แม้ว่า ราคาค่างวดที่ได้รับชดเชย อาจเป็นแค่ค่าปรับ /ลงโฆษณาขอโทษ ฯลฯ
แต่ในเชิงสังคม ผมว่ามันช่วยกระตุ้นให้คนไทย "สำนึกในความเป็นคน" กันมากขึ้น...
คนไทยไม่ได้เป็น “ขี้ข้าทักษิณ” ทุกคน
วันที่ 15 พ.ย.2555 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ปะทะคารมกับนักข่าวสาวช่อง 7 นางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา
1)เหตุการณ์นี้มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวและเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งผ่านสถานีโทรทัศน์และผ่านทางสื่อโซเชียลออนไลน์สมัยใหม่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
ดูจากคลิปเหตุการณ์ จะเห็นว่า นางสาวสมจิตต์พยายามทำหน้าที่นักข่าวรัฐสภา ซักถาม ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ดูแลเรื่องความมั่นคง ว่าจะดูแลสถานการณ์การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามอย่างไร?
ก่อนเกิดเหตุ ร.ต.อ.เฉลิมได้ตอบคำถามนักข่าวด้วยการพูดพาดพิงทำลายความน่าเชื่อถือของการชุมนุม อ้างว่ามีการขนคนมาชุมนุม มีพรรคการเมืองที่แพ้เลือกตั้งขนคนเข้ามาร่วมม็อบ
นางสาวสมจิตต์ ถามว่า ร.ต.อ.เฉลิมจะอยู่บัญชาการเจ้าหน้าที่ตำรวจเองหรือไม่? เพราะมีกระแสข่าวท่านจะเดินทางไปอยู่ที่จังหวัดเชียงราย?
แทนที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะตอบคำถามว่าจะอยู่หรือไม่อยู่? จะไปเชียงรายจริงหรือไม่? แต่รองนายกฯ เฉลิมกลับใช้วิธีกล่าวหา ดิสเครดิตนักข่าวที่ตั้งคำถาม ด้วยการโต้กลับทำนองว่า ตนไม่ได้เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ไม่มีการแต่งตั้ง คุณสมจิตต์มัวไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่รู้
แถมยังชี้หน้ากล่าวหานางสาวสมจิตต์ต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนมากที่กำลังสัมภาษณ์อยู่หน้ารัฐสภาเวลานั้นว่า “คุณสมจิตต์ฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์”
รองนายกฯ เฉลิมพูดซ้ำหลายครั้ง อ้างว่าไม่ใช่การหมิ่นประมาท และท้าทายให้ไปแจ้งความ สน.ดุสิต ดำเนินคดีกับตน
ก่อนจะกลับหลังหัน เดินเข้าประตูอาคารรัฐสภา บริเวณหน้าห้องประชุม เพื่อไปเซ็นต์ชื่อเข้าประชุม
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ถูกบันทึกเป็นวีดีโอคลิป มีภาพและเสียงชัดเจน
2) ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหตุการณ์ต่อเนื่องติดพัน
แม้ไม่ปรากฏวีดีโอบันทึกภาพและเสียงของเหตุการณ์ แต่สื่อมวลชนหลายสำนักต่างรายงานข่าวยืนยันสอดคล้องตรงกัน
ระบุว่า หลังเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ไม่กี่วินาที นางสาวสมจิตต์ได้เปิดประตูไล่หลัง ร.ต.อ.เฉลิม พร้อมตะโกนเรียก ร.ต.อ.เฉลิม ทำให้ ร.ต.อ.หยุดเดิน จากนั้น นางสาวสมจิตต์ได้ตะโกนถามว่า
“ถ้าการที่ท่านกล่าวหาหนูว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การหมิ่นประมาท แล้วถ้าหนูเรียกท่านว่าขี้ข้าทักษิณ จะเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่”
ร.ต.อ.เฉลิม ตอบกลับมาว่า “อย่างนี้หมิ่นประมาท”
นาวสาวสมจิตต์ตอบกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านก็สามารถใช้สิทธิแจ้งความที่ สน.ดุสิตได้เหมือนกับที่แนะนำให้หนูไปทำ”
3) นางสาวสมจิตต์ เปิดเผยรายละเอียดเหตุการณ์ดังกล่าว ผ่านเฟซบุ๊คไว้ด้วยว่า
