ศาลปกครองเป็นองค์กรใหม่ มีความเป็นอิสระ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540
มีหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบ และควบคุมการใช้อำนาจรัฐ อีกองค์กรหนึ่ง
ศาลปกครอง มีทำไม ? มีศาลปกครอง เพราะความจำเป็นที่จะต้องมี ระบบการตรวจสอบ และควบคุมการใช้อำนาจรัฐ
ศาลปกครอง คืออะไร ? ศาลปกครอง เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่พิจารณา และพิพากษา คดีปกครอง ซึ่งได้แก่ ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ กับเอกชน รวมทั้งข้อพิพาท ระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน
ข้อพิพาทนั้นเกิดขึ้นจากการที่หน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่สุจริต หรือไม่ชอบด้วยเหตุผล หรือละเลยต่อหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินควร หรือไม่ปฏิบัติตามสัญญาทางปกครอง หรือกระทำละเมิดต่อประชาชน
ศาลปกครองแตกต่างจากศาลยุติธรรม คดีปกครองมีลักษณะแตกต่างจากคดีแพ่งและคดีอาญาทั่วไป คดีแพ่งและคดีอาญา เป็นการโต้แย้งสิทธิระหว่างเอกชนด้วยกันเอง
คดีแพ่ง เอกชนซึ่งเป็นคู่กรณี ต้องมีหน้าที่พิสูจน์เองว่าฝ่ายใดมีสิทธิดีกว่ากัน ส่วนคดีอาญา ผู้ใดกล่าวอ้างว่าผู้อื่นกระทำผิด ผู้นั้นมีหน้าที่จะต้องพิสูจน์เองให้ได้ว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหานั้น กระทำความผิดจริง
ศาล จึงมีหน้าที่รับฟังพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย แล้ววินิจฉัยชี้ขาดว่า ผู้ใดถูก ผู้ใดผิด ซึ่งเรียกกันว่า
“ระบบกล่าวหา” คดีปกครอง เป็นคดีเอกชนพิพาทกับรัฐ จึงเป็นการยากที่เอกชนจะหาเอกสารหลักฐานมายืนยันข้อกล่าวอ้างของตนเอง เพราะฝ่ายราชการจะเป็นผู้ครอบครองเอกสารไว้ทั้งหมด ดังนั้น ศาลจึงมีหน้าที่ต้อง
“ไต่สวนคดี” เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงให้มากที่สุด ตุลาการศาลปกครอง ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการปกครอง และ
กฎหมายปกครอง จึงจำเป็นต้องจัดต้องศาลปกครองขึ้น เพื่อทำหน้าที่พิจารณาพิพากษา
คดีปกครอง โดยเฉพาะ
***อ้างจากคำพูดของอดีตผู้พิพากษา....บอกว่า...
การที่ศาลปกครองกลางเพิ่งมีคำสั่งรับฟ้องคดีที่นายอภิสิทธิ์ฟ้องเมื่อวันที่ 30 เดือนนี้ ทั้ง ๆ ที่ได้ฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ 12 เดือนนี้ แสดงให้เห็นว่า ศาลปกครองกลางได้ใช้เวลาพิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วและเห็นว่า
คดีนี้ไม่ใช่การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทางทหาร จึงรับฟ้องไว้พิจารณา เพราะถ้าเห็นเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหารตามที่อ้างไว้ในคำสั่ง ศาลปกครองกลางต้องไม่รับฟ้องไว้พิจารณาเนื่องไม่มีอำนาจที่จะรับไว้พิจารณา ซึ่งเมื่อศาลปกครองกลางเห็นว่า ไม่ใช่เป็นการดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร คำสั่งดังกล่าวที่อ้างว่า สั่งตาม พรบ. ว่าด้วยวินัยทหาร ก็ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายแน่นอน เมื่อคำสั่งไม่ชอบก็มีอยู่ประการเดียว คือต้องเพิกถอนคำสั่งฉบับนี้ และคิดว่าน่าจะใช้เวลาไม่นาน เนืื่องจากเป็นการพิจารณาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น ไม่ต้องทำการสืบพยานหรือหาหลักฐานในเรื่องข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีก
คือถ้าทุกำพลยึดข้อวินัยทหารตามนี้....
มาตรา ๕ วินัยเป็นหลักสำคัญที่สุดสำหรับทหาร เพราะฉะนั้นทหารทุกคนจักต้องรักษาโดยเคร่งครัดอยู่เสมอ ผู้ใดฝ่าฝืนท่านให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิด
ตัวอย่างการกระทำผิดวินัยทหารมีดังต่อไปนี้
(๑) ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตน
(๒) ไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย
(๓) ไม่รักษามรรยาทให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมของทหาร
(๔) ก่อให้แตกความสามัคคีในคณะทหาร
(๕) เกียจคร้าน ละทิ้ง หรือเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ
(๖) กล่าวคำเท็จ
(๗) ใช้กิริยาวาจาไม่สมควร หรือประพฤติไม่สมควร
(๘) ไม่ตักเตือนสั่งสอน หรือลงทัณฑ์ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำผิดตามโทษานุโทษ
(๙) เสพเครื่องดองของเมาจนถึงเสียกิริยา
...แล้วสั่งลงโทษตามนี้
มาตรา ๘ ทัณฑ์ที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดต่อวินัยทหารดั่งกล่าวไว้ในหมวด ๒ นั้น ให้มีกำหนดเป็น ๕ สถาน คือ
(๑) ภาคทัณฑ์
(๒) ทัณฑกรรม
(๓) กัก
(๔) ขัง
(๕) จำขัง
แล้วมาร์คฟ้องศาลปกครอง ศาลจะรับไว้ไม่ได้...........แต่ยังไงๆ ก็ทำอะไรมาร์คไม่ได้อยู่ดีเมื่อ...
มาตรา ๑๙ นับ ตั้งแต่วันที่ปรากฏหลักฐานแห่งความผิดของผู้กระทำผิดซึ่งจะต้องรับทัณฑ์ ตามพระราชบัญญัตินี้โดยแน่นอนแล้ว ถ้าผู้มีอำนาจลงทัณฑ์มิได้จัดการที่จะให้ผู้นั้นได้รับทัณฑ์ภายในกำหนดสามเดือน เป็นอันนับว่าล่วงเลยเวลาที่จะลงทัณฑ์ตามพระราชบัญญัตินี้เสียแล้ว จะสั่งลงทัณฑ์โดยอำนาจตนเองมิได้ เว้นเสียแต่ผู้ที่กระทำผิดนั้นขาด หนีราชการเสียแต่เมื่อก่อนครบกำหนดสามเดือน จึงมิให้นับวันที่ขาด หนีนี้เข้าในกำหนดเวลาล่วงเลย ให้นับตั้งแต่วันที่ได้ตัวผู้นั้นกลับมายังที่รับราชการมาตรา 19 ชัดเจนว่าผู้มีอำนาจลงทัณฑ์ได้ต้องเป็น รมว.กลาโหม ในสมัยนั้นและต้องสั่งในเวลานั้น
Edited by คนกรุงธน, 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 15:40.