ขอคิดด้วยฅน
เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
รัฐบาลปัจจุบันอาศัยอำนาจรัฐและเงินแผ่นดิน ดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าท้องตลาด ประกอบการค้าขายข้าวแข่งกับเอกชนโดยไม่เป็นธรรม เกิดผลกระทบต่อฐานะทางการคลังของประเทศ และนำไปสู่การทำลายระบบเศรษฐกิจเสรี ทั้งในด้านการผลิตการค้าและการส่งออกข้าวของประเทศไทย
ส่อว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 84 บัญญัติว่า รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาด และต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน
1) รัฐบาลยิ่งลักษณ์อ้างกับประชาชนทั่วไปว่า นโยบายดังกล่าวเป็นการรับจำนำข้าว-จำนำมันสำปะหลัง แต่ในพฤติการณ์ความจริง กลับเป็นการประกอบกิจการซื้อขายข้าว-มันสำปะหลัง แข่งขันกับเอกชนอย่างไม่เป็นธรรม
รัฐบาลซื้อข้าวราคาแพงกว่าเอกชนทั่วไป และขายราคาถูกกว่าเอกชนทั่วไป
พฤติกรรมซื้อข้าวราคาแพงเข้ามาเก็บไว้แล้วขายบ้าง-ไม่ขายบ้าง หรือขายถูกกว่าตลาดบ้าง-ขายแพงกว่าตลาดบ้าง และที่ชัดเจน คือ มักขายออกไปในราคาขาดทุนตลอด
ทั้งหมดนั้น เอกชนทั่วไปไม่สามารถทำได้ ถ้าทำก็เจ๊ง แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินการโดยอาศัยเงินแผ่นดินของประชาชนทั้งประเทศ ผ่าน ธ.ก.ส.นำมาใช้เป็นหน้าตักในการประกอบการ เมื่อขาดทุนนักการเมืองผู้กำหนดนโยบายก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่สามารถนำเงินภาษีของประชาชนมาชดใช้
2) ในการประกอบการดังกล่าวของรัฐบาลทั้งในกระบวนการซื้อและขาย เล็งเห็นผลได้ว่าจะเกิดผลประโยชน์แก่คนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น คือ
ชาวนาบางกลุ่ม เฉพาะที่มีผลผลิตข้าวเหลือขาย มีปัญญาและเส้นสายพอที่จะขายข้าวในโครงการได้
โรงสีบางโรง เฉพาะที่เข้าร่วมโครงการกับรัฐบาล
และผู้ส่งออกบางราย เฉพาะที่ประมูลซื้อข้าวได้จากรัฐบาล
3) มาตรการซื้อขายข้าวของรัฐบาลในลักษณะดังกล่าว เปิดโอกาสให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งในการซื้อการเก็บสต๊อก และในการขายข้าวออกจากสต๊อก
เพราะลักษณะการซื้อขายเป็นวงกว้างหลายพื้นที่หลายจังหวัด ข้าราชการและลูกจ้างของรัฐไม่คุ้นเคยต่อการดำเนินการค้าขาย การคัดเกรดและประเมินคุณภาพสินค้า บางพื้นที่ส่งเด็กจบใหม่ไปดูแล และไม่ใส่ใจที่จะดูแลรักษาประโยชน์ของส่วนรวมเนื่องจากตนไม่ได้เป็นเจ้าของเงินที่นำมาใช้ในโครงการ (แถมยังถูกกดดันจากฝ่ายการเมือง)
ทุกขั้นตอน-ทุกกระบวนการของนโยบายรับจำนำข้าว จึงปรากฏว่า มีการทุจริตซ้ำซาก โดยความร่วมมือของโรงสีและผู้ส่งออกบางราย
4) การรับจำนำข้าวราคาแพงกว่าตลาดอย่างที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินการ เป็นการทำลายกลไกตลาดที่เคยช่วยพัฒนาคุณภาพข้าวของไทยให้อยู่ในอันดับที่ดีที่สุดของโลก
เพราะผลจากนโยบายนี้ คือ
ชาวนาจะไม่ปลูกข้าวคุณภาพดีพันธุ์พื้นเมืองของไทย ที่ใช้เวลาเพาะปลูกยาวนานกว่า แต่หันมาปลูกข้าวนาปรังที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ภายใน 3-4 เดือน เพราะไม่ว่าคุณภาพอย่างไรก็จะขายข้าวได้ราคาที่รัฐบาลรับซื้อ (มันสำปะหลังก็เช่นเดียวกัน)
ทำลายกลไกตลาดที่สร้างแรงจูงใจให้โรงสีและโรงมันในการแปรรูปให้ได้คุณภาพดี เพราะโรงสีและโรงมันเหล่านี้ กลายเป็นผู้รับจ้างรัฐบาลในการแปรรูป
มาตรการดังกล่าวเปิดช่องให้มีการนำข้าวเปลือกและมันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาสวมรอยขายให้รัฐบาลในราคาสูงกว่าตลาด ก่อให้เกิดความรั่วไหลในงบประมาณแผ่นดิน ทำให้เจ้าหน้าที่และพ่อค้าผู้นำเข้าได้ผลประโยชน์อันมิชอบ
ทำลายระบบการส่งออก ซึ่งปกติผู้ส่งออกจะหาตลาดข้าวก่อน แล้วจึงมารับซื้อข้าว ผสมข้าวให้ได้ตามความต้องการของตลาดนั้น ต่อไปจะทำไม่ได้ เพราะข้าวส่วนใหญ่อยู่ในมือของรัฐ
บางครั้ง รัฐบาลขายตรงไปยังรัฐบาลต่างประเทศ ไม่ว่าจะกรณีมันสำปะหลังหรือข้าว เป็นการทำลายระบบกลไกส่งออกของภาคเอกชนที่ได้สร้างสมมานาน รัฐบาลกลายเป็นพ่อค้าข้าวรายใหญ่ และที่ถือครองข้าวส่วนมากไว้ในสต๊อกของรัฐ รัฐบาลก็จะกลายเป็นผู้ผูกขาดข้าวรายใหญ่ในประเทศ (ถ้าไม่เจ๊งไปก่อน)
การที่รัฐบาลไทยขายข้าวให้รัฐบาลต่างประเทศโดยตรงหรือขายให้ผู้นำเข้าบางรายของต่างประเทศ จะทำให้ผู้นำเข้าเอกชนของต่างประเทศหันไปดำเนินธุรกิจซื้อขายข้าวหรือมันสำปะหลังกับผู้ส่งออกประเทศอื่นๆ สิ่งนี้จะทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสัมพันธ์กับผู้ค้าข้าวเอกชนในต่างประเทศบางรายได้
ผู้ค้าผู้ส่งออกข้าวของไทย เมื่อรัฐบาลทำตัวเป็นพ่อค้าข้าวรายใหญ่เสียเอง หากไม่หากินกับนักการเมืองในรัฐบาล ก็ต้องหันไปดำเนินธุรกิจส่งออกข้าวให้กับเวียดนามและกัมพูชาแทน
ที่ร้ายที่สุดของนโยบายนี้ คือ เป็นการไม่สนับสนุนและยังทำลายระบบเศรษฐกิจแบบเสรี ทำลายกลไกตลาดและราคาที่นำไปสู่การจัดสรรการผลิตและการค้า เช่น
กำหนดว่า ใครควรปลูกที่ไหน
กำหนดว่า ควรปลูกพันธุ์อะไร
กำหนดว่า ควรแปรรูปด้วยวิธีแบบไหน
กำหนดว่า ขายให้ใคร ประเทศไหนควรได้รับสินค้าคุณภาพอย่างไร
กำหนดว่า ควรจะมีสต๊อกมากน้อยแค่ไหน และควรสต๊อกเป็นข้าวเปลือก มิใช่ข้าวสาร เหมือนที่รัฐบาลปัจจุบันทำ ฯลฯ
5) ล่าสุด... ทักษิณ ชินวัตรยังส่งสัญญาณ สั่งการให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินนโยบายในลักษณะดังกล่าวต่อไป โดยไม่ฟังเสียงทักท้วง จากประชาชน นักวิชาการ ผู้เกี่ยวข้องภาคส่วนต่างๆ ในประเทศไทย
หากปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกอบกิจการซื้อขายข้าวแข่งขันกับเอกชนโดยไม่เป็นธรรม ทำลายกลไกการแข่งขันและระบบตลาดต่อไปในระยะยาว จะเป็นการทำลายระบบการผลิตการค้าเสรีสุดท้ายก็จะทำลายการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ
การดำเนินการเช่นนี้ น่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 84 (1) รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาด และต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน
ได้มีคณาจารย์จากนิด้าและธรรมศาสตร์ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญคงไม่อาจวินิจฉัยตามคำร้องดังกล่าวได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะพิจารณาพระราชบัญญัติหรือกฎหมายใดที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ หรือมีอำนาจในการวินิจฉัยคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ถึงกระนั้น นักวิชาการและผู้ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง หากต้องการจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ส่วนได้เสียของตนในฐานะผู้เสียภาษีอากรคนไทย อาจดำเนินการผ่านช่องทางต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
1. ศาลปกครอง : ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ผู้ส่งออก โรงสี หรือชาวนา อาจทำคำร้องส่งเรื่องฟ้องศาลปกครองว่าการดำเนินการและมาตรการของรัฐขัดต่อกฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
2. ป.ป.ช. : ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้ดำเนินการเอาผิดกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าว ในความผิดทางอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลในบางส่วน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและส่วนรวม
3. ถอดถอน : สส.และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาจเข้าชื่อดำเนินการถอดถอนรัฐมนตรี ตามมาตรา 270 ในฐานส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
4. คตง. หรือ สตง. : ประชาชนสามารถยื่นเรื่องให้ คตง.หรือ สตง. ตรวจสอบและดำเนินการเอาผิดฐานใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล โดยขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ก่อให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง ทำลายการแข่งขันและกลไกตลาด เพื่อขอให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินฟ้องต่อศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหายจากผู้กำหนดนโยบายกลับคืนสู่แผ่นดินต่อไป
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
ที่มา:http://www.naewna.co.../columnist/3427
Edited by juemmy, 2 October 2012 - 22:12.