ตำนาน อุ กับ รัฐมนตรีช่วย คนนั้น
#1
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 16:53
POPULAR
มากพอที่จะชวนเพื่อนเพื่อน ร่ำสุรา-ยาเมา อุ-กระแช่-สาโท ให้สรวลเสเฮฮา
ดื่มเหล้าเหมือนม้าดื่มน้ำ จอก ต่อ จอก กระแทกเข้าไปให้คอโป่ง ก็หาได้ไม่...
หากแต่ ตะนิ่นตาญี หมายความถึง อักขระขอมโบราณ ที่มาจากคำเต็มเต็มว่า
“อุณาโลม” ดังภาพที่ ตะนิ่นตาญี ได้นำมาจาก Google ที่แนบมาพร้อมนี้
หากจะถามกันว่า "อุณาโลม" คืออะไร? ก็พอตอบได้หยาบหยาบว่า
"เป็นเครื่องหมายที่เกิดขึ้นตรง หน้าผาก ระหว่าง คิ้ว ของพระพุทธเจ้า
อันถือกันว่าเป็น "มหาปุริสสลักษณะ" อย่างหนึ่งกระมังครับ"
แต่ไหน-แต่ไร มาแล้ว สังคมไทย-คนไทย มีความเชื่อถือ และศรัทธา
ใน เครื่องรางของขลังต่างต่าง ไม่ว่าจะเป็น ผูกผ้าประเจียด คาดตะกรุด
หรือจะทาน้ำมนต์-น้ำมัน ห้อยสร้อยพระ ฯลฯ ไม่ต้องดูไหนไกล เมื่อครั้ง สงครามเกาหลี
ตอนนั้น ตะนิ่นตาญี ยังเป็น ละอ่อนสอนขัน อยู่ ก็มักจะได้ยิน ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ท่านเล่าให้ฟัง
ถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของ เครื่องราง ของขลัง ต่างต่าง ที่ เมื่อ นักรบไทย ถูกยิงแล้ว
ก็มักจะไม่เข้า เป็นเพียงแต่รอยช้ำ ให้ ฟารั้งหนังหมู มันตะลึงพรึงเพริดไปเสีย ทุกผู้-ทุกคน
ได้ยินถึงขนาดว่า เหยียบกับระเบิดแล้ว ระเบิด ไม่ทำงาน ฟารั้ง มันเดินตามหลังมา ระเบิด ตูม
ตัวขาด-แขนขาด-ไส้ไหล นึกนึกแล้วก็ดูออกจะน่า เวทนา ฟารั้ง ที่เดินตามหลัง ทหารไทย ยิ่งนัก
ความเชื่อ-ความศรัทธา เช่นว่านี้ มีมาแต่ สมัยก่อนกรุงแตก เสียอีกกระมัง
จนถูกกล่าวหากันว่า ที่ กรุงฯแตก นั้น ก็เพราะ ความเชื่อถือที่ดูจะ งมงาย นั่นเอง
แต่ เอะอะ อะไร ถ้าจะโยนความผิดไปที่ ศรัทธา เช่นนั้น ตะนิ่นตาญี ก็ดูว่าจะไม่ถูกเสียทีเดียว
เพราะก่อนหน้านั้นที่เรารบมาแล้ว ชนะ ก็เพราะ ความเชื่อ-ความศรัทธา เช่นว่านั้นไม่ใช่หรือ?
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อ-ความศรัทธา นี้ก็ได้สร้างปัญหาอันใหญ่หลวงตามมาไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อครั้ง สงครามเก้าทัพ นั้น ล้นเกล้าล้นกระหม่อมพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ ๑ แห่ง ราชวงศ์จักกรี ใน กรุงรัตนโกสินทร์ ได้ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ ระดม
ทหารในกองทัพหลวง และ กองทัพพระราชวังบวรฯ มาเพื่อสู้ศึก พม่า ปรากฏว่า ทหารทั้งสองฝ่ายนั้น
เป็นประเภท มากครู-มากอาจารย์ มี เครื่องราง-ของขลัง ต่างกัน บ้างผูกผ้าประเจียด ของ อาจารย์ คนนั้น
บ้างคาดตะกรุด ของ หลวงพ่อองค์นี้ มีเครื่องราง-ของขลัง ต่างกันไป หลายแบบ-หลายอย่าง
เมื่อระดมเข้ามาแล้วก็มักจะ อวดโอ้ อิทธิฤทธิ์ เครื่องราง-ของขลัง ทดลอง ผลัดเชือด กันไปมา
ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ตะนิ่นตาญี ไม่อาจทราบได้ ถ้าขลังจริงก็คง ยิง-ฟัน ไม่เข้า
ส่วนของปลอม ก็คงมี “เลือดสาด” กันไปบ้างกระมัง แต่ผลที่เกิดขึ้นแน่แน่นั้น ก็คือ
กองทัพไทย แตกแยก กันอย่างรุนแรง ส่วนจะแบ่งกันเป็น “บูรพาพยัคฆ์ กับ วงศ์เทวัญ” หรือไม่นั้น
ตะนิ่นตาญี ก็ สุดปัญญา-จนด้วยเกล้า มิอาจจะหยั่งรู้ได้เช่นกัน แต่เมื่อความทราบละอองธุลีพระบาท
จึงได้ โปรดเกล้าฯ ให้ ริบ เครื่องราง-ของขลัง เหล่านั้นมากองไว้ที่ สนามหลวง แล้วจุดไฟเผาทิ้งเสีย
เอาละสิ เหล่า นักรบไทย แล้วจะเอาเครื่องราง-ของขลัง ที่ไหนมาใช้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงกำลังใจ ในการออก รบทัพ-จับศึก กันล่ะ…
เพื่อเป็น “การปลุกขวัญ” กองทัพไทย คืนหนึ่งก่อนการเดินทัพ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และ พระอนุชา ของพระองค์ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท
ได้เสด็จลงใน “พระอุโบสถวัดชนะสงคราม” ทรงนมัสการ “พระรัตนตรัย” แล้วได้ทรงบริกรรม
เอาหมึกลงในอักขระผ้าขาว ที่ได้ฉีกไว้แล้วให้เป็นผ้าประเจียดจนตลอดรุ่งได้ ผ้าประเจียด เป็น-
จำนวนเพียงพอที่จะแจกเหล่า “นักรบไทย” ทั้งตัว นาย และ เหล่าไพร่ราบทหารเลว
อักขระขอมที่ทรงลงใน “ผ้าประเจียด” นั้น เป็น อักขระ ตัวเดียวคือ อักขระ คำว่า “อุ”
ที่ทรงเลือกเอา อักขระ ตัวนี้มาลงใน “ผ้าประเจียด” นั้น ก็เห็นจะเป็นเพราะว่า อักษร “อุ” นั้น
หมายความถึง “อุณาโลม” ซึ่งมีอยู่บน “พระนลาฏ” ของ พระพุทธเจ้า เป็นของสูง
จึงได้เอามานำลงใน “ผ้าประเจียด” เพราะ “ผ้าประเจียด” นั้น ส่วนมากก็จะใช้โพกศีรษะ
นับว่าเป็น มงคล อย่างยิ่ง นี่ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง เห็นจะเป็นเพราะว่า ตัวอักษร “อุ” นี้
เขียนง่ายกว่า “ตัวอักษรขอม” อื่น เมื่อจะต้องทำ “ผ้าประเจียด” ให้ได้มากพอในเวลาที่จำกัด
เหล่า นักรบ แห่ง กองทัพไทย นั้น เมื่อได้ “ผ้าประเจียด” แล้วก็ไปรบกับพม่าที่เมืองกาญจนบุรี
ขับไล่พม่าออกไปจากดินแดนไทยเป็นครั้งสุดท้าย เป็นผลให้ พม่า ไม่ได้ยกทัพกลับมารุกรานไทยอีกเลย
ส่วนเหล่า นักรบไทย ที่เคยแตกคอ ไม่สามัคคีกันนั้น ก็เลิก แตกครู-แตกอาจารย์ กัน ทั้งนี้ก็เพราะ
พวกเขาเหล่า นักรบไทย มีอาจารย์คนเดียวกัน ซึ่งนั่นคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ความสามัคคี และ เอกภาพ ก็เกิดขึ้นในกองทัพไทย อันยังคงอยู่มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ไม่มีเสื่อมคลาย
อีกทั้งตัวอักษรขอม ที่เรียกกันว่า”อุ” หรือ “อุณาโลม” นั้นก็ยังคงติดอยู่หน้าหมวกทหารทุกกองทัพ
คงอยู่จนมาถึงในปัจจุบัน.....
ดังภาพตราหน้าหมวกดัง ตะนิ่นตาญี แนบมาพร้อมนี้ ที่ออกแบบไว้โดย ท่านอาจารย์พินิจ สุวรรณะบุณย์
ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี พุทธศักราช ๒๕๓๖ ซึ่ง ท่านอาจารย์พินิจ สุวรรณะบุณย์ ได้ออกแบบไว้
เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๐๒ ความละเอียดแจ้งแล้ว ดังที่ ตะนิ่นตาญี ได้คัดลอกมาจาก
http://www.bloggang....roup=4&gblog=42
ตำนานอักษร “อุ” นี้ ตะนิ่นตาญี ไม่ทราบได้ว่ายังคงจะมี “นักรบไทย” สักกี่คนที่ยังคงระลึกได้
โดยเฉพาะ ฯพณท่านฯ รัฐมนตรีช่วย คนนั้น คนที่เป็นผู้กล่าวนำ ใน พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล
ท่านได้ “สาบาน” ไว้ว่า ข้าพเจ้า ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า…
“ข้าพเจ้า จะเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...ฯลฯ"
ท่านลืมเสียสิ้นกับ “คำสาบานธง” ท่านลืมเสียสิ้น กับ อักษร “อุ” ที่ติดอยู่หน้าหมวกของท่าน
ลืมเสียสิ้นแล้ว กับ ความสามัคคี-เอกภาพ แห่ง กองทัพไทย เพียงเพราะท่านโกรธแค้นที่ไม่ได้เป็น
ผบ.เหล่าทัพ ท่านลืมเสียสิ้นแล้วในการ เทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ท่านทำตัวเป็น เกราะกำบัง-คุ้มกันภัย แก่เหล่า”ผู้จ้วงจาบหยาบช้า” ต่อ องค์พระมหากษัตริย์
เพียงแค่แลกมาซึ่ง ตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการ เพียงเท่านี้ที่ท่านยินดีขาย ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์
ให้แก่เหล่า “อมิตร” ผู้รุกราน ท่าน ลืม คำว่า “อุ” ไปเสียสิ้นแล้วครับ ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการ ครับ
ตะนิ่นตาญี
วันอังคารที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๑๖.๕๓ นาฬิกา
- สงสารสาวจันทร์, isa, ปุถุชน and 41 others like this
#3
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:08
(แถมได้เกร็ดประวัติศาสตร์ด้วย ว่าพระมหากษัตริย์ของไทยเราไม่ให้ของขลังมาทำกองทัพแตกแยกสามัคคี
นึกถึงเมืองไทยปัจจุบันนี้ นับถือบูชาแกนนำคนละขั้วกัน ก็พาประชาชนแตกแยกกันไปคนละทางสองทาง)
- ตะนิ่นตาญี and whiskypeak like this
#4
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:14
- ตะนิ่นตาญี likes this
#5
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:16
มาถึงก็..ร่ายยาว..ชาดกตรีทศ. จะไปนั่งฟังเพลงที่
เฟซฯ แล้วเชียว. เรื่อง ( อุณาโลม ) ขอเวลาไปถาม
พระศิวะเทพ.ก่อนนะ บาย...
- ตะนิ่นตาญี, nhum and redfrog53 like this
#6
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:30
เห็นแต่เพียงเวลาพ่อใส่ชุดทหารแล้ว ไม่รู้ทำไมพ่อผมถึงดูแข็งแกร่ง ดูเข็มแข็งก้อไม่รู้
แต่เวลาไม่ใส่ก้อเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง
น่าแปลกเนอะครับ
ในบรรดาครอบครัวฝั่งพ่อผม มีผมคนเดียวนอกคอก ไม่ได้เป็นทหารกับเค้า
ทั้ง ๆ ที่พ่อบอกว่า อยากให้ไปเป็นทหาร แต่ผมกลับเลือกที่จะใช้ชีวิตที่หนีจากทหาร
- ตะนิ่นตาญี and redfrog53 like this
ถึงตรูจะเลวยังไง ตรูก้อไม่ได้ขายชาติ เหมือนเสื้อแดงว่ะ เข้าใจนะ
#8
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:58
- ตะนิ่นตาญี likes this
เขียนเรื่องการเมือง : ดราม่า ,เขียนเรื่องสังคม : ดราม่า เขียนเรื่องบันเทิง : ดราม่า
แต่พอโพสเรื่องหื่น : มีความเห็นเป็นไปทางเดียวกันเสมอ >3<
#9
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 18:12
- ตะนิ่นตาญี and กีรเต้ like this
#10
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 18:17
- ตะนิ่นตาญี likes this
#11
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 18:21
ขอความรู้เรื่องสภาอุณาโลมแดงด้วยนะคะ
ถ้าไม่รบกวนเกินไป สงสัยมานานแล้ว
Edited by หนูอ้อย, 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 18:21.
- ตะนิ่นตาญี likes this
AMAZING coup d'etat , THAILAND ONLY ..
#12
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 20:29
ถ้าสิ้นกระแสความเรื่องอุของตะหาน
ขอความรู้เรื่องสภาอุณาโลมแดงด้วยนะคะ
ถ้าไม่รบกวนเกินไป สงสัยมานานแล้ว
เอามาช่วย พอดีตอบข้อสงสัยคุณหนูอ้อยได้ด้วย
จากสยามรัฐ
http://203.146.129.1...มหน้าหมวกทหารบก
-----------------------
ตราหน้าหมวกทหารบกสมัยก่อนปี พ.ศ 2500 และตราหน้าหมวกตำรวจแรกตั้งในรัชกาลที่ห้า จะมีรูป “อุณาโลม”
ตัวผมเองมีมติว่า เรื่องที่ทหารใช้สัญลักษณ์อุณาโลมนี้ เกี่ยวเนื่องกับตราพระราชลัญจกร รัชกาลที่หนึ่ง (ปทุมอุณาโลม – อักขระ “อุ” ล้อมรอบด้วยลายกลีบบัว)
เรื่องตราอุณาโลมนี้ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เสนอทัศนะไว้ในหนังสือ “ฝรั่งศักดินา” บทที่ 15 ดังต่อไปนี้
ตราหน้าหมวกทหารบกไทยนั้นปรากฏว่าเป็นรูปอุณาโลม รูปอุณาโลมนี้ในเมืองไทยเราเคยถือว่าเป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เห็นแตกต่างกับรูปไม้กางเขนอันเป็นตราของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสเตียน สภากาชาดเมื่อแรกตั้งในเมืองไทยนั้นมิได้ใช้เครื่องหมายกาชาดอย่างใน ปัจจุบันเลย ชะรอยคนในสมัยนั้นจะรังเกียจไม้กางเขน จึงยักย้ายทำเครื่องหมายเป็นรูปอุณาโลมสีแดง และเรียกว่า “สภาอุณาโลมแดง” ภายหลังจึงมาเปลี่ยนทั้งชื่อและเครื่องหมายเป็น “สภากาชาด” เพื่อให้เข้ากับองค์การกาชาดสากลได้ บางทีท่านผู้คิดเครื่องหมายอุณาโลมสำหรับติดหน้าหมวกทหารไทยนั้น ก็จะได้คำนึงถึงพุทธคุณเป็นที่ตั้ง จึงได้กำหนดให้ใช้เครื่องหมายของพระพุทธเจ้าติดหน้าหมวกทหารไทยทั่วไป
แต่ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับอุณาโลมของทหารไทยอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังไว้ จึงขอบันทึกไว้ในที่นี้มิให้สูญ
เมื่อรัชกาลที่หนึ่ง ตอนที่ได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าปดุงยกกองทัพใหญ่มาตีไทยเป็นหลายทางนั้น ได้มีการระดมพลใหญ่และชุมนุมทหารเป็นจำนวนมากอยู่ในกรุงเทพ ขณะนั้นทหารทั้งปวงต่างใช้เครื่องราง ผ้าประเจียด ของขลังจากต่างอาจารย์กัน ต่างฝ่ายต่างก็ว่าอาจารย์ของตนดี มีการท้าทายให้ฝ่ายอื่นมาทดลองของดีของขลังกันอยู่เสมอ เกิดบาดเจ็บล้มตาย กันบ่อย ๆ ในที่สุดก็เกิดแตกแยกสามัคคีกัน มีเหตุวิวาทกันไปทั้งกองทัพ เพราะถืออาจารย์ต่างกันและใช้ผ้าประเจียด เสื้อยันต์ และเครื่องราง จากหลายอาจารย์ด้วยกัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ได้ตกลงเป็นที่แน่นอนที่จะยกทัพหลวงไปรับพม่าทางไทรโยค และรบเอาชนะให้เด็ดขาดกันไป ณ ที่นั้น ทั้งสองพระองค์จำต้องวางพระบรมราโชบายให้เกิดความสามัคคีขึ้นในกองทัพไทย เสียก่อน มิฉะนั้นจะเอาชัยชนะแก่ข้าศึกมิได้ จึงได้มีพระบรมราชโองการให้ทหารในกองทัพหลวงทั้งปวง เอาเครื่องรางของแต่ละคนมารวมไว้ ณ ที่เดียวกัน ห้ามมิให้นำไปใช้ต่อไป
