เออ...ดี ให้มันได้อย่างนี้ซี ถึงจะได้ชื่อว่าถึงยุค "โจราธิปไตย" ครองเมืองจริงๆ นอกจากมี "รัฐบาลเทียม-นายกฯ เทียม-นักวิชาการเทียม-แดงเทียม-ตำรวจเทียม-ทหารเทียม" แล้ว ปรากฏว่าตอนนี้ ไทยเรามี "ชาวนาเทียม" อีกด้วย
เมื่อวาน (๒ ต.ค.๕๕) ขนกันไปที่สถาบันนิด้าเป็นขบวนรถบัส ไปยืน ด่า...ด่า...ด่า...อาจารย์อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา แล้วยกโขยงไปกันต่อที่ทำเนียบรัฐบาล
ไม่ได้ไปด่า "อีช้างลาก" กับใครคนไหนหรอก!
หากแต่ไปมอบกระเช้าให้ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" และบอก...พวกมันจะเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็กให้นายกฯ ในการต่อสู้กับนักวิชาการที่ค้านโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
เห็นแล้วก็แขยงกับ "ขยะจัดตั้ง" กับทุกระบบและทุกรูปแบบในยุคนี้ ยิ่งการทำหน้าที่สื่อขององค์กรสื่อส่วนมากในเวลานี้ด้วย ใคร...มาแบบไหน...ด้วยอะไรคือเจตนาในเบื้องหน้า-เบื้องหลัง เขาไม่สนจะพิเคราะห์ เพื่อทางยาว-ทางยั่งยืนของสังคมชาติ
สื่อวันนี้บางส่วน มีค่าเท่ากับ "กล้องวงจรปิด" อะไรก็ได้ ไม่ว่าหมู หมา กา ไก่ ขอเพียงเคลื่อนไหวเข้ามาในองศาที่เจ้าของ-นายทุนตั้งไว้ ก็จะจับภาพ เอาไมค์จ่อ แล้วก็เอาไปออกจอกันดิบๆ แบบกลืนโดยไม่เคี้ยว และแค่นั้นก็ถือว่า "จบภารกิจ" สื่อ ในด้านข่าวสารแล้ว!
ฉะนั้น สังคมข่าวสารทุกวันนี้ อยู่ที่ว่า ใครจะหนังหนา-หน้าด้าน, ตะแบงพูด-ตะแบงทำ ให้เข้าตาสื่อวงจรปิดได้มากกว่า ใครคนนั้น-ฝ่ายนั้น ก็จะเป็นฝ่ายได้ยึดพื้นที่ข่าว ทั้งในหน้ากระดาษ หน้าปัดวิทยุ หน้าจอโทรทัศน์ และดาวเทียม
ส่วนจะจริง จะเท็จ จะจัดตั้งสร้างกระแส นักขายข่าวไม่สนที่จะ "ขยี้ข่าว" ให้ชาวบ้านได้เห็นขาวในดำ และดำในขาว เพื่อความเข้าใจที่ตรงต่อสถานการณ์และความเป็นจริง สู้สมคบกันเสนอข่าว "แหกตาชาวบ้าน" ไม่ได้ แบบนั้น ประโยชน์โพดผลจะไหลตามมา
ขืนเสนอข่าวแบบทำให้ชาวบ้านตาสว่าง การขวางทางหมาเดินแบบนั้น มันก็มีแต่ "อดอยาก-ปากแห้ง" เผลอๆ เจอของแข็งอีกตะหาก!
