แวะมาอ่าน กระทู้เก่า ยามที่ พวกเราต้องการ ปฏิรูปพลังงาน ในชาติไทย
รัฐธรรมนูญที่แท้ พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 ใบอนุญาต(ทุนต่างชาติ)ปล้น !
#51
ตอบ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 00:36
เป็นเห็บเกาะไข่ระบบรัฐประหาร
#52
ตอบ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 19:01
http://www.manager.c...D=9550000142484
ไม่น่าเชื่อ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 6 ฉบับ เราตัดสินใจยกเลิกฉบับที่เกิดขึ้นในสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลที่มาจากรัฐประหารก็ไม่ได้มีความก้าวหน้าในเรื่องพลังงาน แต่กลับเป็นปัญหามากที่สุด
มาตรา 13 ตั้งแต่ปี 2514 จนปัจจุบัน 41 ปี ไม่เคยเปลี่ยนเลย โดยเขียนว่า “สิทธิในการถือสัมปทานไม่อยู่ในอำนาจการบังคับคดี” หมายความว่าใครได้รับสัมปทานไป ไม่มีใครบังคับคดีได้ เป็นการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไปเลย เราจึงเขียนใหม่ว่า “สิทธิในการถือสัมปทานอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี”
มาตรา 22 ของ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2550 ทุกอย่างที่เป็นเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์พลังงานเป็นอำนาจของคณะกรรมการชุดหนึ่งเสนอให้รัฐมนตรีตัดสินใจ หรือบางเรื่องก็เป็นอำนาจของอธิบดี ตกลงประชาชนในประเทศชาติไม่เคยได้รับรู้อะไรทั้งสิ้น ถ้าทรัพยากรเป็นของประชาชนจริง ปล่อยให้คนไม่กี่คนตัดสินใจแทน 65 ล้านคนไม่ได้
หลักการที่ตนว่าสำคัญ คือ มาตรา 23 เขียนว่า “ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ ผู้ใดสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในที่ใด ไม่ว่าที่นั้นเป็นของตนเองหรือของบุคคลอื่นต้องได้รับสัมปทาน...” จะเห็นว่าไม่ได้ การสัมปทานอย่างนี้ประชาชนต้องมีส่วนร่วมอย่างมาก ทำทุกอย่างประชาชนต้องรับรู้
ที่สำคัญที่สุดในสมัยรัฐประหาร โดยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ ได้ออกกฎหมายฉบับหนึ่ง ชื่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐปี 2535 ซึ่งวางกลไกไว้แยบยลมาก อะไรก็ตามที่ลงทุนเกิน 1 พันล้าน ต้องผ่านขั้นตอนเยอะแยะ ผ่านคณะกรรมการ ผ่าน ครม. แต่กลับยกเว้นเรื่องของปิโตรเลียม ซึ่งเราเขียนใหม่ว่าต้องผ่านความเห็นชอบของสภา
มาตรา 64 “ให้ผู้รับสัมปทานได้รับหลักประกันว่า 1) รัฐจะไม่บังคับโอนทรัพย์สินและสิทธิในการประกอบกิจการปิโตรเลียมของผู้รับสัมปทานมาเป็นของรัฐ เว้นแต่เป็นการโอนตามกำหนดในสัมปทาน...” จะแก้ว่า “ในกรณีที่ผู้รับสัมปทานให้ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือฉ้อฉล สามารถโอนกิจการปิโตรเลียมมาเป็นของรัฐได้”
มาตรา 76 “ผู้รับสัมปทานต้องรายงานผลประกอบกิจการปิโตรเลียม แผนงานและงบประมาณประจำปีตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด (ตามพรบ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2550” แต่เราเป็นว่าต้องโปร่งใส โดยเติมว่า “ผู้รับสัมปทานต้องรายงานผลการประกอบกิจการปิโตรเลียมต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาที่อธิบดีกำหนดและต้องเปิดเผยและเผยแพร่ผลรายงานดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบ”
“โดยสรุปเราแก้ไขโดยหลักการที่ว่า สิทธิสภาพนอกอาณาเขตต้องแก้ไข ให้บังคับคดีกับผู้รับสัมปทานที่ฉ้อฉลได้ และกลไกการตัดสินใจถ้าอะไรเป็นประโยชน์ต่อประชาชนต้องผ่านรัฐสภา อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่แน่ใจว่าเป็นประโยชน์หรือไม่ต่อรัฐหรือต่อผู้รับสัมปทาน ครม.ต้องรับผิดชอบ แล้วอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐแน่ๆอธิบดีทำเลย รวมถึงกระบวนการทำผิดที่ฉ้อฉลทั้งหลาย ต้องยกเลิกสัมปทานได้ ไม่ว่าข้อมูลเท็จ การผลิตปิโตรเลียมที่ไม่เหมาะสม เป็นหลักการที่เห็นว่าต้องเอาผิดได้ และต้องห้ามส่งปิโตรเลียมออกนอกประเทศในยามที่ในประเทศมีไม่เพียงพอ นอกจากนี้รายงานปิโตรเลียมต้องโปร่งใส ให้ประชาชนรับทราบ แล้วประเด็นใหญ่คือปิโตรเลียมต้องเป็นของประชาชน จากเดิมเขียนว่าเป็นของรัฐ”
มาตรา 82 มีช่องโหว่มากมายเพื่อให้ผู้รับสัมปทานไม่ต้องจ่ายค่าภาคหลวง เราจึงแก้ว่า “เสียค่าภาคหลวงที่ผลิตได้ทั้งหมด”
นอกจากนี้ บัญชีแนบท้ายของ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ว่าด้วยบัญชีค่าภาคหลวง จากเดิมกำหนดค่าภาคหลวงอยู่ที่ 5-15 เปอร์เซ็นต์ เขามีแต่ขั้นต่ำเท่าไหร่ แต่นี่ดันไปกำหนดเพดาน เราจึงเขียนใหม่ว่า “บัญชีอัตราค่าภาคหลวง ให้ใช้อัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของปริมาณปิโตรเลียมทั้งหมดที่ผู้รับสัมปทานผลิตได้”
“หลักการคือ เฉพาะที่เขาอ้างขายได้ ประเทศไทยได้ 4.6 หมื่นล้านต่อปี ถ้าเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะที่เขาขายแบบเก๊ๆแบบนี้ ประเทศได้ถึง 4 แสนกว่าล้าน แล้วถ้านับมูลค่าตลาดที่ปากหลุมของก๊าซที่อ่าวไทย ต่ำกว่าของพม่า 40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเต็มร้อยอย่างที่ควรจะเป็นเราจะได้ 1 ล้านล้านบาทต่อปีได้ ประเทศไทยเปลี่ยนเลย จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบเศรษฐกิจ ฐานะความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศ ที่ทุกคนจะมีสวัสดิการอย่างดี กินดีอยู่ดี ถ้าเราสู้เรื่อง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม”
ช่องทางการยื่นแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียมว่า ตามมาตรา 163 เมื่อเราแก้ พ.ร.บ.ลงตัวแล้ว จะมีตัวแทนประมาณ 50 คน ไปแสดงตัวต่อรัฐสภา ว่าเป็นผู้ก่อการขอแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียมนี้ เมื่อประธานสภารับก็จะรวบรวมรายชื่อประชาชนให้มากที่สุด ภายใน 180 วันก็จะยื่น ต่อไปนี้ก็จะเป็นการวัดใจคนในสภาว่าทำเพื่อประชาชนจริงหรือไม่
Tam-mic-ra ฟันธง! คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ ..... คิดครับคิด จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96 ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3
ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน