31 ความเห็นในกระทู้นี้

[David_GinoLa]

4 พฤศจิกายน 2012
เคยประกาศตัวเป็น “นักวิชาการทวนกระแสที่ไม่รับใช้อำนาจรัฐ” ในยุครัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี
เคยปวารณาตนไม่ไว้ใจนักการเมือง ทว่าเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว-กระดานอำนาจพลิกกลับ นักประวัติศาสตร์การเมืองแถวหน้านาม “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็หลุดปากฝากความหวังว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ “2 หัวขบวนไพร่” ซึ่งผ่านนาทีเป็นนาทีตาย-อยู่ในสมรภูมิต่อสู้มายาวนาน จะไม่เป็น “วัวลืมตีน”
แต่แล้ว “เขา” ก็ต้อง “อกหัก” จาก “ผู้มีอำนาจ” อีกครั้ง เมื่อได้รับ “ข่าวร้ายข้ามทวีป” จากพรรค-พวกที่ไทยในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า “ตอนนี้สภาเขี่ยร่างแก้ไขมาตรา 112 [ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. ...] ทิ้งแล้ว”
บังเอิญเช้าวันนั้น “เขา” อยู่กับ “ธงชัย วินิจจะกุล” ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประวัติศาสตร์ไทย มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ประเทศสหรัฐฯ

บังเอิญค่ำวันนั้น “เขา” มีคิวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ทิศทางการเมืองไทยจากอดีตถึงอนาคต” แก่นักศึกษาไทยในมหาวิทยาลัยวิสคอนซินฯ และประชาชนผู้สนใจร่วมรับฟัง
จึงมีทั้งการ “เปิดอก” และ “คำปรับทุกข์” หลุดจากปาก “หัวหอก” ในวันที่ถูก “หัก” เป็นบางช่วงบางตอน
“ผมก็คุยกับธงชัย เมื่อเราได้ข่าวนี้เมื่อเช้าก็ผิดหวัง ผมเป็น 1 ในคน 3 หมื่นคนที่เซ็นชื่อ แล้วเอาไปยื่นที่รัฐสภาเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2555 ก่อนจะมาอเมริกา เราก็ได้ชื่อนักวิชาการชั้นนำเยอะมาก ได้นักเขียน ได้กวีรุ่นใหม่ รวมถึงนักวิชาการต่างประเทศที่อาจารย์ธงชัยมีส่วนร่วมหามาด้วย ก็รณรงค์กัน ก็ต้องพูดว่าผิดหวังที่รัฐสภาจำหน่ายอันนี้ไป วันที่เราไปยื่น เขาให้รองประธานสภา (นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ) กับ ส.ส. บางท่านมารับ บอกว่าอาจต้องใช้เวลาตรวจสอบรายชื่อว่าถูกต้องหรือไม่ ซึ่งกระบวนการจะใช้เวลา 4-5 เดือน อยู่ดีๆ ก็ได้ข่าวว่าเขาจำหน่ายไปแล้ว ดังนั้นต้องบอกว่าผิดหวัง”
“ชาญวิทย์” ย้ำคำว่า “ผิดหวัง” เป็นหนที่ 3 ก่อนตั้งคำถามดังๆ ถึงผู้มีอำนาจในฝ่ายนิติบัญญัติ
ด้วยเพราะก่อนหน้านี้ “คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112” หรือ “ครก. 112” โดย “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเปรียบปรากฏการณ์ “112 ริกเตอร์” ที่มีประชาชน 30,383 ชีวิตร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าเป็นความพยายามของ “สามัญชน” ในการลุกขึ้น “ยืนตรง”
แต่การณ์ที่ปรากฏกลับเป็นภาพ “300 เสียงในสภา” ของ “รัฐบาลไพร่” นั่งนิ่ง ขณะที่บางส่วนวอล์คเอาท์ไปแล้ว?
“สิ่งที่ผมสงสัยคือ กระบวนการนี้ทำเหมือนกับบริหารราชการตามปกติ ไม่เข้าข่ายก็ตกไป ผมก็ถามว่าไอ้ที่บอกว่าไม่เข้าข่ายเนี่ย ใครเป็นคนบอก ประธานสภาคนเดียวหรือ หรือว่ากรรมการ หรือว่าสภา เพราะถ้าถามในแง่ความชอบธรรมในการจำหน่ายเนี่ย มันมีหรือ ในเมื่อเราทำตามกระบวนการในรัฐธรรมนูญ มีคนลงนาม มีหลักฐานถูกต้องทุกอย่าง ส่งไป 3 หมื่นคน ทำไมเราไม่ได้รับโอกาสให้ไปชี้แจงเลยว่าทำไมเราต้องทำอย่างนี้ เหมือนกับส่งไปก็ดองเอาไว้พักหนึ่ง แล้วก็บอกไม่เอาแล้ว รู้สึกว่ามันง่ายเกินไปนะ ถ้าจะบอกว่านี่เป็นการบริหารบ้านเมืองในฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายรัฐสภา”
เมื่อ “ฉากต่อไป” ไม่เป็นดังคาด จุดเริ่มในการปฏิรูปสถาบันไม่ถูกตั้งต้น ทำให้ “ชาญวิทย์” ปักใจเชื่อว่า จุดเปลี่ยนถูกกำหนดจาก “หลังฉาก”
“ผมมองว่า เฮ้ย! นี่มันเกี้ยเซี้ยนี่หว่า ก็พยายามจะเดาๆ อยู่เหมือนกันว่ามันเกี้ยเซี้ย ตัวแทนของอำนาจใหม่บารมีใหม่ต้องการจะเกี้ยเซี้ยกับอำนาจเก่าและบารมีเก่า ผมคิดว่ามันจะจบลงด้วยการที่คนระดับข้างบนๆ เนี่ยเขาตกลงกัน แล้วก็รักษาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ข้างล่างก็ไม่ได้ ก็รับเคราะห์รับกรรมไป คนอย่างอากงก็ต้องรับเคราะห์รับกรรมไป แต่ข้างบนเขาก็ตกลงกันแล้ว ในแง่นี้แปลว่าอะไร ถ้าจะพูดว่าหากเราเห็นพ้องต้องกันในการผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยในบ้านเรา ก็ต้องอดทนทำงานต่อไป ก็ต้องผลักไป”