เพราะสื่อกันแบบดิบๆ และฉาบฉวย ด้วยทำธุรกิจในสื่ออย่างนี้ แข่งขันเดินตามหมาด้วยลีลาประชัน "ผู้ประกาศข่าว" ของใครจะสวย จะแต่งตัว แต่งหน้า นำแฟชั่นกว่ากันในการ "อ่านข่าวขาย" ประจำวัน และบอกว่านั่น..คือข่าว
ดังนั้น ชาวบ้านวันนี้ จึงบริโภคแต่ข่าวประเภทไว แต่ไร้จิตวิเคราะห์รวมทั้งกึ๋นผู้ประกาศในการรับรู้สังคมบ้านเมืองช่วงหัว เลี้ยว-หัวต่อจากข่าว คนหลังฉากเขาเขียนมาให้อ่านอย่างไร ก็นกแก้ว-นกขุนทองไปตามบรรทัด จึงสามารถพูดได้ว่า บ้านเมืองวันนี้ ฟูเฟื่องไปด้วย "ของเทียม" ไม่เว้นกระทั่ง
"สื่อ"!
เดี๋ยวนี้สื่อค่ายต่างๆ เขานิยมแตกไลน์ ไปทำวิทยุบ้าง ทำโทรทัศน์บ้าง ทำดาวเทียมบ้าง ทำอีเวนต์ เป็นออร์กาไนเซอร์บ้าง เรียกว่าทำธุรกิจในสื่อ ถามว่า...นั่น ใช่ไหม การจะตอบว่าใช่ หรือไม่ใช่ ต้องดูองค์ประกอบก่อนว่า เขาแตกไลน์เพื่อตอบโจทย์อะไร?
ตอบโจทย์ธุรกิจในสื่อ ....
หรือตอบโจทย์สื่อในธุรกิจ?
ถ้าตอบโจทย์สื่อในธุรกิจ การแตกไลน์ออกไปนั้น ควรต้องเป็นไปเพื่อการสร้างศรัทธา-ความเชื่อในด้านข้อมูลข่าวสารที่แสวง หา-คว้าค้นมาตรงต่อความเป็นจริงให้กับประชาชนอันเป็นผู้บริโภค
แต่ถ้าตอบโจทย์ธุรกิจในสื่อ นั่นก็...ตามสบาย เพราะผมก็พอเข้าใจ การทำสื่อไม่ว่าวันนี้ หรือวันไหน พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกในแต่ละวัน นั่นคือการฉีกแบงก์แข่งกับแสงตะวัน อุดมการณ์ หลักการ ใช้ซื้อกระดาษ ซื้อหมึก ซื้อแท่นพิมพ์ และจ่ายเป็นเงินเดือนไม่ได้
ปรัชญาธุรกิจ กับปรัชญาสื่อ มันเป็น "คนละเรื่องเดียวกัน" ที่เจ็บแสบอยู่ แต่ความเจ็บแสบจากการทำความจริงให้ประจักษ์ตามหน้าที่นั้น ทนเจ็บวันนี้ให้ผ่าน แล้วผลจากศรัทธาและความเชื่อมั่นจากข่าวสารเชื่อถือได้ มันจะเป็นยารักษา
ศรัทธาและความเชื่อ ไม่ทำให้รวยก็จริง แต่ก็ไม่ทำให้ใครอดตาย!
แต่การตะกายนอกเส้นทางถนัดด้วยหวังธุรกิจเป็นที่ตั้ง ตาโตกับส่วนแบ่งจากงบในตลาดโฆษณาสินค้าที่บริษัท-ห้างร้านเขาทุ่มตามสื่อ แขนงใหม่ๆ ที่เรียกว่า "มาตามกระแสเทคโนโลยี" เช่นทางดาวเทียม เป็นต้น แล้วก็ลงไปแข่งหวังแบ่งเค้กกับเขา
แล้วก็สร้างข่าวให้ตัวเอง ไตรมาสนี้กำไรเท่านั้น ทั้งปีจะกำไรเท่านี้ เรียกว่าทำสื่อ "สนองตอบผลกำไรทางธุรกิจ" แต่ละไตรมาส ให้ผู้ถือหุ้นพอใจ กำไรมากเท่าไหร่ ภูมิใจว่าพบความสำเร็จในหน้าที่สื่อมากเท่านั้น ละทิ้งแก่นแท้แห่งหน้าที่สื่อ คือความซื่อสัตย์เสียสิ้น
การสลัดทิ้งความเป็น "สื่อแท้" ในตัวเองเช่นนั้น แล้วไปแสวงหาเงินตรา ลาภยศจากการเป็น "สื่อเทียม" แถมเฝ้าทางให้โจร มันก็จะเป็น "สื่อเสี่ยเลี่ยมทอง" ได้ชั่วครู-ชั่วยาม เท่านั้นหรอก
ก็บอกเพื่อนสื่อที่เสพสุขจนมันจุกอก บางคน-บางค่าย "ด้วยอิจฉา" ไว้ตรงนี้ด้วย!
อ้าว...ผมก็เมายาล็อตสุดท้ายจนได้ เรื่องที่รัฐบาลนำระบบ "สัมปทานผูกขาด" มาใช้กับตลาดข้าว ด้วยนโยบายรับจำนำทุกเมล็ด เกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท นั้น ความจริงที่ปรากฏขณะนี้ มันไม่ใช่การรับจำนำข้าวจากชาวนา
หากแต่มันชัดว่า รัฐบาลทำตัวเป็น "พ่อค้าข้าวผูกขาด" แต่ผู้เดียวในตลาดข้าวไทยทั้งระบบ มีเงินดัมป์ตลาดไม่อั้น เพราะเป็นเงินงบประมาณ ตั้งไว้กว่า ๖ แสนล้าน รับซื้อข้าวสูงกว่าราคาตลาดถึง ๓๐-๔๐%
มันเป็นการลงมาค้าแข่ง เป็นการทำลายระบบการค้าเสรี ทำลายระบบธุรกิจและระบบผลิตข้าวของชาวนาให้พินาศยับเยินในอนาคต มันเป็นโครงการหลอกล่อให้ชาวนา "หลงรวย" ในระยะแรก แล้วไปจบที่ "หลงทาง" ในระยะยาว
หรือ "ทักษิณคิด-ยิ่งลักษณ์ทำ" มีแผนกักตุนข้าวไว้เป็นเสบียงกรังของฝ่ายตนเอง รับสถานการณ์สงครามล้างยุคที่ใกล้จะเกิด?
ผมไม่เคยเป็นเถ้าแก่โรงรับจำนำ เคยแต่เป็นจอมจำนำรายวัน มีกางเกงใหม่ไม่ยอมนุ่ง กลัวเสียราคา ตัดมาตั้ง ๑๒๐ แต่เอาไปจำนำ หลงจู๊ตีราคาให้ ๓๐ บาทขาดตัว บ่อยๆ เข้าเหลือ ๒๕ แถมแทงมาในตั๋วให้ช้ำใจว่า...ชำรุด!
หลักการเศรษฐศาสตร์การจำนำมีอยู่ชัดว่า การรับจำนำ ไม่มีที่ไหนในโลกจะให้ราคาสูงกว่าหรือแม้เท่าราคาของที่ซื้อหามาจริง กระทั่งทองคำก็เหอะ จากห้างปุ๊บ ๕๐๐ บาท เดินเข้าโรงจำนำปั๊บ ชำรุด..ตีราคา ๓๐๐ ซะแล้ว ถ้าได้มากกว่า แสดงว่าเป็นญาติข้างเมียหลงจู๊แน่ๆ
นั่นก็คือ ที่รัฐบาล "รับจำนำข้าวทุกเมล็ด" เกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาทนั้น ใช้ฐานไหนของราคาเป็นตัวประเมินตีราคาจำนำ เพราะเป็นราคาที่สูงกว่า "ราคาจริง" ในท้องตลาดตั้ง ๓๐-๔๐% ซึ่งแบบนี้ไม่ใช่การรับจำนำ หากแต่เป็นการที่รัฐบาลลงมาเป็นพ่อค้าทำลายระบบ-ทำลายตลาดข้าว
เพื่อการ "ผูกขาดแต่ผู้เดียว" ในระบบเสรี!
