ค่าแรงขั้น ต่ำในพม่า เช่นฉาบปูนได้ จ่ายกัน 300 บาทขึ้นไป สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯเสียอีก
การต่อต้าน ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ซึ่งจะมีผล 1 มกราคม 2556 ได้กลายเป็นความขัดแย้งขั้นรุนแรงใน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยกลุ่มต่อต้านได้ประชุมปลด คุณพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ออกจากตำแหน่งประธานฯ ด้วยคะแนน 139 เสียง และแต่งตั้ง คุณสันติ วิลาสศักดานนท์ อดีตประธานสภาฯขึ้นดำรงตำแหน่งแทน
ทุกอย่างดูเหมือนจะง่ายดาย แต่กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
ทันทีที่ตั้งตัวได้ในวันรุ่งขึ้น คุณพยุงศักดิ์ ก็เปิดแถลงข่าวว่า “ผมยังเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมฯถูกต้องตามกฎหมาย” เพราะการปลดประธานฯทำได้แค่ 2 วิธี คือ ปลดโดยเสียงจากสมาชิกเกิน 2 ใน 3 ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 7,871 คน ต้องใช้เสียงเกิน 5,248 คน จึงจะปลดได้ และ ปลดโดยรัฐมนตรีอุตสาหกรรมเสนอ ครม.ให้ปลด กรณีกระทำผิดร้ายแรง
แต่กรณีหลังคงยาก เพราะเหตุผลของกลุ่มที่ปลดคุณพยุงศักดิ์ ต้องการผลักดันให้รัฐบาลเลื่อนการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ออกไปจนถึงสิ้นปี 2558 ซึ่งรัฐบาลได้มีมติไปแล้วให้ขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556
ย้อนไปดู “ข้อเรียกร้อง” ของกลุ่มนี้สักนิด มีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ
1. การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในภูมิภาค โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ไม่สามารถแข่งขันได้ จึงขอให้รัฐบาล คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันไว้จนถึง 31 ธันวาคม 2558 หากภาวะเศรษฐกิจของประเทศมีความผัวผวนอย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของลูกจ้าง คณะกรรมการค่าจ้าง หรือคณะอนุกรรมการค่าจ้าง สามารถพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2557 และปี 2558 ได้ตามความเหมาะสม
2. การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำ ให้เป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดเป็นผู้นำเสนอต่อคณะกรรมการค่าจ้างกลาง โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม
3. ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ (หากมี) จะต้องจบการศึกษาขั้นต่ำประถมศึกษาปีที่ 4 โดยได้รับประกาศนียบัตรหรือเอกสารรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ
4. หลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ให้ยกเลิกอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นแบบลอยตัวโดยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
5. รัฐบาลจะต้องมีโครงการช่วยเหลือเยียวยา ชดเชยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม เช่น มีโครงการฟื้นฟูผู้ประกอบการ (Rehabilitation Program: RP) อย่างในสหรัฐอเมริกา
เห็นข้อเรียกร้องแล้วต้องร้องโอ้โห ถ้ารัฐบาลสามารถรับประกันอย่างนี้ได้ การลงทุนทำธุรกิจในเมืองไทยก็ “ไม่มีความเสี่ยง” แค่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างแรงงาน รัฐบาลก็ต้องเยียวยาชดเชยให้แล้ว มีประเทศพระศรีอาริย์อย่างนี้ที่ไหนในโลก
ผมเพิ่งไปพม่ามา ข้อมูลจากไกด์ท้องถิ่นเล่าว่า ค่าแรงขั้น ต่ำในพม่า เช่นฉาบปูนได้ จ่ายกัน 300 บาทขึ้นไป สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯเสียอีก แต่ก็ยังหาคนไม่ค่อยได้ แรงงานในพม่าก็ขาดแคลน แต่ที่ยังมีแรงงานพม่าทำงานอยู่ในเมืองไทยหลายล้านคน เพราะ “ค่าครองชีพเมืองไทยถูกกว่าพม่า” เช่น ข้าวแกงพม่าจานละ 75 บาท ข้างแกงเมืองไทยจานละ 25 บาท ทำให้มีเงินเหลือ เก็บ แต่ทำงานพม่าไม่มีเงินเก็บ ต้องหิ้วปิ่นโตไปกินในที่ทำงานทุกวัน
ที่ดินพม่าก็แพงกว่าไทยหลายเท่า ขายที่ดินเป็นตารางฟุต ไม่ใช่ตารางวา ค่าเช่าสำนักงาน ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ก็แพงลิ่ว ต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเป็นรายปีและต้องจ่ายเป็นเงินดอลลาร์เท่านั้น เงินจ๊าดพม่าไม่รับ
วันนี้ความต้องการแรงงานในพม่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเปิดประเทศ ทำให้แรงงานขาดแคลน ผมเชื่อว่าในไม่ช้าแรงงานพม่าในไทยจะทยอยกลับประเทศกันมากขึ้น ค่าแรงพม่าจะสูงกว่าที่ไทย ถึงวันนั้นแล้วจะรู้สึกเมื่อมีแต่เงิน แต่ไม่มีคนทำงาน อย่างไหนจะเสียหายมากกว่ากัน.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
Edited by rufer, 29 November 2012 - 18:53.