“ผมอยากจะพูดอย่างที่ชอบพูดบ่อยๆ ถ้าเผื่อเราทำให้สถาบันประชาธิปไตยขัดแย้งกับสถาบันกษัตริย์ อันนั้นแหละคืออันตรายของทั้งสถาบันกษัตริย์และอันตรายต่อทั้งสังคมด้วย คือ เราต้องพัฒนาให้สถาบันประชาธิปไตยกับสถาบันกษัตริย์ไปพร้อมกัน ไม่ใช่เอามาชนกัน ปัจจุบันผมคิดว่าคนจำนวนไม่น้อยเลย บางคนด้วยความไม่เข้าใจ บางคนด้วยผลประโยชน์ ก็ใช้สถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง อันนี้อันตราย สิ่งที่เกิดขึ้นประมาณปี 2548 ผมคิดว่าเรื่องนี้จะถูกโหนมาก ศัพท์ทั่วๆ ไปเขาบอกว่า “โหนเจ้า” คือใช้สถาบันกษัตริย์ในแง่ของการกำจัดและจำกัดศัตรูทางการเมืองของตัวเอง อันนี้เป็นอันตรายมากๆ”
นอกจากภาวะ “โหนเจ้า” ปฏิเสธไม่ได้ว่าต่างฝ่ายต่าง “โหนประชาธิปไตย” จึงน่าสนใจว่า “ศัตรูของประชาธิปไตย” ในทัศนะ “ชาญวิทย์” คือใคร?
“คือคนที่ไม่เชื่อมั่น และไม่ได้ผลประโยชน์จากประชาธิปไตย” เขาตอบทันควัน ก่อนจำแนกออกเป็น 3 ขา
ขาแรก คือ เครือข่ายราชสำนักที่ได้ผลประโยชน์จากการอ้างและอิงสถาบันกษัตริย์
ขาที่สอง คือ บางส่วนของกองทัพ
และขาสุดท้าย คือ ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ
“กองทัพสามารถพลิกไปเป็นกองทัพประชาธิปไตยก็ได้ หรือพลิกไปเป็นกองทัพของฝ่ายตรงข้าม หรืออประชาธิปไตยก็ได้ เราต้องไม่ลืมว่ามีนายทหารที่เราสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นนักประชาธิปไตย เช่น พระยาพหลพลพยุหเสนา (นายกรัฐมนตรีคนที่ 2) เป็นคนที่น่าจะเอาขึ้นมานั่งศึกษากันใหม่ คือ ท่านก็มีอนุสาวรีย์ยืนอยู่เงียบๆ ที่จังหวัดกาญจนบุรี อะไรทำนองนั้น เหมือนอาจารย์ปรีดี (พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 7) ก็มีอนุสาวรีย์นั่งอยู่เงียบๆ ในธรรมศาสตร์ ไม่มีใครเห็น ผมคิดว่าในแง่นี้กองทัพก็มีสิทธิจะเป็นประชาธิปไตยได้”
“ส่วนคนชั้นกลางที่มีการศึกษาสูง หรือค่อนข้างสูง โดยเฉพาะที่อยู่ในกรุงเทพฯ อันนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่เป็นศัตรูของประชาธิปไตย ผมชอบสังเกตทางด้านชนชั้น วรรณะ ผิวพรรณ (หัวเราะ) คนที่มีปัญหามากๆ เลยเกี่ยวกับความรักชาติผิดปกติ อย่างกรณีปราสาทพระวิหารเนี่ย ส่วนใหญ่จะเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ถ้าคนที่อยู่สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ไม่ค่อยมีปัญหานะ เชื่อไหม ลองสังเกตดูสิครับ ยกเว้นคุณไปสร้างให้เขามีปัญหา ดังนั้น คนชั้นกลางในกรุงเทพฯ เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ในแง่ของความเป็นประชาธิปไตยเท่าไร ต้องมาปรับความคิดความเข้าใจกันใหม่ บางทีเราคิดว่าเราสร้างคนชั้นกลางได้เยอะ การศึกษาดี ฐานะดี จะมีความเป็นประชาธิปไตย แต่มันก็ไม่เสมอไป คนชั้นกลางในกรุงเทพฯ เป็นคนที่น่าเป็นห่วงมาก”
อีกคำถามถูกโยนขึ้นกลางวง 80 ปีหลังเปลี่ยนระบอบการปกครองจาก “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” สู่ “ประชาธิปไตย” เวลาผ่านไป แต่เหตุใดประชาธิปไตยถึงไม่ก้าวหน้า?
อาจารย์ประวัติศาสตร์ยืนยันไม่มีการปฏิวัติที่ไหนในโลกทำให้เกิดประชาธิปไตย หรือจบทุกอย่างลงได้ในวันนั้นปีนั้น พลางยกตัวอย่างการปฏิวัติอเมริกา ที่แม้ประกาศสถาปนาชาติได้ในปี ค.ศ. 1776 (พ.ศ. 2319) แต่หลังจากนั้นยังมีสงครามกลางเมืองและการต่อสู้ตามมาอีกหลายระลอก
“ผมเชื่อว่าการปฏิวัติในประเทศไทยก็แบบเดียวกันนะ จากปี พ.ศ. 2475 มากระทั่งปี พ.ศ. 2555 มันกี่ปีแล้วล่ะ 80 ปี ผมคิดว่ามันจะมีกระบวนการที่ยาวมาก มันไม่จบนะ และพวกคุณจะได้เห็นการต่อสู้แบบไม่เคยมีมาก่อน 14 ตุลาคม 2516 มา 6 ตุลาคม 2519 มาพฤษภาคม 2535 มาพฤษภาคม 2553 ผมว่ามันเปลี่ยน มันลงไปถึงระดับที่ล่างและ ไกลมากๆ แต่ก่อนอย่างดีก็บนถนนราชดำเนิน เดี๋ยวนี้มันย้ายไปราชประสงค์ และก็ย้ายไปอีกไกลมากๆ ผมว่ามันกำลังน่าสนใจ”
น่าสนใจถึงขั้นลากเอาเจ้าตัวให้กลับไปขุด-คุ้ย-ค้นวิทยานิพนธ์ หนังสือ ตำรา และบทความเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ขึ้นมาทบทวนความรู้ใหม่
โดยเฉพาะเมื่อได้รับ “คำขอ” ที่ยากต่อการปฏิเสธจาก “อำมาตย์” ใน “รัฐบาลไพร่”!
“เมื่อ 2-3 วันนี้ ผมเปิดอีเมล์มา ก็มีอีเมล์ 1 อีเมล์ที่ค่อนข้างจะแปลกใจ ก็คือคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ มีจดหมายถึงผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ผมนับถือ ผู้ใหญ่คนนั้นก็สั่งให้คนอีเมล์มาถึงผม บอกให้เสนอชื่อหนังสือมา 5 ชื่อ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปฏิวัติ 2475 เออ อันนี้น่าสนใจนะ ผมว่าหมอนี่เล่นเป็นนะ สงสัยนะ มันเล่นกับวงวิชาการนี่หว่า ก็น่าสนใจ ผมก็เลยส่งให้ ดร.ธงชัย (วินิจจะกูล) ตามระเบียบนะฮะ ให้อาจารย์ธงชัยเสนอกลับมา แล้วก็ส่งไปเรื่อยๆ ใช้ความเป็น ส.ว. เป็นคนสูงวัย ส่งไปเรื่อยๆ ว่าจะคัดกี่เล่มส่งไปให้ท่านรัฐมนตรี”


