หลายเดือนก่อนผมเคยเขียนเรื่อง อภิสิทธ์จ่ายเงิน 1 บาท แต่ได้เอกสารเท็จ 1 ใบ ซึ่ง ผมคิดว่าก็ละเอียดพอสมควร แต่ข้อเขียนดังกล่าว ยังไม่ได้เจาะลึกเข้าไปในรายละเอียดที่ตรงเป้าเท่าใด ประกอบกับผมได้ข้อมูลที่ใหม่กว่ามา เลยต้องมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับการที่นายอภิสิทธิื เวชชาชีวะ โดนกล่าวหาว่าหนีทหารอีกครั้ง ติดตามได้เลยครับ
ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๔(๓)บัญญัติไว้ว่า
"ในพระราชบัญญัตินี้
(๓) “ทหารกองประจำการ” หมายความว่า ผู้ซึ่งขึ้นทะเบียนกองประจำการ และได้เข้ารับราชการในกองประจำการจนกว่าจะได้ปลด
ทหาร กองประจำการก็ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ๒ ประการ คือ ๑. ผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการแล้ว ๒. เป็นผู้ที่รับราชการในกองประจำการอยู่ และยังไม่ได้ปลด
ทหารกองประจำการไม่จำเป็นต้องประจำอยู่ในกรมกองหรือในหน่วยทหารเสมอ อาจไปปฏิบัติหน้าที่พิเศษนอกกรมกองทหาร หรือแม้แต่ในขณะที่ได้ลาพักไปชั่วคราวหรือให้ลาพักรอการปลด ระยะเวลาที่ได้รับการผ่อนผันให้นี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยังอยู่ในกองประจำการ ต้องถือว่าเป็นทหารกองประจำการอยู่
พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๘ วรรคหนึ่งบัญัติไว้ว่า
"การ รับบุคคลเข้าเป็นทหารกองประจำการ ให้กระทำด้วยวิธีเรียกมาตรวจเลือก หรือจะรับเข้าเป็นทหารกองประจำการโดยวิธีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงก็ได้"
ดัง นั้นการรับบุคคลเข้าเป็นทหารกองประจำการเป็นคำรวม ซึ่งหมายรวมทั้งการบังคับให้เข้าเป็นทหารกองประจำการและการรับสมัครด้วย ซึ่งตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๓๕ (พ.ศ.๒๕๑๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๓(๓) และข้อ ๕ ได้ระบุไว้ว่า
"(๓) ผู้ที่ยังไม่ถูกเรียกหรือผู้ที่เคยถูกเรียกแล้วแต่ไม่ถูกเข้ากองประจำการ ร้องขอเข้ากองประจำการ ต้องร้องขอต่อเจ้าหน้าที่กรมกองฝ่ายทหาร หรือฝ่ายตำรวจที่ตนประสงค์จะเข้ารับราชการ เมื่อเจ้าหน้าที่พิจารณาตกลงรับผู้ใด ก็ให้นำผู้นั้นขึ้นทะเบียนกองประจำการ กรมกองใด จะรับผู้ร้องขอเข้าในสังกัดใด หรือเหล่าใด ให้เป็นไปตามที่กระทรวงกลาโหมได้กำหนดไว้
ข้อ ๕ การรับบุคคลเข้าเป็นทหารกองประจำการตามข้อ ๓ (๓) และการรับบุคคลเข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนทหาร ให้รับได้โดยไม่จำกัดภูมิลำเนาทหาร"
จาก กฎหมายทหารและกฎกระทรงที่ผมยกมา พอเห็นภาพของนายอภิสิทธิ์เมื่อปี ๒๕๓๐ แล้วใช่ไหมครับ คราาวนี้มาอ่านกันที่มาตรา ๙ วรรค ๑-๒ ของพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗
"ทหาร กองเกินซึ่งมีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์และยังไม่ถึงสามสิบปีบริบูรณ์ เป็นผู้ที่อยู่ในระหว่างที่จะต้องเข้ารับราชการทหารกองประจำการ และเมื่อต้องเข้ากองประจำการจะต้องเข้ารับราชการทหารกองประจำการมีกำหนดสอง ปี ส่วนผู้ซึ่งมีคุณวุฒิพิเศษหรือเมื่อมีกรณีพิเศษ จะให้รับราชการทหารกองประจำการน้อยกว่าสองปีตามที่กำหนดในกฎกระทรวงก็ได้ แต่สำหรับผู้ซึ่งมีคุณวุฒิพิเศษนั้น จะอ้างสิทธิดังกล่าวได้ต่อเมื่อได้แสดงหลักฐานต่อคณะกรรมการตรวจเลือกในวัน ตรวจเลือก หรือต่อหน่วยทหารที่ตนร้องขอเข้ารับราชการในวันร้องขอ
วันเริ่มเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ให้นับแต่วันขึ้นทะเบียนกองประจำการ ใน กรณีที่ทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการแล้ว แต่ยังขึ้นทะเบียนกองประจำการให้ไม่ได้ในวันที่ทหารกองเกินเข้ารับราชการ ทหารกองประจำการนั้น จะขึ้นทะเบียนกองประจำการภายหลังจากวันเข้ารับราชการทหารกองประจำการก็ได้ และให้ถือว่าผู้นั้นได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการตั้งแต่วันที่เข้ารับราชการ ทหารกองประจำการ เมื่ออยู่ในกองประจำการจนครบกำหนดแล้วให้ปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ ๑ ดังนี้"......
ดู แค่ ๒ วรรคของมาตรานี้ก็พอ แล้วต่อไปอ่านกฎกระทรวงฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๐๘)ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๒(๘)
"ข้อ ๒ ผู้ซึ่งมีคุณวุฒิซึ่งสมควรให้อยู่ในกองประจำการน้อยกว่าสองปี ตามความในมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คือ
(๘) ผู้สำเร็จชั้นอุดมศึกษาหรือผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะเทียบได้ไม่ต่ำกว่าชั้นอุดมศึกษา"
ต่อไป คือมาตรา ๑๑ ของพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ ที่บัญญัติไว้ว่า
"การรับราชการทหารประจำการ การแบ่งประเภท และการปลดทหารประจำการ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของกระทรวงกลาโหม
ทหารประจำการนั้น ถ้ายังมิได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการ ก็ต้องขึ้นทะเบียนกองประจำการและรับราชการในกองประจำการจนครบกำหนดตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่กระทรวงกลาโหมจะสั่งปลดเป็นทหารประเภทอื่น"
ตาม ที่กล่าวมา เราก็ต้องมาพิจารณาคุณสมบัติของนายอภิสิทธิ์ในการเข้าสมัครครบถ้วนหรือไม่ ถ้าครบถ้วน ก็ไม่จำเป็นต้องไปตรวจเลือกทหารในวันที่ ๗ เม.ย. ๒๕๓๐ ตามที่กำหนดไว้ใน สด.๙ ใบที่ ๑ ลงวันที่ ๔ ก.ค.๒๕๒๙ และเมื่อพิจารณามาตรา ๙ วรรค ๑ และ ๒ ในส่วนที่ไฮไลท์ข้อความไว้ นั่นก็คือข้อความยกเว้นที่สามารถกระทำการได้ หากยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการ และในมาตรา ๑๑ วรรค ๒ ที่ไฮไลท์ข้อความไว้เช่นกัน คือ ข้อกำหนดที่จะต้องปฎิบัติ ในกรณีเป็นทหารกองประจำการ
นาย อภิสิทธิ์ไม่มีข้อบกพร่องในการเข้าเป็นทหารกองประจำการ เพราะได้ปฎิบัติตามกฎหมายที่ได้วางไว้ครบถ้วน ส่วนการที่บอกว่าใช้เอกสารเท็จไปสมัครทหาร ก้เป็นข้อกล่าวอ้างที่ไร้สาระจากนายกมล บันไดเพชร เป้นคนแรกที่กล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์หนีทหาร และข้อ้อ้างว่าใช้เอกสารเท็จนี้ได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๒ จนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังถอดยศนายอภิสิทธิ์ไม่สำเร็จเสียที สงสัยว่าแม้กระทั่งก่อนหมดลมหายใจ นายกมลก็คงเพ้ออยู่คำเดียวว่า"หนีทหารๆ"ทำไปได้นะ คนๆนี้
หาก เป็นไปตามกฎหมาย ตามกฎ ตามหลักเกณฑ์ คงต้องว่ากันไปตามทำนองคลองธรรม แต่นี่ ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะฝ่ายที่จ้องเล่นเรื่องอยู่ ต้องการให้อำนาจการทำลายล้างสูงกว่านั้น คือการดำเนินกิจการทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ตั้งแต่ปี 2535 เป็นโมฆะมาต้งแต่เริ่มต้น และแน่นอนคือการประหารทางการเมืองแก่พรรคประชาธิปัตย์
ถึง ขนาดนำไปเปรียบเทียบกับกรณีที่ดินอัลไพน์ของนายยงยุทธ ว่าหงอกคนนั้นมีสปิริตมากกว่า แต่ข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่ นายยงยุทธจำนนจนมุมทางกฎหมาย จึงยอมลาออกจากทุกตำแหน่งทางการเมือง ถือว่าเป็นการฆ่าตัดตอนตนเองก่อนเรื่องจะลามไปถึงพรรคเพื่อไทย ทั้งๆที่เจ้าตัวก็พยายามหน้าด้่านหน้าทนอยู่เหมือนกัน แต่ก็สู้กับคำครหาและด่าประจานไม่ไหว คำขอบคุณของนายใหญ่บนหนังสือฉบับนั้น นั่นคือ คำไว้อาลัยหน้าหลุมศพของชายชราที่หมดราคาไปแล้วครับ นำมาเทียบกันไม่ได้ ต่างกันเยอะ เช่นฟ้ากับเหว นายหงอกเปรียบเช่นเหวลึกต่ำสุดๆ
ที่ น่าขบขันไปยิ่งกว่านั้น คือนายสุกำพลจะถอดยศนายอภิสิทธิ์ โดยอาศัยข้อกล่าวหาของนายกมลมาใช้เป็นหลัก ซึ่งก็ได้นำพากระทรวงกลาโหมมาร่วมหัวจมท้ายด้วย เจรฺิญแล้วหล่ะสุกำพล แต่จะถอดยศได้หรือไม่ เดี๋ยวตอนท้ายผมจะอธิบายให้ฟัง
ผมไปเจอข้อเขียนในเฟสบุ๊คของคุณ Siriwanna Jill เมื่อ อ่านแล้ว ผมว่า ถ้ามีการถอดยศนายอภิสิทธิ์จริงๆ คงต้องมีการสวนกลับอย่างแน่นอน และคนอย่างนายสุกำพลจะไปเหลืออะไร ถ้าไปกล่าวหาเขาด้วยข้อมูลมั่วๆปราศจากหลักฐานและหลักกฎหมายอ้างอิง ลองอ่านข้อความโพสจากเฟสบุ๊คกันครับ บอกกันจะๆไม่ต้องถอดความ
"เจ้า ข้าเอ๊ยยย ใครกล่าวหา ว่า ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนีทหาร มาดูหลักฐาน นีซะ เรียกไอ้โอ๋ ไอ้โอ๊ค และ ไอ้ตู่ มาดูกันให้เต็มตา เอกสาร ตราครุฑ ซะด้วย
เรื่อง นี้มีประเด็นสำคัญ ๔ ส่วน โดยส่วนแรก นายอภิสิทธิ์ ได้ไปลงบัญชีทหารกองเกิน ที่เขตพระโขนง กทม เมื่อ ๔ กค. ๒๙ และได้รับใบสำคัญ ที่เรียกว่า สด.๙ .ม.๑๘
"ตาม มาตรา ๑๘ บุคคล ซึ่งยังมิได้ลงบัญชี ทหารกองเกิน ที่อำเภอพร้อมกับคน ชั้นปีเดียวกัน เพราะเหตุใด ๆ ก็ดี ถ้าอายุยังไม่ถึง สี่สิบหกปีบริบูรณ์ ให้ปฏิบัติทำนองเดียว กับมาตรา ๑๖ ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่สามารถจะปฏิบัติได้ แต่จะให้ผู้อื่นแจ้งแทนไม่ได้ ถ้านายอำเภอ จะเรียกตัวลงบัญชีทหารกองเกิน ก็ย่อมทำได้โดยไม่ต้องคำนึงถึง กำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว
เมื่อได้รับการลงบัญชี ทหารกองเกินตามมาตรานี้ ให้นายอำเภอออกใบสำคัญ หรือใบรับให้ไว้เป็น หลักฐาน หากใบสำคัญชำรุด หรือสูญหาย ให้ผู้ถือแจ้งต่อนายอำเภอ ท้องที่เพื่อขอรับใบสำคัญใหม่ โดยเสียค่าธรรมเนียมฉบับละ หนึ่งบาท แต่ถ้าการชำรุดหรือสูญหายนั้น เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
ผู้ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกิน ตามมาตรานี้แล้ว ให้ถือว่าเป็นทหารกองเกิน ตั้งแต่วันลงบัญชี ทหารกองเกิน แต่ถ้ามีอายุครบ กำหนดปลดเป็น ทหารกองหนุนประเภทที่ ๒ ตามมาตรา ๓๙ เมื่อได้ลงบัญชีทหารกองเกินแล้ว ให้ปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ ๒ ทันที
การลงบัญชีทหารกองเกินตามมาตรานี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง"
ส่วนที่ ๒ . เรื่องการสมัครเข้ารับราชการ .....เมื่อนายอภิสิทธิ์ ยื่นใบสมัคร เข้ารับราชการเป็น อจ. รร จปร. โดยขาดเอกสาร การผ่อนผันการเกณฑ์ ตามที่ขอ แต่... เนื่องจากเรื่องการบรรจุ เป็นนายทหารสัญญาบัตร อยู่ในอำนาจของ รมว.กห. เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติ และออกคำสั่งบรรจุ เข้ารับราชการ ที่กำหนด ให้บุคคลที่สมัคร เข้ารับราชการทหาร ต้องมีคุณสมบัติ ตามที่กำหนด เมื่อนายอภิสิทธิ์ ได้ลงทะเบียน ทหารกองเกิน ปี ๒๕๒๙ ย่อมได้รับ สด.๙ และเมื่อมี สด.๙ ย่อมอยู่ในดุลยพินิจ ของกลาโหม ที่จะพิจารณาบรรจุ เข้ารับราชการทหารได้
ส่วนที่ ๓ เรื่องการขึ้นทะเบียนทหารประจำ การ ...เมื่อ ๒๖ เม.ย.๓๑ กลาโหม ได้มีคำสั้งแต่งตั้ง นายอภิสิทธิ์ เป็นว่าที่ร้อยตรี เนื่องจากมีคุณสมบัติ ครบถ้วน ตามข้อบังคับ กห. ว่าด้วยการแต่งตั้งยศ ปี๒๕๐๗ ตั้งแต่ ๒๖ เม.ย.๓๑ เป็นต้นไป ** ซึ่ง รร.จปร.เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ ยังไม่ได้ขึ้น ทะเบียนกองประจำการ เมื่อเป็นทหารประจำการแล้ว จึงนำตัวขึ้นทะเบียน ประจำการ "ตาม ม.๑๑ วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า "ทหารประจำการนั้น ถ้ายังมิได้ขึ้นทะเบียน ประจำการ (สด.๓) " เมื่อ ๒ มิ.ย ๓๑ ที่แผนกสัสดี จังหวัดนครนายก จึงถือว่า ว่า เป็นทหารกองประจำการ ตั้งแต่ ๒๖ เม.ย .๓๑
ส่วนที่ ๔ เรื่องอายุราชการ ...เมื่อเข้ารับราชการ นายอภิสิทธิ์ มีคุณวุฒิ พิเศษ สำเร็จปริญญาตรี ศิลปศาสตร์บัณฑิต ม.ออกซ์ฟอร์ด ** ได้รับสิทธิลดวันรับราชการ ประจำการ โดยต่ำกว่าชั้นอุดมศึกษา ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๔ (พศ.๒๕๐๘) ข้อ ๒ (๘) ให้รับราชการทหารประจำการ ๑ ปี และต้องปลดเป็นทหารกองหนุน ชั้นที่ ๑ ใน ๑ เม.ย. ๓๒
เมื่อ ร.ต.อภิสิทธิ์ ฯ ได้ลาออกจากราชการ ๒ เม.ย ๓๒ ตามคำสั่ง กห.ที่ ๒๗๐/๓๒ ลง ๑๒ เม.ย.๓๒ เรื่องให้ ทหารออกจากประจำการ **จึงถือได้ว่า ร.ต.อภิสิทธิ์ ฯ ได้รับราชการในกองประจำการ ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว
ชัดเจนไหมคะ ฟ้องเอาติดคุกให้หมดเลย ใครหาว่าทำงานไม่ครบ ตบปากดีไหม"
ที่มา เฟสบุ๊ค Siriwanna Jill
อ่าน แล้วเข้าใจอะไรบ้างครับ ถ้าข้อมูลไม่ชัวส์คงไม่เอามาเขียน และน่าสงสัยว่าสุกำพลเอาเอกสารออกมาแถลงครบหรือไม่ โดยเฉพาะผลการสอบสวนเมื่อปี ๔๒ ไม่มีใครเคยเห็นเลย มีแต่เอกสารที่ว่ากล่าวเอาร้ายกับนายอภิสิทธิ์ทั้งนั้น แต่ก็พลาดจนได้ มีพิรุจให้เห็น เมื่อเอกสารที่สุกำพลเอาออกมาโชว์ในวันนั้น นอกจาก สด.๑๖ บัญชีคนขาดการตรวจเลือกทหารแล้ว ก็ยังมีเอกสารที่ขัดกัน นั่นคือ แบบ สด.๓ ทะเบียนกองประจำการที่มีชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะด้วย ตามหลักฐานที่นำมา
ไม่ ต้องไปสนใจ สด.๙ ทั้งฉบับที่ ๑ และฉบับที่ ๒ เลยครับ ว่าจริงหรือปลอมหรือเท้จ วันที่ลงผิดลงถูก จากข้อกฎหมายกับกฎกระทรวงที่ผมยกมา ได้ให้การคุ้มครองการเข้าสมัครเป็นทหารของนายอภิสิทธิ์แล้ว โดยก่อนเขียนเรื่องนี้ผมได้อ่านเอกสารประกอบการอบรมวิชากฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหารสำหรับข้าราชการสายงานสัสดี ซึ่งได้อธิบายในแต่ละมาตราของพระราชบัญญัติรับราชการทหาร ฯ และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่างๆ กับเมื่อได้อ่านบทความของคุณ Siriwanna Jill ทำให้ผมต้องกลับมาเขียนเรื่องการหนีทหารของนายอภิสิทธิ์อีกครั้ง เพราะไม่ต้องการให้ใครคิดว่าตนเป้นราชสีห์เที่ยวจะข้ำเอาลูกแกะไปเคี้ยวแบบ ง่ายๆ ชงเองกินเองแบบนี้ แต่ขาดครีมกับน้ำตาล ก้ขมปี๋ ไม่ดีนะจ๊ะโอ๋
แน่ จริงก็ถอดยศไปเลยสุกำพล แต่ถามหน่อยซิ ว่าจะใช้ระเบียบข้อบังคับของกระทรวงกลาโหมข้อไหน ถ้าถอดได้ เก่งอิ๊บอ๋าย ตามหนังสือ ป.ป.ช.ที่ ปช. ๐๐๑๒/๑๐๒๐ ลงวันที่ ๑๐ ส.ค.๕๓ เรื่องชี้แจงผลการไต่สวนข้อเท็จจริง แจ้งถึงนายกมล บันไดเพชร ในข้อ ๓. ว่าไว้ดังนี้ครับ
"๓. กรณีท่านมีหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ผ่าน พล.อ.อภิชาติ เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ขอให้ดำเนินการถอดยศของนายอภิ สิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และเรียกเงินคืนเงินเดือน และเบี้ยหวัด กรณีการบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับราชการที่ ร.ร.นายร้อยพระจุลจอมเกล้า ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ได้พิจารณาดำเนินการในทันที โดยขอทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว จากกรมกำลังพลทหารบก ซึ่งเป็นส่วนราชการต้นสังกัด และได้ความปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังเป็นผู้มีสิทธิในยศทหาร มีสิทธิได้รับเงินเดือน เบี้ยหวัด และไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การถอดยศทหาร และ งดรับเบี้ยหวัด ตามระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศทหาร และบรรดาศักดิ์ พ.ส.๒๕๐๗ และข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบี้ยหวัด พ.ศ.๒๔๙๕ ประกอบกับกรณีตามคำกล่าวหาของท่าน ได้มีการพิจารณากันในกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร โดยกระทรวงกลาโหม ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งท่านได้เข้าร่วมประชุมอยู่ด้วย และกระทรวงกลาโหมได้มีหนังสือ แจ้งผลการดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้ท่านทราบในเบื้องต้นแล้ว"
ตาม ระเบียบระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้วางหลักการถอดยศทหาร โดยอำนาจของรัฐมนตรีกลาโหม ไว้ดังนี้
"ข้อ ๒ ผู้ซึ่งไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ ได้แก่ผู้ที่มีความผิด
หรือต้องรับโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
๒.๑ ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ โดยถือตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือ
โทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ศาลจะรอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้
๒.๒ กระทำความผิดนอกจากข้อ ๒.๑ ต้องรับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่า
จำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ศาลจะรอการกำหนดโทษ
หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ หรือต้องรับโทษจำคุกไม่เกินความผิดลหุโทษหรือความผิดอันได้กระทำ
โดยประมาท
๒.๓ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นคนล้มละลายเพราะทำหนี้สิ้นขึ้น
ด้วยความทุจริต
๒.๔ ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายและการขัดคำสั่งนั้น
เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
๒.๕ เปิดเผยความลับของราชการ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
๒.๖ ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ
อย่างร้ายแรง
๒.๗ ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป
๒.๘ หนีราชการทหารในเวลาประจำการ
๒.๙ ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง"
การถอดยศนายอภิสิทธิ์เข้าข่ายความผิดข้อ ๒.๑-๒.๙ ในข้อไหนหรือไม่ครับทั่นสุกำพล หรือว่าไปเข้าข้อสุดท้าย"ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง"
สมัยผมยังเด็กๆมีหนังไทยอยู่เรื่องหนึ่ง ตั้งชื่อได้สะใจมากชื่อ"ใครว่าข้าชั่ว"ถ้าสมัยนี้ถ้านำกลับมาทำใหม่ คงจะต้องตั้งชื่อให้เข้ายุคสมัย แบบนี้ดีไหมครับ"ใครว่าข้าชั่ว แต่เอ็งสิชั่ว"รับรองคนมาชมกันตรึม(ฮา)
จาก http://www.oknation....2/10/18/entry-1
Edited by sigree, 18 October 2012 - 17:45.