Edited by Kh@n, 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:15.
ทำแบบนี้แล้วเท่ห์ เหรอครับ
#1
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 02:52
ไปกันใหญ่แล้วน้าาา ประเทศไทย !
#2
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 02:53
ไอ้แบบนี้ก็อีกแบบหนึ่ง ใครพาเรียกว่ากลอนนี่ ขอตีมือหน่อย
ไปกันใหญ่แล้วน้าาา ประเทศไทย !
#3
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 02:57
ไปกันใหญ่แล้วน้าาา ประเทศไทย !
#4
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 09:39
น่าเป็นห่วงสังคมนะครับ ที่มีคนยุคถัดไปกลุ่มใหญ่ๆ นิยมการเป็นโมเดิร์นไนซ์ แบบเปลือกๆ ทั้งๆที่ประเทศนี้หากินกับไร่นาเป็นหลัก
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ไม่อิงศรัทธาหรือความเชื่อ แต่เน้นเรื่อง The Right Thought มาโดยตลอด
และยังสอนวิธีพิจารณา Right Thought อย่างละเอียดยิบด้วย (อ่านในพระไตรปิฏกดูได้)
การเป็นคนรุ่นใหม่ที่ "เห็นต่าง" ไม่ผิด แถมดีแน่ เพราะเจ้าชายสิทธัตถะก็ทรง "เห็นต่าง" จาก Norm เช่นกัน ท่านถึงทรงหนีออกจากวังไปผนวช
แต่ "เห็นผิด" นี่สิ ร้ายกาจสุด เพราะนำไปสู่การทำผิดทุกเรื่อง
หากเหล่าสาวก post-modern ทั้งหลาย รู้จักวิธีพิจารณา the right thought เขาจะไม่เขียนอะไร "อวิชชา" แบบนี้ครับ
ปล. ผู้กำกับตุ๊ดจอมเสื้อแดงตัวแม่ก็เคยอ้าง "โยนิโสมนสิการ" นะครับ
พวกนี้ชอบอ้างอะไรสูงส่ง ทั้งที่ตัวเองไม่เข้าใจและปฏิบัติไมไ่ด้สักนิด
โยนิโสมนสิการ
การกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า
สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบ และโดยอุบายวิธี
ให้เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย
- คิดจากเหตุไปหาผล
- คิดจากผลไปหาเหตุ
- คิดแบบเห็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
- คิดเน้นเฉพาะจุดที่ทำให้เกิด
- คิดเห็นสิ่งที่มาตัดขาดให้ดับ
- คิดเห็นองค์ประกอบที่มาส่งเสริมให้เจริญ
- คิดเห็นองค์ประกอบที่มาทำให้เสื่อม
- คิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ
- คิดแบบมองเป็นองค์รวม
- คิดแบบอะไรเป็นไปได้ หรึอเป็นไปไม่ได้
#5
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 09:48
#6
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 09:50
น่าเป็นห่วงสังคมนะครับ ที่มีคนยุคถัดไปกลุ่มใหญ่ๆ นิยมการเป็นโมเดิร์นไนซ์ แบบเปลือกๆ ทั้งๆที่ประเทศนี้หากินกับไร่นาเป็นหลัก
สันดา นพวกนี้มันไม่เคยศึกษาประวิตศาสตร์ชาติไทยเรา
เลยไม่รู้สึกสำนึกบุญคุณ
ประเทศเราอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวม
มันเรียนอยู่แต่เมืองนอกเมืองนาถูกไอกันล้างสมองจนเกลี้ยง
จนลืมกำพืดดั้งเดิมเชื้อชาติของประเทศตัวเอง
คนลักษณะแบบนี้มันต้องเจอการตอบโต้แบบชาวมุสลิม
แตะต้องศาสดาของเขาเมื่อไร่ มิงตายทันที
รับรองไอพวกนี้จะไม่กล้าออกมาพล่ามแบบนี้หรอก
เอาระเบิดไปให้มันรับประทานสักลูก2ลูกสิ
รับรองมันเลิกทำตัวเท่ห์ๆแน่
#7
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 09:53
#8
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:02
"รักประชาธิปไตย" หรือเอาอุดมการณ์เสรีภาพมาอ้างในการทำสิ่งผิดกฎหมาย
สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนและสร้างความเสียหายกับประเทศชาติ
ดูเหมือนว่า บรรดาคนที่อวยนักการเมือง กลุ่มการเมือง บางคนบางกลุ่ม และคนที่แอบอ้างอุดมการณ์
ส่วนหนึ่งจะหยาบคาย ก้าวร้าว
และรักความรุนแรงมากถึงมากที่สุด
ส่วนหนึ่งดูเรียบร้อย แต่แฝงด้วยอคติอันเข้มข้น
เพิ่งเข้าใจว่า คุณสมบัติของคนที่รักประชาธิปไตยแต่ปาก เป็นเช่นนี้เอง
อู๋ ฮานามิ
Edited by อู๋ ฮานามิ, 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:05.