ถือเป็น “บีฟอร์ช็อค” จาก “เสมา 1” ก่อน “สภาไพร่” จะลงมือสะกดปรากฏการณ์ “112 ริกเตอร์” จึงน่าสนใจว่ารัฐบาลจะใช้ประโยชน์อะไรจาก “คนในอดีต” และ “ประวัติศาสตร์หน้าเก่า”
อย่างไรก็ตาม “ชาญวิทย์” เห็นว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น หาได้เป็นปัญหาทางชนชั้นไม่ เพราะถ้าไล่ส่วนผสมใน “เสื้อเหลือง” และ “เสื้อแดง” จะพบความคล้ายคลึงทั้งด้านฐานะ การแต่งกาย กระทั่งยานพาหนะที่ใช้
“ผมชอบแอบไปดู ราชดำเนินผมก็ไปดูบ่อยๆ ราชประสงค์ผมก็ไปดูบ่อยๆ เอาเข้าจริงมันไม่ใช่ล่ะ มันคลาส (ชนชั้น) เดียวกันเยอะเลยนะ เพียงแต่ว่าถ้าเราดูฐานะของแดงจะเป็นคนชนบทเยอะ และคนที่ผิวพรรณคล้ำ ส่วนการศึกษาน่าจะไม่ใช่การศึกษาระดับกลางหรือสูง แต่ใช้ชนชั้นเคาะไม่ได้กับความขัดแย้งนี้ มันอาจจะใช่บางส่วน แต่รวมๆ แล้วไม่ใช่ อย่างคนที่ขัดแย้งกันน่ะ ถามว่าระหว่างคุณสนธิ (ลิ้มทองกุล) กับคุณทักษิณ (ชินวัตร) ชนชั้นเดียวกันไหม ชนชั้นเดียวกัน ถ้าดูกลุ่ม แต่อันนี้ต้องขอนักรัฐศาสตร์หรือนักเศรษฐศาสตร์ช่วยในการมอง”
ในช่วง 10 ปีหลังมานี้ “แว่นสายตา” ของ “นักวิชาการวัย 70 ปี” มองเห็นแต่ภาพความผิดเพี้ยนในสังคมจากการที่ “ปัญญาชน” ไม่เล่นบทปัญญาชน แต่หันไปแสดงบทนักการเมือง
จากการที่ “กวี” ไม่เล่นบทกวี เพราะขาดสุนทรีย์ในหัวใจ
จากการที่ “ผู้คน” มองทุกสรรพสิ่งเป็นเพียง 2 สี 2 ด้าน ไม่ขาวก็ดำ ไม่ดีก็ชั่ว
ที่สำคัญคือมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดระหว่างสงคราม 2 ขั้วอำนาจ
“ถ้าบ้านเมืองยังเป็นพิษ การเมืองเป็นพิษ มีสงครามที่คนอื่นก่อ ผมก็อาจจะมาขอลี้ภัยที่วิสคอนซิน” คือคำกล่าวทีเล่นจริงของ “ชาญวิทย์” ขณะทักทายนักศึกษาในช่วงต้น ทว่ากลายเป็นปมที่ย้อนกลับมาเป็นคำถามในช่วงท้ายถึงการรับบท “หัวหอก” ท้าทายอำนาจที่มีการดำรงอยู่อย่างยาวนานของไทย
เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า คนชื่อ “ชาญวิทย์” จะถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์อย่างไร?
“ประวัติศาสตร์จะบันทึกผมว่าอย่างไร ก็ต้องเป็นนักประวัติศาสตร์ที่จะบันทึก ผมก็ไม่รู้นะ… อันนั้นไม่ใช่ปัญหาของผม ตอนนั้นผมก็ไปแล้ว เราก็ไม่รู้แล้ว!!!”

