เอาวิเคราะห์เสื้อแดงมาให้อ่านอีกรอบ แม่นเหมือนจับวางจริงๆ
by
อิทรายุธ » Tue Nov 17, 2009 12:46 pm
http://forum.seritha...php?f=2&t=15066ทำไมคนเสื้อแดงจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง บ้าคลั่ง และรุนแรง และกล่าวความเท็จด้วยความหยาบคายอยู่ตลอดเวลา
ข้อสังเกตก่อนเข้าสู่เนื้อหา
1.ใน เวทีปราศรัยของเสื้อแดงจะเต็มไปด้วความหยาบคาย ดิบเถื่อนทางภาษาอันสะท้อนจิตใจผู้พูด (ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาษาในเวบสีแดง) เมื่อพิจารณาเนื้อหาก็จะพบว่าเป็นความเท็จมากว่า 90% ขึ้นไป คนที่ปกติไม่นิยมพูดเท็จก็พยายามพัฒนาตัวเองเป็นนักเท็จ เพื่อใได้โดนใจมวลชน มีอยู่บ้างบางคนเช่นจักรภพที่พยายามพูดความจริงตามทัศนะและความเชื่อส่วนตน แต่ก็หมดบทบาทไปแล้วเมื่อต้องอาญาแผ่นดินและหลบหนี ความน่าประหลาดใจนั้นอยู่ที่ว่าไม่เคยมีขบวนการต่อสู้ใดในโลกนี้ืั้จะชนะได้ ด้วยความเท็จ และที่จริงแล้วเสื้อแดงสามารถสู้ได้ด้วยการพูดความจริงตามทัศนะตัวเอง (ทำนองเดียวกับที่จักรภพทำ) ขอหมายเหตุตรงนี้ว่า ทักษิณเองนั้นปีแรกๆเขาก็ยังเป็นคนพูดความจริงตามทัศนะตัวเอง ก่อนจะมากลายเป็นนักเท็จโดยสมบูรณ์ในปัจจุบัน
2.ความรุนแรงของเสื้อแดงที่อุดร
3.ความป่าเถื่อนของเสื้อแดงเชียงใหม่ เชียงราย
4.การเผาเมือง และไล่ฆ่าคนกลางเมืองหลวงช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา
ุ5.การลอบยิงพันธมิตรด้วยอาวุธสงครามจนเจ็บตายไปเป็นจำนวนมาก
6.ฯลฯ.....และยังไม่มีแนวโน้มเลยว่าเสื้อแดงจะเลิกเท็จ เลิกเกลียดชัง เลิกบ้าคลั่ง เลิกรุนแรง
ทำไมมวลชนแดงจึงเป็นเช่นนี้?????????
เหตุผลประการสำคัญคือความเชื่อและศรัทธา
ขบวน เสื้อแดงนั้นไม่ใช่ขบวนความรู้ ไม่ใช่ขบวนเรียนรู้ แต่เป็นขบวนความเชื่อและศรัทธา สิ่งที่พวกเขาศรัทธาในแง่ตัวบุคคลคือทักษิณ ซึ่งเป็นทรราชสมบูรณ์แบบ สิ่งที่เขาศรัทธาในแง่คุณค่า คือวัตุถุ เงินทอง ความร่ำรวยโดยไม่เลือกวิธี
เมื่อไม่มีความรู้และไม่เรียนรู้ จึงไม่อาจพัฒนาการมีเหตุผลภายในตน ยิ่งถูกกล่อมด้วยนักเท็จแกนนำ จึงยิ่งโงหัวไม่ขึ้น กลายเป็นขบวนลัทธิความเชื่อเข้มข้น ศรัทธาเข้มข้น อารมณ์แรงและโมโหร้าย เพราะไม่อาจใช้ข้อมูลและเหตุผลในการโต้แย้งได้
โดย ปกติแล้วความเชื่อและความศรัทธานั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี-ชั่ว หรือผิด-ถูก โดยตัวเอง การเข้าสู่การเรียนรู้นั้นตามธรรมชาติก็มักมีความเชื่อความศรัทธานำหน้าอยู่ ก่อนเสมอ จากนั้นการเรียนรู้จึงค่อยเกิดขึ้น และเกิดสติปัญญาตามมา ในขบวนพันธมิตรเองก็มีกลุ่มมวลชนที่ขาดความรู้และใช้ศรัทธาความเชื่อนำหน้า อยู่ไม่น้อย เพียแต่ยังเอิญเชื่อและศรัทธาในคนดี ในข้อมูลที่ถูกต้อง เลยพาให้ดีไปด้วย (แต่ถ้าจมอยู่กับความเชื่อความศรัทธานานเกินไปก็อันตรายเหมือนกัน)
