กราบเท้าแม่ที่รักของลูกคนเดียว
ลูกต้องขอประทานโทษที่ลูกได้ทำให้แม่ต้องเดือดร้อนเป็นห่วงใยโดยมิได้ปรึกษาหารือก่อนเลย
หนังสือฉบับนี้ลูกนั่งเขียนในทุ่งนาบางเขนทุ่งนาของเมืองไทยที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ แต่บัดนี้กำลังเป็นสนามรบ
ระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นลูกไม่รู้จะอธิบายให้แม่ฟังอย่างไรถูก และกว่าจะได้รับจดหมายฉบับนี้ แม่ก็คง
ทราบเรื่องราวอยู่บ้างแล้ว ลูกอยากจะบอกให้แม่ของลูกรู้ ว่าที่ลูกทำไปคราวนี้ ลูกทำไปด้วยความสุจริตใจ
ด้วยความเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่าเป็นการกระทำที่ถูก ลูกไม่ได้ทำไปเพื่อหวังอำนาจ วาสนา หรือเพื่อที่จะ
ให้ตัวเองเป็นใหญ่เป็นโตเลย แต่ตั้งแต่ลูกจำความได้มา ลูกก็เคยได้รับคำสั่งสอนอบรมให้ซื่อสัตย์กตัญญู
ต่อพระเจ้าอยู่หัว คุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นที่รักนับถือของลูกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็ได้สอนก็ได้สอนมา
อย่างนั้น ครูบาอาจารย์ทุกคนก็ได้สอนจากนั้น ทำให้ลูกมีความจงรักภักดี ทำให้ลูกมีความกตัญญู
มากขึ้นไปอีก ลูกเข้ามาเป็นทหารด้วยความสมัครใจของลูกเอง คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยบังคับเลย ได้แต่ตามใจ
เมื่อเป็นทหารก็รู้สึกอยู่ว่าตนมีหน้าที่รักษาแผ่นดินรักษาพระบรมเดชานุภาพ เมื่อจำเป็นต้องถวายชีวิต
เป็นราชพลี ลูกได้ร่วมทำการกับเขาทั้งนี้ด้วยความรู้สึก ด้วยความเชื่อถือเหล่านี้เป็นที่ตั้ง มิได้มีความหวัง
ปรารถนาอย่างอื่นผ่านเข้ามาในหัวใจเลย ขณะนี้เป็นเวลาที่คนอื่นเขาจะต้องประณาม จะต้อง
กล่าวร้ายลูก และคนที่อยู่ทางฝ่ายลูก แต่ลูกก็รู้อยู่เสมอว่าแม่คงจะเข้าใจและเห็นใจ และถ้าคุณพ่อ
มีทางใดที่จะรู้ได้ คุณพ่อก็คงจะพอใจ เวลานี้ลูกยึดถือเอาแต่ความซื่อสัตย์กตัญญูต่อแผ่นดิน
และความรักที่มีต่อแม่ทูนหัวของลูกเป็นเครื่องคุ้มครองตัว ลูกสวดมนต์ภาวนา และคิดถึงคุณพ่อคุณแม่อยู่เสมอ
เพราะในยามนี้เป็นยามที่ลูกคิดถึงแม่มากที่สุด
แม่ทูนหัวของลูก ขออย่าให้แม่นึกแม้แต่น้อยว่าลูกชอบทำสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่ ลูกไม่อยากเห็น
คนไทยรบกันเองเลย และเมื่อแรกก็คิดไปไม่ถึง หรือไม่ได้นึกว่าเรื่องราวจะรุนแรงถึงเพียงนี้
ลูกปืนทุกลูกที่ยิงออกไปทั้งสองข้างนั้นดูเหมือนจะถูกที่หมายทุกครั้งไป ที่หมายนั้นก็คือหัวใจของลูกเอง
ทุกครั้งที่ลูกยิงปืนด้วยตนเองหรือสั่งให้ทหารยิง น้ำตาของลูกจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกเหมือน
กับลูกกำลังทำบาปอย่างหนักต้องฆ่าพี่น้อง บางครั้ง ลูกแทบจะทนไม่ได้ อยากจะวิ่งหนีหลบหลีกไปเสีย
แต่ลูกก็ไม่อาจทำได้ เพราะไม่สามารถจะทิ้งทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาและไม่สามารถเสียความสัตย์