http://thaipublica.o...rnvit-kasetsiri

[หนูอ้อย]

ม็อบเสธ.อ้าย 30,000 คน รัฐบาลปู+สภาเพื่อไทยเค้ายังดูแคลน
นี่คนลงชื่อให้กม.112 แค่ 30,383 คนเอง มากกว่าม็อบเสธ.อ้ายติ๊ดเดียว
ใครเค้าจะไปแล

พวกนี้เค้าสนแต่จำนวนตัวเลข
ม็อบมาเท่าไหร่ คนค้านเท่าไหร่ ช่างหัวมัน ไม่สนเนื้อหาเหตุผล
สู้คน 15 ล้านคนได้อ๊ป่าว

[หนูอ้อย]

“ผมชอบแอบไปดู ราชดำเนินผมก็ไปดูบ่อยๆ ราชประสงค์ผมก็ไปดูบ่อยๆ เอาเข้าจริงมันไม่ใช่ล่ะ มันคลาส (ชนชั้น) เดียวกันเยอะเลยนะ เพียงแต่ว่าถ้าเราดูฐานะของแดงจะเป็นคนชนบทเยอะ และคนที่ผิวพรรณคล้ำ ส่วนการศึกษาน่าจะไม่ใช่การศึกษาระดับกลางหรือสูง แต่ใช้ชนชั้นเคาะไม่ได้กับความขัดแย้งนี้ มันอาจจะใช่บางส่วน แต่รวมๆ แล้วไม่ใช่ อย่างคนที่ขัดแย้งกันน่ะ ถามว่าระหว่างคุณสนธิ (ลิ้มทองกุล) กับคุณทักษิณ (ชินวัตร) ชนชั้นเดียวกันไหม ชนชั้นเดียวกัน ถ้าดูกลุ่ม แต่อันนี้ต้องขอนักรัฐศาสตร์หรือนักเศรษฐศาสตร์ช่วยในการมอง”



ตาบ้า อ.ชาญวิทย์ เพิ่งตาสว่างหรอกเหรอว่าทุกวันนี้มันไม่ใช่สงครามชนชั้นบ้าบออะไรเลย
มันก็แค่ทุนเพื่อพวกพ้องแบบทุนทักษิณ ที่กำลังห้ำหั่นกับคนในสังคมส่วนอื่นๆ
ความเป็นด็อกเตอร์ไม่ได้ช่วยอะไรเล้ยยย

[DETECT2]

ถ้ามันคิดว่าการไม่ได้แก้ ม.112 จะเป็นการหนักหัวบรรพบุรุษมันมากนัก ก็จงไสหัวอุบา...ท ของมันไปให้พ้นแผ่นดินสยามซะ

[ypk]

เหอะ เหอะ เหอะ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ สามัญชนหกสิบกว่าล้านคน
เขาลุกขึ้นยืนตรงได้ทั้งที่มี ม 112 เพราะเขาแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ถ้าสามัญชนอย่างพวก ชาญวิทย์ เกษตรศิริ มีปัญหาลุกขึ้นยืนตรงไม่ได้
เพราะติด ม 112 ก็ควรปรึกษา หมอ นะ ว่าพวกคุณมีความผิดปกติอะไร
และถ้าจะให้ได้ผลจริง ๆ ก็ต้องเป็น "หมอโรคจิต" 555555

[หนูอ้อย]

พวกนี้วิแคะอะไรโง่ๆ
แถมยังจะมายุให้ใครๆ "ก้าวข้ามทักษิณ"
ก้าวข้ามทักษิณก็โง่อะดิ พวกเราต้องสู้ถวายหัว
ต้องจ้องมันทุกวัน ศัตรูตัวนี้ คริคริ
ไม่เคยได้ยินหรือ .. ศัตรูคือยาชูกำลัง

[aumstar]

ทักกี้ทำเป็นลืม น่าสงสารพวกนี้

[Maruay]

การศึกษาไม่ได้ทำให้คนฉลาดขึ้นจริง ๆ
ถามจริงๆ เถอะว่า เรียกตัวเองว่า "นักวิชาการ" ได้อย่างไร ไม่ใช่มีตำแหน่งอดีตอธิการ หรือ ตำแหน่งวิชาการแล้วจะเป็นนักวิชาการเต็มขั้นได้หรอกนะ

นักวิชาการควรจะคิดอย่างเป็นระบบ และใช้เหตุผลในการอธิบายสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่ นั่งเทียนคิดลอย ๆ

“ศัตรูของประชาธิปไตย” ในทัศนะ “ชาญวิทย์” คือใคร?
“คือคนที่ไม่เชื่อมั่น และไม่ได้ผลประโยชน์จากประชาธิปไตย” เขาตอบทันควัน ก่อนจำแนกออกเป็น 3 ขา
ขาแรก คือ เครือข่ายราชสำนักที่ได้ผลประโยชน์จากการอ้างและอิงสถาบันกษัตริย์
ขาที่สอง คือ บางส่วนของกองทัพ
และขาสุดท้าย คือ ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ

ถามจริงเถอะที่ท่านพูดมาเนี่ย ท่านมีหลักฐานอะไรยืนยันว่าพวกนี้เป็นศัตรูของประชาธิปไตย ???

[No-Red]

บางครั้งการเป็นถึงอดีต "อธิการ" ก็ไม่ได้แปลว่า จะต้องฉลาดหลักแหลม หรือ เก่งกันทุกคนน่ะครับ

ดูอย่าง สุขุม นวลสกุล ซิ !!!! เป็นยังไง (ทุกวันนี้ถ้าไม่เลีย TEEN นักการเมือง ก็เป็นได้แค่ นักโต้วาทีขยะ ๆ คนนึง

[หนูอ้อย]

ผมเชื่อว่าการปฏิวัติในประเทศไทยก็แบบเดียวกันนะ จากปี พ.ศ. 2475 มากระทั่งปี พ.ศ. 2555 มันกี่ปีแล้วล่ะ 80 ปี ผมคิดว่ามันจะมีกระบวนการที่ยาวมาก มันไม่จบนะ


อ.ชาญวิทย์เริ่มฉลาดแระ
น่าไปสั่งสอนพวกนิติราษฎร์หน่อยว่า ถ้าจะงัดเรื่องไร อย่าเอาสุดแค่ตอนบิ๊กบังทำรัฐประหาร
มันหลายมาตรฐานมาก เพราะต้องขุดเลยไปนู่นถึง 2475

นี่พงศ์เทพ เสมา 1 ก็เริ่มฉลาดอีกคนนึง ขอหนังสือหาความรู้ลากยาวไปถึง 2475
เสียแต่ให้ อ.ธงชัยเป็นคนป้อนเนี่ยดิ จะจัดหนังสือ 5 เล่มแบบไหนให้กันนะ เหอๆ

[55555]

“ผมมองว่า เฮ้ย! นี่มันเกี้ยเซี้ยนี่หว่า ก็พยายามจะเดาๆ อยู่เหมือนกันว่ามันเกี้ยเซี้ย ตัวแทนของอำนาจใหม่บารมีใหม่ต้องการจะเกี้ยเซี้ยกับอำนาจเก่าและบารมีเก่า ผมคิดว่ามันจะจบลงด้วยการที่คนระดับข้างบนๆ เนี่ยเขาตกลงกัน แล้วก็รักษาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ข้างล่างก็ไม่ได้ ก็รับเคราะห์รับกรรมไป คนอย่างอากงก็ต้องรับเคราะห์รับกรรมไป แต่ข้างบนเขาก็ตกลงกันแล้ว ในแง่นี้แปลว่าอะไร ถ้าจะพูดว่าหากเราเห็นพ้องต้องกันในการผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยในบ้านเรา ก็ต้องอดทนทำงานต่อไป ก็ต้องผลักไป”



เกี้ยเซี้ยพ่อมันดิ....จินตนาการน้ำแตก....

แกล้งโง่หรือโง่จริง...ไอ้พรรคเผาไทยเนี่ย อะไรมันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ

จะจงรักภักดี หรือ ล้มสถาบัน หรือ ต้องฆ่ามวลชนตัวเอง....ขอให้ได้คะแนนเป็นใช้ได้หมด

อย่างพวกเอ็งแค่ เศษ ๆ ....จินตนาการน้ำแตก

มันอยากจะหักใคร มันก็หักของมันเอง....เพื่อพวกมันเอง ไม่เกี้ยเซี้ยไรอย่างที่จินตนาการหรอก ไอ้**** !

[จีรนุช]

ความจริงเเล้วไม่ค่อยอยากจะวิจารณ์สติปัญญาของใครนะ เเต่อธิการบดีวิสคอนซินคิดยังไงถึงเอาหมาไปสอนประวัติศาตร์ไทยกับนักศึกษาของตัวเอง น่าเสียดายค่าเทอม

ปล หนูจบวิศวะ เหมือนกับไอ้กอเเก้วนะเเหละ

เเค่เรื่องชนชั้นก็ไม่มีสาระเเล้ว เพราะมันไม่เคยมี ความเป็นคนก็เหมือนน้ำ มันเป็นไอได้ เป็นน้ำเเข็งได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง มันไม่นิ่ง ไม่มีคงที่

ปล เสียเวลาสอนพวกไร้ปัญญา มันคงอ่านเเล้วงง ดันสะเอ่อไปสอนเด็กอีก สงสารเด็กหัวเเดงๆตาดำๆที่เมกาจัง

Edited by จีรนุช, 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 15:32.

[redfrog53]

รู้สึกสัญญาณไม่ดี หนีดีกว่า..??

[จีรนุช]

ถ้ากลัวลูกๆไอ้เเว่นวิสคอนซิน ไอ้วรเจตน์ ไอ้สมศักดิ์ ก็ไม่รู้จะเล่นบอร์ดทำไม ใครมีปัญหาเเจ้่งมอดเเบนลอกจีรนุชเลยก็ได้

Edited by จีรนุช, 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 17:03.

[kokkai]

ตาบ้า อ.ชาญวิทย์ เพิ่งตาสว่างหรอกเหรอว่าทุกวันนี้มันไม่ใช่สงครามชนชั้นบ้าบออะไรเลย
มันก็แค่ทุนเพื่อพวกพ้องแบบทุนทักษิณ ที่กำลังห้ำหั่นกับคนในสังคมส่วนอื่นๆ
ความเป็นด็อกเตอร์ไม่ได้ช่วยอะไรเล้ยยย

[kokkai]

ถ้ามันคิดว่าการไม่ได้แก้ ม.112 จะเป็นการหนักหัวบรรพบุรุษมันมากนัก ก็จงไสหัวอุบา...ท ของมันไปให้พ้นแผ่นดินสยามซะ

เหอะ เหอะ เหอะ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ สามัญชนหกสิบกว่าล้านคน
เขาลุกขึ้นยืนตรงได้ทั้งที่มี ม 112 เพราะเขาแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ถ้าสามัญชนอย่างพวก ชาญวิทย์ เกษตรศิริ มีปัญหาลุกขึ้นยืนตรงไม่ได้
เพราะติด ม 112 ก็ควรปรึกษา หมอ นะ ว่าพวกคุณมีความผิดปกติอะไร
และถ้าจะให้ได้ผลจริง ๆ ก็ต้องเป็น "หมอโรคจิต" 555555

[Can Thai]

มันมองใกลไปถึงสานต่อ 2475 กันแล้ว

มันจึงเขี่ย การแก้ไข 112 ทิ้งไป

[redfrog53]

ถ้ากลัวลูกๆไอ้เเว่นวิสคอนซิน ไอ้วรเจตน์ ไอ้สมศักดิ์ ก็ไม่รู้จะเล่นบอร์ดทำไม ใครมีปัญหาเเจ้่งมอดเเบนลอกจีรนุชเลยก็ได้

กลัวแต่ ไอ้ปิยบุตร แสงกนกกุล จะอดไม่ไหว แต้วแตกสะก่อน หลังๆๆ มือไม้ชักออกแล้ว

Edited by redfrog53, 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 17:09.

[kokkai]

การศึกษาไม่ได้ทำให้คนฉลาดขึ้นจริง ๆ
ถามจริงๆ เถอะว่า เรียกตัวเองว่า "นักวิชาการ" ได้อย่างไร ไม่ใช่มีตำแหน่งอดีตอธิการ หรือ ตำแหน่งวิชาการแล้วจะเป็นนักวิชาการเต็มขั้นได้หรอกนะ

นักวิชาการควรจะคิดอย่างเป็นระบบ และใช้เหตุผลในการอธิบายสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่ นั่งเทียนคิดลอย ๆ

“ศัตรูของประชาธิปไตย” ในทัศนะ “ชาญวิทย์” คือใคร?
“คือคนที่ไม่เชื่อมั่น และไม่ได้ผลประโยชน์จากประชาธิปไตย” เขาตอบทันควัน ก่อนจำแนกออกเป็น 3 ขา
ขาแรก คือ เครือข่ายราชสำนักที่ได้ผลประโยชน์จากการอ้างและอิงสถาบันกษัตริย์
ขาที่สอง คือ บางส่วนของกองทัพ
และขาสุดท้าย คือ ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ

ถามจริงเถอะที่ท่านพูดมาเนี่ย ท่านมีหลักฐานอะไรยืนยันว่าพวกนี้เป็นศัตรูของประชาธิปไตย ???

บางครั้งการเป็นถึงอดีต "อธิการ" ก็ไม่ได้แปลว่า จะต้องฉลาดหลักแหลม หรือ เก่งกันทุกคนน่ะครับ

ดูอย่าง สุขุม นวลสกุล ซิ !!!! เป็นยังไง (ทุกวันนี้ถ้าไม่เลีย TEEN นักการเมือง ก็เป็นได้แค่ นักโต้วาทีขยะ ๆ คนนึง

[kokkai]

ความจริงเเล้วไม่ค่อยอยากจะวิจารณ์สติปัญญาของใครนะ เเต่อธิการบดีวิสคอนซินคิดยังไงถึงเอาหมาไปสอนประวัติศาตร์ไทยกับนักศึกษาของตัวเอง น่าเสียดายค่าเทอม

ปล หนูจบวิศวะ เหมือนกับไอ้กอเเก้วนะเเหละ

เเค่เรื่องชนชั้นก็ไม่มีสาระเเล้ว เพราะมันไม่เคยมี ความเป็นคนก็เหมือนน้ำ มันเป็นไอได้ เป็นน้ำเเข็งได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง มันไม่นิ่ง ไม่มีคงที่

ปล เสียเวลาสอนพวกไร้ปัญญา มันคงอ่านเเล้วงง ดันสะเอ่อไปสอนเด็กอีก สงสารเด็กหัวเเดงๆตาดำๆที่เมกาจัง

[คนทุกที่]

อย่าหาว่าหยาบคายเลยนะคะ แต่ผึ้งว่าไอ้พวกนี้มันก็แค่นักวิชาการกากๆ ที่มองลงมาจากหอคอยงาช้างแล้วก็จินตนาการไปเองว่าโลกนี้มันควรจะต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็เชื่อว่าตัวเองน่ะถูกต้องที่สุดแล้ว กรูไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น จะเปลียนโลกท่าเดียว ทั้งที่โลกไม่ได้ต้องการความเปลียนแปลงอย่างที่มันคิด เผลอๆ โลกไม่ต้องการพวกมันด้วยซ้ำ

[kokkai]

มันมองใกลไปถึงสานต่อ 2475 กันแล้ว

มันจึงเขี่ย การแก้ไข 112 ทิ้งไป

ให้พวกมันฝันหวานไปเถอะครับ

[อู๋ ฮานามิ]

การศึกษาไม่ช่วยอะไร ถ้าทำนิสัยชั่วๆ

ประชาธิปไตยที่บางคนใช้หากินทุกวันนี้ เป็นลักษณะของการยึดติดบุคคลมากกว่าอุดมการณ์
แล้วบุคคลนั้นก็บริหารจัดการอย่างเผด็จการซะด้วย ที่เป็นประชาธิปไตยก็เป็นประชาธิปไตยแค่เปลือกนอก คือ เป็น ส.ส. เท่านั้นเอง

[Tatiana]

“เมื่อ 2-3 วันนี้ ผมเปิดอีเมล์มา ก็มีอีเมล์ 1 อีเมล์ที่ค่อนข้างจะแปลกใจ ก็คือคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ มีจดหมายถึงผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ผมนับถือ ผู้ใหญ่คนนั้นก็สั่งให้คนอีเมล์มาถึงผม บอกให้เสนอชื่อหนังสือมา 5 ชื่อ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปฏิวัติ 2475 เออ อันนี้น่าสนใจนะ ผมว่าหมอนี่เล่นเป็นนะ สงสัยนะ มันเล่นกับวงวิชาการนี่หว่า ก็น่าสนใจ ผมก็เลยส่งให้ ดร.ธงชัย (วินิจจะกูล) ตามระเบียบนะฮะ ให้อาจารย์ธงชัยเสนอกลับมา แล้วก็ส่งไปเรื่อยๆ ใช้ความเป็น ส.ว. เป็นคนสูงวัย ส่งไปเรื่อยๆ ว่าจะคัดกี่เล่มส่งไปให้ท่านรัฐมนตรี”


ถือเป็น “บีฟอร์ช็อค” จาก “เสมา 1” ก่อน “สภาไพร่” จะลงมือสะกดปรากฏการณ์ “112 ริกเตอร์” จึงน่าสนใจว่ารัฐบาลจะใช้ประโยชน์อะไรจาก “คนในอดีต” และ “ประวัติศาสตร์หน้าเก่า”


ไอ้รมต.ศึกษา คนใหม่ มันกำลังจะบรรจุหลักสูตรล้มเจ้าให้กระทรวงศึกษาฯ ปลูกฝังเด็กนักเรียนตั้งแต่ตัวน้อยๆ ให้ซึมซับประชาธิปไตยแบบแดงๆของพวกมัน

Edited by แทนคุณแผ่นดินเกิด, 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 17:53.

[isa]

“ถ้าบ้านเมืองยังเป็นพิษ การเมืองเป็นพิษ มีสงครามที่คนอื่นก่อ ผมก็อาจจะมาขอลี้ภัยที่วิสคอนซิน” คือคำกล่าวทีเล่นจริงของ “ชาญวิทย์” ขณะทักทายนักศึกษาในช่วงต้น ทว่ากลายเป็นปมที่ย้อนกลับมาเป็นคำถามในช่วงท้ายถึงการรับบท “หัวหอก” ท้าทายอำนาจที่มีการดำรงอยู่อย่างยาวนานของไทย
เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า คนชื่อ “ชาญวิทย์” จะถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์อย่างไร?
“ประวัติศาสตร์จะบันทึกผมว่าอย่างไร ก็ต้องเป็นนักประวัติศาสตร์ที่จะบันทึก ผมก็ไม่รู้นะ… อันนั้นไม่ใช่ปัญหาของผม ตอนนั้นผมก็ไปแล้ว เราก็ไม่รู้แล้ว!!!”

http://thaipublica.o...rnvit-kasetsiri

นักประวัติศาสตร์จะมองชาญวิทย์เป็นยังไงก็ช่าง แต่วันนี้ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์หลายๆคนมองว่าชาญวิทย์เป็นแค่ตาแก่กะโหลกกะลาที่มีความรู้่ท่วมหัวแต่ไร้ปัญญา
มัวเมาอยู่กับข้อมูลซ้ายนิยมจนยอมเป็นทาสทุนนิยมผูกขาดสามานย์ จนจะทำบ้านเมืองล่มจมยังทะลึ่งไม่รู้สึกตัว

[JUR1ST]

อย่าหาว่าหยาบคายเลยนะคะ แต่ผึ้งว่าไอ้พวกนี้มันก็แค่นักวิชาการกากๆ ที่มองลงมาจากหอคอยงาช้างแล้วก็จินตนาการไปเองว่าโลกนี้มันควรจะต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็เชื่อว่าตัวเองน่ะถูกต้องที่สุดแล้ว กรูไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น จะเปลียนโลกท่าเดียว ทั้งที่โลกไม่ได้ต้องการความเปลียนแปลงอย่างที่มันคิด เผลอๆ โลกไม่ต้องการพวกมันด้วยซ้ำ

ไอ้พวกเวรเหล่านี้ชอบอุปโลกน์ตัวเองเป็นนักวิชาการ บอกว่ารู้ดีกว่าคนอื่น จะเป็นแสงสว่างให้สังคม ต่อต้านการแบ่งชนชั้น โถ่เอ๋ย ที่พวกเอ็งยกหางตัวเองว่าเป็นนักวิชาการนี่มันไม่แบ่งชนชั้นยังไงวะ เอ็งเห็นพวกชาวบ้านเป็นแค่เครื่องมือสนองตัณหาของตัวเองเท่านั้นแหละ

แถมอีกนิด ไอ้พวกเวรนี้ชอบพร่ำบ่นคำว่าประชาธิปไตยเป็นมนตราศักดิ์สิทธิ์คาปากอยู่เสมอ แต่ห้ามคนอื่นเห็นแย้งนะ เพราะข้าเป็นนักวิชาการที่มีความรู้สูงส่ง พวกเอ็งฟังอย่างเดียวไปเถิด โถ ไอ้พวกอัตตาธิปไตยเอ๋ย

Edited by JUR1ST, 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 21:58.

[JUR1ST]

“ถ้าบ้านเมืองยังเป็นพิษ การเมืองเป็นพิษ มีสงครามที่คนอื่นก่อ ผมก็อาจจะมาขอลี้ภัยที่วิสคอนซิน” คือคำกล่าวทีเล่นจริงของ “ชาญวิทย์” ขณะทักทายนักศึกษาในช่วงต้น ทว่ากลายเป็นปมที่ย้อนกลับมาเป็นคำถามในช่วงท้ายถึงการรับบท “หัวหอก” ท้าทายอำนาจที่มีการดำรงอยู่อย่างยาวนานของไทย
เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า คนชื่อ “ชาญวิทย์” จะถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์อย่างไร?
“ประวัติศาสตร์จะบันทึกผมว่าอย่างไร ก็ต้องเป็นนักประวัติศาสตร์ที่จะบันทึก ผมก็ไม่รู้นะ… อันนั้นไม่ใช่ปัญหาของผม ตอนนั้นผมก็ไปแล้ว เราก็ไม่รู้แล้ว!!!”

http://thaipublica.o...rnvit-kasetsiri

นักประวัติศาสตร์จะมองชาญวิทย์เป็นยังไงก็ช่าง แต่วันนี้ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์หลายๆคนมองว่าชาญวิทย์เป็นแค่ตาแก่กะโหลกกะลาที่มีความรู้่ท่วมหัวแต่ไร้ปัญญา
มัวเมาอยู่กับข้อมูลซ้ายนิยมจนยอมเป็นทาสทุนนิยมผูกขาดสามานย์ จนจะทำบ้านเมืองล่มจมยังทะลึ่งไม่รู้สึกตัว

ชาญวิทย์คงมีชุดความคิดอยู่ชุดเดียวไม่เปลี่ยนแปลง แล้วก็ผลิตซ้ำอยู่นั่นแหละ พวกลูกศิษย์ลูกหาที่ถูกล้างสมองฝังหัวสมัยเรียนกับแกด้วยตอนนี้ก็คงมีหน้าที่การงานในสังคมดี เลยมาช่วยเป็นเครื่องพิมพ์ผลิตช้ำชุดความคิดซ้ายดึกดำบรรพ์กันต่อ

[Bookmarks]

สงสัยอยากเป็น รมต จนตัวสั่น แนะนำชาญวิทย์นะ ทำตัวเหมือนขี้ข้าแม้วแต่ละตัวสิ ดูวิธีการแล้วไม่ยากหรอก มันลอกแบบกันมาเลย คือเลียนายเท่านั้น
เิิริ่มแรก ก็ลองไปเดินตามไอ้พร้อมซองสักพัก เิดินถือซองสีน้ำตาลให้ เหมือนไอ้สิงห์ทอง อาจจะมีใครเห็นค่า เห็นราคาขึ้นมาบ้าง

[RiDKuN_user]

ไม่น่าเชื่อว่า คนที่มีพฤติกรรมและระบบความคิดแบบนี้ จะเคยได้เป็นถึงอธิการบดี

[Et tu Brute?]

โถ สุดท้ายชนชั้นของท่านอาจารย์ก็มีโอกาสมากกว่าไพร่ชั้นต่ำ
เมื่อแพ้แล้วพวกคลาสอาจารย์ยังมีโอกาสหนี ขณะที่คลาสตัวเบี้ยตัวหมากธรรมดาต้องโดนคุกอย่างเดียว

[RaRa]

การศึกษา ไำม่ได้ช่วยสอน "คนให้เป็นคน" จริงๆ

[RaRa]

เหอะ เหอะ เหอะ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ สามัญชนหกสิบกว่าล้านคน
เขาลุกขึ้นยืนตรงได้ทั้งที่มี ม 112 เพราะเขาแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ถ้าสามัญชนอย่างพวก ชาญวิทย์ เกษตรศิริ มีปัญหาลุกขึ้นยืนตรงไม่ได้
เพราะติด ม 112 ก็ควรปรึกษา หมอ นะ ว่าพวกคุณมีความผิดปกติอะไร
และถ้าจะให้ได้ผลจริง ๆ ก็ต้องเป็น "หมอโรคจิต" 555555

คนพิการขา ยังอยากที่จะลุกขึ้นยืน

แต่สำหรับ "ไอ้คนเนรคุณประเภทนี้"

จะไปหวังให้มันลุกยืนตรงได้อย่างไร

ก็ในเมื่อ "จิตใจมันพิการ" มาตั้งแต่ต้นแล้ว.......