ปัญหา ของคนเสื้อแดงเมื่อเชื่อผิดคนศรัทธาผิดทาง จึงพาพวกเขาดิ่งลงสู่ความมืดมนทางจิตใจ และไม่อาจก้าวต่อไปสู่การเรียนรู้ได้ การแสดงออกมาจึงเป็นควาหยาบคายและความรุนแรงที่ระบายออก เพราะเขาไม่อาจนั่งลงสนทนาด้วยสติ ข้อมูลความรู้และปัญญาได้
เมื่อมีอคติ จึงขาดข้อมูล(ไม่เปิดรับ)
เมื่อขาดข้อมูล จึงขาดความรู้
เมื่อขาดความรู้ จึงใช้ความเชื่อไม่ใช้เหตุผล
เมื่อขาดเหตุผล จึงใช้ความหยาบคาย ขาดสสติ
เมื่อขาดสติ จึงใช้ความรุนแรง (ในขบวนเสื้อแดงก็มีพระนำเมหือนกันแต่เป็นพระแบบมหาโช และพระกระโดดถีบรถนายก)
จึงนำไปสู่ขบวนแห่งความเกลียดชังคลั่งแค้น
แม้ จนบัดนี้สภาพโดยรวมของเสื้อแดงก็ยังไม่ดีขึ้น แม้จะมีบางส่วนในระดับปัจเจกบุคคล เริ่มตระหนักว่า ความเชื่อ ความศรัทธา ความบ้าคลั่ง ความรุนแรง และความเท็จ ไม่ใช่หนทางสู่้เป้าหมาย แต่ก็ยังเป็นจำนวนน้อยเกินไป
เราจึงจะยังได้เห็นฝูงชนสีแดงที่บ้า คลั่งต่อไปอีกพอสมควร จนกว่าพวกเขาจะอกหัก พ่ายแพ้สลายตัวไป เพราะขบวนเช่นนี้จะไม่มีวันคว้าความสำเร็จใดๆได้เลย
http://forum.seritha...php?f=2&t=15478มาดูกันดีกว่าว่าทำไมเ้สื้อแดงจึงอับจนทางปัญญาและความรู้
1.ความอับจนในความรู้นำเข้า หมายถึงทฤษฎีและองค์ความรู้ต่างๆที่นำมาใช้เป็นสิ่งชี้นำทางปัญญาในหมู่ของตน
เสื้อ แดงไม่ได้ขาดแคลนปัญญาชน แต่โชคร้ายพวกเขาได้ปัญญาชนที่หยุดวิวัฒนการทางปัญญาไปนำขบวน ความรู้ที่เขามีใช้โดยทั่วไปจึงเป็นความรู้ที่หมดอายุใช้งานแล้ว คือไม่มีใครเขาใช้กันแล้วแต่ปัญญาชนเสื้อแดงกลับยังคิดว่าความรู้ของตัวเอง อัพเดทอยู่ ที่สำคัญๆได้แก่
-ทฤษฎีมาร์กซ/เลนิน ซึ่งมีหัวใจสำคัญที่การอธิบายวิวัฒนาการทางสังคมตามแนวคิดวิภาษวิธี ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าความรู้ทางสังคมทุกทฤษฎีจะพัฒนามาจากความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ แปลงความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์มาทำความเข้าใจสังคม สำหรับทฤษฎีมาร์กซนั้น พัฒนามาจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยุคเครื่องจักรไอน้ำ และความเข้าใจทางฟิสิกส์แบบนิวตัน ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นความรู้โบราณไปมากแล้ว ทฤษฎีทางสังคมที่งอกมาจากยุคนี้จึงโบราณไปด้วย ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์พัฒนาไปไกล และทฤษฎีทางสังคมใหม่ๆก็พัฒนาตามทิ้งห่างทฤษฎีรุ่นทวดแบบมาร์กซไปนานแล้ว แต่คนเสื้อแดงก็ยังคงกางตำรามาร์กซ์วิเคราะห์สังคมอยู่นั่นเอง พวกเขาจึงไม่เคยวิเคราะห์อะไรถูก ไม่เคยเข้าใจสังคม เหตุเพราะใช้ความรู้ที่หมดอายุนั่นเอง
-ทฤษฎีประชาธิปไตย ตรงนี้ผมกล่าวไปพอสมควรแล้วในกระทู้อื่น ในที่นี้จึงขอกล่าวแบบเปรียบเทียบกับประชาธิปไตยแบบเสื้อเหลืองไปด้วย การเมืองในแนวคิดของเสื้อแดงนั้นเป็นการเมืองแบบเก่าคือเป็น "การเมืองของมวลชน" ขณะที่เสื้อเหลืองนั้นเป็น "การเมืองของสาธารณะ" ปัญหาของปัญญาชนแดงคือถูกสิงสู่ด้วยแนวคิดลัทธินิยมต่อสิ่งที่ตัวเองยึดถือ เช่น เมื่อมองประชาธิปไตยพวกนี้ก็จะมองแบบลัทธินิยม ประชาธิปไตยของเขาจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ และเป็นสิ่งสถิตไร้วิวัฒนาการณ์ เพราะเขาเชื่อว่ามันสมบูรณ์แล้ว
ต่างกับเสื้อเหลืองที่มองว่า ประชาธิปไตยก็แค่ระบอบการปกครองแบบหนึ่ง และก่อนที่จะมีประชาธิปไตย สังคมหนึ่งๆก็มีระบอบการปกครองมาแล้วหลายแบบ ตามความเหมาะสมของลักษณะสังคมและยุคสมัย และประชาธิปไตยก็ย่อมไม่ใช่ระบอบการปกครองสุดท้ายของมนุษย์ และแม้แต่ในช่วงของประชาธิปไตยเองก็มีวิวัฒนาการของมัน ไม่ใช่พอหลุดออกมาจากท้องแม่ก็กลายเป็นตัวเต็มวัยที่ไม่ต้องมีพัฒนาการอะไร อีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยของเสื้อแดงจึงล้าหลัง หรือเป็นแนวคิดที่หมดอายุแล้วเช่นกัน แต่พวกเขานำมาแห่แหนเชิดชูในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างน่าขบขัน
-ทฤษฎี ชนชั้น อันนี้ก็สำคัญมาก และผมขอบอกว่าไม่ใช่แต่เสื้อแดงหรอกที่ยึดติดกับทฤษฎีนี้ เสื้อเหลืองก็อาการหนักในเรื่องนี้ไม่น้อย และทฤษฎีนี้ืถือเป็นทฤษฎีรากฐานที่ไม่ว่าค่ายคอมมิวนิสต์หรือค่าย ประชาธิปไตยต่างก็ใช้เวลาจะวินิจฉัยประชาชนในสังคม โดยจะจำแนกประชาชนออกเป็นชั้นๆอย่างกับขนมชั้น
การมองประชาชนแบบชน ชั้นนั้น ในปัจจุบันถือว่าเชยมากๆ ทฤษฎีนี้จึงเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่หมดอายุใช้งาน ยังใช้ได้บ้างแต่ก็เฉพาะในกรณียกเว้น แต่ไม่ควรใช้บ่อยเป็นการทั่วไป เพราะเป็นการมองสังคมที่บิดเบนไปจากความจริง ผู้คนในสังคมทุกวันแยกตัวเป็นกลุ่มที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ใช่แยกเป็นชั้นๆ การมองสังคมผ่านแว่นชนชั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการไม่เข้าใจสังคม
โดย สรุปก็คือเสื้อแดงเป็นโรคขาดแคลนความรู้นำเข้า คนเก่งๆของพวกเขาจึงเป็นแค่นักท่องจำตำราหมดอายุ จึงมีความหวังอยู่ว่าเขาจะสังเคราะห์ความรู้ขึ้นใช้เองได้ แต่.....................เฮ้อ..บทวิเคราะห์นี้ต้องยาวอีกตามเคย
2.ความอับจนที่สร้างความรู้ใช้เองก็ไม่ได้
ก่อนอื่นเรามาดูกระบวนการสร้างความรู้กันก่อน ว่าความรู้ทั้งหลายเขาสร้างกันอย่างไร มันมีสูตรอย่างนี้ คือ
Data-Information-Knowledge-Wisdom
Data คือ ข้อมูลดิบ เรื่องเรื่องราวปรากฎการณ์ต่างๆที่ยังไม่ได้กรั่นกรอง
Information คือ ชุดข้อมูล คือการนำ Data มากรั่นกรองข้อมูลระดับหนึ่ง จัดระเบียบข้อมูลเพื่อให้พอเข้าใจภาพรวม
knowledge คืิอ การนำ Information มาวิเคราะห์วิจัยจนเกิดเป็นความรู้ใหม่
Wisdom คือการนำ Knowledge ไปใช้ไปผ่านการปฏิบัติจนตกผลึกเป็นความเข้าใจอันลึกซึ้งเป็นปัญญาภายในตน
เท่า ที่ผมประเมิน ผมพบว่ามวลชนพื้นฐานของเสื้อแดงนั้นมีความสามารถรับข้อมูลแค่ระดับ Data แถมเป็น Data แค่ส่วนแค่เสี้ยว แต่ดันคิดว่าตนมี Knowledge เลยพากันหลงผิดขนานใหญ่ จะหวังพึ่งแกนนำให้แก้โง่ก็ไม่ได้ เพราะแกนนำมัวงมโข่งอยู่กับ Knowledge ที่หมดอายุใช้งาน ดังกล่าวแล้ว
สำหรับ เสื้อเหลืองนั้นผมพบว่ามวนชนพื้นฐานสามารถรับข้อมูลระดับ Information เป็นส่วนใหญ่ มีส่วนหนึ่งรับถึงระดับ Knowledge และบางส่วนก็รับได้แค่ Data เหมือนกัน ส่วนแกนนำนั้นจะอยู่ในระดับ Wisdom เป็นหลัก จึงมีจุดแข็งเชิงคุณภาพเป็นอย่างมาก
จากสภาพที่เป็นเช่นนี้เสื้อแดงจึงสร้างความรู้ขึ้นใช้เองไม่ได้ เพราะมัวเมาอยู่กับ Data ครึ่งเสี้ยวนั่นเอง
3.ความไร้ปัญญาเพราะไม่สามารถสนทนาแบบผู้มีอารยธรรม
หา ความรู้ก็ไม่ได้ สร้างเองก็ไม่เป็น เหลือความหวังเดียวคือจะได้จากการสนทนากับผู้อื่น เสื้อแดงก็ทำไม่ได้ทำไม่เป็นอีก เพราะการสนทนาของเขาคือ ประชด-แดกดัน-ด่า-สำรากสารพัดสัตว์ ด้วยอาการคลุ้มคลั่ง-เกลียดชัง-รุนแรง การพูดคุยสำหรับเสื้อแดงคือถกเถียง ตอบโต้เอาชนะ พวกเขาไม่รู้จักการสนทนาแบบที่อารยชนเขาคุยกัน หรือที่เรียกว่า Dialogue คือการเกิดหัวใจสนทนาอย่างสุภาพนอบน้อม ยึดมั่นอยู่กับสัจธรรมและความเป็นจริง ปลดปล่อยตัวตนออกจากการครอบงำแบบลัทธินิยม
เสื้อแดงอยากเปลี่ยนสังคม อยากเปลี่ยนสถาบันกษัตริย์ ด้วยการบูชาความเท็จ และด่าพ่อล่อแม่ ด้วยสันดานแห่งอาการดังนี้พวกเขาจึงตกอยู่ในภพภูมิที่ไม่มีวันได้สนทนากับ นักปราชย์ ได้แต่สนทนากันเอง พูดเอง ฟังเอง เออเองกันอยู่ในหลุม หมดทางรับปัญญาจากผู้อื่นไปอีกทางหนึ่ีง
นี่แหละจึงเป็นที่มาของความอับจนทางปัญญาและความรู้ของเสื้อแดง.........เอวัง