ที่มีต่อเพื่อนร่วมตายทุกคน ลูกมองไปข้างหน้านอกแนวของตนเห็นคนวิ่งขวักไขว่และรู้ดีว่า
เป็นทหารฝ่ายรัฐบาลแต่ลูกก็ต้องใจหายเมื่อคิดได้ว่า เมื่อเร็วๆนี้เองเป็นเพื่อนตายของลูกทุกคน เพราะเป็น
ทหารในกองทัพเดียวกัน เป็นข้าพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวกัน ลูกอาจอยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชาคอยดูแลทุกข์สุข
ของนายสิบพลทหารเหล่านั้นก็ได้และนายทหารฝ่ายข้างโน้นหลายคนก็เคยเป็นเพื่อนร่วมกินร่วมนอน
ร่วมโรงเรียนเดียวกันมา บางคนก็เคยเป็นผู้บังคับบัญชา หรือเคยเป็นครูถ่ายทอดวิชาความรู้ให้
ลูกไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวโกรธเคืองกับเขาเหล่านั้นเลยมีแต่ความรักความห่วงใยความหวังดี
แต่แม่ทูนหัวของลูก ขณะที่ลูกกำลังนั่งเขียนหนังสือนี้เอง เราต่างคนต่างกำลังยิงกันฆ่ากัน
ความเศร้าใจของลูกนั้นสุดที่จะพรรณนาลูกต้องเขียนหนังสือถึงแม่ เพราะเวลานี้เป็น
เวลาที่ลูกอยากอยู่ใกล้แม่ที่สุด เพราะแม่คนเดียวที่สามารถปลอบลูกให้คลายทุกข์ได้
แม่คนเดียวเป็นคนที่อาจอธิบายให้ลูกเข้าใจเหตุผลต่างๆได้ ลูกอยากนั่งแทบฝ่าเท้าแม่
เอาหัวซบบนตักแม่ อยากรู้สึกว่ามือของแม่ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตานั้น
กำลังลูบหัวลูก
การณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไปลูกเองก็ไม่อาจคาดคะเนได้ ถ้าลูกเป็นอันตรายลงไป
ลูกอยากให้แม่รู้ไว้ว่า ความคิดสุดท้ายของลูกจะจดจ่ออยู่ที่ตัวแม่ แต่ถ้าลูกไม่ตาย ลูกจะต้อง
หาทางมากราบเท้าแม่ ขอประทานโทษที่ทำให้ต้องวิตกกังวลห่วงใย
จากลูก
จดหมายฉบับนี้ถูกบันทึกไว้ว่าเขียนในเหตุการณ์ที่ถูกเรียกว่า “กบฏบวรเดช” เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๖
จะเป็นจดหมายจาก ลูกท่านใด เขียนถึง แม่ท่านใด ตะนิ่นตาญี ขออุบเอาไว้ก่อน
แต่หากเพื่อนเพื่อนท่านใดทราบว่าเป็นจดหมายจาก แม่-ลูก คู่ไหน จะเฉลยออกมา ตะนิ่นตาญี ก็ยินดี…
เมื่ออ่าน จดหมาย จาก ลูก ถึง แม่ ฉบับนี้แล้วเพื่อนเพื่อนจะคิดถึง อะไร-อย่างไร ไม่ทราบ
แต่ ตะนิ่นตาญี คิดถึง เสธ.อ้าย ขึ้นมา จับจิต-จับใจ ทีเดียว
ก็ให้แปลกใจอยู่ที่ เสธ.อ้าย ถูก ฟ้องร้อง กล่าวหาว่า เป็น กบฎ จาก พวกกบฎ

ก็ยังดีที่ ศาลรัฐธรรมนูญ ท่านสั่งยกฟ้อง เสธ.อ้าย ทุกข้อกล่าวหาไป
แล้วคอยดูกันครับว่า ใครคือ กบฎ ตัวจริง และ ใครเป็นพวกที่ปกป้อง กบฎ ล้มล้าง สถาบันสูงสุด
ตะนิ่นตาญี ขออนุญาตฝากข้อความนี้ถึง คุณสุกำพล, คุณพฤณ์ ฯลฯ สักนิดเถอะครับ
**ซื่อสัตย์กตัญญูต่อพระเจ้าอยู่หัว ถวายชีวิตเป็นราชพลี เพื่อรักษาพระบรมเดชานุภาพ นั่นคือ ทหาร ครับ**
ตะนิ่นตาญี
วันศุกร์ที่ ๒๓ พฤษจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕
เวลา ๔.๕๘ นาฬิกา