เมื่อวันที่ 2 พ.ย.55 ปรากฎว่า เวลา 22.55 น.วันเดียวกัน มีท่านผู้ใช้นามว่า “มุมมืด” ตั้งคำถาม ด้วยเจตนาแลกเปลี่ยนความเห็นถึงกรณีดังกล่าวอย่างสันติ มิได้แสดงความเห็นด้วยอารมณ์ที่ก้าวร้าวมายังผมดังนี้...
...เรียนขอความรู้ครับ...
วัตถุประสงค์ของเนื้อหานี้ มุ่งไปทางใดครับ ?
สมมุติ..คน กลุ่มนี้ฯ มีเจตนาบริสุทธิจริง ๆ เห็นแก่หลักกฎหมายเพียว ๆ ด้วยหลักวิชาการ ไม่เกี่ยวกับพวกล้มเจ้าเลย แปลได้มั๊ยว่า พวกเขาเล็งเห็นหรือคาดการณ์สิ่งใดก้าวไกลต่างไปจากเรา กล่าวคือหากไม่ทำดังว่า รังแต่จะนำมาซึ่งความเสื่อมของสถาบันฯอันเป็นที่รักของคนไทยมาอย่างยาวนานและมีประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ก็อาจด้วย "คนดีนิ่งเฉย คนไม่ดีครองเมือง" เป็นต้น..และหากพวกเขาฯ หากพิจารณาเนื้อแท้แล้ว ล้วนเป็นบุคคลที่พิสูจน์ได้ว่าซื่อสัตย์ สุจริต จงรักภักดีเป็นที่ประจักษ์และอยู่ในข่ายคนดี ... อย่างนี้เราคิดร้ายกับเขาเกินไปมั๊ย? ขอบคุณครับ...
ผมขอขอบคุณผู้ใช้นามว่า "มุมมืด" ที่กรุณาตั้งคำถามในลักษณะแลกเปลี่ยนทัศนะที่น่าจะมีประโยชน์สำหรับบุคคลทั่วไป และเข้าใจว่าก่อนตั้งคำถามผู้ใช้นามว่า "มุมมืด" คงได้อ่านเรื่องเดิมๆที่มีทัศนะต่อกรณี ม. 112 มาแล้ว และคงรู้แล้วว่าผมคือ คนไทยคนหนึ่งที่ต่อต้านคนกลุ่มนี้อย่างแข็งขันมาโดยตลอด
ผมจะตอบคำถามของคุณมุมมืดในประเด็นแรกที่ถามว่า ...วัตถุประสงค์ของเนื้อหานี้มุ่งไปทางใดครับ? ว่าผมมีวัตุถประสงค์ในเรื่องนี้ 2 ข้อครับ...
1.ต้องการบอกเล่าให้คนไทยผู้จงรักภักดีที่ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามจะให้ “มีการแก้ไข ม.112” ได้รับทราบความคืบหน้าของเรื่องดังกล่าวว่า เรื่องนี้ตกไปจากสภาฯแล้ว แปลว่าคงไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ในสภาฯอีก
2. ต้องการบอกให้คนกลุ่มนั้นทราบว่า เรื่องที่คนกลุ่มนั้นเพียรพยายามที่จะแก้ไขให้ได้นั้น ถูก “ตีตก” ไปแล้วจึงไม่ควรดิ้นรนที่จะกระทำการใดๆ อีก เพราะรังแต่จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันเปล่าๆ...
แต่เท่าที่ทราบมาคนกลุ่มนั้นจะไม่หยุดยั้งเพียงเท่านี้นะครับ ข่าวว่าจะหารือถึงขั้นออกแถลงการณ์ประณามประธานรัฐสภาฯหรืออย่างไรนี่แหละครับ...
ผู้ใช้มุมมืดเปิดประเด็นคำถามว่า ...สมมติคนกลุ่มนี้มีเจตนาบริสุทธิ์จริงๆ เห็นแก่หลักกฎหมายด้วยการนำเสนอสิ่งที่คนกลุ่มนี้ยื่นต่อประธานรัฐสภา ฯลฯ อย่างนี้ เราคิดร้ายกับเขาเกินไปมั๊ย?...
เรื่องเจตนาว่าบริสุทธิ์ดูได้ไม่ยากครับ ดูจากกิริยาท่าทางที่มีต่อสถาบัน คำพูดคำจาที่เอื้อนเอ่ยถึงสถาบันหรือข้อความที่คนเหล่านี้แสดงเขียนสถาบันพระมหากษัตริย์ วิญญูชนก็พอมองออกนะครับ ว่ารู้สึกอย่างไรต่อสถาบัน และหากเจตนาดีจริง เหตุใดเพิ่งจะมีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ กฎหมายอาญามาตรา 112 กันในช่วงที่เปลี่ยนอำนาจทางการเมืองยุคหลังๆ ทั้งๆที่บางคนโดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหอกในการเดินไปยื่นหนังสือมีอาชีพเป็นครูบาอาจารย์ เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มานมนามแล้ว ทำไมจึงไม่กระทำการเพื่อปกป้องสถาบันอย่างที่อ้างกัน พร้อมกันนี้ ผมขอให้ผู้ใช้นามว่า "มุมมืด" และท่านอื่นๆที่สนใจเรื่องนี้พิจารณาข้อเสนอของคนกลุ่มนี้ทีละข้อนะครับ ผมมีความเห็นแย้งอยู่ทุกข้อ หากท่านใดเห็นด้วยกับคนกลุ่มนั้นก็เชิญแลกเปลี่ยนความเห็นได้ครับ ...
1.ให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร...
ผมอยากทราบว่าคนกลุ่มนั้นมีเหตุผลใดหรือ จึงขอยกเลิกมาตรา 112 ออกจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร หากผู้ใช้นามว่า มุมมืด มีอายุเกินกว่า 50 ปีขึ้นไปคงทราบดีว่า สถาบันพระมหากษัตริย์คือศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ที่ทำให้เกิดความสามัคคีเป็นปึกแผ่นมาอย่างยาวนาน และด้วยพระบารมีของพระองค์จึงทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงและราชอาณาจักรยั่งยืนมาได้จนถึงทุกวันนี้ หากแยกออกจากกันใครจะให้หลักประกันได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์และชาติจะมีความมั่นคงได้ต่อไป หากสถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกแยกจากคำว่าความมั่นคงของราชอาณาจักร ตามความต้องการของคนกลุ่มนั้นสำเร็จ แล้วคนไทยจะเหลืออะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจหรือ?
2.เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์...
ข้อเสนอที่ 2 ก็ขาดความชัดเจนดูแล้วคลุมเครือ เหมือนซ่อนนัยบางอย่างเอาไว้ ทำไมไม่บอกละครับว่าลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติยศดังกล่าวประกอบด้วยอะไรบ้าง?
3.แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ออกจากการคุ้มครองสำหรับ ตำแหน่งพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์...
ข้อเสนอที่ 3 ก็ไม่ต่างไปจากข้อเสนอที่ 2 ครับคือยังไม่ชัดเจนพอ และการเสนอข้อนี้มาก็เหมือนกับคนกลุ่มนั้นกำลังหมิ่นพระเกียรติยศพระราชินี รัชทายาท หรือ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือเปล่า?
4.เปลี่ยนบทกำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกิน 2 ปี สำหรับ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์...
ข้อเสนอที่ 4 นี่ ผมรับไม่ได้จริงๆ ครับ เพราะเดิมกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระบุว่า "ผู้ ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี" ข้อย้ำเป็นตัวเลขนะครับ จำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปีครับ มีเหตุผลอะไรหรือที่คนกลุ่มนี้ขอให้ “ไม่มีโทษ หรือ ลดโทษลง” หรือคนกลุ่มนี้น่าจะรู้ดีว่า โทษจำคุก 3 ปีนั้น จริงๆแล้วอาจไม่ต้องจำ เพราะศาลอาจสั่งให้รอลงอาญาก็ได้ หรือหามีโทษจำจริงๆ ในที่สุดก็จะได้พระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานอภัยโทษให้ก็ได้หรือเปล่า?
5.เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต...
ข้อ 5 นี้ก็คลุมเครือเชื่อไม่ได้ ผมอยากทราบว่าคนกลุ่มนี้มีอะไรมาเป็นตัวชี้วัดตัดสินหรือว่าการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเป็นอย่างไร หรือไม่สุจริตเป็นอย่างไร อย่าลืมนะครับว่ามีหลายครั้งในระยะหลังๆที่มีบุคคลบางคน กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเพื่อดำเนินคดี แต่แกล้งเป็นบ้าเป็นคนโรคจิตเพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา อย่างนี้จะเรียกว่าโดยสุจริตหรือไม่สุจริตเล่าครับ?
6.เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ...
ข้อ 6 นี้ก็เช่นกัน หากได้รับการยอมรับให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมตามที่คนกลุ่มนี้เสนอ ถามจริงๆว่าเมื่อเรื่องถึงโรงถึงศาลจะต้องใช้เวลากี่สิบปีจึงจะมีการพิสูจน์ความจริงเป็นความจริง หรือเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ? และระหว่างที่รอพิสูจน์เรื่องนี้ว่าเป็นความจริงหรือเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หรือไม่? ก็อาจมีผู้นำเรื่องดังกล่าวไปเผยแพร่ขยายผลหรือเผยแพร่ต่อ จนอาจทำให้คนที่ไม่ล่วงรู้ต้นสายปลายเหตุหรือไม่ทราบว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีคุณอันประเสริฐอย่างใดต่อประเทศชาติ หลงเชื่อว่าเรื่องที่กำลังรอการพิสูจน์ “เป็นความจริง” ตามนั้นก็ได้ เหมือนอย่างที่คนบางคนถุกสร้างลงโทษ ก็เที่ยวป่าวประกาศผ่านสื่อของตัวเองซ้ำๆซากๆว่าไม่ผิด จนคนกำลังจะเชื่อตามนั้น ที่สำคัญคนกลุ่มนั้นไม่ใช่ "คนโง่" คงจะมีฝ่ายกฎหมายคอยให้คำแนะนำหรือตรวจสอบแล้วว่า เขียนบทความอย่างไรหรืออภิปรายในหอประชุมอย่างไร จึงจะไม่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 หากถูกฟ้องร้องก็จะอ้างขอให้มีการพิสูจน์ความจริงนั่นเอง
7.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้นแทนพระองค์ ...
ข้อนี้เท่ากับไปเพิ่มภาระให้แก่ สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งมีภารกิจมากอยู่แล้วเปล่าๆครับ ผมก็คิดว่าคงไม่ใช่ “หน้าที่” ของสำนักราชเลขาธิการจะมาคอย “นั่งจับผิด” ใครอย่างที่พวกนั้นต้องการ แต่หน้าที่ “จับผิด” คนที่จะล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ควรจะเป็นหน้าที่ของคนไทยผู้จงรักภักดีทุกคนที่สามารถกระทำได้ หากกระทำตามข้อ 7 ก็เท่ากับคนกลุ่มนั้นกำลังลิดสิทธิ์ของคนไทยหรือเปล่า?
ตามข่าวระบุด้วยว่าเนื้อในของร่างดังกล่าวมี ข้อความสอดคล้องกับร่างแก้ไข มาตรา 112 ของนิติราษฎร์ ผมจึงต้องนำเรื่องนี้มารายงานให้ผู้อ่านทราบครับ ท่านผู้ใช้นามว่า "มุมมืด" ส่วนผู้อ่านจะคิดอย่างไรก็ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของแต่ละท่านนะครับ ผมอยากเห็นคนไทยที่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างแท้จริง ได้ลุกขึ้นทำหน้าที่อย่างที่ผมทำอยู่นี้อย่างพร้อมเพรียงครับ เราปล่อยให้คนที่อ้างตัวว่ามีความรู้และมีอาชีพเป็นอาจารย์สนุกสนานกับบิดเบือนความจริงมานานแล้วครับ ลุกขึ้นมาช่วยกันครับ เห็นใครมีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะไม่ควร ก็เอามาเปิดโปงกันครับ
ที่มา: http://www.oknation....2/11/05/entry-1
Edited by wat, 5 November 2012 - 11:49.