“มีคนมาถามเยอะมากว่า เพิ่งตั้งหลักได้ถึงตามไปหา ร.ต.อ.เฉลิม หลังสัมภาษณ์ บอกตรงนี้เลยละกันนะคะว่า ความจริงคิดจะพูดตั้งแต่ตอนที่เขาให้ไปแจ้งความสน.ดุสิตแล้ว แต่คิดว่าไม่เหมาะสม เพราะขณะนั้นกำลังทำหน้าที่จึงสัมภาษณ์จนจบ อีกประการหนึ่งหากโต้ในขณะสัมภาษณ์ออกเป็นสื่อสาธารณะถือเป็นเรื่องไม่สมควร เพราะไม่ว่าอย่างไร ร.ต.อ.เฉลิม ก็คือ รองนายกรัฐมนตรี จึงคิดว่าสัมภาษณ์จบแล้วค่อยเคลียร์สิทธิความเป็นคน
ถาม ร.ต.อ.เฉลิมว่า "ถ้าการที่ท่านกล่าวหาหนูว่าฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การหมิ่นประมาท แล้วถ้าหนูเรียกท่านว่า "ขี้ข้าทักษิณ" จะเป็นการหมิ่นประมาทไหม ร.ค.อ.เฉลิม ชะงักก่อนตอบว่า "อย่างนี้หมิ่นประมาท" เลยตอบกลับไปว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านมีสิทธิไปแจ้งความที่ สน.ดุสิต เหมือนที่แนะนำหนูได้"
ถามว่าโกรธไหม ก็มีตามประสาปุถุชน แต่สิ่งที่ต้องการสื่อสารให้ ร.ต.อ.เฉลิม ได้รู้คือ คนไทยมีสิทธิเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือประชาชน ต้องเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
แล้วที่ถามว่าจะไปแจ้งความไหม ตอบตรงนี้ว่า "ไม่" เพราะถือว่าเจ๊ากันคนละดอก เว้นแต่ ร.ต.อ.เฉลิม แจ้งความ จึงจะแจ้งความกลับด้วยข้อหาเดียวกัน
เราเป็นคนไทยรัฐบาลต้องดูแล ไม่ใช่แบ่งแยก”
4) ผมไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับนางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร นักข่าวช่อง 7 แต่เห็นการทำงานผ่านภาพข่าว เวลาที่เธอสัมภาษณ์นักการเมือง
ลักษณะเฉพาะตัว คือ มักตั้งคำถามแบบไม่หวั่นกลัว ถามตรง ถามจี้ ถามเอาประเด็นคำตอบ นักการเมืองโดนกันทุกพรรค แม้แต่ตอนคุณอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ก็ถูกคุณสมจิตต์ถามจี้ซักไซ้เรื่องเกี่ยวกับการขึ้นเงินเดือน เป็นต้น
ส่วนคุณเฉลิม ผมก็ไม่คุ้นเคยเป็นการส่วนตัว ช่วงหลังได้เห็นคุณเฉลิมให้สัมภาษณ์นักข่าว ก็มักแสดงท่าทีอาการอวดเก่ง อวดดี ฝีปากกล้า และมักถือโอกาสถามข่มแกมขู่นักข่าวกลับไปด้วยในบางครั้ง
ไม่ว่าจะเป็น ครั้งที่ ร.ต.อ.เฉลิมด่านักข่าวที่ สน.ทองหล่อ ตอนที่ลูกชายมีปัญหาเที่ยวผับ หรือกรณีปะทะคารมกับคุณสมจิตต์ ถึงขนาดขู่ว่าคุณสมจิตต์ระวังจะติดคุก หากซักถามคุณเฉลิมต่อไปอย่างนี้ เป็นต้น
5) พิจารณาตามเนื้อผ้า ดูจากข้อมูลของเหตุการณ์ที่ปรากฏ ผมมีความเห็น ดังนี้
5.1กรณีเฉลิมกล่าวหานักข่าว “ฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์”
(1) หากผู้ที่ไม่เคยติดตามการทำหน้าที่ของคุณสมจิตต์ และไม่รู้จักอุปนิสัยส่วนตัวของคุณเฉลิม เมื่อรองนายกฯ พูดจากล่าวหานักข่าวคนหนึ่งต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนมาก โดยชี้หน้า พูดซ้ำๆ ย้ำหลายหนว่า “คุณสมจิตต์ฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์” แถมท้าทายให้ไปแจ้งความดำเนินคดี อย่างนี้ก็เท่ากับการยืนยันในฐานะรองนายกฯว่า คุณสมจิตต์นั้นทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง ไม่ถูกต้อง
ตามปกติ คนเป็นสื่อมวลชนสังคมย่อมคาดหวังว่า จะต้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง รักษาจรรยาบรรณและจริยธรรมของวิชาชีพ ไม่ลำเอียงฝักใฝ่พรรคการเมือง ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง แต่การให้ข่าวของ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นการกล่าวหา ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่า คุณสมจิตต์เป็นสื่อไม่ดี ไม่น่าเชื่อถือ ทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง ไม่รู้จักแยกแยะในการทำหน้าที่ ละเมิดจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชนกระทั่งอาจจะถูกสังคมดูหมิ่นเกลียดชัง
(2) ร.ต.อ.เฉลิม มีสถานะเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี เป็นมนตรีแห่งรัฐ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จึงมีน้ำหนักที่อาจทำให้คนทั่วไปเชื่อตามคำกล่าวหาได้ง่าย
(3) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวหาคุณสมจิตต์ต่อหน้าสื่อมวลชนหลายสำนักที่กำลังสัมภาษณ์เหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ ตามปกติ หน้าห้องประชุมรัฐสภา ส่อเจตนาที่จะให้คำพูดของตนได้แพร่กระจายผ่านสื่อต่างๆ ออกไปสู่สาธารณะทั่วประเทศเป็นวงกว้าง แถมยังกล่าวหาซ้ำๆ อาจส่อเจตนาที่จะทำให้คนทั่วไปมองการทำหน้าที่ของนางสาวสมจิตต์ไปในทางไม่ดี
กรณีเช่นนี้ หากนางสาวสมจิตต์แจ้งความดำเนินคดี หรือฟ้องคดีอาญาหรือคดีแพ่ง คุณเฉลิมอาจจะตกที่นั่งลำบาก
ไม่ต้องเอ่ยถึงการที่จะถูกมองว่า คนระดับรองนายกรัฐมนตรี ควรมีวุฒิภาวะ มิใช่ทำตัวมาทะเลาะกับนักข่าว ชี้หน้าต่อว่าผู้หญิง หรือใช้สถานะรองนายกฯ ทำให้คำกล่าวหาของตนมีน้ำหนักและเผยแพร่ออกวงกว้าง รังแกนักข่าวสาว
5.2กรณีสมจิตต์ถามเฉลิม “ขี้ข้าทักษิณ หมิ่นประมาทไหม”
(1) จากรูปการณ์ที่ปรากฏ นางสาวสมจิตต์ตั้งคำถามโดยไม่ได้ยืนยัน ดังที่เธอถามเฉลิมว่า “ถ้าหนูเรียกท่านว่า "ขี้ข้าทักษิณ" จะเป็นการหมิ่นประมาทไหม?”
การใช้คำว่า“ถ้า....”ยิ่งแสดงว่าเธอไม่ได้ยืนยัน แต่ถามกับเจ้าตัวซึ่งมีดีกรีเป็นดอกเตอร์ด้านกฎหมาย
(2) ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางสาวสมจิตต์ทำหน้าที่นักข่าวจนเสร็จสิ้น จากนั้นค่อยตามเข้าไปถามเฉลิม ตามแบบที่เธอมองว่า “สัมภาษณ์จบแล้วค่อยเคลียร์สิทธิความเป็นคน”
เธอจึงไม่ได้กล่าวให้ร้าย ร.ต.อ.เฉลิมต่อหน้าสื่อมวลชน หรือแม้แต่กับบุคคลอื่น ทั้งๆ ที่ หากต้องการจะให้ร้าย ก็น่าจะพูดตอนที่มีการสัมภาษณ์ต่อหน้านักข่าวจำนวนมาก (เหมือนที่เธอถูกกระทำโดยรองนายกฯ เฉลิม)
วุฒิภาวะรองนายกฯ
กรณีพฤติกรรมของรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สมควรถูกตำหนิ และควรพิจารณาตัวเองว่า ตนเป็นผู้ใหญ่ มีตำแหน่งเป็นถึงรองนายกฯ กลับไม่ยอมตอบคำถามนักข่าวอย่างตรงไปตรงมา สุภาพ ควรมองเห็นนักข่าวเป็นสื่อมวลชนที่มีหน้าที่ซักถาม มิใช่ศัตรูทางการเมืองของตน และมิใช่ขี้ข้าที่จะต้องถามเฉพาะเรื่องที่ตนเองอยากจะพูดเท่านั้น
สะท้อนวุฒิภาวะที่ตกต่ำของนักการเมืองในรัฐบาลปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง
เขาอาจจะลืมคิดไปว่า ยังมีนักข่าวบางคนที่ไม่ใช่ “ขี้ข้าทักษิณ”
จึงอยากจะบอกไปในโอกาสนี้ด้วยว่า คนไทยจำนวนมากก็ไม่ใช่ “ขี้ข้าทักษิณ”!
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
http://www.naewna.co.../columnist/4113หรือเพื่่อนๆ คิดเห็นกันเช่นไร เชิญครับ...
Edited by Suraphan07, 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 - 09:53.