มันเป็นการเอาเงินงบประมาณมาทุ่มเพื่อทำลายตลาด คิดกันง่ายๆ สินค้าในตลาด ปีนี้มีราคาระดับ ๘,๐๐๐-๑๑,๐๐๐ บาท แต่รัฐบาลทุ่มซื้อราคาเดียว ๑๕,๐๐๐ คนมีข้าวขายได้เกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาทจำนวนมากๆ ไม่ใช่ชาวนา
แต่เป็นพ่อค้า-โรงสี "กลุ่มทุนผูกขาด" นั่นแหละ!
การรับจำนำ คนจำนำก็หวังไถ่ถอนคืน เพราะของมีราคาสูงกว่าราคาที่จำนำไว้ แต่ข้าวที่รัฐบาลรับจำนำ ใครล่ะ..มันจะมาไถ่ถอนคืน เพราะเอาไปเร่ขายถึงโลกพระอังคารก็ยังไม่ได้เกวียนละ ๑๕,๐๐๐ นั่นก็หมายความว่า
จำนำกับรัฐบาลคือการ "ขายขาด" นั่นเอง!
ข้าวไทยในทัศนคติชาวโลกคู่กับคุณภาพ ที่ตลาดข้าวไทยยืนยงเพราะคำว่า "คุณภาพ" นี่ส่วนหนึ่ง อดีตไทยเรามีแค่ข้าวนาปี กับนาปรังในบางพื้นที่ นั่นหมายถึงข้าวมีช่วงเวลาเติบโตเป็นคุณภาพตามพันธุ์ที่ควบคุมได้
แต่เมื่อรัฐบาลเอาเงินมาล่อเช่นนี้ เป็นธรรมดาใครๆ ก็อยากได้ ประกอบกับระบบชลประทานเราดีขึ้น ชาวนาจึงแย่งกันปลูกข้าวตลอดทั้งปีในเกือบทุกพื้นที่ ๓ เดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว กลายเป็นข้าวรายไตรมาส แล้วข้าว ๓ เดือนจะมีคุณภาพเท่าข้าวนาปีหรือไม่ และใครล่ะจะควบคุมภาพได้
นั่นก็หมายความว่า การทำลายตลาดข้าวและระบบการปลูกข้าวด้วยราคารับประกันของรัฐบาลนี้ จะทำให้ไทยมากด้วยปริมาณข้าวที่แย่งกันผลิต แต่ข้าวนั้นน้อยคุณภาพลงเรื่อยๆ
สุดท้าย "คุณภาพข้าวไทย" ก็จะไม่ต่างกับ "คุณภาพข้าวเวียดนาม" ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิต การตลาด และการคอรัปชั่นของไทยสูงกว่าเวียดนาม ก็อยากบอกว่าอนาคตข้าวไทย นอกจากขายได้น้อยกว่าเวียดนามแล้ว มีโอกาสที่จะด้อยกว่าเวียดนาม
"ทั้งราคาและคุณภาพข้าว"!
ข้าว เป็นพืชเกษตรที่ปลูกได้ทั่วไป ไม่เฉพาะไทย ซ้ำมีพืชอื่นที่ใช้ทดแทนข้าวได้ นั่นหมายถึง "ตลาดมีทางเลี่ยง-ทางเลือก" ได้มาก ดังนั้น การตั้งราคาไว้สูงแทนที่จะควบคุมต้นทุนการผลิต ด้วยนึกว่า "ข้าวไทยกำหนดราคาข้าวโลกได้" ประกอบกับไม่รักษามาตรฐานคุณภาพข้าวแล้ว ยังกระตุ้นให้เกิดปริมาณที่ปฏิเสธคุณภาพ
ด้วยประชานิยมถมแหลกนี้ "ทักษิณคิด-ยิ่งลักษณ์ทำ" จะรวยทั้งชาติ
แต่คนไทยจะ "ซวยทั้งชาติ"!
อ่านแล้วเห็นภาพอนาคตของประเทศไทยเลย จะต้องกู้ ไปอีก เท่าไหร่ ถึงจะพอกันเนี่ย
![:(](http://static.serithai.net/webboard/public/style_emoticons/default/sad.png)
![:(](http://static.serithai.net/webboard/public/style_emoticons/default/sad.png)