น้ำท่วมขังนาน ชาวบ้านลุกฮือปิดถนน-รื้อคันดิน เหตุรู้สึกไม่เป็นธรรม "นักมานุษยวิทยา" จี้ รัฐบาลปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างเท่าเทียม ห่วงเชื้อเชิญความขัดแย้งให้เกิดขึ้น
นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ นักมานุษยวิทยา และผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงบทเรียนจากมหาอุทกภัย ปี 2554 ว่า น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ เปิดเผยให้เห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของสังคมไทย จุดแข็งคือ ชุมชนที่แต่เดิมต่างคนต่างอยู่ได้มารวมตัวกันเพื่อจัดการน้ำและแก้ปัญหาของ ส่วนรวม แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำ พื้นที่ในและนอกกรุงเทพฯ ได้รับการดูแลคนละมาตรฐาน
“คนกลุ่มหนึ่งต้องทนอยู่กับน้ำแรมเดือน ขณะที่อีกกลุ่มได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี ทำให้คนที่ถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลานานทนไม่ได้ ต้องแสดงออก ปิดถนนบ้าง รื้อคันดินบ้าง เพราะรู้สึกว่า ตนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังไม่มีช่องทางในการต่อสู้ ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวนั้น เป็นเหตุผลเดียวกับการก่อการร้าย ดังนั้น รัฐบาลต้องปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างเท่าเทียม ไม่เช่นนั้นจะเชื้อเชิญความขัดแย้งให้เกิดขึ้น"
ขณะที่พฤติกรรมการแย่งถุงยังชีพ การกักตุนข้าวของที่หลายฝ่ายมองว่า เห็นแก่ตัวนั้น นพ.โกมาตร กล่าวว่า จะต้องระมัดระวังในการกล่าวโทษผู้อื่น เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผลพวงจาก ‘โครงสร้างเชิงระบบ’ ที่ไม่มีหลักประกันว่า ทุกคนจะได้รับการช่วยเหลืออย่างเท่าเทียม จึงเชื้อเชิญให้พฤติกรรมฝ่ายร้ายแสดงออกมา ดังนั้น เราต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของปัจเจกกับโครงสร้างเชิงระบบว่า เอื้ออำนวยให้คุณสมบัติด้านดีของมนุษย์แสดงออกมากหรือน้อยเพียงใด
ส่วนที่มีเปรียบเทียบกันมากถึงพฤติกรรมของคนไทยกับคนญี่ปุ่นในช่วงภัย พิบัตินั้น นพ.โกมาตร กล่าวว่า ตนเห็นว่าสามารถนำไปเปรียบเทียบกันได้ แต่หากจะให้ประเทศไทยเหมือนกับญี่ปุ่น 100% ตนคิดว่าอาจเป็นการละเลยบริบททางประวัติศาสตร์ และความเป็นสังคมไทยมากเกินไป เพราะทั้งสองประเทศมีวัฒนธรรมที่แตกต่าง อีกทั้งญี่ปุ่นยังสร้างระบบที่เอื้อต่อการหล่อหลอมพฤติกรรมของผู้คน ฉะนั้น ในหลายเรื่องประเทศไทยต้องเรียนรู้และพัฒนาด้วยตนเอง ส่วนที่จะเรียนรู้จากญี่ปุ่นได้นั้น คือการทำระบบให้เอื้อต่อการปรับพฤติกรรมของผู้คนไปสู่ความประณีต พิถีพิถันในการใช้ชีวิตมากขึ้น
เมื่อถามถึง จิตสำนึกร่วมของสังคมไทยต่อจากนี้ นพ.โกมาตร กล่าวว่า จำเป็นต้องหันกลับไปมองที่ระบบ และสร้างระบบที่ 1.มีความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ 2. มีความยุติธรรมเท่าเทียม 3. มีหน่วยงานหลักที่เป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ จะช่วยลดพฤติกรรมการเห็นแก่ตัวลงได้ แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างจิตสำนึกต่อส่วนรวมของผู้คนนั้น จะต้องสัมพันธ์กับโครงสร้างองค์กร ชุมชนที่ประชาชนอาศัยอยู่ ขณะที่รัฐบาลก็ต้องปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างเสมอเท่าเทียม
เมื่อถามถึงบทบาทของผู้นำในสถานการณ์วิกฤติ นพ.โกมาตร กล่าวว่า
ในช่วงสถานการณ์วิกฤตบทบาทผู้นำมีสำคัญอย่างมาก ผู้นำต้องมีคุณภาพ มีศักยภาพ มีความสามารถในการสื่อสารที่ดี รวมทั้งต้องมีบารมีที่ทำให้ผู้คนไว้ใจได้ว่า จะไม่เล่นพรรคเล่นพวก จะปฏิบัติและเอาใจใส่ทุกคนอย่างเท่าเทียม เพราะเมื่อผู้ประสบภัยมีความมั่นใจได้ สถานการณ์ก็เบาบางลง
ทั้งนี้ นพ.โกมาตร กล่าวด้วยว่า
น้ำท่วมครั้งนี้มีขอบเขตภัยพิบัติกว้างขวาง มีคนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันจำนวนมาก ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกร่วมทุกข์กันทั้งแผ่นดิน และถึงแม้ว่าภัยพิบัติจะทำลายถนนหนทาง โครงสร้างต่างๆ แต่กลับไม่สามารถทำลายหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ ภูมิปัญญาและเครือข่ายความสัมพันธ์ของผู้คนลงไปได้
http://www.thairefor...-11-23-11-18-26
ทุกวันนี้เราไม่เคยเห้นรัฐบาลชุดนี้เขาไป ถึงชุมชนที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดความขัดเเย้งก่อนสักชุมชน แต่พอมีเรื่อง มีประเด็นเกิดขึ้นมา รัฐบาลก็มักจะโดนบาป ให้อีกฝ่ายเป็นประจำ
จนทำให้คิดไปว่า หรือ นี่เป็นยุทธศาตร์ ของรัฐบาล ที่คิดจะใช้การเเบ่งเเยก ให้เกิดความขัดเเย้ง เเล้วฉวยโอกาศจากความขัดเเย้งตรงนี้ให้เกิดประโยชน์แกตนเองใช่หรือไม่ ?