- isa, phoosana, Lucas Leiva Benitez Rodger and 1 other like this
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#9
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:05
วัดจากคอมเมนท์ ของคนที่บอกว่า
"รักประชาธิปไตย" หรือเอาอุดมการณ์เสรีภาพมาอ้างในการทำสิ่งผิดกฎหมาย
สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนและสร้างความเสียหายกับประเทศชาติ
ดูเหมือนว่า บรรดาคนที่อวยนักการเมือง กลุ่มการเมือง บางคนบางกลุ่ม และคนที่แอบอ้างอุดมการณ์
ส่วนหนึ่งจะหยาบคาย ก้าวร้าว
และรักความรุนแรงมากถึงมากที่สุด
เพิ่งเข้าใจว่า คุณสมบัติของคนที่รักประชาธิปไตยแต่ปาก เป็นเช่นนี้เอง
อู๋ ฮานามิ
ชอบมากๆ
นี่แหละ คือการคิดแบบไม่แยบคาย ไม่กระจ่างแจ้ง
ถึงได้ถูกย้อนแย้งได้
หากยังคิดไม่กระจ่าง คิดไม่ขาด ไม่งามทั้งเบื้องต้น งามทั้งเบื้องกลาง งามทั้งเบื้องปลาย
ก็อย่าคิดออกมาเลย
คิดให้คนอื่นเขาย้อนเอาได้แบบนี้ มันไม่เท่หรอก
- อู๋ ฮานามิ likes this
#10
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:17
- อู๋ ฮานามิ likes this
#11
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:19
มักจะหาทางเด่นดังที่ดีๆไม่ค่อยได้
เพราะคิดจะทำอะไรที่ดีๆเพื่อให้สังคมยอมรับ
พ่อก็เคยทำมาหมดแล้ว สังคมเลยไม่ค่อย ยกย่อง
ถึงจะยกย่อง ก็จะออกมาในแนว นี่ไง ลูกคุณ....
เพราะพ่อเค้าดี ลูกเลยดีตามพ่อ เลยไม่ได้รับคำชมตรงๆ
นานๆเข้า ก็เลยกลายเป็น อิจฉาพ่อตัวเอง
ด้วยแรงฮึด จึงต้องแสวงหาจุดที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองเด่นดัง
เมื่อทำในทางดีๆ พ่อก็ทำไว้หมดแล้ว มันก็เลยต้องออกมาแนวนี้
ถ้าแนวนี้ยังไม่ดัง สงสัยจะไปปลุกระดมมวลชน ให้เผาเมือง ก็เป็นได้
- Kh@n likes this
#12
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:20
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=93svZzrpWZA
ไอ้แบบนี้ก็อีกแบบหนึ่ง ใครพาเรียกว่ากลอนนี่ ขอตีมือหน่อย
ผมเคยอ่านงานของแกใน "ไม่มีหญิงสาวในบทกวี" ที่ได้รางวัลซีไรท์เมื่อปีก่อนโน้น
วิธีการสื่อสารมันสูงเกินที่ผมจะเข้าใจ เพราะคนไทยเคยชินกับกลอนที่มีฉันทลักษณ์ คำสัมผัสมากกว่า
แกลงชื่อขอแก้ 112 ด้วย เท่ากับว่าเชื่อแนวคิดเกรียนๆ ของสมศักดิ์เจียมที่อยากด่าเจ้า (เพราะในแถลงการณ์ขอแก้ 112 นั้นอ้างถึงสมศักดิ์เจียมในแถลงการณ์ด้วย)
Edited by อู๋ ฮานามิ, 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:23.
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#13
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:24
#15
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:47
มันขึ้นกับตัวบุคคล ไม่ใช่หรือครับ
ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน มันก็มีบุคคล 2 แบบ ทั้งนั้นล่ะ มันไม่ได้ขึ้นกับว่า อยู่ฝ่ายไหนแล้วต้องมี พฤติกรรม แบบใด ซักหน่อยนะครับ
ส่วนตัวผมเอง ตั้งแต่สมัครเป็นสมาชิก เวบเสรีไทย ก็พยายามตรวจสอบตัวเองตลอด ไม่ใช้คำหยาบ ก้าวร้าว และไม่ด่า คนอื่น แม้อยู่กันคนละฝั่ง ซึ่งผมก็เห็นว่า ก็มีหลายคน ที่พยายามรักษา กิริยามารยาท
แต่ถึงอย่างไร เรื่องแบบนี้ ก็เป็นที่ตัวบุคคล ขึ้นกับ ความพอใจของแต่ละคนเองด้วย
ทำไมต้อง พยายามเบี่ยงเบน ให้คนเข้าใจด้วย ว่า ถ้าอยู่ฝั่งนี้ รักในหลวง แล้วต้องด่า พวกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตลอด มันใช่ที่ไหนล่ะ
ผมคนหนึ่งละ ที่ไม่ยอมรับแน่ ๆ
- อู๋ ฮานามิ and NoOaK like this
ขอให้พวกเรา ชาวหลากสี และพันธมิตร จงมีชีวิตรอด จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฝีมือปูนา ไปตลอดรอดฝั่งด้วยครับ
PEMDAS ย่อมาจาก ลำดับการคำนวณ Parentheses , Exponentials , Multiply , Divide , Add , Subtract
FWGHSO ย่อมาจาก ลำดับการประเมินผลของ query FROM, WHERE, GROUP BY, HAVING, SELECT, ORDER BY
#16
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 11:22
"เนรคุณประเทศชาติ"
หรือถามว่า
"คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า"
ดูเหมือนบรรดาคนที่กตัญญู และเป็น "คนไทย"
ส่วนใหญ่จะหยาบคาย ก้าวร้าว
และรักความรุนแรงมากถึงมากที่สุด
ถ้าการถามเช่นนี้ หยาบคาย ก้าวร้าว
แล้วคนที่ไปเย้วๆ "ช่างแม่มัน" บนเวที หรือเรียกร้องให้เผาศาลากลาง ห้างร้าน
เอาน้ำมันมาคนละขวดกรุงเทพจะเป็นทะเลเพลิง
มันมิหยาบคาย รักความรุนแรงยิ่งกว่าอีกหรือ?
คนพวกนี้มิต่ำช้ายิ่งไปกว่าสัตว์อีกหรือครับ?
ตัวคุณปราบดาเองถูกต่อว่าแค่นี้คุณก็ยังออกมาตอบโต้ว่าเขาหยาบคาย รักความรุนแรง
แล้วที่คุณเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112
ซึ่งจะเป็นชนวนให้คนไทยลุกขึ้นมาใช้กฎหมู่ ลุกขึ้นมาจัดการกันเอง
(เพราะเมื่อมันไม่มีกฎหมาย มันก็จะเกิดกฎหมู่
ไม่เชื่อลองยกเลิกกฎหมายให้โขมยของกันได้สิครับ รับรองเกิดกฎหมู่ขึ้นมาแทนชัวร์)
คุณจึงควรไปคิดดูใหม่ว่า คนที่ด่าคุณว่า "เนรคุณประเทศชาติ"
หรือคนอย่างคุณที่สร้างเงื่อนไขให้คนไทยออกมาฆ่ากันในภายหลัง
พวกไหนหยาบคายและรักความรุนแรงกว่ากัน
คนที่ด่าว่าไอ้พวกวางระเบิดหรือไอ้คนที่จุดชนวนระเบิด คนไหนเป็นคนสร้างความรุนแรงครับ?
เพิ่งเข้าใจว่าคุณสมบัติของความเป็นคนไทยเป็นเช่นนี้เอง
คุณเข้าใจเหรอ แต่ผมไม่เข้าใจความคิดของพวกเนรคุณประเทศชาติอยู่ดีครับ
อยู่ๆมาสร้างเงื่อนไขให้คนไทยแตกแยก
ประนามว่าคนคัดค้านพวกคุณหยาบคายและรักความรุนแรง
พวกคุณมองโลกสวย
แต่มองไม่เห็นความหยาบคาย เห็นการไล่ล่าทุบรถของคนเสื้อแดง
ล่มงานประชุมอาเซียนซัมมิต เผาเมือง ใช้อาวุธสงครามก่อวินาศกรรมตามจุดต่างๆ
เรื่องแบบนี้พวกคุณหูหนวกตาบอดมองไม่เห็น ไม่เอ่ยถึงเลยแม้นแต่น้อย
แต่พอคุณถูกถามว่า "เป็นคนไทยหรือเปล่า"
แหม... คุณเข้าใจคุณสมบัติของความเป็นคนไทยขึ้นมาเลย
ดังนั้นผมไม่เข้าใจความคิดคุณหรอกครับ และผมไม่รู้ด้วยว่าคุณเป็นคนไทยหรือเปล่า
แต่ถ้าเป็นคนชั่วน่าจะใช่
ปราบดา หยุ่น
ทุ้ย! ไอ้พวกโลกสวย
Edited by คลำปม, 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:32.
- อู๋ ฮานามิ likes this
วิธีการยุติระบอบทักษิณ
ก็แค่เพียงทำให้คนไทยส่วนใหญ่ "ฉลาด"
#17
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:15
เท่ มิใช่ เท่ห์
ขอบคุณสำหรับการตรวจสอบครับ
ส่วนกระทู้นี้ผมตั้งขึ้นมาเพราะรูสึกว่าตอนนี้ปัญหาเรื่องการศึกษาและพัฒนากำพืดของเด็กไทยมันกำลังลามไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กๆกำลังรู้จักตัวเองน้อยลง แต่รู้จักฝั่งเยอะขึ้น เลยทำให้เราไม่คิดพัฒนาจากฐานของตัวเอง มีแต่เอาฝรั่งมาเป็นเกณฑ์ว่าต้องทำตาม เฮ๊ออออออ
ไปกันใหญ่แล้วน้าาา ประเทศไทย !
#18
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:23
กฎหมายมันก็แค่สิงที่สร้างมาอย่างมีเป้าหมาย แต่หาก เอาแต่บอกว่ากฎหมายเป็นแบบนี้ แบบนั้น โดยไม่สนใจว่าเป้าหมายจริงๆ นันคืออะไร ก็คงไม่ใช่
#19
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 13:19
ที่..ไร้ฉันทลักษณ์ ..ได้ไม๊ ? ตามแต่จะคิดเห็น เรียกกัน ก็ตามใจ แล้วแต่สะดวก ..แต่
อยากจะบอกว่า. แต่โบราณ.มา ท่านครูก็แยก ( กวี.เป็น ร้อยแก้ว.กับร้อยกรอง ) เห็น
ว่าเพื่อความสะดวกของผู้..ชอบเขียน .ไม่อยากกล่าวความให้ยาวไกลไปถึง ยุคพระ-
มหาราชครู. ศรีปราชญ์. ขอกล่าวช่วง ( รัชกาลที่ ๒-๓ และ ๕-๖ ) เท่านั้น สมัย
รัชกาลที่ ๒-๓ มีกวีเอกคือ. รัชกาลที่ ๒. สุนทร ภู่. คุณพุ่ม.นายมี.ฯลฯ มีวรรณกรรม
อยู่มากมาย. ทั้งบทละครนอก.ละครใน. กลอนนิราศ. รวมถึง.กลกลอน ( กลบท )
( กลบท มีจารึกหินอ่อนอยู่ตามเสาระเบียง ว้ดโพธิ ) ปัจจุบันหาผู้แต่งเกือบไม่ได้แล้ว
บทกลอนยุคนี้ ก็ถือเป็น ( กลอนชั้นครู ) ต่อมา ( สมัย รัชกาลที่ ๕-๖ ) ก็มี กวีเอก-
ที่วางหลักการเขียน การแต่งไว้ เป็นรูปแบบที่ มีแผนผังแน่นอน จนใช้เป็นแบบเรียน
ม. ปลาย. ที่มีอยู่ ๔ บท ( ๑.อักขระวิธี.๒.วจีวิพากย์.๓วากยสัมพันธ์.๔ ฉันทลักษณ์ )
ผู้ที่ชำระหลักภาษาไทยนี้คือ ท่าน ( หลวงธรรมาภิมณฑ์ ) สมัยนั้น มีกวีเด่นอยู่ท่านหนึ่ง
คือ ( นายชิต บูรทัต ) ผู้เขียน ..สามัคคีเภท คำฉันท์ ..ซึ่งน่าจะเป็นกวีที่เขียนคำฉันท์
เป็นท่านสุดท้าย ในสยาม..และใช้ คำฉันท์ ที่ท่านหลวงธรรมาภิมณฑ์ ชำระไว้ เพราะคำ-
ฉันท์รุ่นเก่า ( สมุทรโฆษ คำฉันท์ . เสือ โค คำฉันท์ ) ยังใช้ สระ หลายตัว เป็น คำ ลหุ.
แต่หลวงธรรมาภิมณฑ์. วางแบบให้เป็น..เสียง ครุ. หมด.(นี่คือ ความยาก ) ของผู้ประพันธ์
เพราะ. คำฉันท์. ต้องเป็น.. ทั้งผู้แต่งและผู้อ่าน. ( เกรงว่าจะหาผู้แต่งได้ยากลงไปทุกที)
......พูดถึงกลอน ท่านครูก็วางหลักไว้ ๑๐ ชนิด . ตั้ง ( กลอนแปดสุภาพ ) ขอกล่าวแค่นี้
คนที่เขียน..ผิดฉันทลักษณ์..มักจะเป็นคนดัง. แล้วใครท้วงติงก็ไม่ฟัง คนรุ่นหลังที่ชอบ
เขียนกลอนก็เอาอย่าง..คนดัง..โดยไม่ได้ศึกษาฉันทลักษณ์ ..บทกลอนที่ออกมาจึงมั่วไปหมด
แล้วฉันทลักษณ์ บทกวี มันจะเหลืออยู่ไม๊ ? แบบแผนที่วางหลักไว้ตั้งแต่ รัชกาลที่ ๕-๖ มัน
ยังจะมีอะไรเหลืออยู่ ( อาศัยชื่อเสียงที่มีอยู่ ทำลาย ฉันทลักษณ์ ) ที่วางหลักไว้หรือเปล่า ??
อย่ามาพูดเลยนะว่า เป็นรูปแบบใหม่. หลักของ.กวี. ท่านครูก็วางไว้แล้ว ( ร้อยแก้ว ก็คือ ร้อยแก้ว )
( ร้อยกรอง ก็คือ ร้อยกรอง ) เห็นมีแต่เอา ( ร้อยกรอง ไปเขียน.นอกกฏ ) แล้วเพ้อว่า นี่คือ --
รูปแบบใหม่.(คนพวกนี้ แค่จนปัญญา เร่หาสัมผัส ไม่แตกฉานอักขระวิธี)ก็ทำลายร้อยกรอง
จนแทบไม่เหลือความไพเราะอยู่อีกแล้ว ( ผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีก นอกจากมีผู้ถาม ) จบ
- อู๋ ฮานามิ, NoOaK and RaRa like this
#20
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:21
ว่าจะไม่เขียนแล้ว เพราะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เดี๋ยวนี้เขามี..กวี..(เรียกว่าอะไรดีล่ะ)
ที่..ไร้ฉันทลักษณ์ ..ได้ไม๊ ? ตามแต่จะคิดเห็น เรียกกัน ก็ตามใจ แล้วแต่สะดวก ..แต่
อยากจะบอกว่า. แต่โบราณ.มา ท่านครูก็แยก ( กวี.เป็น ร้อยแก้ว.กับร้อยกรอง ) เห็น
ว่าเพื่อความสะดวกของผู้..ชอบเขียน .ไม่อยากกล่าวความให้ยาวไกลไปถึง ยุคพระ-
มหาราชครู. ศรีปราชญ์. ขอกล่าวช่วง ( รัชกาลที่ ๒-๓ และ ๕-๖ ) เท่านั้น สมัย
รัชกาลที่ ๒-๓ มีกวีเอกคือ. รัชกาลที่ ๒. สุนทร ภู่. คุณพุ่ม.นายมี.ฯลฯ มีวรรณกรรม
อยู่มากมาย. ทั้งบทละครนอก.ละครใน. กลอนนิราศ. รวมถึง.กลกลอน ( กลบท )
( กลบท มีจารึกหินอ่อนอยู่ตามเสาระเบียง ว้ดโพธิ ) ปัจจุบันหาผู้แต่งเกือบไม่ได้แล้ว
บทกลอนยุคนี้ ก็ถือเป็น ( กลอนชั้นครู ) ต่อมา ( สมัย รัชกาลที่ ๕-๖ ) ก็มี กวีเอก-
ที่วางหลักการเขียน การแต่งไว้ เป็นรูปแบบที่ มีแผนผังแน่นอน จนใช้เป็นแบบเรียน
ม. ปลาย. ที่มีอยู่ ๔ บท ( ๑.อักขระวิธี.๒.วจีวิพากย์.๓วากยสัมพันธ์.๔ ฉันทลักษณ์ )
ผู้ที่ชำระหลักภาษาไทยนี้คือ ท่าน ( หลวงธรรมาภิมณฑ์ ) สมัยนั้น มีกวีเด่นอยู่ท่านหนึ่ง
คือ ( นายชิต บูรทัต ) ผู้เขียน ..สามัคคีเภท คำฉันท์ ..ซึ่งน่าจะเป็นกวีที่เขียนคำฉันท์
เป็นท่านสุดท้าย ในสยาม..และใช้ คำฉันท์ ที่ท่านหลวงธรรมาภิมณฑ์ ชำระไว้ เพราะคำ-
ฉันท์รุ่นเก่า ( สมุทรโฆษ คำฉันท์ . เสือ โค คำฉันท์ ) ยังใช้ สระ หลายตัว เป็น คำ ลหุ.
แต่หลวงธรรมาภิมณฑ์. วางแบบให้เป็น..เสียง ครุ. หมด.(นี่คือ ความยาก ) ของผู้ประพันธ์
เพราะ. คำฉันท์. ต้องเป็น.. ทั้งผู้แต่งและผู้อ่าน. ( เกรงว่าจะหาผู้แต่งได้ยากลงไปทุกที)
......พูดถึงกลอน ท่านครูก็วางหลักไว้ ๑๐ ชนิด . ตั้ง ( กลอนแปดสุภาพ ) ขอกล่าวแค่นี้
คนที่เขียน..ผิดฉันทลักษณ์..มักจะเป็นคนดัง. แล้วใครท้วงติงก็ไม่ฟัง คนรุ่นหลังที่ชอบ
เขียนกลอนก็เอาอย่าง..คนดัง..โดยไม่ได้ศึกษาฉันทลักษณ์ ..บทกลอนที่ออกมาจึงมั่วไปหมด
แล้วฉันทลักษณ์ บทกวี มันจะเหลืออยู่ไม๊ ? แบบแผนที่วางหลักไว้ตั้งแต่ รัชกาลที่ ๕-๖ มัน
ยังจะมีอะไรเหลืออยู่ ( อาศัยชื่อเสียงที่มีอยู่ ทำลาย ฉันทลักษณ์ ) ที่วางหลักไว้หรือเปล่า ??
อย่ามาพูดเลยนะว่า เป็นรูปแบบใหม่. หลักของ.กวี. ท่านครูก็วางไว้แล้ว ( ร้อยแก้ว ก็คือ ร้อยแก้ว )
( ร้อยกรอง ก็คือ ร้อยกรอง ) เห็นมีแต่เอา ( ร้อยกรอง ไปเขียน.นอกกฏ ) แล้วเพ้อว่า นี่คือ --
รูปแบบใหม่.(คนพวกนี้ แค่จนปัญญา เร่หาสัมผัส ไม่แตกฉานอักขระวิธี)ก็ทำลายร้อยกรอง
จนแทบไม่เหลือความไพเราะอยู่อีกแล้ว ( ผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีก นอกจากมีผู้ถาม ) จบ
ลึกซึ้ง แตกฉาน......เยี่ยมมากครับ
นานๆ ท่านพระเจ้าตา จะออกงิ้ว ซะที
ผมประทับจายยยยยยยยยคร้าบบบบ
- พระฤๅษี likes this
ขอเทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใด
...แม้แต่ลมหายใจก็ยอมพลี
โลกยังไม่สิ้นหวัง ถ้ายังมั่นในความดี
...ศรัทธาไม่เคยหน่ายหนี คนดีไม่มีวันตาย
#21
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:38
ว่าจะไม่เขียนแล้ว เพราะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เดี๋ยวนี้เขามี..กวี..(เรียกว่าอะไรดีล่ะ)
ที่..ไร้ฉันทลักษณ์ ..ได้ไม๊ ? ตามแต่จะคิดเห็น เรียกกัน ก็ตามใจ แล้วแต่สะดวก ..แต่
อยากจะบอกว่า. แต่โบราณ.มา ท่านครูก็แยก ( กวี.เป็น ร้อยแก้ว.กับร้อยกรอง ) เห็น
ว่าเพื่อความสะดวกของผู้..ชอบเขียน .ไม่อยากกล่าวความให้ยาวไกลไปถึง ยุคพระ-
มหาราชครู. ศรีปราชญ์. ขอกล่าวช่วง ( รัชกาลที่ ๒-๓ และ ๕-๖ ) เท่านั้น สมัย
รัชกาลที่ ๒-๓ มีกวีเอกคือ. รัชกาลที่ ๒. สุนทร ภู่. คุณพุ่ม.นายมี.ฯลฯ มีวรรณกรรม
อยู่มากมาย. ทั้งบทละครนอก.ละครใน. กลอนนิราศ. รวมถึง.กลกลอน ( กลบท )
( กลบท มีจารึกหินอ่อนอยู่ตามเสาระเบียง ว้ดโพธิ ) ปัจจุบันหาผู้แต่งเกือบไม่ได้แล้ว
บทกลอนยุคนี้ ก็ถือเป็น ( กลอนชั้นครู ) ต่อมา ( สมัย รัชกาลที่ ๕-๖ ) ก็มี กวีเอก-
ที่วางหลักการเขียน การแต่งไว้ เป็นรูปแบบที่ มีแผนผังแน่นอน จนใช้เป็นแบบเรียน
ม. ปลาย. ที่มีอยู่ ๔ บท ( ๑.อักขระวิธี.๒.วจีวิพากย์.๓วากยสัมพันธ์.๔ ฉันทลักษณ์ )
ผู้ที่ชำระหลักภาษาไทยนี้คือ ท่าน ( หลวงธรรมาภิมณฑ์ ) สมัยนั้น มีกวีเด่นอยู่ท่านหนึ่ง
คือ ( นายชิต บูรทัต ) ผู้เขียน ..สามัคคีเภท คำฉันท์ ..ซึ่งน่าจะเป็นกวีที่เขียนคำฉันท์
เป็นท่านสุดท้าย ในสยาม..และใช้ คำฉันท์ ที่ท่านหลวงธรรมาภิมณฑ์ ชำระไว้ เพราะคำ-
ฉันท์รุ่นเก่า ( สมุทรโฆษ คำฉันท์ . เสือ โค คำฉันท์ ) ยังใช้ สระ หลายตัว เป็น คำ ลหุ.
แต่หลวงธรรมาภิมณฑ์. วางแบบให้เป็น..เสียง ครุ. หมด.(นี่คือ ความยาก ) ของผู้ประพันธ์
เพราะ. คำฉันท์. ต้องเป็น.. ทั้งผู้แต่งและผู้อ่าน. ( เกรงว่าจะหาผู้แต่งได้ยากลงไปทุกที)
......พูดถึงกลอน ท่านครูก็วางหลักไว้ ๑๐ ชนิด . ตั้ง ( กลอนแปดสุภาพ ) ขอกล่าวแค่นี้
คนที่เขียน..ผิดฉันทลักษณ์..มักจะเป็นคนดัง. แล้วใครท้วงติงก็ไม่ฟัง คนรุ่นหลังที่ชอบ
เขียนกลอนก็เอาอย่าง..คนดัง..โดยไม่ได้ศึกษาฉันทลักษณ์ ..บทกลอนที่ออกมาจึงมั่วไปหมด
แล้วฉันทลักษณ์ บทกวี มันจะเหลืออยู่ไม๊ ? แบบแผนที่วางหลักไว้ตั้งแต่ รัชกาลที่ ๕-๖ มัน
ยังจะมีอะไรเหลืออยู่ ( อาศัยชื่อเสียงที่มีอยู่ ทำลาย ฉันทลักษณ์ ) ที่วางหลักไว้หรือเปล่า ??
อย่ามาพูดเลยนะว่า เป็นรูปแบบใหม่. หลักของ.กวี. ท่านครูก็วางไว้แล้ว ( ร้อยแก้ว ก็คือ ร้อยแก้ว )
( ร้อยกรอง ก็คือ ร้อยกรอง ) เห็นมีแต่เอา ( ร้อยกรอง ไปเขียน.นอกกฏ ) แล้วเพ้อว่า นี่คือ --
รูปแบบใหม่.(คนพวกนี้ แค่จนปัญญา เร่หาสัมผัส ไม่แตกฉานอักขระวิธี)ก็ทำลายร้อยกรอง
จนแทบไม่เหลือความไพเราะอยู่อีกแล้ว ( ผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีก นอกจากมีผู้ถาม ) จบ
ลึกซึ้ง แตกฉาน......เยี่ยมมากครับ
นานๆ ท่านพระเจ้าตา จะออกงิ้ว ซะที
ผมประทับจายยยยยยยยยคร้าบบบบ
ออกโขน ไม่ใช่ออกงิ้ว...ชิส์
งิ้วมี พระเจ้าตา เหรอ
ถึงสูงศักดิ์อัครฐานสักปานไหน.ถึงวิไลเลิศฟ้าสง่าศรี..ถึงเก่งกาจฉลาดกล้าปัญญาดี..ถ้าไม่มี "คุณธรรม" ก็ต่ำคน.... พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้า รัชกาลที่ ๕ " https://www.facebook...akwarakfromyala https://www.facebook.com/NARAPEACE
#22
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:47
กวีซีไรต์ ?????????????????????เดี๋ยวนี้เด็กๆหลายๆคนเอาคนพวกนี้เป็น Idol ผมก็เลยแค่สงสัยว่า มันเท่เหรอครับ
" ในห้องนั้น ในห้องพิจารณาคดีลับที่ถูกปิดตาย ถ้อยคำนั้นตอกตรึงด้วยตะ ปูดอกทอง
เลือดไหลท้นเกินตาตุ่มเสื้อคลุมยุติธรรม ในห้องนั้นกรอบไม้ทาสีแล้วกำลังหัวร่อ
โต๊ะเก้าอี้ปฏิเสะสังฆกรรมอย่างพะอืดพะอม ตาชั่งนรกสวรรค์เอียงกระเท่เร่อย่างสิ้นบุญ
ในห้องนั้นแม้ความตายยังอายที่จะตาย กระทั้งความหยาบช้ายังอายที่จะหยาบกระด้าง
ถอยคำนั้นตอกตรึงด้วยตะ ปูดอกทอง เลือดไหลท้นเกินตาตุ่มเสื้อคลุมยุติธรรม
ในห้องนั้น ห้องนั้น ที่ถูกปิดตาย! "
5m สรท.
นักแปะซีไรต์ พ.ศ. 2555 สาขาลากออกทะเล
ปล.อ่านแล้ว งง ความหายลึกซึ่งมากเกินไป เลยต้องเปลี่ยนนามปากกาให้ครับ
Edited by ฟังทั้งสองฝ่าย, 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:51.
- Kh@n likes this
#23
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 14:50
อย่างนี้ต้องขยายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ว่าจะไม่เขียนแล้ว เพราะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เดี๋ยวนี้เขามี..กวี..(เรียกว่าอะไรดีล่ะ)
ที่..ไร้ฉันทลักษณ์ ..ได้ไม๊ ? ตามแต่จะคิดเห็น เรียกกัน ก็ตามใจ แล้วแต่สะดวก ..แต่
อยากจะบอกว่า. แต่โบราณ.มา ท่านครูก็แยก ( กวี.เป็น ร้อยแก้ว.กับร้อยกรอง ) เห็น
ว่าเพื่อความสะดวกของผู้..ชอบเขียน .ไม่อยากกล่าวความให้ยาวไกลไปถึง ยุคพระ-
มหาราชครู. ศรีปราชญ์. ขอกล่าวช่วง ( รัชกาลที่ ๒-๓ และ ๕-๖ ) เท่านั้น สมัย
รัชกาลที่ ๒-๓ มีกวีเอกคือ. รัชกาลที่ ๒. สุนทร ภู่. คุณพุ่ม.นายมี.ฯลฯ มีวรรณกรรม
อยู่มากมาย. ทั้งบทละครนอก.ละครใน. กลอนนิราศ. รวมถึง.กลกลอน ( กลบท )
( กลบท มีจารึกหินอ่อนอยู่ตามเสาระเบียง ว้ดโพธิ ) ปัจจุบันหาผู้แต่งเกือบไม่ได้แล้ว
บทกลอนยุคนี้ ก็ถือเป็น ( กลอนชั้นครู ) ต่อมา ( สมัย รัชกาลที่ ๕-๖ ) ก็มี กวีเอก-
ที่วางหลักการเขียน การแต่งไว้ เป็นรูปแบบที่ มีแผนผังแน่นอน จนใช้เป็นแบบเรียน
ม. ปลาย. ที่มีอยู่ ๔ บท ( ๑.อักขระวิธี.๒.วจีวิพากย์.๓วากยสัมพันธ์.๔ ฉันทลักษณ์ )
ผู้ที่ชำระหลักภาษาไทยนี้คือ ท่าน ( หลวงธรรมาภิมณฑ์ ) สมัยนั้น มีกวีเด่นอยู่ท่านหนึ่ง
คือ ( นายชิต บูรทัต ) ผู้เขียน ..สามัคคีเภท คำฉันท์ ..ซึ่งน่าจะเป็นกวีที่เขียนคำฉันท์
เป็นท่านสุดท้าย ในสยาม..และใช้ คำฉันท์ ที่ท่านหลวงธรรมาภิมณฑ์ ชำระไว้ เพราะคำ-
ฉันท์รุ่นเก่า ( สมุทรโฆษ คำฉันท์ . เสือ โค คำฉันท์ ) ยังใช้ สระ หลายตัว เป็น คำ ลหุ.
แต่หลวงธรรมาภิมณฑ์. วางแบบให้เป็น..เสียง ครุ. หมด.(นี่คือ ความยาก ) ของผู้ประพันธ์
เพราะ. คำฉันท์. ต้องเป็น.. ทั้งผู้แต่งและผู้อ่าน. ( เกรงว่าจะหาผู้แต่งได้ยากลงไปทุกที)
......พูดถึงกลอน ท่านครูก็วางหลักไว้ ๑๐ ชนิด . ตั้ง ( กลอนแปดสุภาพ ) ขอกล่าวแค่นี้
คนที่เขียน..ผิดฉันทลักษณ์..มักจะเป็นคนดัง. แล้วใครท้วงติงก็ไม่ฟัง คนรุ่นหลังที่ชอบ
เขียนกลอนก็เอาอย่าง..คนดัง..โดยไม่ได้ศึกษาฉันทลักษณ์ ..บทกลอนที่ออกมาจึงมั่วไปหมด
แล้วฉันทลักษณ์ บทกวี มันจะเหลืออยู่ไม๊ ? แบบแผนที่วางหลักไว้ตั้งแต่ รัชกาลที่ ๕-๖ มัน
ยังจะมีอะไรเหลืออยู่ ( อาศัยชื่อเสียงที่มีอยู่ ทำลาย ฉันทลักษณ์ ) ที่วางหลักไว้หรือเปล่า ??
อย่ามาพูดเลยนะว่า เป็นรูปแบบใหม่. หลักของ.กวี. ท่านครูก็วางไว้แล้ว ( ร้อยแก้ว ก็คือ ร้อยแก้ว )
( ร้อยกรอง ก็คือ ร้อยกรอง ) เห็นมีแต่เอา ( ร้อยกรอง ไปเขียน.นอกกฏ ) แล้วเพ้อว่า นี่คือ --
รูปแบบใหม่.(คนพวกนี้ แค่จนปัญญา เร่หาสัมผัส ไม่แตกฉานอักขระวิธี)ก็ทำลายร้อยกรอง
จนแทบไม่เหลือความไพเราะอยู่อีกแล้ว ( ผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีก นอกจากมีผู้ถาม ) จบ
ลึกซึ้ง แตกฉาน......เยี่ยมมากครับ
นานๆ ท่านพระเจ้าตา จะออกงิ้ว ซะที
ผมประทับจายยยยยยยยยคร้าบบบบ
ออกโขน ไม่ใช่ออกงิ้ว...ชิส์
งิ้วมี พระเจ้าตา เหรอ
งิ้วมี พระเจ้าตา เหรอ<=============งิ้วมี พระเจ้าตา เหรอ
#24
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:18
ด่ากราดพวกที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ไอ้ที่รัฐบาลทำริยำไว้ ไม่เห็น share ไว้หน้า page บ้างเลยนะ(ไอ้)พี่หาว... ชื่นชมฝีมือถ่ายภาพ ตกแต่งภาพนะ แต่ก็น๊าา....
สมองแม่มไม่ได้มีความ create เรื่องผิด-ถูก เท่าเรื่องถ่ายภาพเล้ย(ไอ้)พี่หาววววว...
- อู๋ ฮานามิ and Manop like this
#25
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 15:50
เนี่ยล่ะครับคือสิ่งที่ผมมองว่าคือเอาความมักง่ายมาทำลายแบบทดสอบ
เพราะเมื่อก่อนจะแต่งกลอนได้ต้องนั่งคิดหาสัมผัศตามฉันทลักษณ์กันหัวแทบแตก
เพราะฉนั้นการที่คน 1 คน จะผ่านบททดสอบแห่งการเป็นกวี ต้องคิดคำคล้องจองมาไม่รู้เท่าไหร่
แต่ไอ้พวกกวีกลอนเปล่าเนี่ย เขียนแค่คำพูดลอยๆมา ก็กล้าเรียกตัวเองว่ากวีแล้ว โอ๊วววววมายพระพุทธเจ้า
แล้วถ้าผมเขียนแบบนั้น แล้วมาอ่านด้วยท่าทางจะเป็นจะตาย ผมจะเป็นกวีมั้ยครับ ฮาาา
ว่าแล้วเอาหน่อยแล้วกัน อิอิ ...
โอ้ววววบ้านเมืองฉัน เหลือบไรบินว่อน (ฮือออ)
เหล่าแมลงวันหัวเขียวยกย่อง พวกชอบตอมขี้อย่างตัวมัน (ฮือออ)
บางคร้ังฉันดูอภิปราย เหมือนดูฝุ่นทรายใต้ทะเลแอตแลนติก (ฮือออ)
แล้วฉันหยิบคีย์บอร์ด มาเขียนราวกับเป็นปากกาสวรรค์ (ฮือออ)
อย่างนี้ผมเป็นกวีกลอนเปล่าหรือยังครับ 555+
- อู๋ ฮานามิ, Manop and NoOaK like this
ไปกันใหญ่แล้วน้าาา ประเทศไทย !
#26
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 21:20
#27
ตอบ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 21:27
แรงไปป่าวเนี่ย
ผู้ใช้ 0 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 0 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน