื้อของเลี้ยงรับรองแขก
พวกที่มาทอดกฐิน ผ้าป่า ก็มักจะมีข่าวว่าชอบกินนอกกินในกัน
พอมาถึงท่านเจ้าอาวาสปัจจุบัน ท่านเลยลองของชุดใหญ่ ว่ากินกันจริงไหม
จึงให้ชุดเก่าทำเลี้ยงแขก แล้วเบิกเงินมา พอมีงานอีกงานก็ให้ชุดแม่ครัวคุณน้าคนนี้เป็นคนทำ แล้วเบิกเงิน
สรุปว่า ต่ำกว่ากันหลายหมื่นบาท แถมชุดหลังกับข้าวเต็มโต๊ะแขกมากกว่าชุดแรกอีก
จากนั้นมาชื่อเสียงความเป็นคนซื่อสัตย์ของแกก็รู้กันทั้งหมู่บ้าน งานไหน ๆ ถ้าให้แกมาช่วยเจ้าภาพก็หมดห่วง
เอะ !!!! แล้วเล่ามาซะยาวมันไม่เห็นมีเรื่องผีตรงไหน
ตอนเราเจอแกก็นึกได้ถึงเรื่องที่เคยมีคนเล่าให้ฟัง ว่าเพราะอะไรถึงทำให้แกเป็นคนดีศรีหมู่บ้านขนาดนี้
บ้านของคุณน้าอยู่ตรงข้ามวัด สมัยก่อนแกต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปตลาดซื้อของมาขาย
วันนึงเป็นแกลุกขึ้นมาล้างหน้าเตรียมตัวไปตลาด แกก็ได้ยินเสียง วีด ๆๆๆ
แกก็เงยหน้าขึ้นไปดู แกเล่าว่าเจอเปรตตัวสูงใหญ่อยู่ที่วัด
เท่านั้นเองแกก็ทิ้งขันน้ำวิ่งเข้าบ้าน
จากการคาดเดาของผู้หลักผู้ใหญ่คิดว่าเปรตตัวนั้นน่าจะเป็นอดีตมัคทายกคนหนึ่ง
ที่ชอบเบียดบังเงินวัดเป็นประจำ พอตายไปก็เลยต้องไปรับกรรมแบบนั้น
เลยเป็นคำพูดที่เคยได้ยินแกพูดว่า
"ชาตินี้ไม่เอาหรอกของของใคร กลัว.... มันบาป"
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, wat and 1 other like this
#28
ตอบ 18 มกราคม พ.ศ. 2556 - 00:53
ขอร่วมแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเอง ในเรื่องที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ครับ
ประมาณ 25ปีก่อนตอนมัธยมต้น ช่วงปลายปิดเทอมฤดูร้อน ปกติพ่อผมจะพาลูกชายไปเที่ยวป่าปีนเขาเป็นประจำ
ตอนขึ้นเขาน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ตอนลงบางทีต้องนั่งแล้วไถลลงมา บังเอิญผมโดนหนามเกี่ยวก้น กลับมาบ้านไม่ได้สนใจ
แผลมันอักเสบกลายเป็นฝี ต้องไปหาหมอใกล้บ้านเพื่อผ่าฝีออก หมอให้ยาแก้แผลอักเสบ(ซัลฟา) ปรากฏว่าผมแพ้
ยาตัวนี้อย่างหนัก ผื่นขึ้นเต็มตัว ปวดท้องแบบสุดๆ ที่บ้านต้องรีบพาผมไปส่งโรงพยาบาล แต่เตียงที่โรงพยาบาลเต็มพอดี
ต้องไปนอนหอพักพีสาวที่เป็นพยาบาลก่อนเพื่อรอเตียง ตอนหัวค่ำ ระหว่างซ้อนรถพี่สาวเพื่อที่ไปหอพักจะผ่านตึกคนไข้ชาย
ผมเหลือบขึ้นไปเห็นพระอยู่สามสี่รูปยืนรอบเตียงๆหนึ่ง แต่ไม่ได้สนใจอะไร วันต่อมาผมก็ได้เตียงที่ตึกนั้น
ผมต้องนอนให้น้ำเกลืออย่างเดียว (เป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก) แล้วเย็นวันนั้นคุณยายผมมาเยี่ยม เอาพระมาให้ผมใส่เพราะ
รู้ว่าผมกลัวผีประเภทขี้ขึ้นสมอง แต่ไม่มีคนมาเฝ้าไข้ตอนกลางคืนเพราะมีพี่สาวคอยดูอยู่แล้ว
อย่างที่บอกว่าการนอนให้น้ำเกลือเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ผมก็คุยกับคนไข้เตียงข้างๆบ้าง บางทีญาติคนไข้ก็เข้ามาคุยมาถามบ้าง
แต่มีคนไข้รายหนึ่งนอนอยู่ตรงข้ามกับเตียงผมเป็นเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกัน มีแม่มาเฝ้าตลอดทั้งวันทั้งคืน เด็กคนนี้
เขาจะร้องโอดโอยตลอด ผมถามแม่ของเขาว่าเป็นโรคอะไร แม่เด็กคนนั้นบอกว่าเป็น พยาธิปากขอ
ระหว่างที่ผมอยู่ที่โรงพยาบาล ผมก็จะคุยกับสองคนแม่ลูกนี้ตลอด ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์.....
ผมนอนให้น้ำเกลืออยู่สี่ห้าวันอาการเริ่มดีขึ้น หมอก็ให้ถอดสายน้ำเกลือออกได้ แต่ต้องนอนดูอาการต่ออีกวันสองวัน
ถึงตอนนั้นอาการเด็กคนนั้นอาการก็ดีขึ้นเช่นกัน และบังเอิญคุณหมอก็ให้ผมและเด็กคนนั้นกลับบ้านได้วันเดียวกันอีก
แล้วเหตุการณ์ที่ผมยังคาใจมาจนถึงปัจจุบันก็เกิดขึ้นจนได้ ในคืนก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาลนั่นเอง.....
อาจจะเป็นเพราะความสะเพร่าของผม ที่เย็นวันนั้นตอนอาบน้ำ ผมถอดพระที่ใส่อยู่วางกองรวมกับชุดคนไข้ที่ผมใส่แล้ว
แต่ลืมหยิบพระมาใส่ตอนอาบน้ำเสร็จ แถมยังโยนชุดคนไ้ข้ที่มีพระวางอยู่ลงในตะกร้าที่มีชุดของคนไข้อื่นๆ อีกต่างหาก
ระหว่างเดินกลับมาที่เตียงนึกออกได้ เลยกลับไปรื้อตะกร้าดูก็เจอ แต่ก็โดนทับโดยชุดคนไ้ข้อื่นไปแล้ว ผมหยิบพระมาใส่
แต่รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็เดินกลับไปที่เตียงแล้วก็เข้านอน
คืนนั้น...ผมตื่นขึ้นมาตอนดึกไฟในตึกดับหมดแล้วและคนไข้คนอื่นๆ ก็หลับกันหมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไร
เห็นแต่แสงไฟจากห้องที่พยาบาลกำลังอยู่เวรสามสี่คนไกลๆ ความรู้สึกและสติผมยังเป็นปกติ แต่ตัวผมกลับเดินไปที่เตียง
ของเด็กที่นอนอยู่ตรงข้าม ผมหยุดอยู่ที่ปลายเตียงของเขาแล้วยื่นมือไปดึงผ้าห่มที่เด็กคนนั้นห่มอยู่ ผมดึงแรงขึ้นๆ จนกลายเป็นกระชาก
จนแม่ของเด็กคนนั้นตื่น เธอร้องห้ามผมแต่ผมก็ยังกระชากแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอตะคอกเสียงดังว่า "ไป" ตัวผมตอนนั้นค่อยๆหันไปมอง
ที่เธอ เธอก็ไล่ผมดังขึ้น "ไป...กลับไป" แล้วผมก็หันกลับค่อยๆเดินไปที่เตียงช้าๆ ก็ยังได้ยินเสียงเธอไล่ตามหลังมา
จนกระทั่งผมกลับไปนอนที่เตียง ขอย้ำว่าผมรู้สึกตัวตลอด ได้ยินทุกคำพูดตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงตอนเดินกลับไปนอน แต่ทุกการกระทำ
ที่ผมทำไปในตอนนั้นผมไม่สามารถบังคับตัวผมเองได้เลย จนตื่นมาในตอนเช้าวันที่จะได้ออกจากโรงพยาบาล...
ผมตื่นแต่เช้าเพราะอยากกลับบ้านแย่แล้ว จำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ลางๆ ผมอยากจะถามแม่ของเด็กคนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็
ไม่ยอมคุยกับผมอีกเลย ผมก็เลยไม่กล้าที่จะกล่าวลา จนกระทั่งที่บ้านมารับ ระหว่างเดินออกจากตึกคนไข้ชาย มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
ร้องขอทางขณะที่กำลังเข็นเตียงคนไข้อย่างเร่งรีบ โดยคนไข้ที่ร้องโอดโอยอยู่บนเตียงก็คือ เด็กที่นอนอยู่ตรงข้ามผม ที่จะได้กลับบ้าน
วันเดียวกับผมนั่นเอง กลับมาถึงบ้านไม่กี่วันผมก็สามารถจำเหตุการณ์ในคืนนั้นได้ทั้งหมดจนถึงทุกวันนี้
จากเหตุการณ์ที่เล่ามาทำให้มีข้อสงสัยที่ยังคาใจผมอยู่หลายเรื่อง
เตียงคนไข้ที่มีพระยืนอยู่รอบๆ ในวันแรกที่ผมเข้าโรงพยาบาลคือ เตียงที่ผมนอน...
อยากถามแม่ของเด็กคนนั้นว่า ผมทำสิ่งเหล่านั้นจริงหรือเปล่า ถ้่าไม่ เธอเห็นเป็นใคร...
หลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว เด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง... ผมหวังว่าเขาคงยังสุขสบายดี
ยืดเยื้อไปหน่อยคงไม่ว่ากันนะครับ
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and 2 others like this
#29
ตอบ 19 มกราคม พ.ศ. 2556 - 08:21
เคยได้ยิน ได้ฟังมา จนถือว่าเป็นความเชื่อส่วนตัว
#4 iba "ระหว่างทางที่ขับไป ได้กลิ่นดอกมะลิ โชยเข้ามาในรถวูบหนึ่ง ซึ่งรถปิดหน้าต่างเปิดแอร์ สักพักกลิ่นหายไป รีบตั้งหน้าตั้งตาขับไม่กล้าพูดอะไร
กลับถึงบ้านคุยกลับแม่ แม่ก็บอกว่าได้กลิ่นเหมือนกัน คิดว่าพ่อนั่งรถไปด้วยเพื่อไปรับบุญที่วัดบ้านเก่า ที่สมัยเด็กพ่อผูกผันมาก"
**เกี่ยวกับเรื่องศพ/งานศพ ถ้าได้กลิ่นดอกไม้หอม กลิ่นธุป ถือว่าคนตายไปดี ตรงข้ามกับได้กลิ่นเหม็นๆ
#15 คุณผึ้ง "พอกินข้าวเสร็จอาบน้ำเข้านอน ผมก็ไหว้พระสวดมนต์กับหมอนเสร็จ หลับครับพี่น้อง...หลับยาววววววจนเช้า
....อ้าว ตายโหง เตียงเืพื่อนผมไม่มีมนุษย์อยู่สักตัว ....บอกว่า "กรูไม่ได้กินเหล้า พวกกรุเจอผี!" ...ผมไม่ได้ยินจริงๆครับ
หลับไม่รู้เรื่อง ....จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าทำไมทุกคนโดนกันหมด ยกเว้นผม!"
**คงเป็นเพราะไหว้พระ สวดมนต์ และคงมีพระเกตุ คุ้มตัวมากองค์ ยิ่งมาก ยิ่งไม่มีโอกาสเจอผี ...แต่ ผมเองมีพระเกตุ
คุ้มเต็มพิกัด (7องค์ หรือ9องค์ จำไม่ได้) เคยทะนงตัวว่าไม่เจอผีแน่ ...แต่ช่วงหลังไม่แน่ใจ...รู้สึกเจอมา(จังๆ)
คงเป็นเพราะเมียมาอยู่ด้วย เอะอะ อะไรคว้าธูปกำมือหนึ่งออกไปบนบานหน้าบ้านทุกที
#22 คุณผึ้ง "ตอนนั้นแกยอมรับว่าเริ่มขนลุก แล้วก็กลัวแล้ว ก็แข็งใจเดินไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านแก ปรากฏว่าตอนเดินใกล้ถึง...เฮ้ย
มันไม่ใช่บ้านแกนี่หว่า อ้าว...แต่ตอนนั้นแกบอกว่า...แกทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งง่วงมากๆ ก็เลยนั่งพักตรงข้างบ้าน แกเล่าว่าง่วงมาก
จนอยากจะหลับสักงีบแล้วค่อยไปต่อแต่หมาของแกเห่าตลอดจนแกโมโห หลับไม่ได้แกก็เลยลุกเดินต่อ แต่ทั้งๆที่ทางมันก็ตรงนะ
ไม่ได้ลดเลี้ยวมากแต่มันเดินไม่ถึงง่ะครับแกมองพระจันทร์...ปกติเดินเป็นชม.ขนาดนี้จันทร์ต้องเคลื่อน....มันอยู่ที่เดิมง่ะครับ
แล้วแกก็เดินผ่านบ้านอีก...เป็นบ้านหลังเดิม..."
เรื่องเล่า
1.สมัยตา (ฟังตอนผมเป็นเด็กสัก10ขวบ) สมัยนั้นเพื่อนแก ไปงานบุญต่างถิ่น ต้องขี่ม้าไป ก็ไปมีปัญหากับเจ้าถิ่น ไม่พ้น
เรื่องหญิง แกหนีขึ้นม้า ควบหนีสุดชีวิต ....จนเช้า เห็นม้ามาถึงบ้าน แต่เพื่อนแกมาไม่ถึง ก็ออกตามกันไปพบนอนแผ่อยู่ข้าง
คันนาระหว่างทาง สอบถามได้ความว่า กำลังหนีสุดชีวิต เกิดตกจากหลังม้า แต่กลับขึ้นม้าก็ควบต่อ แต่ไม่ถึงบ้านสักที เลยงีบ
หลับจนคนมาตามนี่แหละพอลุกขึ้นก็เดินไม่ไหว เป้ากางเกงขาดทะลุ ตาเล่าว่าพอหันไปดูคันนาช่วงที่เพื่อนนอน หญ้าเตียน
ดินคันนาเรียบกริบ ...สงสัยถูคันนามาครึ่งคืน จะเดินยังไงไหว
2.เพื่อนร่วมวง ผมเรียกมันว่า "ผีปลา" ขนาดฉุกละหุก ไปหามันโดยไม่บอกล่วงหน้า ยังมีปลาเค็มริ้ว/หัวปลาเค็มมาต้มโคล้ง
ได้ ถ้านัดมันก่อน ตั้งแต่งูเห่า จนถึงเขียดเกี่ยวเบ็ด ไม่ผิดหวัง ...แต่ตอนหลัง มันประกาศ ยกเว้นกบ ที่หาให้ไม่ได้
มันเล่าว่า ช่วงฝนแรก มันก็ออกไปหากบ กบเยอะมากได้เต็มตะข้อง แสงไฟจากคนหากบคนอื่นเต็มทุ่ง มันได้เต็มข้อง
จนต้องร้อยเป็นพวง ก้มหน้าก้มตาตี/แทง ตามเสียงกบไปเรื่อยๆ จนตัวสุดท้ายเสียงดังมาก เงยหน้ามองมันตกใจมาก ตัวขนาด
ไห แต่ที่มันตกใจมากคือ กบตัวนี้มันอยู่บนโกดัง(เรียกถูกเปล่า) ที่เก็บศพน่ะ มันเผ่นกลับบ้าน ฝนตกหนักมาก เมียนั่งรอมันอยู่
มันโยนตะข้อง บอกเอากบไปขัง ...เมียมันตอบ เอาอะไรไปขัง ไม่มีอะไรสักตัว
เมียมันมานั่งรออยู่ เพราะหลังจากที่มันออกไป ฝนตกแรงมาก แถมฟ้าดุอีกด้วย ...เพื่อนฝูงเลยอดกินกบ(ฟรี) อีก
#25 คุณกรกช " ..ลูกสาวเพื่อนทุกวันหลังจากกินข้าวเสร็จก็จะไปนอนดูทีวีในบ้าน ส่วนพ่อก็ตั้งวงอยู่กับบรรดาเพื่อนๆอยู่หลังบ้าน
วันหนึ่งลูกสาวเพื่อนก็มาถามเพื่อนที่เป็นเจ้าของบ้านว่า " ลุงปุ๋ย ตาที่อยู่ชั้นบนเขาลงมากินข้าวตอนไหน " พอถามว่าไปเห็นที่ไหน
เด็กก็ไม่บอก ก็เลยวิเคราะห์กันว่าเด็กคงแอบขึ้นไปชั้นบนของบ้าน..."
**ตอนย้ายไปประจำเชียงใหม่ ลูกชายยังอยู่อนุบาล2 ไปเช่าบ้านทาวเฮาส์อยู่ ลูกชายถูกใจมาก เพราะมีอ่างอาบน้ำอยู่ชั้นบน
ตอนเย็นกลับมาก็ลงอ่าง เสา เสาร์-อาทิตย์ ก็ขลุกที่อ่างน้ำ จนต้องบอกเล่นน้ำในอ่างได้ แต่ตอนเลิกให้ฟอกสบู่นอกอ่าง น้ำในอ่าง3-4วัน
ถ่ายที เช่าอยู่3-4เดือน ท่าทางจะไม่ได้ย้ายกลับง่ายๆ จึงไปซื้อทาวเฮาส์เมือนกัน บ้านแฝด ชั้นเดียว ที่ม.ธนาวัลย์
อยู่ได้สักเดือนลูกชายบอกว่า ทำไมพ่อไม่ติดอ่างอาบน้ำบ้าง ...แต่ก็ดีนะจะได้ไม่มีคนมาแย่งเล่น ...สอบถามได้ความว่าทุก
เย็นกลับจากรร.นี่ จะไปเล่นน้ำในอ่าง จะต้องเจออาผู้ชาย นอนแช่อยู่ก่อนทุกที พอหนูเข้าไปเขาจึงลุกขึ้นให้หนูลงไปเล่น
กลับไปถามชาวบ้านแถวนั้น ได้ความว่าตอนสร้างบ้านหลังนั้น มีคนตาย(ช่างก่อสร้าง) ในบ้านนั้น เขาบอก เขายังสงสัยว่า
ครอบครัวผมอยู่ได้ยังไงตั้ง3-4เดือน รายอื่นไม่เกินเดือนสักคน...มิน่าตอนไปขอเช่า เราขอให้ปรับปรุงอะไร เจ้าของบ้านทำให้หมด
ค่อยมาต่อ เมียจะไปโชว์ตัวที่ตลาดนัดมวกเหล็ก
Edited by IFai, 20 มกราคม พ.ศ. 2556 - 21:22.
- ตะนิ่นตาญี, กรกช, Nong and 1 other like this
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#30
ตอบ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 - 22:13
ลางสังหรณ์ ลางเตือนเหตุ เคราะห์ชักนำ
ตั้งแต่ปี1 ที่เข้าเรียนที่ “บางกอก เทคนิคัล อินสตุ๊ยตุ่ย” จนจบมาอีก4-5ปี งานที่ไม่เคยขาด และตื่นเต้นที่จะไป
คืองาน “พาย-โอห์ม” ที่เกิดขึ้นนี่ เกิดในครั้งสุดท้ายที่ได้ไปของผม และ(อาจรวม)ฝูงของผม เพราะไม่มีใครพูดถึงอีก
...จัดที่สวนอัมพร
ก่อนวันงานสักอาทิตย์หนึ่ง ไม่รู้จิตใจเป็นยังไง หดหู่ ไม่ครึกครื้นเหมือนทุกปี อาจเป็นว่า จนก่อนวันงานสัก4-5วัน
ผมประกาศกับเพื่อนทุกคนว่า กูไม่ไปงาน และก็ตอบแบบนี้กับทุกคนที่ถาม
เพื่อนทุกคนตื่นเต้นมาก เพราะส่วนใหญ่ผมจะเป็นเข้างานชุดแรก และมักอยู่เป็นกำลังใจคนเก็บโต๊ะ และไปคุย
เรื่องในงานที่เพิ่งย้ายก้นมา ที่แถววัดบวร จะอยู่ดึกดื่นขนาดไหนขึ้นอยู่กับวันรุ่งขึ้นมีภาระอะไรไหม ...แต่คราวนี้ไม่
ใช่ เกินครึ่งต่างบอกว่าเลิกงานเร็วนะโว้ย เลิกแล้วแยกย้ายกัน เพราะมันเรียกวันนั้นว่า “วันเผด็จศึก” ...อาจเป็นสาเหตุ
หนึ่งที่ทำให้ผมไม่อยากไป
** แฟนเพื่อน มักจะรู้จักกับผมมาก่อน และมักเรียกร้องให้ผมไปด้วย ด้วยเหตุผล
* เพื่อนเชื่อใจว่าผมเป็นเด็กเฝ้าโต๊ะ ที่ดี และความลับต่างๆจะไม่รั่วไหล และถ้าไปต่อที่อื่นอีก ผมไม่เคยปฏิเสธ
* แฟนเพื่อนก็จะได้รู้ความลับของเพื่อนมากขึ้น เพราะผมแสดงความรักเดียวใจเดียวให้เห็น ไม่เคยเปลี่ยนเด็ก
ให้เขาเห็น และถามอะไรมา ผมตอบทุกเรื่อง โดยพูดเรื่องจริงให้เป็นเรื่องเล่น พูดเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องจริง ...เออส่วน
ใหญ่ชอบข้อหลังแฮะ
ถึงวันงาน นอนอยู่บ้าน นึกถึงเพื่อนแต่ละคน กำลังวางแผนอะไรกัน เพื่อให้แผนศึกสำเร็จ จนเกือบเที่ยง มีเพื่อน
มาจากราชบุรี 3คน มากล่อมผม หมดไปกลมมันก็เลิกกล่อม เตรียมตัวกลับ มันวางบัตรงานไว้ใบหนึ่ง กับ”ขนาดพวกกู
ไม่ได้จบที่นี่ กูมาจากราชบุรี เลิกงานกูก็กลับ กูยังไป นี่มึงเสือกไม่ไป แล้วจะคบกันต่อได้ไงวะ”
5โมงเย็น อาบน้ำแต่งตัว แวะส่องกระจกดู “เงาหล่อ” ทั้งที่แทบไม่เคยทำ (จนถึงทุกวันนี้ อาบน้ำ แต่งตัว พร้อม
ออกเดินทาง บ่อยครั้งเมียต้องจัดปกเสื้อ อาหวีมาหวีผมให้)
แม่ผมมาจากตจว. ใช้กระจกเงาธรรมดา วางบนหิ้ง ที่ติดข้างฝา ที่จะมีรูปของ “คนในตระกูล” ติดเรียงเป็นพืด ใน
จำนวนรูปเหล่านั้นมีรูปพ่อผมอยู่ด้วย กำลังดู เงาหล่อ อยู่ รูปของพ่อหล่นแตกกระจาย ก้มลงเก็บ
กระจกก็เหลือบเห็นแม่ยืนมองอยู่ ใจหาย แต่บอกแม่ไปว่า ผมจะระวังตัวละกัน
ในงานจำเหตุการณ์ไม่ค่อยได้ อาจเป็นใจมันกังวลอยู่ จำได้ว่าต่อโต๊ะ เพราะคนสัก20 เห็นจะได้ เสพไปได้หน่อย
ขี้เกียจไปซื้อเหล้า/เบียร์/โซดา แล้วคนที่กินจริงจังก็มี ไม่กี่คน(นอกนั้นเตรียมออกศึกทั้งนั้น) ผมเลยบอกกิน 4x100
ละกัน แม่โขง1กลม เบียร์4ขวด เทรวมในกระป๋องน้ำแข็ง ...ประมาณว่าหมด4x100 ไปสัก3ชุด งานเลิก ก็ควบ ซูซูกิ
เอ100 กลับ
จะกลับขึ้นสะพานปิ่นเกล้า จากเลนใน จะเลี้ยวขวาขึ้นสะพานมัฆวาฬ รถไม่ยอมเลี้ยวให้ จึงหักกลับให้ตรง กะพุ่ง
ลงน้ำ รถก็ไม่ยอมทำตาม มันตรงดิ่งเข้าหาเสาไฟ เสาไฟเชิงสะพานนั้นเป็นแบบก่อปูนเป็นแท่งขึ้นมา รองรับเสาไฟที่
ปักบนแท่งปูนผลคือเอาใบหน้าอันหล่อเหลา ไปกระแทกแท่งปูนครับ
ยังมีสติพอควร ก็เพื่อนๆละครับ มาห้อมล้อมช่วยเหลือเป็น2ทีม เอารถไปเก็บที่บ้านเพื่อน อีกทีมเอาผมขึ้นตุ๊กๆ ไป
รพ.วัชระ ยังจำได้
* เพื่อนคนหนึ่งตะโกนว่า เหล้าในกระเป๋าเสื้อไม่แตกโว้ย อีกคน มันรักเหล้ายิ่งชีพ
* ตอนอยู่บนตุ๊กๆ คนขับถามเพื่อนผม พี่ๆ เพื่อนพี่จะตายบนรถผมไหม ...เฮ้ยไอ้นี่ไม่ตายตอนเมาหรอก ...รักกู
จริงเพื่อนเอ๋ย
*ตอนนั้นไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรครับ เอะใจตอนตุ๊กๆ พูดเรื่องตาย เฮ้ยนี่เป็นมากขนาดนั้นเลยหรือ ….ถามเพื่อน
ตอนหลังได้คำตอบว่า กูก็คิดแบบคนขับตุ๊กๆว่ะ รออยู่ว่าเมื่อไรมึงเงียบ มีอาการกระตุก จะเลยไปวัดเลย เสือกบิด