ขณะนั้นก็ให้ทำผ้าประเจียดมียันต์อุณาโลมขึ้นเป็นจำนวนมาก และทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปยังพระอุโบสถ วัดชนะสงคราม ทรงบริกรรมปลุกเศกผ้าประเจียดทั้งปวงอยู่จนรุ่ง แล้วจึงโปรดฯให้แจกจ่ายผ้าประเจียดนั้นให้ทหารทุกคนโพกศรีษะเสมอเหมือนกันมิ ไดจำกัดว่านายหรือพล ความสามัคคีก็เกิดขึ้น เพราะทหารทั้งกองทัพมีของคุ้มกันตัวอย่างเดียวกัน จากแหล่งเดียวกัน มิได้ต่างคนต่างอาจารย์ดังแต่ก่อน
ครั้งนั้นไทยรบชนะข้าศึกอย่างเด็ดขาด เป็นศึกสุดท้ายที่ทำกับพม่า พม่าแตกทัพไปครั้งนั้นแล้ว มิได้มารบกวนไทยอีกเลย คนไทยมีสันติสุขได้สร้างเนื้อสร้างตัวต่อมาอีกเป็นเวลาช้านาน ท่านผู้ใหญ่ที่ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ท่านเป็นนายทหารสมัยรัชกาลที่ห้า ได้อยู่ในที่ประชุมกระทรวงกลาโหมกำหนดเครื่องแบบทหารไทย รู้เรื่องอย่างใกล้ชิด ท่านเล่าว่าประวัติเรื่องนี้ ได้มีผู้พูดขึ้นในที่ประชุม เป็นเหตุหนึ่งที่ทหารไทยใช้อุณาโลมติดหน้าหมวกต่อมา”
เปิดดูคำว่า “อุณาโลม” ในอินเตอร์เน็ต เว็บ “คลังปัญญาไทย” ให้ข้อมูลไว้ว่า
อุณาโลม ตามรูปศัพท์แปลว่าขนระหว่างคิ้ว หรือเครื่องหมายระหว่างคิ้วพระพุทธรูป หรือเครื่องหมายอย่างรูปหน้าหมวกทหาร
สำหรับรูปอุณาโลม ที่มีลักษณะเหมือนเลขเก้านั้น หมายถึง พระเนตรดวงที่สามของพระอิศวรเป็นพระราชสัญลักษณ์ ประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
อุณาโลม หมายถึง
๑. ขนระหว่างคิ้ว
๒. เครื่องหมายอันเป็นนิมิตหมายที่ดี ซึ่งใช้ในพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู คล้ายเครื่องหมายยันต์ บางที่แสดงตรงหว่างคิ้วรูปบูชา เช่น พระพุทธรูป เทวดา ฯลฯ ตามเทพนิทานอุณาโลมจะเปล่งรังสี ซึ่งทำให้ความรู้และความสว่างแก่โลก จึงเป็นเครื่องหมายของการตรัสรู้ ในศิลปะและการพรรณรูปบูชามักจะแดงเป็นจุดกลม ภาษาสันสกฤตเรียก “เอิร์นะ” (urna) และภาษาบาลีเรียก “อุณา” (unna) ภาษาอังกฤษบางครั้งเรียก “บูดดะไอ” (buddha eye) หรือ “เธิร์ดไอ” (third eye) ซึ่งสามารถแปลได้เนตรพระพุทธเจ้าหรือตรีเนตร
ข้างต้นนั้นเป็นคำอธิบายเรื่องอุณาโลม
เมื่อกล่าวถึงเครื่องหมายหน้าหมวกทหารบก ครั้นผมจะลากโยงดึงเอาเรื่องตราอุณาโลมที่ทหารบกใช้ไปเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า คงจะอธิบายกันยากสักหน่อย ผมจึงว่ามติส่วนตัวของผมเห็นว่า ตราอุณาโลมของทหารบกนั้น มีที่มาจากตราพระลัญจกรรูปอุณาโลม ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ส่วนรูปตราอาร์มแบบต่างๆ ของไทยเรานั้น ไทยใช้ตามอย่างฝรั่งยุโรปเขา โดยเริ่มใช้กันมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้าเป็นต้นมาครับ
- ตะนิ่นตาญี, หนูอ้อย, nhum and 6 others like this
#13
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 21:44
Edited by วันศุกร์, 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 21:45.
- ตะนิ่นตาญี likes this
You can't fix stupid - Ron White
You can have your own opinion, but not your own facts - Daniel Patrick Moynihan
"A society is judged by how it treats its animals and elderly"
#14
#15
ตอบ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:57
ได้อ่านแล้วพาลนึกไปถึงยุคที่ใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัย
ครั้งเมื่อตั้งวงร่ำสุรากัน มักจะได้ยินได้ฟังเรื่องราว และเกร็ดความรู้เช่นนี้จากบรรดาขรัวเฒ่าในคณะ
Edited by noswords, 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 22:58.
- ตะนิ่นตาญี likes this
What is a rebel? - A man who says NO! _ Albert Camus
#16
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 00:27
มีเรื่องควรทราบอีกเล็กน่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์ คือคำว่า อุณาโลม
อุณา + โลม ก็คงชัดว่าหมายถึงเส้นขน
เป็นคำบาลีที่มาจากสันสกฤต ว่า อูรณา หรืออูรณาเกษา แปลว่าขนเหมือนกัน
มีที่มาจากคัมภีร์มหาปุริษลักษณะอย่างที่ท่านตะนิ่นบอกไว้
ศิลปะของเราท่านทำไว้เป็นสัญญลักษณ์อย่างงาม พบเห็นเจนตาอย่างรูปบน
มีบางตำราบอกว่าสัญลักษณ์นี้
ศิลปะทางพุทธศาสนาไปลอกแบบตาที่สามของพระศิวะมา
ความจริงเห็นจะกลับกัน
เพราะในพระพุทธรูปรุ่นแรกๆ ก่อนจะมีรูปเคารพของฮินดูเกิดขึ้น
อูรณานี้ ก็มีปรากฏแล้ว
Edited by amplepoor, 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 00:28.
- ตะนิ่นตาญี, หนูอ้อย, redfrog53 and 3 others like this
#17
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 08:28
ถ้าสิ้นกระแสความเรื่องอุของตะหาน
ขอความรู้เรื่องสภาอุณาโลมแดงด้วยนะคะ
ถ้าไม่รบกวนเกินไป สงสัยมานานแล้ว
ถ้าสิ้นกระแสความเรื่องอุของตะหาน
ขอความรู้เรื่องสภาอุณาโลมแดงด้วยนะคะ
ถ้าไม่รบกวนเกินไป สงสัยมานานแล้ว
เอามาช่วย พอดีตอบข้อสงสัยคุณหนูอ้อยได้ด้วย
จากสยามรัฐ
http://203.146.129.1...มหน้าหมวกทหารบก
-----------------------
ตราหน้าหมวกทหารบกสมัยก่อนปี พ.ศ 2500 และตราหน้าหมวกตำรวจแรกตั้งในรัชกาลที่ห้า จะมีรูป “อุณาโลม”
ตัวผมเองมีมติว่า เรื่องที่ทหารใช้สัญลักษณ์อุณาโลมนี้ เกี่ยวเนื่องกับตราพระราชลัญจกร รัชกาลที่หนึ่ง (ปทุมอุณาโลม – อักขระ “อุ” ล้อมรอบด้วยลายกลีบบัว)
เรื่องตราอุณาโลมนี้ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เสนอทัศนะไว้ในหนังสือ “ฝรั่งศักดินา” บทที่ 15 ดังต่อไปนี้
ตราหน้าหมวกทหารบกไทยนั้นปรากฏว่าเป็นรูปอุณาโลม รูปอุณาโลมนี้ในเมืองไทยเราเคยถือว่าเป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เห็นแตกต่างกับรูปไม้กางเขนอันเป็นตราของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสเตียน สภากาชาดเมื่อแรกตั้งในเมืองไทยนั้นมิได้ใช้เครื่องหมายกาชาดอย่างใน ปัจจุบันเลย ชะรอยคนในสมัยนั้นจะรังเกียจไม้กางเขน จึงยักย้ายทำเครื่องหมายเป็นรูปอุณาโลมสีแดง และเรียกว่า “สภาอุณาโลมแดง” ภายหลังจึงมาเปลี่ยนทั้งชื่อและเครื่องหมายเป็น “สภากาชาด” เพื่อให้เข้ากับองค์การกาชาดสากลได้ บางทีท่านผู้คิดเครื่องหมายอุณาโลมสำหรับติดหน้าหมวกทหารไทยนั้น ก็จะได้คำนึงถึงพุทธคุณเป็นที่ตั้ง จึงได้กำหนดให้ใช้เครื่องหมายของพระพุทธเจ้าติดหน้าหมวกทหารไทยทั่วไป
แต่ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับอุณาโลมของทหารไทยอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังไว้ จึงขอบันทึกไว้ในที่นี้มิให้สูญ
เมื่อรัชกาลที่หนึ่ง ตอนที่ได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าปดุงยกกองทัพใหญ่มาตีไทยเป็นหลายทางนั้น ได้มีการระดมพลใหญ่และชุมนุมทหารเป็นจำนวนมากอยู่ในกรุงเทพ ขณะนั้นทหารทั้งปวงต่างใช้เครื่องราง ผ้าประเจียด ของขลังจากต่างอาจารย์กัน ต่างฝ่ายต่างก็ว่าอาจารย์ของตนดี มีการท้าทายให้ฝ่ายอื่นมาทดลองของดีของขลังกันอยู่เสมอ เกิดบาดเจ็บล้มตาย กันบ่อย ๆ ในที่สุดก็เกิดแตกแยกสามัคคีกัน มีเหตุวิวาทกันไปทั้งกองทัพ เพราะถืออาจารย์ต่างกันและใช้ผ้าประเจียด เสื้อยันต์ และเครื่องราง จากหลายอาจารย์ด้วยกัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ได้ตกลงเป็นที่แน่นอนที่จะยกทัพหลวงไปรับพม่าทางไทรโยค และรบเอาชนะให้เด็ดขาดกันไป ณ ที่นั้น ทั้งสองพระองค์จำต้องวางพระบรมราโชบายให้เกิดความสามัคคีขึ้นในกองทัพไทย เสียก่อน มิฉะนั้นจะเอาชัยชนะแก่ข้าศึกมิได้ จึงได้มีพระบรมราชโองการให้ทหารในกองทัพหลวงทั้งปวง เอาเครื่องรางของแต่ละคนมารวมไว้ ณ ที่เดียวกัน ห้ามมิให้นำไปใช้ต่อไป
ขณะนั้นก็ให้ทำผ้าประเจียดมียันต์อุณาโลมขึ้นเป็นจำนวนมาก และทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปยังพระอุโบสถ วัดชนะสงคราม ทรงบริกรรมปลุกเศกผ้าประเจียดทั้งปวงอยู่จนรุ่ง แล้วจึงโปรดฯให้แจกจ่ายผ้าประเจียดนั้นให้ทหารทุกคนโพกศรีษะเสมอเหมือนกันมิ ไดจำกัดว่านายหรือพล ความสามัคคีก็เกิดขึ้น เพราะทหารทั้งกองทัพมีของคุ้มกันตัวอย่างเดียวกัน จากแหล่งเดียวกัน มิได้ต่างคนต่างอาจารย์ดังแต่ก่อน
ครั้งนั้นไทยรบชนะข้าศึกอย่างเด็ดขาด เป็นศึกสุดท้ายที่ทำกับพม่า พม่าแตกทัพไปครั้งนั้นแล้ว มิได้มารบกวนไทยอีกเลย คนไทยมีสันติสุขได้สร้างเนื้อสร้างตัวต่อมาอีกเป็นเวลาช้านาน ท่านผู้ใหญ่ที่ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ท่านเป็นนายทหารสมัยรัชกาลที่ห้า ได้อยู่ในที่ประชุมกระทรวงกลาโหมกำหนดเครื่องแบบทหารไทย รู้เรื่องอย่างใกล้ชิด ท่านเล่าว่าประวัติเรื่องนี้ ได้มีผู้พูดขึ้นในที่ประชุม เป็นเหตุหนึ่งที่ทหารไทยใช้อุณาโลมติดหน้าหมวกต่อมา”
เปิดดูคำว่า “อุณาโลม” ในอินเตอร์เน็ต เว็บ “คลังปัญญาไทย” ให้ข้อมูลไว้ว่า
อุณาโลม ตามรูปศัพท์แปลว่าขนระหว่างคิ้ว หรือเครื่องหมายระหว่างคิ้วพระพุทธรูป หรือเครื่องหมายอย่างรูปหน้าหมวกทหาร
สำหรับรูปอุณาโลม ที่มีลักษณะเหมือนเลขเก้านั้น หมายถึง พระเนตรดวงที่สามของพระอิศวรเป็นพระราชสัญลักษณ์ ประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
อุณาโลม หมายถึง
๑. ขนระหว่างคิ้ว
๒. เครื่องหมายอันเป็นนิมิตหมายที่ดี ซึ่งใช้ในพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู คล้ายเครื่องหมายยันต์ บางที่แสดงตรงหว่างคิ้วรูปบูชา เช่น พระพุทธรูป เทวดา ฯลฯ ตามเทพนิทานอุณาโลมจะเปล่งรังสี ซึ่งทำให้ความรู้และความสว่างแก่โลก จึงเป็นเครื่องหมายของการตรัสรู้ ในศิลปะและการพรรณรูปบูชามักจะแดงเป็นจุดกลม ภาษาสันสกฤตเรียก “เอิร์นะ” (urna) และภาษาบาลีเรียก “อุณา” (unna) ภาษาอังกฤษบางครั้งเรียก “บูดดะไอ” (buddha eye) หรือ “เธิร์ดไอ” (third eye) ซึ่งสามารถแปลได้เนตรพระพุทธเจ้าหรือตรีเนตร
ข้างต้นนั้นเป็นคำอธิบายเรื่องอุณาโลม
เมื่อกล่าวถึงเครื่องหมายหน้าหมวกทหารบก ครั้นผมจะลากโยงดึงเอาเรื่องตราอุณาโลมที่ทหารบกใช้ไปเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า คงจะอธิบายกันยากสักหน่อย ผมจึงว่ามติส่วนตัวของผมเห็นว่า ตราอุณาโลมของทหารบกนั้น มีที่มาจากตราพระลัญจกรรูปอุณาโลม ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ส่วนรูปตราอาร์มแบบต่างๆ ของไทยเรานั้น ไทยใช้ตามอย่างฝรั่งยุโรปเขา โดยเริ่มใช้กันมากตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้าเป็นต้นมาครับ
ขออนุญาต เพิ่มเติม คุณ amplepoor เกี่ยวกับ สภาอุณาโลม สักนิดหนึ่งเถอะครับ
จากภาพที่ ตะนิ่นตาญี ได้แนบมาพร้อมนี้ เราจะเห็นได้ว่า ธงสภากาชาดเดิม นั้น
จะมีเครื่องหมาย "อุ" หรือ "อุณาโลม" อยู่ตรงกลาง red cross ตรงนี้เองครับ
ที่ครั้งแรกที่ได้การก่อตั้ง "สภากาชาดไทย" ได้ใช้ชื่อว่า "สภาอุณาโลมแดง"
ตะนิ่นตาญี ดูภาพนี้อยู่นานทีเดียวแล้วจึงตั้งข้อสันนิษฐานไว้ประการหนึ่ง
กล่าวคือ ธงอุณาโลมแดง แต่เดิมนั้น หากเป็นดั่งที่ปรากฎในรูปภาพจริง
น่าจะมีลักษณะอันใกล้เคียงกับ ผ้าประเจียด หรือ ยันต์ เป็นอย่างมาก
และการก่อตั้ง "สภาอุณาโลมแดง" นั้นอยู่ในรัชสมัยของ ล้นเกล้าฯ ในรัชกาลที่ ๕
ในช่วงวิกฤติ ร.ศ. ๑๑๒ ไทย รบกับ ฝรั่งเศษ สิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับผู้ที่ต้องออกปฏิบัติราชการในเขตที่มีการขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
นั้นก็คือ "ขวัญ และ กำลังใจ" การนำเอารูปแบบของสากลคือ red cross
มาประยุกต์ใช้ร่วมกันกับ ศรัทธา-ความเชื่อ นั้นจึงน่าจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจแต่ประการใดที่ได้มีการได้โปรดเกล้าให้ใช้ชื่อว่า "สภาอุณาโลมแดง"
ตะนิ่นตาญี
วันพุธที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๘.๒๗ นาฬิกา
Edited by ตะนิ่นตาญี, 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 08:36.
#18
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 08:47
ในแง่เป็นขวัญกำลังใจยามศึกสงคราม
ขอบพระคุณท่านตะนิ่นตาญีมากๆค่ะ
หากมีไรเพิ่มเติม ขอจุดธูปอัญเชิญล่วงหน้านะเจ้าคะ
- ตะนิ่นตาญี likes this
AMAZING coup d'etat , THAILAND ONLY ..
#19
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 11:07
พระศิวะเทพ..ช้าไป ( คุณ Amplepoor # 12 )-
ก็ตอบให้แล้ว ยืนยัน..ถูกต้องตามนั้น แต่ตำนาน
อุณาโลม.มีหลายตำรานะ ( หนีไม่พ้น พราหมณ์ )
ฮินดู..นี่ก็คือ ที่มาจากตำราหนึ่ง. .. สวัสดี
- ตะนิ่นตาญี and โจโฉ นายกตลอดกาล like this
#20
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:39
ทุกครั้งที่อ่านก็จะได้ความรู้ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ๆ ในทุกครั้ง
ขอบคุณครับที่สละเวลามาเขียนให้อ่าน..........และจะตามอ่านต่อไปครับ
และ ก็ขอขอบคุณท่าน แอมฯ สำหรับข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม ด้วยครับ...
- ตะนิ่นตาญี likes this
ขอเทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใด
...แม้แต่ลมหายใจก็ยอมพลี
โลกยังไม่สิ้นหวัง ถ้ายังมั่นในความดี
...ศรัทธาไม่เคยหน่ายหนี คนดีไม่มีวันตาย
#21
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 12:58
ให้เห็นชัดเจนขึ้นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ คือสิ่งสำคัญในความเป็นชาติ
สิ่งที่คนรุ่นนี้บางคนกำลังจาบจ้วง ด้วยการหยิบเอาวัฒนธรรมตาน้ำข้าวมาลบล้าง
ขอบคุณอีกครั้ง
- ตะนิ่นตาญี likes this
#22
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:02
ความรู้ใหม่ ขอบคุณครับ
ขอบพระคุณ คุณ nhum มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ผมเพิ่งทราบจริงๆครับว่าสัญลักษณ์บนหมวกตำรวจคืออุณาโลม ได้ความรู้จริงๆครับท่านตะนิ่นฯ
(แถมได้เกร็ดประวัติศาสตร์ด้วย ว่าพระมหากษัตริย์ของไทยเราไม่ให้ของขลังมาทำกองทัพแตกแยกสามัคคี
นึกถึงเมืองไทยปัจจุบันนี้ นับถือบูชาแกนนำคนละขั้วกัน ก็พาประชาชนแตกแยกกันไปคนละทางสองทาง)
ขอบพระคุณ คุณผึ้งน้อยฯ มากครับ
ตะนิ่นตาญี
เวลาได้อ่านกระทู้ของคุณตะนิ่นตาญีแล้ว ได้ทั้งความรู้และข้อคิดเยอะดีครับ ขอบคุณมากๆครับ
ขอบพระคุณ คุณ notcomeng มากครับ
ตะนิ่นตาญี
เพิ่งรู้เหมือนกันครับ เห็นบนหมวกของพ่อ แต่ก้อไม่ได้ถามอะไร
เห็นแต่เพียงเวลาพ่อใส่ชุดทหารแล้ว ไม่รู้ทำไมพ่อผมถึงดูแข็งแกร่ง ดูเข็มแข็งก้อไม่รู้
แต่เวลาไม่ใส่ก้อเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง
น่าแปลกเนอะครับ
ในบรรดาครอบครัวฝั่งพ่อผม มีผมคนเดียวนอกคอก ไม่ได้เป็นทหารกับเค้า
ทั้ง ๆ ที่พ่อบอกว่า อยากให้ไปเป็นทหาร แต่ผมกลับเลือกที่จะใช้ชีวิตที่หนีจากทหาร
ขอบพระคุณ คุณ poulkung มากครับ
เหมือนกันเลยครับ ทั้งบ้านเป็น ตะหาน หมด ไม่เว้นแม้แต่ ภรรยา
ยกเว้น ตะนิ่นตาญี
ตะนิ่นตาญี
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆนะครับ
ขอบพระคุณ คุณม่านน้ำ มากครับ
ตะนิ่นตาญี
เกร็ดความรู้จากู้หลักผู้ใหญ่ในบอร์ดขอน้อมรับไว้ใส่หัว
ขอบพระคุณ คุณนายตัวเกร็ง มากครับ
ตะนิ่นตาญี
- nhum likes this
#23
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:14
คุณท่าน ตะนิ่นตาญี.. ไปแอบหลับฝันที่ไหน .??
มาถึงก็..ร่ายยาว..ชาดกตรีทศ. จะไปนั่งฟังเพลงที่
เฟซฯ แล้วเชียว. เรื่อง ( อุณาโลม ) ขอเวลาไปถาม
พระศิวะเทพ.ก่อนนะ บาย...
ต้องขอโทษ คุณ ตะนิ่นตาญี..ด้วยนะไปตามหา-
พระศิวะเทพ..ช้าไป ( คุณ Amplepoor # 12 )-
ก็ตอบให้แล้ว ยืนยัน..ถูกต้องตามนั้น แต่ตำนาน
อุณาโลม.มีหลายตำรานะ ( หนีไม่พ้น พราหมณ์ )
ฮินดู..นี่ก็คือ ที่มาจากตำราหนึ่ง. .. สวัสดี
ขอบพระคุณ คุณพี่พระฤๅษี มากครับ
วันไหนว่างว่าง ตะนิ่นตาญี จะลองขึ้น ธรรมาสน์ ดูสักที
เอาเรื่อง ดาวลูกไก่ ดีไหมครับ คุณพี่ฯ
ตะนิ่นตาญี
ณ ปัจจุบัน. ผมเชื่อใจ แม่ทัพภาค๑ ท่านใหม่. หากผมจะบอกว่าเค้าคือ คน ที่ได้นำทหารถวายสัตย์ต่อหน้าในหลวงเป็นการสวนสนามครั้งล่าสุด ก่อนในหลวงจะประชวร ผมเชื่อว่าท่านนี้คือทหารพระราชาตัวจริงครับ
ขอบพระคุณ คุณ puggi มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ขอขอบคุณ..คุณตะนินฯ ครับ..ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมาเยอะทีเดียว..
ขอบพระคุณ คุณ Gear2528 มากครับที่กรุณามาโดยตลอด
ตะนิ่นตาญี
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ นึกว่าเป็นเลข ๙ ของ ร. ๙(แบบแปลงๆ) มาตลอด
ขอบพระคุณ คุณวันศุกร์ มากครับ
ตะนิ่นตาญี
อ่านเสรีไทย ได้ความรู้หลากหลาย
มอบให้แด่ทุกท่าน
...
ขอบพระคุณ คุณ kokkai มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ได้ความรู้มากๆ ครับท่านตะนิ่นตาญี และท่านแอมฯ
ได้อ่านแล้วพาลนึกไปถึงยุคที่ใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัย
ครั้งเมื่อตั้งวงร่ำสุรากัน มักจะได้ยินได้ฟังเรื่องราว และเกร็ดความรู้เช่นนี้จากบรรดาขรัวเฒ่าในคณะ
ขอบพระคุณ คุณ noswords มากครับ
ได้ยิน คุณ noswords พูดแล้วก็พลอยคิดถึง ไปด้วยเลยครับ
ตะนิ่นตาญี
#24
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:18
ไม่เคยผิดหวังกับบทความของ ท่านตะนิ่นตาญี เลยจริงๆ
ทุกครั้งที่อ่านก็จะได้ความรู้ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ๆ ในทุกครั้ง
ขอบคุณครับที่สละเวลามาเขียนให้อ่าน..........และจะตามอ่านต่อไปครับ
และ ก็ขอขอบคุณท่าน แอมฯ สำหรับข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม ด้วยครับ...
ขอบพระคุณ คุณ RaRa มากครับ
เอ้อ...ใช่ คุณ RaRa ที่กรุณารับ ตะนิ่นตาญี เป็นเพื่อนใน facebook ไหมครับ
แหะ แหะ แหะ...ขอบพระคุณ คุณ RaRa มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ขอบคุณเกร็ดประวัติศาสตร์ชาติไทยของคุณตะนิ่น ตาญี ครับ
ให้เห็นชัดเจนขึ้นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ คือสิ่งสำคัญในความเป็นชาติ
สิ่งที่คนรุ่นนี้บางคนกำลังจาบจ้วง ด้วยการหยิบเอาวัฒนธรรมตาน้ำข้าวมาลบล้าง
ขอบคุณอีกครั้ง
ขอบพระคุณ คุณ kaidum มากครับ
ตะนิ่นตาญี
#25
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:19
มีเรื่องควรทราบอีกเล็กน่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์ คือคำว่า อุณาโลม
อุณา + โลม ก็คงชัดว่าหมายถึงเส้นขน
เป็นคำบาลีที่มาจากสันสกฤต ว่า อูรณา หรืออูรณาเกษา แปลว่าขนเหมือนกัน
มีที่มาจากคัมภีร์มหาปุริษลักษณะอย่างที่ท่านตะนิ่นบอกไว้
ศิลปะของเราท่านทำไว้เป็นสัญญลักษณ์อย่างงาม พบเห็นเจนตาอย่างรูปบน
มีบางตำราบอกว่าสัญลักษณ์นี้
ศิลปะทางพุทธศาสนาไปลอกแบบตาที่สามของพระศิวะมา
ความจริงเห็นจะกลับกัน
เพราะในพระพุทธรูปรุ่นแรกๆ ก่อนจะมีรูปเคารพของฮินดูเกิดขึ้น
อูรณานี้ ก็มีปรากฏแล้ว
ขอบพระคุณ คุณ amplepoor มากครับ ที่กรุณา มาโดยตลอด
ตะนิ่นตาญี
#26
ตอบ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 19:32
ขอบพระคุณ คุณตะนิ่นตาญีและคุณ amplepoor ที่กรุณาแบ่งปันข้อมูลความรู้มากมาย
ตามอ่านกระทู้ทั้งสองท่านตลอดค่ะ
- ตะนิ่นตาญี likes this
#27
ตอบ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 01:22
- ตะนิ่นตาญี likes this
#28
ตอบ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 10:54
บางดวง แม้จะ..ชั่วร้าย..แต่ก็มีด้านดี เช่นดาว-
ราหู.แต่ดาวบางดวง นักโทษ.ติดให้ นึกไม่ออก
ว่ามันจะ (ดี รึเปล่า ?) ??
- ตะนิ่นตาญี likes this
#29
ตอบ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 16:50
แสดงว่าตำนานของ อุณาโลม นั้นทอดยาวมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง 5
ในแง่เป็นขวัญกำลังใจยามศึกสงคราม
ขอบพระคุณท่านตะนิ่นตาญีมากๆค่ะ
หากมีไรเพิ่มเติม ขอจุดธูปอัญเชิญล่วงหน้านะเจ้าคะ
ขอบพระคุณ คุณหนูอ้อย มากครับ
ตะนิ่นตาญี
พึ่งเคยเห็นสัญลักษณ์สภากาชาดยุคแรกเหมือนกัน
ขอบพระคุณ คุณตะนิ่นตาญีและคุณ amplepoor ที่กรุณาแบ่งปันข้อมูลความรู้มากมาย
ตามอ่านกระทู้ทั้งสองท่านตลอดค่ะ
ขอบพระคุณ คุณ Duke_th1 มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ในประเทศมุสลิม ก็เลี่ยงจากรูปกาชาด(Red Cross)ไปเป็นเสี้ยวจันทร์แดง
ขอบพระคุณ คุณ voodoo มากครับ
ตะนิ่นตาญี
ดาวหลายดวง..มีตำนาน..นะคุณ ตะนิ่นตาญี..
บางดวง แม้จะ..ชั่วร้าย..แต่ก็มีด้านดี เช่นดาว-
ราหู.แต่ดาวบางดวง นักโทษ.ติดให้ นึกไม่ออก
ว่ามันจะ (ดี รึเปล่า ?) ??
ขอบพระคุณ คุณ พี่พระฤๅษี มากครับ
ตะนิ่นตาญี เห็นจาก facebook ของ คุณพี่ฯ ว่า
คุณเหลือม-คุณหลาม เธอเข้าไป dinner ที่บ้านของ คุณพี่ฯ
แล้วเกิด ติดอก-ติดใจ ในความร่มเย็น ไม่ยอมกลับบ้านตัวเอง
เดือดร้อนถึงขนาดต้อง "ออกหมายเชิญ" กันเลยทีเดียว
เห็นแล้วก็อยากจะ shock ตายน่ะนะครับ คุณพี่ฯ
ตะนิ่นตาญี
หมายเหตุ ภาพนำมาจาก facebook ของ คุณพี่พระฤๅษี
ตะนิ่นตาญี ขออนุญาต นำมาใช้เพื่อประกอบความเห็นนี้ด้วยครับ
- พระฤๅษี likes this
#30
ตอบ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 20:52
อย่าว่าแต่เกียรติ์ยศ ศักดิ์ศรีเลย
หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างครับ
เพียงเพื่อเพื่อน เพื่อไอ้นรกนั่นตัวเดียว
ไม่น่าเชื่อ
- ตะนิ่นตาญี and พระฤๅษี like this
#31
ตอบ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 09:33
ทนดูไม่ได้จริง ๆ ทำให้ย้อนนึกไปถึง เจ้า กาก้า.เจ้าแกงเปอะ.มันก็หาย-
ไปอย่างไรวี่แวว. คือ ท้องเจ้า มิดไนท์ มันมี 4 ตัว กาก้า.หายไปก่อน
ต่อมา แกงเปอะ ก็หายแต่มีคนเห็นนะ.แต่เราไม่เห็น จนมาเจ้ามิดไนท์
เห็นเต็ม ๆ เช้าเค้าจะไปวิ่งเล่นทำธุระกันสวนหลังบ้าน.คนจับเขาบอกว่า
มันมาตามท่อ.คนจับมาคนเดียวยังดึงมันไม่ไหว..ต้องเรียกคน ลับมีดมา
ช่วย.มันจะหนีลงท่อ ท้องนี้ก็คงเหลือ.ยำเห็ด.ตัวเดียว. โทษทีนะ คุยไร้
สาระ. แต่เช้านี้อากาศค่อนข้างดีนะ ลมเย็นสบาย ไม่ค่อยร้อน....
- ตะนิ่นตาญี likes this
ผู้ใช้ 2 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 2 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน