ผู้หวังดีท่านหนึ่งส่งข้อความมาให้อ่านว่าด้วยเรื่องการ “ปฏิรูป” ประเทศอย่างเป็นเรื่องเป็นราว, ไม่ใช่แค่คุยโม้โอ้อวดหรือใช้เพียงวาทกรรมใหฟังดูดี ผมอ่านแล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง และเชื่อว่าคนไทยไม่น้อยก็ต้องการจะหาทางออกให้บ้านเมืองในยามที่ใครต่อใครดูเหมือนจะเห็นว่าเรามาถึงทางตันที่ไม่มีใครยอมใคร ทุกคนฟังแต่สิ่งที่ตนเองอยากได้ยิน ไม่มีใครฟังเสียงใคร ไม่มีใครอยากฟังความเห็นอีกด้านหนึ่ง และใครพูดในสิ่งที่ตนไม่เห็นด้วยก็จะพาลหาว่าเป็นศัตรูกันเสียอีก ผมจึงดีใจมากที่ได้อ่านข้อความที่เพื่อนคนนี้ส่งมาให้อ่านว่า ความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนานั้น มันอยู่ตรงไหนกันแน่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเคยเสียเอกราชให้ใครในอดีตหรือเปล่า
เขายกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นและเยอรมันที่แม้จะแพ้สงครามโลก แต่ก็กลับมายิ่งใหญ่ในเศรษฐกิจโลก ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเก่าแก่ด้วยอารยะธรรมหรือไม่ ตัวอย่างเช่นอินเดียกับอียิปต์ ซึ่งมีอารยธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจน ไร้ความหวังอยู่ เพราะเขายกตัวอย่างสิงคโปร์, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ว่าเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่เมื่อแค่ 100 ปีก่อนนี้ไม่มีศักยภาพอะไรเลยล้าหลังกว่าไทยแน่นอน แต่วันนี้เขากลับพัฒนาเป็นประเทศร่ำรวย ก้าวหน้าและมีความมั่นคง หรือจะอ้างว่าความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนานั้นอยู่ที่ทรัพยากรของประเทศนั้นๆหรือเปล่า? ... ก็เปล่าอีก...
ญี่ปุ่นมีพื้นที่เกษตรกรรมน้อยมาก กว่า 80% ของพื้นที่เป็นภูเขา ไม่เหมาะกับการทำการเกษตรเลย แต่เขากลับสร้างตนเองเป็นประเทศส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรอันดับต้น ๆ ของโลก ยกตัวอย่างสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งมีอากาศหนาวจัด ปีหนึ่งทำการเกษตรได้เพียง 4 เดือน และไม่มีการทำไร่โกโก้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำช็อคโกแลตส่งออกรายใหญ่ของโลก อีกทั้งยังนำเอาความซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา และมีระเบียบของคนในสังคมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จนเป็นที่ยอมรับว่าเขามีธนาคารที่มีมาตรฐานอาชีพที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
หรือความแตกต่างเกิดจากสีผิวและเผ่าพันธุ์? ... ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ...
แรงงานที่เคยเกียจคร้านในประเทศของตนเอง พอย้ายไปหากินประเทศที่เจริญแล้วก็กลับกลายเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็งและมีคุณภาพขึ้นมาทันทีเช่นกัน เพราะบรรยากาศในประเทศที่พัฒนาแล้วจะไม่อนุญาตให้ใครขี้เกียจหรือเกาะคนอื่นกินเป็นอันขาด เขาถึงถามว่าแล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนา กับประเทศที่ยังล้าหลัง? ... คำตอบไม่ได้อยู่ที่ประวัติศาสตร์หรือทรัพยากรของประเทศนั้นๆ
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่เขาบอกว่าที่ทำให้เกิดความแตกต่างนั้นคือ“ทัศนคติ”
ทัศนคติที่เกิดจากการหยั่งรากลึกนานปีของระบบการศึกษาและการอบรมปลูกฝังที่กลายเป็น “ค่านิยม” ของคนในสังคมส่วนใหญ่ที่ต้องยึดมั่นเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้แข็งแกร่งบนพื้นฐานแห่งจริยธรรม เขาวิเคราะห์พฤติกรรมของคนในประเทศที่พัฒนาแล้วก็สรุปได้ว่าคนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตบนหลักปรัชญาเช่น
1. ใช้จริยธรรมนำชีวิต
2. ความซื่อสัตย์
3. ความรักในงาน
4. ความรับผิดชอบต่อหน้าที่
5. จิตใจมุ่งมั่น สู่ความเป็นที่หนึ่ง
6. เคารพต่อกฎระเบียบ
7. เคารพสิทธิของผู้อื่น
8. ตรงต่อเวลา
9. อดออมและสนใจในการลงทุนอย่างมีเหตุมีผล
คนไทยเราขาดทัศนคติที่ถูกต้องและเอาจริงเอาจังกับชีวิตอย่างนี้ จึงเหมือนรถไฟสมัยโบราณที่ “ถึงก็ช่าง, ไม่ถึงก็ช่าง” มิหนำซ้ำยังมีค่านิยมทางเลวร้ายเกิดขึ้นมาเพราะวัฒนธรรม “บริโภคนิยม” และ “ความมักง่าย” อะไรที่ได้มายากเย็นหรือต้องทำงานหนัก, ก็จะกลายเป็นเรื่องไม่พึงปรารถนา ไม่มีใครอยากทำ ด้วยความมักง่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่งนี่เอง, เราก็เริ่มจะได้ยินว่าเด็กไทยสมัยนี้เห็นความซื่อสัตย์และเสียสละเป็นคุณสมบัติที่ไม่มีความหมายและไร้ความสำคัญ ถึงขั้นที่การสำรวจวิจัยหลายสำนักยืนยันตรงกันอย่างน่าตกใจว่า คนรุ่นใหม่เห็นว่านักการเมืองหรือข้าราชการหรือนักธุรกิจนั้นสามารถฉ้อราษฎร์บังหลวงและกระทำการเข้าข่ายคอร์รับชั่นได้ ตราบใดที่ทำแล้วมีคนเห็นว่าเก่ง หรือสามารถจะสนองตอบเป้าหมายทางวัตถุได้ นี่คือสัญญาณอันตรายอย่างยิ่งของสังคมไทยที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นการทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม ผิดหลักจริยธรรมเป็นเรื่องธรรมดาที่ “ใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้น”
ดังนั้น หากวันนี้มีใครบ่นให้คุณฟังว่าบ้านเมืองเราทำไมล้าหลัง, ทำไมไม่สามารถเอาตัวเองออกจากความขัดแย้ง, ทำไมยังมีความยากจนอย่างกว้างขวาง, ทำไมความเหลื่อมล้ำในสังคมยังมีให้เห็นกันมากมาย ก็ต้องตอบกันตรง ๆ ว่าเพราะเราหลงเข้าใจผิดว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร, เรามีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์, เรามีความโอบอ้อมอารี, เรา (คิดว่าเรา) เป็นพุทธศาสนิกชน, ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็จะต้องช่วยให้เราพัฒนาโดยอัตโนมัติ เผลอๆสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ถ้าเราเชื่อว่ามีจริง) ก็อาจจะย้อนถามเราได้ว่า “คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?” อาจจะเพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ที่เราอ้างว่าเรามีนั่นแหละที่เป็นสาเหตุแห่งความด้อยพัฒนาของเรา
จึงต้องไม่ลืมที่ “ขงจื้อ” เคยกล่าวไว้ว่า
“หากเจ้าวางแผนไว้ 1 ปี...จงปลูกข้าว
หากวางแผน 10 ปี...จงปลูกต้นไม้
หากวางแผน 100 ปี...จงให้ความรู้แก่บุตรหลาน”
ทุกวันนี้คนไทยไม่น้อยที่คิดว่าทำงานแค่ 1 ปีแต่จะขอให้มีผลงานยืนยาวถึง 100 ปี ... ฝันไปหรือเปล่า?
ที่มา : http://www.oknation....2/11/14/entry-1
![-_-](http://static.serithai.net/webboard/public/style_emoticons/default/sleep.png)