เสียสุดเกียร์ยังงั้น
ที่วชิระ มีแต่หมออินเทอร์น ขณะเย็บแผล หมอพูดผมเกลียดจริงๆไอ้พวกเมาแล้วเกิดอุบัติเหตุนี่ เหม็นจนจะอ้วก
ดังนั้น ...เมื่อเย็บเสร็จบอกเพื่อนพากลับ ...ไปนอนบ้านเพื่อน กลัวหมอแกล้งงงงงง
ตอนเช้าไปเข้ารพ.มเหสักข์ เพราะมีสัญญากับบริษัท อยู่ได้3-4 วัน หมอว่าต้องผ่าตัดเห็นว่าสู้คชจ. ไม่ได้(เกือบ
แสน) หมอที่มาดูผมนั้น เป็นหมอมาจากศิริราช จึงนำตัวผมไปศิริราช
อยู่ศิริราชกลายเป็นอาจารย์เล็กครับ หลายครั้งจะมีนักเรียนหมอมารุมชมความหล่อผมรอบเตียงทีเดียว ...และ
แล้ววันผ่าตัดมาถึง ได้ยินอาจารย์หมอบอก “คนไข้รายนี้ต้องทำเลอฝอด??” ....โชคไม่ดีครับ เจอวิสัญญีแพทย์ จบที่เดียวกับนส.ปู “หมอจะให้ยาสลบนะ ให้นับจาก 10 ถึง0 ”
“10…9..8..7..6 หมอครับผมง่วง” พอสิ้นคำรู้สึกคอหอยถูกกรีด ...แล้วสติก็ดับ
รู้สึกตัวอีกที หายใจไม่ออก เพิ่งรู้สึกกลัวตาย มือถึงมัดกับเตียง อึกอักอยู่ พยาบาลก็เอาเครื่องดูดเสลดออก
คงหลายครั้ง ผมหลับๆ ตื่นๆ
การผ่าตัดคือล็อกกราม ทำชุดฟันบนให้ตรงกับฟันล่าง มัดอยู่เกือบ4เดือนมั๊งหลังอยู่ในรพ. 2แห่งเกือบ2เดือน ปี
นั้นผลงานได้ B+ ปีนั้นโบนัส เกือบ4เดือน สำหรับ B+ เหตุผลที่ได้คือ กูนึกว่ามึงไม่รอด ถือว่าทำขวัญมึง...ที่อดเหล้า
รวมค่อนปี (นึกในใจ ล็อกฟันกินได้แต่ของน้ำ ..เหล้ามันของน้ำ ....คงสุดทรมานตอนอ้วก มันไม่มีทางออก)
แม่...เพื่อนเล่าว่า เช้าหลังเกิดเหตุ มันไปบอกแม่ว่า ผมเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ไปทำงานได้ แต่พักบ้านเพื่อนมัน
ไกล้ที่ทำงานคงไม่กลับบ้านสัก2-3วัน ...บอกแม่มาตรงๆ มันเจ็บมากไหม คงมากนะ ขนาดมันกลับมาเลือดเปรอะบ้าน มันยังกลับมาได้ ...เพือนผมจึงเล่าให้ฟัง ....แม่ฝากมันด้วยนะ แม่คงไม่ไปเยี่ยม แม่ทนเห็นสารรูปมันไม่ได้ ...จำได้ว่าก่อนวันออกจากศิริราช แม่มาเยี่ยม ...ร้องไห้ กลับบ้านอยากกินอะไร แม่จะทำไว้ให้ ....ต้มผักกาดดองกับปลาช่อนทอดกรอบละกัน แม่ เน้นปรุงน้ำอร่อยๆ เยอะๆละกัน ข้าวไม่ต้องเผื่อ แต่ถ้าหิวอาจต้องให้แม่บดข้าวกับน้ำต้มผักกาด
ดองมาป้อนก็ได้นะแม่ ...แม่ยิ้มได้
พ่อ ..ทุกวันลืมตาขึ้นมา จะเห็นพ่อนั่งรออยู่นอกห้องอยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับโจ๊ก1ถุง ตลอดเวลาที่อยู่ที่ศิริราช
สอบถามเพื่อนทีหลัง ว่าในงานผมเป็นไงบ้าง มันตอบว่าผมนิสัยเปลี่ยนไปมาก พวกมันนึกว่าผมโกรธที่พยายามดึง
ผมให้ไปงานด้วย พอปธ.กล่าวเปิดงานเสร็จ ดนตรีเริ่มชุดแรกเปิดงานด้วย CCR ผมดึงมือน้องเล็ก(แฟนเพื่อนออกเวที
เลย) อยู่ที่โต๊ะก็ยืนเต้นที่โต๊ะ จนมันต้องเคลียร์กับโต๊ะข้างๆ ..แล้วผมกินเหล้าเหมือนตายอดตายอยาก ดังนั้นเมื่อจบ
งานมันจึงขับรถตามผมมาเป็นขบวน และช่วยได้ทัน
ปรกติเวลาผมไปงานแบบนี้ ความสุขของผม มักอยู่ที่ได้มองเพื่อน คนรอบตัวมีความสุขกัน แค่นั้นผมก็มีความ
สุขแล้ว แทบไม่เคยลุกขึ้นวาดลวดลายเลย ...ไม่ชอบครับมันรู้สึกอึดอัด แล้วกลัวว่าขณะวาดลวดลาย มือไม้อาจสะ
เปะสะปะ จะเสียคน
หลังจากเกิดเหตุไม่นาน ไปดูที่เกิดเหตุเชิงสะพานมัฆวาฬ เห็นแล้ว โชคดีตอนที่คิดจะหักรถลงคลอง โชคดีมัน
เลี้ยวไม่ไป เพราะในคลองบริเวณนั้น เต็มไปด้วยเสาเข็ม ขนาดโคนขาปักเต็มไปหมด ...พุ่งหลาวลงไป ตายแน่
- กรกช, Nong and ก๊องส์ไข่กวน like this
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#31
ตอบ 23 มกราคม พ.ศ. 2556 - 05:58
น่ากลัวมั๊กมั๊ก แต่ละเรื่อง.....ฮืออออ
ท่าน iFai ขอบคุณมากสำหรับการวิเคราะห์นะครับ หนุกมากๆเลย
เนื่องจากตอนนี้กะลังเร่งงานเครียดมาก มาขอจิ้มๆแบบเมดเลย์พอเป็นกระษัยก่อนนะคับ
ไว้เดี๋ยวค่อยมาเติมเป็นฟูลเวอร์ชั่น
ผมกับเพื่อนๆที่มาจากอีสานบ้านนา ชอบคุยกันเรื่องผีโบราณแบบกระสือ กระหังอะไรเนี่ย มีจริงมั้ย
ตัวผมเองพอจะบอกได้ว่ากระสือมีจริง เพราะน้าชายผมเจอจังๆจนวิ่งป่าราบมาแล้ว
(น้าผมเป็นเซียนเจ้าชู้ตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่ม ไปสมัครเป็นลูกศิษย์หมอผีเพื่อจะเอาน้ำมันพราย
หมอผีเลยใช้ให้ไปลนน้ำมันจากศพ น้าผมเลยเจอหัวกระสือไล่ล่าก็ช่วงนั้นแหละครับ
ลืมบอก จว.สุรินทร์ครับ)
เลขาผมเคยบอกว่าเปรตนี่มันมีจริงๆนะเฮีย...หนูเจอกะตัวจนจะเป็นไข้หัวโกร๋น
คือเลขาผมเป็นเด็กขอนแก่นครับ แต่ตัวบ้านจะอยู่ลึกเข้าไปในหมู่บ้านที่ออกจะสงัดหน่อย
ตอนปิดเทอมมัธยมปลาย เธอกับเพื่อนอีก 2 คนนอนค้างบ้านด้วยกัน
เผอิญมีอยู่คนที่ไฟดับ ก็เลยชวนกันมานั่งริมระเบียงชั้นสองกัน 3 สาว คุยกันหนุงหนิงรับลม
บ้านจะค่อนข้างติดถนนลูกรัง ตามประสาถนนบ้านนอกก็ย่อมมีต้นไม้ขึ้นเป็นช่วงๆ
เลยถนนลูกรังฝั่งตรงข้ามคือทุ่งนาครับ
ปรากฏว่าคุยไปอยู่ดีๆ ต่างก็เงียบโดยพร้อมเพรียง...
ที่เงียบเพราะตรงถนนมืดๆมีเงาสูงๆเคลื่อนมาครับ เงาร่างเคลื่อนผ่านมาตามถนนจนถึงตรงหน้าระเบียงบ้าน
ระดับตัวมันสูงเท่าระเบียงเลย เลขาผมบอก
ตัวมันจะผอมๆ ขายาวๆ มือยาวๆ หน้ากับปากจะไม่เห็นชัด แต่ที่ชัดสุดๆคือตาแดงๆ แดงเหมือนถ่าน
จนมันเดินผ่านหน้าบ้านไป สามสาวถึงจะขยับได้ เลยรู้แน่ๆว่าเห็นเปรตตัวเป็นๆคาตากันทั้งสามคน...
ตอนที่เล่าผมก็ถามเลขาเหมือนกันนะว่าไม่กลัวเหรอ ทำไมไม่วิ่งเข้าบ้าน
เธอบอกว่าก็ที่ไม่วิ่งเข้าบ้านเพราะกลัวจนขยับไม่ได้น่ะเสะเพ่
หนูแทบเป็นลมอยู่แล้ว!
อีกเรื่อง ย่อๆ อันนี้ไม่ได้ฟังมากะตัวแต่อ่านเอา
เป็นเคสรวมเรื่องผีจริงๆที่ฝรั่งเจอมาครับ จะบอกชื่อสกุล ที่อยู่ของเจ้าของเรื่องกำกับไว้หมด
ผมจำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว แต่ที่จำได้แม่นสุดๆคือต้นเรื่อง
เพราะมันเป็นนิสัยที่ผมชอบทำมาก
คนเล่าเรื่องเป็นผู้หญิง เจอผีเด็กเข้าไปสิงในบ้าน กว่าจะหาหมอผีมาไล่ได้...แทบตาย
ประเด็นคือ...บ้านที่อยู่ไม่เคยมีใครตาย แค่มีคนมาขายต่อให้แค่นั้น
ที่ดินก็ไม่ใช่สุสานหรืออะไรมาก่อนเลย เธอเลยงงว่าผีมาจากไหน
ปรากฏไล่ไปไล่มา... เธอขับรถครับ...
มีอยู่วันหนึ่งเธอต้องรีบไปรับของ หรือส่งอะไรสักอย่างที่มันรีบมากๆ ผมจำไม่ได้แล้ว
เธอจำได้ว่าขับรถผ่านป้ายรถบัสแล้วจอดลงเพื่อไปเอาของอย่างด่วนจี๋
เธอลงรถแล้วเปิดประตูคาไว้แป๊บเดียวจริงๆ... ส่งของหรือเองของเสร็จก็โดดขึ้นรถ ขับกลับบ้าน
ไอ้ตอนเปิดประตูรถนั่นแหละที่สรุปกันได้ว่า...ผีคงวนเวียนอยู่ตรงป้ายรถ เลยขอติดรถกลับบ้านมาด้วย
ผมอ่านเรื่องนี้แล้วก็ตั้งใจว่า...จะไม่ยอมเปิดประตูรถทิ้งไว้เด็ดขาด
กลัวผีขอขึ้นรถฟรี
อีกเรื่องจากเล่มเดียวกัน
เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า"ผีเมียเก่า" นี่เฮี้-ยนโพด ไม่เลือกประเทศนะเอ้า
เจ้าของเรื่องเพิ่งแต่งงานใหม่กับพ่อหม้าย และย้ายไปอยู่บ้านเขา
เจอผีเมียเก่ารังควานทุกรูปแบบ โดยเฉพาะแบบ poltergeist คือขว้างของ ขว้างรูป
ครั้งหนึ่งขว้างจานเฉี่ยวหัวเธอหัวแทบแตก
ตอนแรกคุณสามีไม่เชื่อครับว่าเป็นผีเมียเก่าที่ตายไปแล้ว สองคนแทบจะทะเลาะกันบ้านแตกเพราะความไม่เชื่อกันนี่แหละ
(ผมคาดว่าเข้าแผนผีเมียเลยง่า)
ประเด็นของเรื่องที่ทำให้ผมจำเรื่องนี้ได้ คือการที่รู้อดีตของภรรยาที่ตายไป...
ว่าตอนยังมีชีวิตเธอเป็นผู้หญิงปกติเลยครับ เรียบร้อย ไม่ได้โมโหร้าย ไม่ได้เอาแต่ใจอะไรเลย
แต่ความที่ตายกะทันหันตอนยังรักสามีมาก เพิ่งสร้างบ้านอยู่กันใหม่ๆด้วย
ทำให้ผมนึกถึงที่คนไทยโบราณเคยบอกไว้ว่า คนตายตอนที่ยังมีห่วง ยังหวงของยังหวงคน ผีจะเฮี้ยนเป็นพิเศษ
โห...คนปกติที่เรียบร้อยสามารถกลายเป็นดวงวิญญาณที่น่ากลัว หลอกหลอนแบบขนหัวลุกขนาดนั้นได้...
เพียงเพราะจิตยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่รักจริงๆน้อ
อเมซซิ่งจริงๆ!
ผมก็เลยพยายามตัดการยึดติดอยู่ครับ เผื่อว่าถ้าตายไปจะได้เป็นผีใจดี
ผมชอบเป็นผีน้อยแคสเปอร์ครับ... น่าร้ากก
อีดิท
เปลี่ยนล็อกอินเป็น แคสเปอร์น้อยกลอยใจ ดีกว่านิ... อิอิ..
Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 23 มกราคม พ.ศ. 2556 - 06:04.
#32
ตอบ 23 มกราคม พ.ศ. 2556 - 21:31
คุณผึ้งครับ ก็เล่าตามที่ฟังมานะครับ ผมเองเขาว่ามีพระเกต มาปกป้องเต็มอัตราศึก เจ้าของสูตรบอกชาตินี้ชัวร์ ไม่เจอผีแน่ ...คุณ(เจ้าของสูตร)น่ะชัวร์ แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยแน่ใจ แฮะ
อีกเรื่อง หลายหมอดู บอกว่ายังไงผมก็ไม่ตายกลางถนน ด้วยอุบัติเหตุ ...ก็รอดมาครั้งหนึ่งละ
เด็กๆเชื่อว่า ผีกลัวแสงตะวัน แต่ตอนนี้แน่ชัดแล้ว กลางวันก็กลางวันเถอะ ...เจอมากับตัว
เด็กๆเชื่อว่า ผีกลัวพระ ถ้ามีผีหลอก ให้วิ่งไปหาพระ ผีจะทำอะไรไม่ได้ ...ตอนบวช บวชพร้อมกัน2องค์ แทนที่จะนอนคนละกุฏิ ก็กลับมานอนรวมกัน ....อ้างว่าจะได้ท่องบทสวดมนต์ด้วยกัน ต่อมาพระเพื่อนสึกไปก่อน ....เพิ่งรู้ถึงแก่น เออ พระนี่แหละโคตรกลัวผีเลย ...ต้องนึกภาพวัดเก่า ในต่างจังหวัดนะครับ ..อย่าไปเทียบกับบางวัด ถ้าไม่มีป้ายชื่อวัด นึกว่าเป็นรีสอร์ท
เรื่องเปรต ตอนเด็ก(มาก) นี่แม่กับป้า เล่าให้ฟัง ว่าตาของแม่เป็นเปรต มาแสดงตัวให้เห็น ว่าตัวสูงเป็นต้นตาล (อยู่บนบ้านชั้นสอง ต้องเงยหน้ามองแหละ) แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้สอบถามรายละเอียดมาก เพราะเป็นเด็ก
เรื่องตัวสูงเป็นต้นตาล มานึกระยะหลังๆ ทำไมไม่เปรียบว่าสูงเหมือนตะเกียบ เพราะเอาตะเกียบไปขยายส่วน ก็น่าจะไกล้เคียงกับต้นตาล
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#33
ตอบ 23 มกราคม พ.ศ. 2556 - 22:39
พูดถึงบวชพระนึกขึ้นได้ขอรับ... สมัยเด็กๆไปบวชเณรช่วงปิดเทอม ที่วัดพระอาจารย์ของบิดาที่สระบุรี อยู่ริมแม่น้ำป่าสัก สมัยนั้นทางเข้าด้านหน้าวัดเป็นป่าช้า และวัดเองก็ติดกับคุ้งน้ำใหญ่ตรงช่วงทางโค้งของแม่น้ำพอดี ลมจะเย็นสบายมาก หลังจากบวชจนปีกกล้าขาแข็ง กระพ๊มก็จะเอามุ้งมากางนอนกับหลวงพี่ หลวงอาสองสามรูปที่กลางศาลา แสนสบายมากมาย...
...เรื่องมันก็วันบวชวันแรกนั่นแหละขอรับ ไม่ได้มีพิธีกรรมอันใดมากมาย พระอาจารย์ก็จับโกนหัว ห่มผ้าเหลือง ไปกราบพระอุปปัชชาย์กับพระพี่เลี้ยงเสร็จก็เสร็จพิธี... ตามประสาเด็ก กทม. ไปบวชวัด ตจว. ที่ออกค่อนมาทางนอกเมืองซะด้วย ก็ตื่นเต้นอยู่แล้ว แถมหลวงพี่พระพี่เลี้ยงยังบอกทำนองพวกบวชใหม่ๆคืนแรกนี่แหละระวังให้ดีๆ เพราะบุญจะแรง เป็นที่ต้องการของ... เด็กๆฟังแล้วก็... หยึย... จริงเด๊ะ... พอตกเย็น ทางครอบครัวก็ลาพระอาจารย์กลับกันหมด สรุปกระพ๊มได้นอนที่กุฏิเดียวกับหลวงพี่รูปหนึ่ง ( ค่อยยังชั่ว... เอิ๊กๆๆๆ) พอจัดที่หลับที่นอนเสร็จ หลวงพี่ท่านก็มีตั่งอยู่ด้านในกุฏิตัวหนึ่ง ของกระพ๊มก็มีตั่งเตี้ยๆปูเสื่ออยู่อีกมุมหนึ่งด้านริมหน้าต่างของกุฏิ... แล้วหลวงพี่ท่านก็เตือน... เหมือนกับพระพี่เลี้ยง... แล้วท่านก็ปิดไฟนอนไป...
...กระพ๊มก็ต้องข่มตาหลับตาม สวดมนต์ก็แล้ว, แผ่เมตตาบอกอย่าทำให้ตกใจนะ จะเอาอะไรให้เข้าฝันบอกดีๆนะก็แล้ว... ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผ่านไปก็ไม่หลับเสียที... พลิกไปพลิกมาอยู่ในมุ้งนั่นแหละ จนกระทั่ง... มีเสียงกุกกักๆตรงหัวนอนเหมือนใครมาเคาะๆเบาๆที่ตั่งไม้ตรงหัวนอนนั่น... กระพ๊มก็หลับตาคลุมโปงกำหนดจิตแผ่เมตตาไปๆ สวดมนต์สลับท่อนกันในใจไปมั่วไปหมด หลังจากนั้นก็เคาะกันดังไปทั่ว ปลายเท้ามั่ง ข้างๆมั่ง หัวนอนมั่ง ที่ข้างฝาริมหน้าต่างนี่ยิ่งชัด... สรุปคือแผ่เมตตากันทั้งคืนไม่ต้องนอน จนหลวงพี่ตื่นตอนตีสามจะตีสี่แล้ว กระพ๊มก็เลยลุกวิ่งตามท่านออกไป...
...พอเช้าบิณฑบาตเสร็จ ฉันเช้าเสร็จ ก็ไปอาบน้ำอาบท่าตั้งใจจะไปเล่าให้พระอาจารย์ฟังเรื่องที่เจอเมื่อคืน ตอนนออกจากห้องน้ำกำลังจะเดินเข้ากุฏิตัวเอง เหลือบไปเห็นลังเตี้ยๆใบหนึ่งอยู่ตรงริมหน้าต่างที่กระพ๊มนอนอยู่ด้านในพอดีใบหนึ่ง... พอนุ่งสบงจีวรเรียบร้อยก็เดินออกมาดู... ลังอะไรฟะ? เห็นมีเศษกระดาษ, หญ้าแห้งอัดๆอยู่ครึ่งลังเหมือนรัง, ที่นอนตัวอะไรสักอย่าง... ก็ได้แต่สงสัยแล้วก็ไปทำกิจวัตรของเณรทั่วไปจนค่ำๆประมาณไม่ถึงทุ่มนึงดีก็เดินไปหยิบของที่กุฏิ พอเดินเข้าไปในกุฏิเท่านั้นแหละ... มาแล้วเสียงเมื่อคืน... นึกในใจเล่นกันแต่หัวค่ำเลยรึ... กำลังกลั้นใจ หลับตาปี๋ ยืนสวดมนต์ก็ได้ยินเสียงเล็กๆ... จิ๊บๆๆๆ... ... ผีลูกไก่หรือไงฟะ... นึกขึ้นได้ที่เห็นเมื่อตอนเช้ามีลังอยู่... เลยเดินย่องๆอ้อมออกไปด้านนอกหน้าต่างชะโงกหน้าเข้าไปดูในลัง...
ในลังมีแม่ไก่ตัวนึง กับลูกไก่อีกโขยงนึง แม่ไก่ก็กำลังไซ้ๆๆขน จิกโน่น จิกนี่ เสียงจงอยปากที่จิกไปโดนขางฝามั่ง อะไรมั่ง... ก็เสียงเดียวกับเมื่อคืนนั่นแหละ... ถ้าไม่ได้บวชอยู่นะเมิง... จะจับทำเบญจดารา ระการะเริงอัคคีซะให้... แสร๊ดดดดดดดดด เล่นซะไม่ต้องนอนทั้งคืน...
แล้วคืนนั้นกระพ๊มก็หลับเป็นตาย หงายเงิบไปกับเสียงกอกแกกๆๆ กุกกักๆๆ อย่างนั้น... จนกระทั่งสึกไปขอรับ...
- กรกช, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, Nong and 1 other like this
#34
ตอบ 24 มกราคม พ.ศ. 2556 - 09:02
***สัก10ปีมาแล้ว กลับไปเยี่ยมป้า ป้าบอกว่าเพิ่งเผาน้าชั้น ไปเมื่อวานซืน ..น้าชั้นเป็นแม่หม้าย มีลูก2คน ซึ่งทั้ง2คน ก็เหมือนจะเอาตัวไม่รอดแถมลูกคนโตเอาหลานชายมาให้แกเลี้ยงอีก แกทำอาชีพทำขนม สัก10โมงก็จะหาบไปขาย เสร็จก็3-4โมงเย็น ..น้าชั้นนี่แหละเป็นแม่ครัวใหญ่ฝ่ายของหวาน ในงานบวชผม
ป้าเล่าว่าสัก2อาทิตย์ ก่อนน้าชั้นตาย ป้าฝันเห็นน้าชั้นแบกจอบซ้อนท้ายมอ-ไซค์ ใครก็ไม่รู้ไป ป้าเรียกให้ลง ก็เหมือนไม่ได้ยิน วันต่อมาป้าเอาเงินไปให้น้าชั้น บอกว่าเอาไปทำอาหารใส่บาตรพระซะ ...อีกวันต่อมา ป้าผมก็ถามว่าทำอะไรใส่บาตรล่ะ น้าชั้นตอบว่า ช่วงนี้หมดทุนเลยเอาเงินที่ให้มาไปทำทุน ...อีกไม่นาน น้าชั้นก็ตาย
ป้าบอกว่า การที่ฝันเห็นน้าชั้นแบกจอบไปนั้น ความหมายคือเอาจอบไปขุดหลุมฝังตัวเอง
***สัก30ปีที่แล้ว ไปกับเพื่อนที่ทำไร่พริก ซึ่งเพื่อนมีหน้าที่ลากเรือดำน้ำ ไปดันน้ำรดพริก เป็นหน้าที่ของมันต้องมาทำทุกวันช่วงบ่าย 3-4โมง ผมก็นอนรอให้มันทำงานเสร็จ หลับไปแล้วฝันครับ ในฝันเห็นคลอง "วัดน้อย" จำภูมิประเทศได้ ในฝัน กลางคลอง(หน้าแล้งจะไม่มีน้ำ)มีคน3-4คนไล่ทำร้าย คนๆหนึ่ง จำได้ว่าคนถูกไล่ทำร้ายคือพ่อเราเอง เสียงพ่อร้องเรียก "ช่วยพ่อด้วย" ผมก็ผลุดลุกขึ้นยืน หันกลับมามอง หาของที่จะเอาไปช่วยพ่อ ก็มองเห็นร่างตัวเองยังนอนกับพื้น ก็ร้องเฮ้ย แล้วล้มตัวลงนอนทับร่าง ...เกือบถอดจิต/วิญญาณ ไปเที่ยวซะแล้ว
***สัก2เดือนที่แล้ว ฝันว่าทะเลาะกับน้องสาว แล้วน้องสาววิ่งหนีไป วิ่งตามไม่ทัน จนมาโผล่ที่ๆเหมือนท่ารถเมล์/ท่า2แถว-มอไซค์รับจ้าง เหมือนที่พักผู้โดยสารบ้านนอก(มากๆ) ผมถามว่าที่นี่ที่ไหน มีคนตอบว่า "น่าน" ผมถามต่อว่ามีรถเมล์ผ่านไหม เมื่อไรจะมา, มีรถรับจ้างไปถนนใหญ่ไหม ไม่มีคำตอบจากคนเหล่านั้น เหมือนไม่มีผมอยู่ที่นั่น กำลังกังวลใจเพราะไกล้ค่ำ โพล้เพล้แล้ว ทันใดก็มีรถเมล์วิ่งมา
รถเมล์นั้นเหมือนรถทัวร์ทั่วไป ที่แปลกคือ ทั้งหมดดำทึบหมดไม่มีแสงสว่างรอดออกมาเลย มีสว่างจ้าที่เดียวคือกระจกด้านคนขับ สว่างมากเห็นคนขับใส่เสื้อขาว/ฟ้าอ่อน รถจอดกระเป๋ารถลงมาตะโกน "พัทยา ไปพัทยา" ผมถามว่า ทางผ่านที่ไกล้กรุงเทพที่สุด ที่ไหน เขาตอบ "สันกำแพง" ตั้งแต่รถจอด มีคนแย่งกันขึ้นรถ จนผมแทรกขึ้นไม่ได้ ผมเลยตะโกนว่า "ไปพัทยา ทำไมผ่านสันกำแพง" เขาไม่ตอบ ปิดประตูรถ แล้วรถก็ออกไป
กลับหมอน สวดยันทุน ตะกุกตะกัก ...เล่าให้เมียฟัง เมียบอกว่าถ้ามีใครชวน อย่าไปกับเขาเด็ดขาดเลยนะ
Edited by IFai, 24 มกราคม พ.ศ. 2556 - 09:08.
- กรกช, Nong and ก๊องส์ไข่กวน like this
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#35
ตอบ 25 มกราคม พ.ศ. 2556 - 21:30
Edited by GermanManiac, 25 มกราคม พ.ศ. 2556 - 21:31.
- กรกช, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, Nong and 3 others like this
#36
ตอบ 26 มกราคม พ.ศ. 2556 - 07:21
เรื่องสยองใจ
เมื่อกี้ไปตักบาตร หลวงพ่อบอก จะไม่บิณฑ์ 2-3วัน มีศพ(เจ้ามือไฮโลว์) มาตี3 เมื่อคืน ผมตอบ อ้าว....แล้วใครจะเป็นเจ้ามือหลักในงานศพล่ะ
ผมไปบันหารบุรี ครั้งล่าสุดเกือบ2ปีที่แล้ว เผาศพเพื่อนรุ่นพี่ ที่เอ็นดูผมมาก ไม่ว่าผมจะไปถึงบ้าน ..ไปหาแกเวลาอะไร สภาพอากาศยังไง แกจะมานั่งร่วมวงตามคำขอกับผมเสมอ
จากนั้นไม่ได้ติดต่ออีก เพราะซิม หายไม่มีเบอร์โทรติดต่อ ...เมื่อปลายปีได้เบอร์มา โทรไปคุย สุดท้ายก็คุยเรื่องใครอยู่-ใครไป แล้วบ้าง ได้ความว่าแถวบ้าน ไปกว่า10แล้ว ในช่วง2ปีที่ผ่านมา
แบ่งแยกแล้ว
รุ่นปู่ รุ่นย่า ...0%
เป็นรุ่นพี่ ....>รุ่นป้า-ลุง รุ่นพ่อแม่ 60%
รุ่นเดียวกัน ...38%
รุ่นน้อง ...2%
อา....เริ่มคลานไปหาเป้าหมายแล้วเน๊าะ
- G.Maniac, กรกช and ก๊องส์ไข่กวน like this
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#37
ตอบ 26 มกราคม พ.ศ. 2556 - 09:14
ขำ "ผีน้องลูกไก่" ของท่าน wat มากมาก
รถเมล์นั้นเหมือนรถทัวร์ทั่วไป ที่แปลกคือ ทั้งหมดดำทึบหมดไม่มีแสงสว่างรอดออกมาเลย มีสว่างจ้าที่เดียวคือกระจกด้านคนขับ สว่างมากเห็นคนขับใส่เสื้อขาว/ฟ้าอ่อน รถจอดกระเป๋ารถลงมาตะโกน "พัทยา ไปพัทยา" ผมถามว่า ทางผ่านที่ไกล้กรุงเทพที่สุด ที่ไหน เขาตอบ "สันกำแพง" ตั้งแต่รถจอด มีคนแย่งกันขึ้นรถ จนผมแทรกขึ้นไม่ได้ ผมเลยตะโกนว่า "ไปพัทยา ทำไมผ่านสันกำแพง" เขาไม่ตอบ ปิดประตูรถ แล้วรถก็ออกไป กลับหมอน สวดยันทุน ตะกุกตะกัก ...เล่าให้เมียฟัง เมียบอกว่าถ้ามีใครชวน อย่าไปกับเขาเด็ดขาดเลยนะEdited by IFai, 24 January 2013 - 09:08.
เจ๊ยยยยย น่ากลัวมากกก
ฝันแบบนี้ใช่เลยครับ...เป็นการเดินทางเอาวิญญาณไปครับ!!!
#38
ตอบ 26 มกราคม พ.ศ. 2556 - 15:35
คิดถึงพี่ที่หายสาปสูญไปที่ทุ่งไหหิน สมัยผมเพิ่งสมัครเดินตามขวด
1. ไปเที่ยวงานกันมา เกิดพลัดหลงฝูง มีผมกับพี่กลับบ้านกัน2คน ท่ามกลางไอฝน พี่เขาถือไฟฉาย เปิดพอเห็นทางข้างหน้า แล้วดับ เป็นเช่นนี้ตลอด ผมไม่ได้สังเกตุดวงไฟครับ เดินย่ำรอยตีนพี่เขาไปเรื่อยๆ มีช่วงหนึ่งเดินอ้อมหลังวัด จึงเพ่งมองตามแสงไฟ ตกใจครับแสงไฟ เห็นอะไรมาบัง จึงสะกิดพี่ ถามพี่ตะกุกตะกัก พี่ๆ พี่เห็นอะไรเปล่าเมื่อกี้ ...อะไรวะ ...พี่ฉายไฟไปที่เมื่อกี้ใหม่ซิ ...พี่เขาฉายไฟ ...นั่นเห็นไหมพี่ ตรงกลางดวงไฟน่ะ ...แกเอาไฟฉายเขกหัวผม แล้วเอาไปส่องที่เดิม ภาพไฟชัดครับ ...เมื่อกี้ขี้มึงขึ้นสมอง กระเด็นมาติดกระจกไฟฉาย ตอนนี้หายแล้ว ...เม็ดน้ำฝนเกาะกระจก ภาพเลยออกมาไม่ชัด ผมจินตนาการไปไกล
2.ผมกับเพื่อนอีกคน ไปเป็นเพื่อนพี่ซึ่งจะไปหาเมีย ไปถึงตลาดเกือบทุ่ม ผมกับเพื่อนรอพี่ที่ร้านเจ้าประจำ(ของพี่เขา) หลังที่ดวดไปกรึ๊บใหญ่ พี่ก็ไป 4ทุ่มเศษพี่จึงกลับมา
กว่าจะย้ายก้นออกมาได้ สัก2ยาม เดินกลับโดยหน้ากระดานเรียงปึก พี่อยู่กลาง ผมอยู่ขวา ออกมาสักพัก ท่ามกลางแสงจันทร์ สังเกตุพุ่มไม้ใหญ่ ด้านซ้ายมือเขย่าไหวจนสังเกตุได้ ไอ้เพื่อนที่เดินฟากซ้ายมาขอบุหรี่สูบ แล้วย้ายมาเดินขวามือผม ผมเลยอยู่ตรงกลาง จนไกล้พุ่มไม้ มันเหมือนไหวแรงขึ้น จนเหมือนเขย่า เดินจ้องยอดไม้ นึกสังหรณ์ใจ
เปรี้ยง ...เสียงจากลูกซองสั้น ที่พี่ยิงขึ้นฟ้า ห่างผมไม่ถึงวา หูลั่นเปรี๊ยะ ไม่ได้ยินแม้พี่เขาขอบุหรี่ ..เฮ้ยจุดบุหรี่ให้มวน ผมมองหน้า เพราะแกไม่สูบบุหรี่ ...ขออิ้นมวน โด๊ปด้วยอย่าให้ดับ ผมจุดให้แล้วดึงยาวจนแดงวาบ ส่งให้แก แกดีดบุหรี่ ไปแถวโคนกลุ่มไม้นั้น พร้อมพูด "เอ้าสูบซะ ถ้ามึงขืนทะลึ่งแบบนี้อีก กูจะยิงกรอกมึงเลย อยากโดนยิงอีกหนก็ลองดู"
คนต่างตำบลรู้จักกับพี่ ทั้งในวงเหล้า และวงพนัน แต่คนตายเพิ่มอีกอย่าง ชอบยุ่งลูกเมีย ชาวบ้าน โดนยิงตายที่โคนไม้นั้น สัก2อาทิตย์ก่อนหน้านี้
รูปข้างล่างปืนลูกซองสั้น ไทยประดิษฐ์ ฝรั่งบรรยายว่าเป็นปืนจากจีนเฉยเลย
Edited by IFai, 27 มกราคม พ.ศ. 2556 - 23:05.
- กรกช likes this
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#39
ตอบ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 - 10:20
เมื่อปี 54 ตอนนั้นผมยังทำงานอยู่กรุงเทพฯ เจ้าของบริษัทเป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องผม
อายุยังไม่มากแต่แต่งงานแล้ว แฟนน้องชายเป็นหลานของอดีต รมต. สมัยรัฐบาล สุรยุทธ ( มีศักดิ์เป็นตา)
ผมจำไม่ได้ว่าเดือนไหน ( แต่ก่อนน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ) ภรรยาของอดีต รมต. ซึ่งมีศักดิ์เป็นยายของแฟนน้องชายได้เสียชีวิต
วันหนึ่งน้องชายมาเล่าให้ฟังว่า
ลูกกับแฟนของผู้เสียชีวิตคู่หนึ่งที่อยู่เมืองนอก ได้กลับมางานศพ
และวันหนึ่งหลังจากกลับจากงานศพ ก็ได้ไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
และทั้ง 2 คนได้เจอวิญญาณของแม่นั่งอยู่ในห้อง คือเห็นทั้ง 2 คนเลย
ก็เลยมาเล่าให้ญาติพี่น้องฟัง แฟนน้องก็มาเล่าให้น้องชายผมฟัง น้องชายก็มาเล่าให้ผมฟัง ผมก็เอามาเล่าให้เพื่อนสมาชิกฟัง
- ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ and IFai like this
#40
ตอบ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 08:47
ไม่มีเงาหัว(ชะตาขาด) ราศีคนเป็น ราศีคนตาย
ไม่มีเงาหัว เคยได้ยินผู้ใหญ่เล่ามาว่า ถ้าเห็นคนไม่มีเงาหัว ให้ปั้นผ้าขาวม้าเป็นก้อนแล้วขว้างไปที่หัว และพูดว่ากูต่อหัวให้*คุณ*
**ในวงเสวนา ใต้ถุนบ้าน ร่วมวงกับลุง2คน คนหนึ่งเป็นคนขว้างด้วยผ้าขาวม้าปั้น ก็พูดลักษณะทวงบุญคุณ อีกคนบอกถ้ามึงไม่ทำ กูก็ไม่ต้องทรมานกับชีวิตอย่างนี้หรอก ...นึกถึงคนบางคนพอเห็นหัวมัน อยากเอาผ้าขาวม้าพันไม้หน้า3 หวดเบาๆ ..กูเพิ่มก้อนสมองให้*คุณ*
**ที่นี่ที่ผมอยู่ปัจจุบัน หนุ่มกลางคน มันโหล่ครับ เหมือนไม่กลัวใคร ต่อมาได้ข่าวว่าเมียมันหนีกลับบ้านพ่อตา ถัดมาเป็นสัปดาห์เห็นมันนุ่งขาวห่มขาว ฟังว่านอนที่วัดด้วย เจอมันจะๆก็ถามว่า คืนดีกับเมียได้นี่ต้องบวชแก้บนเลยหรือ ...โอ๊ยลุงเรื่องเมียน่ะ ใช้นิ้วกลางเคาะ3ทีก็เรียบร้อย พอดึกที่บ้านเขาหลับหมด ก็ย่องไปใช้นิ้วกลางเคาะประตู3ทีก็เรียบร้อย ...เอากับมัน
*ได้ข่าวทีหลัง มันถูกทักโดยคนทรงเจ้า กับพระอีกองค์ ว่า เงาหัวมันเห็นแค่ลางๆ เท่านั้น มันจึงแต่งขาว ถือศีลตามคำแนะนำครับ
ราศีคนตาย ..2-3วันก่อน เหนื่อยจากทอนไม้ ก็ไปกินน้ำดำที่ร้านค้า แม่ค้าถาม พี่ไปเยี่ยม-----หรือยัง ...ยังเลย เป็นไงบ้างล่ะ ...รีบหาเวลานะ ราศีไม่มาทางเราแล้ว
30ปีก่อน (ลูกชายเต็ม27 ถ้าเรื่องเกิดก่อนลูกชายเกิด ก็ถือว่าเป็นเรื่องเกิดก่อน30ปี) ผมอยู่ที่ซ.วัดดงมูลเหล็ก บ้านปลูกชิดที่ ขอบหน้าต่างครัวชั้นล่างห่างจากประตูรั้วบ้านอีกหลังประมาณ5เมตร
ในบ้านนั้นมี6คน พ่อ-แม่-ลูกอีก2 กับน้าสาวน้าเขยของหัวหน้าครอบครัว ผมก็สนิทกับพวกเขาพอสมควร โดยเฉพาะน้าชายทักกันบ่อย เพราะช่วงบ่ายๆ น้าแกจะมานั่งเล่นที่โต๊ะใต้ซุ้มไม้ ที่ประตูรั้ว ได้ทักทายพูดคุยกันเป็นเรื่องราวในช่วงนี้
บ่ายนั้นโผล่หน้าต่าง เห็นน้าชายนั่งพิงเสาประตูรั้วหันหลังให้ ...ผมก็ทักทาย น้าอากาศร้อนนะ แกหันมา ผมกลัวจนต้องถอยหลังออกมา สักพักจึงย่องไปปิดหน้าต่าง ไม่ให้เห็นหลังบ้าน
ผมก็ทักทาย น้าอากาศร้อนนะ แกหันมา ...แต่ลักษณะที่หันมานั้นมันขัดตา อธิบายไม่ถูก แต่ที่สำคัญใบหน้าดำคล้ำ ตาขวางไม่มีแวว ผมกลัวจนฟังไม่รู้ว่าเขาตอบหรือเปล่า หรือตอบว่าอะไร
สักตี5กว่าๆ มีเสียงกลุ่มคนคุยกันที่ประตูบ้านนั้น มีแสงไฟสว่าง ผมเปิดประตูหลังบ้านไปดู ...น้าคนนั้นผูกคอตาย นั่งในท่าที่ผมเรียกตอนบ่าย น่ะแหละครับ
Edited by IFai, 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 08:51.
- กรกช and ก๊องส์ไข่กวน like this
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#41
ตอบ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:37
ช่วงตอนบวช มีอยู่ 3 - 4เรื่อง (แต่ของคนอื่น) ก่อนบวช มีคนที่จะบวชก่อนหน้าผม 2 คน(พรรษานั้นมีบวช ประมาณ 4 คนบวชไล่ๆกันผมคนที่ 3 ) ชอบเรื่องไสยศาตร์เล่นของ คนแรกบวชได้ 2 วัน ส่วนอีกคนกำลังจะบวช วันมะรืน คืนก่อนวัน ทำขวัญนาก สองคนนี้ไปลองของกัน คืนนั้นเกิดเรื่องขึ้น หมาหอนตั้งแต่หน้าวัด จนถึงกุฏิที่ผมพักกันแม้แต่ห่านยังหอนด้วยเลย ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่า 2 คนนี้ไปทำอะไรกัน พอตอนเช้า ผมนั้งท่องขานนากอยู่เห็นสองคนเดินขึ้นกุฏิมา คนที่กำลังจะบวช อาการลอยสั่นๆ เหมือนคนจิตหลุดจิตเตลิด ผมจึงพยัญให้กับพระใหม่ประมาณถามว่าไปลองของกันมาใช่ไหม พระใหม่ก็พยัญหน้ารับ ผมก็ส่ายหัว ประมาณอยู่ดีไม่ว่าดี พอดี หลวงพี่ที่บวชอยู่จะออกไปบิณทบาตร ผมเลยตามไปเป็นเด็กวัดช่วยหลวงพี่ พอกลับมาถึงวัด ไปที่กุฏิ คนที่เจอดี ยังไม่ค่อยมีสติ(เหมือนยังลอยๆอยู่ ) จนกระทั่งหลังเที่ยงถึงเป็นปกติ จึงสอบถาม เขาเล่าให้ฟัง ว่า เขาได้ตะกรุดหลวงพ่อทองวัดก้อนแก้วมา อยากเอาไปลอง พอดีได้คาถา เรียกสัมภเวสี ประมาณว่า เวลาไปไหนเจอโจทย์ ให้เรียกขึ้นมาช่วยได้
ก็เลย ท่องเรียกหลวงพ่อทอง
ผมเลยบอก "ท่านบ้าหรือเปล่าเอาคาถาเรียกผีไปเรียกพระ มันไม่ได้ แล้วโดนอะไรเข้าหละ"
เขาเล่าต่อว่า สักพัก เขาได้ ยินเสียง "มรึงจะเอากับกรูหรอ" 4 ครั้ง หูละสองครั้ง ตะกรุดร้อนจี้ เลย เขาเลยส่งให้พระบวชใหม่ พระบวชใหม่เลยถามว่า " มรึงทำเชี้ยอะไรนี้ " เลยบอกพระว่าได้ยินเสียง 4 ครั้งว่ามรึงจะเอากับกรูหรอ พระใหม่เลยรีบจุดเทียนท่อง มงคลจักรวาลแปดทิศ ท่องยังไม่ถึงครึ่งดี เทียนดับ พระใหม่หงายหลังกลิ้งเลย เขาบอกว่า เห็นคน7-8 คนมารุมกระเทือบ พระใหม่ (เพราะตะกรุดอยู่กับพระใหม่) ส่วนเขาเห็นคนเป็นร้อย ทุกคน ถืออาวุธครบมือเขาตกใจ เหมือนว่าวิ่งหนี ไปเจอกลับ พ่อแก่ ฤาษี 12 องค์ ออกมาขอ ว่าเขาจะบวชแล้ว อีกแค่ 1 วัน อย่าทำอะไรเลย
เขาได้ยินเสียงตอบกลับมาว่ากรูไม่ให้ เขาเลยวิ่งไปหาหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโสธร เอาแก้วมาครอบให้ (ตอนหลังถามแม่เขา แม่เขาเลยบอกว่าตอนเด็กไปฝากให้เป็นลูกหลวงพ่อโสธร)พวกที่จะทำร้ายเลยเข้ามาทำร้ายไม่ได้ จนเช้า เขาบอกว่าตอนเช้าเขา รู้สึกตัว แต่ทำอะไรไม่ได้ เหมือนคนโดนผีอำ จนกระทั่งใกล้เที่ยง เขาเห็นคนเดินขึ้นมาบนกุฏิ แล้วมายืนคร่อม ตัวเขา แล้วตบหัว แล้วบอกว่า "มรึงเล่นอะไรเชี้ยๆ อันนี้มันใช่ของเล่นหรอ ตะกรุดอันนี้ มันใช้กันสัตว์มีพิษ ดีที่ พระนั้นมันมีของดีติดตัว(ตะกรุดชุด ของหลวงพ่อ ซ้อย) ถ้าไม่งั้นพวกมรึง ตายห่าไปนานแล้ว พ่อแก่ส่งให้กรูมาช่วยแก้พิษ ให้*คุณ*" แล้วเขาบอกว่าคนที่มา ยังสอนวิธีการเล่นของต่างๆ ให้อีก ส่วนพระใหม่ บอกว่าโดนพวกลูกศิษย์ของหลวงพ่อทองกระเทือบหลวงพ่อทองไม่ได้มามาแต่ลูกศิษย์ (พวกที่กระเทือบเขา 7-8 คน ลูกศิษย์เอกทั้งนั้น) จนตอนเช้าลุกไม่ขึ้นต้องให้โยมที่มาปลุก จุดธูปขอขมา ถึงจะลุกขึ้นมาได้ เลยพา อีกคนมาที่กุฏิ ในสภาพ ที่ผมเห็นตอนแรก นั้นหละ ระวังไว้นั้นครับ ถ้าไม่รู้จริงอย่าลองอาจจะไม่โชดดีรอดมาแบบนี้ (จะว่าไปโดป ยามาหลอน ก็ไม่นาจะใช่เพราะคืนนั้นผมก็ได้ยินหมาหอนทั้งวัด ห่านสามตัวใต้กุฏิก็หอนด้วย)
เรื่องที่ 2 หลังจากบวชได้ 2 อาทิตย์ เห็นคนถูก ผีเข้ามากลับตา พอดีได้รับกิจนิมนต์ ไปทำบุญ 50 วัน ของ โยมคนหนึ่ง(คนตายเป็นคนเล่นของด้วยเหมือนกัน) พอเข้าไปในบ้าน ผมเห็นโตีะหมู่บูชา ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่มีเทพต่างๆ และกุมารทองตั้ง อยู่ ขณะที่สวดมนต์ อยู่นั้น ภรรยาคนที่ตาย เกิด เหมือนจะอ้วก อยู่ 2-3 ครั้ง สักพักก็ร้องห่มร้องไห้บอกว่า "ผมไม่อยากไป เขาจะเอาผมไปขังไว้หรือไง ผมไม่อยากไป " อารมณ์นี้ ผมรู้เลยว่า ผีเข้าแน่ๆ (เพราะตอนเด็กๆ เคยเห็นคนทรงหลวงปูเมฆ อาการแบบนี้เลย คือเหมือนจะอ้วกแต่อ้วกไม่ออก 2-3 ครั้ง) ผมกับ อีก 2 คนที่เคยไปลองของ มองหน้า เหมือนรู้กันว่าเอาแล้วไง ผีเข้าของจริงเลย ผมเลย ลองส่งจิตออกไป บอกว่า โยมตายไปแล้วนะ อยู่คนละโลกกันแล้ว ตัดใจบ้าง เขา ก็พูดออกมาว่า "ผมอยากจะอยู่กับลูกกับเมีย ต่อ" เจ้าอาละวาสก็พยายามปลอบกันใหญ่ จนยอมสงบ เจ้าอาละวาส ก็เลย ให้สวด กะละณียะเมตตาสูตร พอสวดไปได้หน่อย เจ้าอาละวาส เหมือนจะอ้วกแล้ว ส่งเสียงออกมา ฮิ ฮิ พระได้ยินกันหมด เจ้าอาละวาสเลยเอาเอาน้ำมนต์มาพรมหัว
ตอนกลับเลยได้คุยกันกับคนที่เคยลองของ 3 องค์สรุป ตรงกันว่า กุมารทอง เล่นเจ้าอาละวาส แน่นอน ส่วนเจ้าอาละวาส กลับมานอนซม อยู่ 2 วัน (เจ้าอาละวาส ทำตัวไม่น่านับถือเท่าไหร่ มีข่าวไม่ดีเยอะ เป็นนักเลงเก่า เหมือนบังคับเอาตำแหน่งเจ้าอาละวาส มา ตอนบวชเป็นพระชอบไปหาเมียตอนกลางคืน ตอนนี้ไปลำบากเรียบร้อยแล้ว ตายอยู่ในกุฏิ สภาพ ตาเหลือก มือเกร็ง ตายทรมาณ มาก)
เรื่องที่ 3 เรื่องเล่าผีๆ ในวัด ที่เขาเจอกัน
หลวงน้าคนหนึ่ง บวชมายัง ไม่เคยบิณบาตร เลย บ้างครั้ง ก็ทำกับข้าวเอง คืน หนึ่งแกบอกว่าเปิดหน้าต่าง เจอ กับ ผี ผู้หญิงหัวขาด ลอย อยู่
หลวงน้าอีกองค์หนึ่ง ตอนที่พวกที่เคยลองขึ้นกันเดินไป ตีระฆัง(ตอนตี 5 ) คนที่โดนดี กลัวผีมาก จะของให้พระอีกองค์ไปเป็นเพื่อนเสมอ
ตื่นมาบอกว่า เห็นคนแก่ๆ หม่ผ้าขาวเดินตาม มาด้วยพอถามทั้ง 2 องค์ก็ไม่มีใครเห็น ส่วนผม ไปคนเดียวกลับมาด้วยเป็น 10 พอตีระฆัง สำเร็จหมาแมวที่วัดก็จะตามมาส่งขึ้นกุฏิตลอด
พระที่เล่นของก็ชอบเล่น แถมเลี้ยงรักยม ไว้ด้วย กลางคืน จะได้ยิน เสียงวิ่งเล่นกันบนกุฏิ ประจำ บ้างครั้งผมก็บอกออกไปว่าพระจะนอน อย่างเสียงดัง นัก ก็เงียบไป แต่ไม่เคยเห็นจะๆ เลย ห้องที่ผมอยู่ก็ถือว่า แรงเหมือนกัน เป็นห้องที่อยู่ตรงกลาง เรียกว่าขึ้นบันไดมาหันมาก็ประตูห้องผมแถมตรงกับหน้าต่าง ยังมีเสาตกน้ำมันในห้องด้วย แต่ผมไม่เคยเจอเลย ในห้องถ้าวันไหนผมบิณบาตร บนหิ้งต้องมีข้าว หลวงพีที่บวช อยู่ก็เคยเตือนว่า "ที่คุณทำนะมันดีกับ คุณแต่คนอื่นล่ะเขาอยู่กลับคุณเขาได้เกือบทุกวัน ถ้าคุณไม่อยู่แล้วคนอื่นมาอยู่จะทำไง" ผมก็ไม่ได้อะไร พอผมสึก กลับไปที่วัด พระที่โดนดี ก็บอกว่า พอผมไม่อยู่ตอนกลางคืนไม่รู้อะไร เสียงโครมครามในห้องแทบไม่ได้นอนเลย เป็นอยู่ 2-3 วันหลังจากผมสึก
Edited by ter162525, 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 14:45.
- กรกช, ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, Nong and 1 other like this
#42
ตอบ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 06:02
คุณter162525 ....มีธรรมเนียมคล้ายกับแถวบ้านผม
" พอตอนเช้า ผมนั้งท่องขานนากอยู่เห็นสองคนเดินขึ้นกุฏิมา" หนุ่มแถวบ้านผมเวลาจะบวช ก็ต้องไปนอนวัดซ้อมขานนาค แถวบ้านผมถือว่า ถ้าขานนาคไม่คล่อง ถือเสมือนว่าไม่เต็มใจบวชแทนคุณพ่อแม่ ผมเองตอนบวชทำงานที่กท. ก็ท่อง พอเสาร์-อาทิตย์ ก็ไปซ้อมกับเจ้าอาวาส บวชจริงก็ยังมีพลาด ...สมัยอยู่ชม. อยู่ดีๆวันหนึ่งลูกน้องมาลาบวช(ไม่เคยได้ยินล่วงหน้ามาก่อน) ก็นึกถึงเรื่องขานนาคนึกในใจไอ้นี่ดีนะ แอบซุ่มขานนาคมา พอถึงวันบวช ผมก็ไปด้วย อย่าว่าแต่ขานนาคเลย ตั้งนะโม ยังไม่จบสักจบ ..ถ้าเป็นบ้านผม คงลือกันทั้งตำบล
ที่นี่ก็เหมือนกันจัดงานบวชใหญ่โต มีโต๊ะจีน มีวงดนตรี (วงดนตรีจ้างมาแพงขนาดไหนดูได้จากชุดหางเครื่อง ..ยิ่งสั้น ยิ่งน้อยชิ้น ยิ่งแพง) แต่พอเข้าโบสถ์ ต้องสอนขานนาคทุกคำ
"แม่เขาเลยบอกว่าตอนเด็กไปฝากให้เป็นลูกหลวงพ่อโสธร" ผมตอนเด็กขี้โรคครับแม่เลยไปยกผมให้กับหมอ หมอคนนี้เป็นหมอแผนปัจจุบัน เป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้าน แกได้วิชาหมอมาจากการเป็นทหารเสนารักษ์ครับ ผมเรียกท่านว่าว่าพ่อ มาแต่เด็ก แต่มาเรียกลุงหมอแทน ตอนรุ่นหนุ่ม เพราะท่านมีลูกสาวรุ่นเดียวกับผม ตะขิดตะขวงใจ
"หลวงพ่อโสธร เอาแก้วมาครอบให้" นึกถึงเรื่องครอบครับ เรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อเนียม ...มีชาวเหนือคุมขบวนช้างมาถึงที่แถววัด อยากมาลองวิชากับหลวงพ่อ ก็มาพบหลวงพ่อที่ลานวัด คุยกับหลวงพ่อไป ก็เอาขวานถากหน้าแข้งตัวเองไป แต่มีเสียงตึงๆตามจังหวะที่เขาถากหน้าแข้งตัวเอง ....มีคนไปถากเสากุฏิหลวงพ่อเนียมครับ เมื่อแสดงวิชาจบ ก็ลากลับ
เขาเล่าว่า หลวงพ่อหลังจากคุยกับคนเหนือเสร็จ ยังไม่ได้กลับขึ้นกุฏิ คนเหนือวิ่งหน้าตื่นมาหาหลวงพ่อเนียม บอกว่าช้างที่เอามาด้วยหายไปทั้งหมด ให้หลวงพ่อช่วยตามคืนให้ที หลวงพ่อเดินไปที่กะลาแถวนั้น เปิดกะลาออก ช้างทั้งโขลงอยู่ในกะลา หลวงพ่อบอกว่า มันตามโยมมา แล้วตอนโยมกลับไม่พามันกลับไปด้วย อาตมาเกรงมันจะเตลิดไปไกล.....
"พระที่เล่นของก็ชอบเล่น แถมเลี้ยงรักยม" ผมเลี้ยงลูกกรอกแมวครับ จำไม่ได้ว่าได้มายังไงแต่คนให้ต้องมีอิทธิพลต่อผมพอสมควร ตอนย้ายไปทำงานที่นครสวรรค์ เช่าโรงแรมอยู่(ใช้งานโอเปอเรเตอร์ เป็นพนักงานรับโทรศัพท์ด้วย) เลยได้อยู่ชั้นบนสุด เป็นที่ซักล้างผ้าทั้งหลายของรร. กลางวันจะมีแม่บ้านของรร.3-4คน มาทำงานนี้แม่บ้านเคยถามผมว่า ขังแมวไว้ในห้องด้วยหรือ มันร้องดังมาก .... จำได้ว่าเลิกเลี้ยงตอนย้ายออกจากรร. มีพิธีการบอกเลิกเหมือนกัน แต่จำรายละเอียดไม่ได้
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#43
ตอบ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 10:33
กระพ๊มก็เป็นลูกหลวงพ่อโสธรขอรับ สมัยเด็กๆย่าเล่าให้ฟังว่าแม่จะคลอดกระพ๊ม แล้วผิดท่ายังไงไม่ทราบคลอดไม่ออก แม่ก็เจียนตาย ย่ากระพ๊มท่านก็เลยบอกให้พ่อไปจุดธูปกลางแจ้งถวายกระพ๊มให้เป็นลูกหลวงพ่อโสธรเสีย... เห็นว่าพอพ่อกระพ๊มปักธูปปั๊บ ...ฟ้าผ่าเปรี้ยง... กระพ๊มก็คลอดเลย... ชื่อกระพ๊มเลยมีความหมายเกี่ยวกับสายฟ้านี่แหละขอรับ... หลังจากนั้นเลยต้องไปนมัสการหลวงพ่อทุกปี จนเป็นความผูกพันทางใจไป จนกระทั่งได้เรียนรู้พระธรรมที่เป็นพุทธวจนแล้ว จึงคิดว่าทุกอย่างอาจเป็นเพียงเหตุปัจจัย ไม่ใช่สาระใดๆของชีวิตในวันนี้ขอรับ...
ว่าแต่ตอนที่ฟ้าผ่ามา กระพ๊มพิจารณาแล้วว่าคงผ่าแรงไปหน่อย... เกรียมเรยกรู... เอิ๊กกกกกกกกกก...
- กรกช, Nong, ก๊องส์ไข่กวน and 1 other like this
#44
ตอบ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:15
คุณter162525 ....มีธรรมเนียมคล้ายกับแถวบ้านผม
" พอตอนเช้า ผมนั้งท่องขานนากอยู่เห็นสองคนเดินขึ้นกุฏิมา" หนุ่มแถวบ้านผมเวลาจะบวช ก็ต้องไปนอนวัดซ้อมขานนาค แถวบ้านผมถือว่า ถ้าขานนาคไม่คล่อง ถือเสมือนว่าไม่เต็มใจบวชแทนคุณพ่อแม่ ผม
เองตอนบวชทำงานที่กท. ก็ท่อง พอเสาร์-อาทิตย์ ก็ไปซ้อมกับเจ้าอาวาส
บวชจริงก็ยังมีพลาด ...สมัยอยู่ชม.
อยู่ดีๆวันหนึ่งลูกน้องมาลาบวช(ไม่เคยได้ยินล่วงหน้ามาก่อน)
ก็นึกถึงเรื่องขานนาคนึกในใจไอ้นี่ดีนะ แอบซุ่มขานนาคมา พอถึงวันบวช
ผมก็ไปด้วย อย่าว่าแต่ขานนาคเลย ตั้งนะโม ยังไม่จบสักจบ ..ถ้าเป็นบ้านผม
คงลือกันทั้งตำบล
ที่นี่ก็เหมือนกันจัดงานบวชใหญ่โต
มีโต๊ะจีน มีวงดนตรี (วงดนตรีจ้างมาแพงขนาดไหนดูได้จากชุดหางเครื่อง
..ยิ่งสั้น ยิ่งน้อยชิ้น ยิ่งแพง) แต่พอเข้าโบสถ์ ต้องสอนขานนาคทุกคำ
สอนให้ยังไม่เท่า ไหร่ บ้านผมถ้า ด. เจียม (ท่านเจ้าอาวาสวัดโสธร คนเก่า)บวชให้ ท่อง ไม่ได้ 3 ครั้ง
ท่านลุกกลับวัด ทันทีเลย
Edited by ter162525, 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 12:20.
- IFai likes this
#45
ตอบ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 07:32
งานบวชนี่เป็นข้อสำคัญที่สุด อย่างหนึ่งที่พ่อ-แม่หวัง ตลอดตั้งแต่การเตรียมงาน จนสึก จะเป็นความภาคพูมใจของพ่อแม่ญาติพี่น้องถ้าลูกชายทำดี
ความกตัญญููต่อพ่อแม่หรือไม่ เรื่องบวชนี่ ก็เป็นตัวชี้ ตัวหนึ่ง ...บ้านผมจึงเข้มงวดค่อนข้างมาก
- ตะนิ่นตาญี and กรกช like this
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#46
ตอบ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 02:12
กระพ๊มก็เป็นลูกหลวงพ่อโสธรขอรับ สมัยเด็กๆย่าเล่าให้ฟังว่าแม่จะคลอดกระพ๊ม แล้วผิดท่ายังไงไม่ทราบคลอดไม่ออก แม่ก็เจียนตาย ย่ากระพ๊มท่านก็เลยบอกให้พ่อไปจุดธูปกลางแจ้งถวายกระพ๊มให้เป็นลูกหลวงพ่อโสธรเสีย... เห็นว่าพอพ่อกระพ๊มปักธูปปั๊บ ...ฟ้าผ่าเปรี้ยง... กระพ๊มก็คลอดเลย... ชื่อกระพ๊มเลยมีความหมายเกี่ยวกับสายฟ้านี่แหละขอรับ... หลังจากนั้นเลยต้องไปนมัสการหลวงพ่อทุกปี จนเป็นความผูกพันทางใจไป จนกระทั่งได้เรียนรู้พระธรรมที่เป็นพุทธวจนแล้ว จึงคิดว่าทุกอย่างอาจเป็นเพียงเหตุปัจจัย ไม่ใช่สาระใดๆของชีวิตในวันนี้ขอรับ...
ว่าแต่ตอนที่ฟ้าผ่ามา กระพ๊มพิจารณาแล้วว่าคงผ่าแรงไปหน่อย... เกรียมเรยกรู... เอิ๊กกกกกกกกกก...
วัชระ ชิมิครับท่าน? แปลว่าสายฟ้า
#47
ตอบ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 08:45
กระพ๊มก็เป็นลูกหลวงพ่อโสธรขอรับ สมัยเด็กๆย่าเล่าให้ฟังว่าแม่จะคลอดกระพ๊ม แล้วผิดท่ายังไงไม่ทราบคลอดไม่ออก แม่ก็เจียนตาย ย่ากระพ๊มท่านก็เลยบอกให้พ่อไปจุดธูปกลางแจ้งถวายกระพ๊มให้เป็นลูกหลวงพ่อโสธรเสีย... เห็นว่าพอพ่อกระพ๊มปักธูปปั๊บ ...ฟ้าผ่าเปรี้ยง... กระพ๊มก็คลอดเลย... ชื่อกระพ๊มเลยมีความหมายเกี่ยวกับสายฟ้านี่แหละขอรับ... หลังจากนั้นเลยต้องไปนมัสการหลวงพ่อทุกปี จนเป็นความผูกพันทางใจไป จนกระทั่งได้เรียนรู้พระธรรมที่เป็นพุทธวจนแล้ว จึงคิดว่าทุกอย่างอาจเป็นเพียงเหตุปัจจัย ไม่ใช่สาระใดๆของชีวิตในวันนี้ขอรับ...
ว่าแต่ตอนที่ฟ้าผ่ามา กระพ๊มพิจารณาแล้วว่าคงผ่าแรงไปหน่อย... เกรียมเรยกรู... เอิ๊กกกกกกกกกก...
วัชระ ชิมิครับท่าน? แปลว่าสายฟ้า
ก๊ายเคียงขอรับๆๆ เอิ๊กๆๆๆๆ
- IFai likes this
#48
ตอบ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 11:37
เอาล่ะครับ อ่านมาซะขนาดนี้ คืนนี้จะนอนหลับไหมเนี๊ย..?
Tag:: เปิดให้บริการเล่น Gclub ใน Holiday Palace สถานที่ที่ดีที่สุด
#49
ตอบ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 09:01
ผิดป่า-เจ้าป่า เจ้าเขา
30กว่าปีมาแล้ว แถวที่ผมอยู่ปัจจุบันยังเป็นป่าเต็มๆอยู่ มีรถออกไปตลาดสัปดาห์ละครั้งด้วยรถ6ล้อคันเดียวของหมู่บ้าน รถเก๋ง ปิคอัพ อย่าหวัง พท.ทั้งหมดหมู่บ้าน มีเจ้าของอยู่3-4 ราย ดังนั้นบ้านจึงค่อนข้างห่างกันมาก เมื่อผมจะมาแต่ละครั้ง ก็ต้องนัดให้ข้างในออกไปรับ ...ตอนนั้นมาเที่ยวบ้านลุง
***ยังเป็นป่าขนาดมีเนื้อกระต่ายกินเกือบทุกเที่ยว ถ้าน้องหาให้กิน ก็โดยพาไอ้บีเวอร์ ออกไปท้ายไร่ ไอ้เวอร์ล่ากระต่ายเก่งครับ 5-6ปีมานี้ ตอนผมมาอยู่ใหม่ๆ ยังเก็บลูกอ่อนของกระต่ายที่เจอในไร่มาเลี้ยงเลย ...แต่ไม่รอด, แม้แต่เก้งยังหลงเข้ามาในไร่เลยครับ
บ้านลุง ปลูกบนเนิน มีห้องนอน2ห้อง ห้องโถง และพาไล ตลอด(ตั้งป้อมสู้กับคนได้รอบทิศ ..ทำนองนั้น) ตระกูลผมจะไปทุกปี ที่แน่นอนคือช่วงปีใหม่ สำหรับผมมักแถมตรุษจีนด้วย
ปีนั้นผมกับเมีย(กำลังท้องลูก) ไปก่อนหน้าน้องๆ 1คืน คืนแรกนอนห้องโถง ..ในวันแรกน้องชายเล่าบางเรื่องให้ฟัง และชักชวนให้ไปด้วย ชักสองจิตสองใจ ...พอวันที่2 ตอนสาย น้องชายชวนออกไปซื้อเหล้าเพิ่ม(ข้ออ้าง) กลับเกือบเที่ยง มาพบว่าพี่น้องมากันเยอะกว่าทุกปี ลุงเลยให้ผมนอนในห้อง
ห้องนั้นพอนอนได้สบายๆ มีหน้าต่างหัวนอน บริเวณพื้นใต้หน้าต่าง จะมีโอ่งเก็บน้ำฝน2-3ใบ โอ่งนี้เป็นโอ่งใหญ่แบบหลวงแจกนะครับ ที่สำคัญห้องนี้เป็นห้องที่ลูกสาวคนโต ออกลูกตายในห้องนี้ แต่ผมไม่รู้จักครับ ตายมาหลายปีแล้ว ...กระนั้นก็ตามผมให้เมียกางมุ้ง-กันมุ้งอย่างแน่นหนา ทั้งที่เมื่อนอนห้องโถงไม่ต้องกางมุ้ง
ผมเข้านอน ดูเหมือน สลึมสลือตื่นเพราะเสียงหมาหอนจากตีนเนินขึ้นมา เสียงหอนตรงดิ่วมาที่บ้าน หมาที่บ้านหอนรับ ...ไก่ที่เลี้ยงใต้ถุนบ้านตรงใต้ห้องที่ผมนอนแตกตื่น เมียบีบมือผมถามว่าอะไรน่ะ ผมตอบด้วยเสียงมั่นคงสมกับเป็นผู้นำครอบครัว สงสัยงูเหลือมเข้ามากวน ...แต่เริ่มสวดมนต์ในใจแล้ว
เสียงเหมือนมีคนเหยียบโอ่งหัวนอน ไต่ฝาบ้านขึ้นมา เหลือบตาดูหน้าต่าง เงาทะมึนนั่งยองๆบนขอบหน้าต่าง เงานั้นกระโดดผลุงลงมาที่พื้นเดินมายองๆ ข้างมุ้ง ...แล้วเหมือนสติวูบไปจุดนั้น
ตี4กว่า เมียตื่นมาช่วยน้องๆหุงข้าวได้ยินกำลังเล่าเรื่องให้น้องๆฟัง ผมคว้าขวดติดมือไปคุยกับลุงที่ก่อไฟข้างล่าง ก็นั่งผิงไฟ จิบไปเรื่อยๆกัน2คน แล้วเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ลุงฟัง ลุงถามว่าที่หายไปกับน้องชายเมื่อวาน ไปไหนมา ผมก็เล่าให้ฟัง ...ลุงบอกว่าผมไปทำผิดป่า ผมถามว่าทำไมน้องไม่เป็นไร ลุงบอกว่ามันเกิดที่นี่เหมือนเป็นลูกหลานเจ้าป่า เจ้าเขา แต่ผมเป็นคนแปลกหน้า เป็นการลบหลู่เจ้าป่า เจ้าเขาไป เดี๋ยวพอสว่างไปจุดธูปเทียน เหล้า ไก่ ไปขมาซะ ...ตอนสายๆน้องๆก็มาสอบถามกับผม แล้วบอกเฮี้ยนน่าดู เจอทั้งคู่(ผมกับเมีย)
คืนต่อมายกที่นอนมานอนอัดกันที่ห้องโถงด้วย ..อื้อฮือเสียงเพรียกเลย
ลูกสาวลุงที่ออกลูกตาย ผม(คิดว่า)เจอในอีกหลายปีต่อมา
Edited by IFai, 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 10:19.
- กรกช likes this
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
#50
ตอบ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 11:18
ผิดป่า-เจ้าป่า เจ้าเขา
30กว่าปีมาแล้ว แถวที่ผมอยู่ปัจจุบันยังเป็นป่าเต็มๆอยู่ มีรถออกไปตลาดสัปดาห์ละครั้งด้วยรถ6ล้อคันเดียวของหมู่บ้าน รถเก๋ง ปิคอัพ อย่าหวัง พท.ทั้งหมดหมู่บ้าน มีเจ้าของอยู่3-4 ราย ดังนั้นบ้านจึงค่อนข้างห่างกันมาก เมื่อผมจะมาแต่ละครั้ง ก็ต้องนัดให้ข้างในออกไปรับ ...ตอนนั้นมาเที่ยวบ้านลุง
***ยังเป็นป่าขนาดมีเนื้อกระต่ายกินเกือบทุกเที่ยว ถ้าน้องหาให้กิน ก็โดยพาไอ้บีเวอร์ ออกไปท้ายไร่ ไอ้เวอร์ล่ากระต่ายเก่งครับ 5-6ปีมานี้ ตอนผมมาอยู่ใหม่ๆ ยังเก็บลูกอ่อนของกระต่ายที่เจอในไร่มาเลี้ยงเลย ...แต่ไม่รอด, แม้แต่เก้งยังหลงเข้ามาในไร่เลยครับ
บ้านลุง ปลูกบนเนิน มีห้องนอน2ห้อง ห้องโถง และพาไล ตลอด(ตั้งป้อมสู้กับคนได้รอบทิศ ..ทำนองนั้น) ตระกูลผมจะไปทุกปี ที่แน่นอนคือช่วงปีใหม่ สำหรับผมมักแถมตรุษจีนด้วย
ปีนั้นผมกับเมีย(กำลังท้องลูก) ไปก่อนหน้าน้องๆ 1คืน คืนแรกนอนห้องโถง ..ในวันแรกน้องชายเล่าบางเรื่องให้ฟัง และชักชวนให้ไปด้วย ชักสองจิตสองใจ ...พอวันที่2 ตอนสาย น้องชายชวนออกไปซื้อเหล้าเพิ่ม(ข้ออ้าง) กลับเกือบเที่ยง มาพบว่าพี่น้องมากันเยอะกว่าทุกปี ลุงเลยให้ผมนอนในห้อง
ห้องนั้นพอนอนได้สบายๆ มีหน้าต่างหัวนอน บริเวณพื้นใต้หน้าต่าง จะมีโอ่งเก็บน้ำฝน2-3ใบ โอ่งนี้เป็นโอ่งใหญ่แบบหลวงแจกนะครับ ที่สำคัญห้องนี้เป็นห้องที่ลูกสาวคนโต ออกลูกตายในห้องนี้ แต่ผมไม่รู้จักครับ ตายมาหลายปีแล้ว ...กระนั้นก็ตามผมให้เมียกางมุ้ง-กันมุ้งอย่างแน่นหนา ทั้งที่เมื่อนอนห้องโถงไม่ต้องกางมุ้ง
ผมเข้านอน ดูเหมือน สลึมสลือตื่นเพราะเสียงหมาหอนจากตีนเนินขึ้นมา เสียงหอนตรงดิ่วมาที่บ้าน หมาที่บ้านหอนรับ ...ไก่ที่เลี้ยงใต้ถุนบ้านตรงใต้ห้องที่ผมนอนแตกตื่น เมียบีบมือผมถามว่าอะไรน่ะ ผมตอบด้วยเสียงมั่นคงสมกับเป็นผู้นำครอบครัว สงสัยงูเหลือมเข้ามากวน ...แต่เริ่มสวดมนต์ในใจแล้ว
เสียงเหมือนมีคนเหยียบโอ่งหัวนอน ไต่ฝาบ้านขึ้นมา เหลือบตาดูหน้าต่าง เงาทะมึนนั่งยองๆบนขอบหน้าต่าง เงานั้นกระโดดผลุงลงมาที่พื้นเดินมายองๆ ข้างมุ้ง ...แล้วเหมือนสติวูบไปจุดนั้น
ตี4กว่า เมียตื่นมาช่วยน้องๆหุงข้าวได้ยินกำลังเล่าเรื่องให้น้องๆฟัง ผมคว้าขวดติดมือไปคุยกับลุงที่ก่อไฟข้างล่าง ก็นั่งผิงไฟ จิบไปเรื่อยๆกัน2คน แล้วเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ลุงฟัง ลุงถามว่าที่หายไปกับน้องชายเมื่อวาน ไปไหนมา ผมก็เล่าให้ฟัง ...ลุงบอกว่าผมไปทำผิดป่า ผมถามว่าทำไมน้องไม่เป็นไร ลุงบอกว่ามันเกิดที่นี่เหมือนเป็นลูกหลานเจ้าป่า เจ้าเขา แต่ผมเป็นคนแปลกหน้า เป็นการลบหลู่เจ้าป่า เจ้าเขาไป เดี๋ยวพอสว่างไปจุดธูปเทียน เหล้า ไก่ ไปขมาซะ ...ตอนสายๆน้องๆก็มาสอบถามกับผม แล้วบอกเฮี้ยนน่าดู เจอทั้งคู่(ผมกับเมีย)
คืนต่อมายกที่นอนมานอนอัดกันที่ห้องโถงด้วย ..อื้อฮือเสียงเพรียกเลย
ลูกสาวลุงที่ออกลูกตาย ผม(คิดว่า)เจอในอีกหลายปีต่อมา
ชอบครับ อยากอ่านต่อ .... ..อื้อฮือเสียงเพรียกเลย คือไรอะ?
ลูกสาวลุงที่ออกลูกตาย ผม(คิดว่า)เจอในอีกหลายปีต่อมา เจอไรครับ ค้างคานะเนี่ย....
Tag:: เปิดให้บริการเล่น Gclub ใน Holiday Palace สถานที่ที่ดีที่สุด
ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน