http://www.bangkokbi...าศาลตัดสิน.htmlรังสิตโพลชี้'สรยุทธ'ควรหยุดทำข่าวจนกว่าศาลตัดสิน"สังศิต" เผยผลสำรวจความเห็นเจ้าของและผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ระบุส่วนใหญ่เห็นว่า"สรยุทธ" ควรหยุดทำรายการข่าวจนกว่าศาลจะตัดสิน
ศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ได้สำรวจความเห็นของเจ้าของและผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่ อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 63 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาในหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงของสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 15 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2555 พบว่า
1. กรณีศาลอาญาพิพากษาจำคุกนายธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา ที่ออกระเบียบขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี ทำให้นายธีรเดช พ้นจากตำแหน่งประธานวุฒิสภา แต่ยังสามารถเป็น ส.ว. ต่อไป โดยอ้างว่าการสิ้นสภาพ ส.ว. ต้องถูกจำคุกเท่านั้น ในประเด็นนี้จากมุมมองทางด้านจริยธรรมนักศึกษาร้อยละ 84 เห็นว่านายธีรเดชไม่สมควรเป็น ส.ว. ต่อไป มีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้น ที่เห็นว่านายธีรเดชสมควรเป็น ส.ว.
2. ในกรณีของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ถูก ปปช. ชี้มูลความผิดว่าร่วมทุจริตกับเจ้าหน้าที่ อสมท. จน อสมท. เสียหายเป็นมูลค่ากว่า 138 ล้านบาท นักศึกษาส่วนใหญ่ร้อยละ 58 เห็นว่าคุณสรยุทธ ควรหยุดทำรายการข่าว จนกว่าศาลจะตัดสิน ร้อยละ 40 เห็นว่าคุณสรยุทธยังสามารถทำรายการข่าวต่อไปจนกว่าศาลอาญาจะตัดสิน
3. ถามว่าหากนักศึกษาเป็นเจ้าของทีวีช่อง 3 ท่านจะมีจุดยืนต่อกรณีนี้อย่างไร นักศึกษาร้อยละ 60 ตอบว่าจะให้คุณสรยุทธหยุดทำรายการข่าวจนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาล มีเพียงร้อยละ 33 เท่านั้นที่จะให้คุณสรยุทธทำรายการต่อไป
4. ถามว่าหากบริษัทของท่านเป็นสปอนเซอร์รายการของคุณสรยุทธอยู่ในขณะนี้ท่านจะ ทำอย่างไร นักศึกษาร้อยละ 67 ตอบว่าจะถอนการเป็นสปอนเซอร์ มีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้นที่จะให้การสนับสนุนนี้ต่อไป
5. ถามว่าในฐานะผู้ชมรายการของคุณสรยุทธ เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ท่านเห็นว่าผู้ชมรายการควรมีท่าทีอย่างไร นักศึกษาร้อยละ 54 เห็นว่าควรงดดูรายการนี้ และหันไปดูรายการข่าวช่องอื่นแทน ร้อยละ 27 ยังต้องการดูรายการนี้ต่อไป อีกร้อยละ 19 ยังลังเลใจ
6. จากผลสำรวจของเอแบค โพลล์ ที่ว่านักการเมืองสามารถทุจริตได้ หากทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้น มีนักศึกษาจำนวนสูงถึงร้อยละ 83 ไม่เห็นด้วย มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่เห็นด้วย
7. ถามว่าหากนักการเมืองทุจริต จะทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้นในระยะยาวได้หรือไม่ นักศึกษาร้อยละ 66 ตอบว่าไม่ได้ เพราะบ้านเมืองจะเกิดวิกฤติ มีร้อยละ 32 ที่ตอบว่าได้บ้าง แต่ไม่ดีเท่าที่ควร อีกร้อยละ 2 ตอบว่าไม่แน่ใจ
8. ถามว่าท่านเห็นด้วยกับคำถามของเอแบค โพลล์ หรือไม่ที่ว่านักการเมืองสามารถทุจริตได้ หากท่านได้รับผลประโยชน์ด้วย นักศึกษาร้อยละ 80 ตอบว่าไม่เห็นด้วยและจะคัดค้าน ร้อยละ 15 ตอบว่าไม่เห็นด้วย แต่จะไม่คัดค้าน และร้อยละ 5 เท่านั้นที่ตอบว่าเห็นด้วย สรุปก็คือนักศึกษาร้อยละ 95 ไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถามแบบนี้ของเอแบค โพลล์
9. ถามว่าท่านคิดว่าคำถามเรื่องการทุจริตของเอแบค โพลล์ ข้างต้นที่มีการสำรวจอย่างต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในระยะยาวอย่าง ไร ร้อยละ 55 เห็นว่าเป็นการตอกย้ำค่านิยมที่ผิดให้แก่สังคมไทยมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ร้อยละ 25 มองว่าคนจะรู้สึกว่าการทุจริตเป็นเรื่องปกติ ร้อยละ 2 เห็นว่าเป็นความไม่รับผิดชอบของสถาบันการศึกษา และร้อยละ 18 เท่านั้นที่เห็นว่าไม่มีผลอะไร เพราะเป็นการสะท้อนความเป็นจริงของสังคมไทย โดยสรุปก็คือผู้ตอบร้อยละ 82 เห็นว่าเอแบค โพลล์ ควรเลิกคำถามในลักษณะเหล่านี้เสีย เพราะเป็นการผลิตซ้ำความเชื่อที่ผิดๆ ที่ช่วยสร้างความชอบธรรมให้แก่นักการเมืองที่ทุจริต
โดยสรุปพบว่า กลุ่มนักธุรกิจและผู้บริหารระดับสูงมีแนวความคิดเรื่องจริยธรรมและการ คอร์รัปชันแตกต่างจากนักการเมือง และ ส.ว. ในกรณีของคุณธีรเดช มีเพียร นอกจากนี้ ผู้ตอบส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องของจริยธรรมทางวิชาชีพมากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจในกรณีของ คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา และท้ายที่สุ
ด พวกเขามองว่าการทุจริตของนักการเมืองเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และเห็นว่าสถาบันการศึกษาควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมในการทำโพลล์มากยิ่งขึ้น และไม่ควรสร้างความชอบธรรมให้แก่นักการเมืองที่ทุจริตด้วยความสุจริตใจ