07 ธันวาคม 2012
5 ธันวามหาราช วันแห่งความปลื้มปิติของคนไทยทั้งชาติ ที่เห็น"พ่อของแผ่นดิน" ยังทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ แข็งแรง เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 5 ธันวาคม 2555
พลันความรู้สึกของคนไทยต้องสะดุด!!! เมื่อต้องเหลียวตามาพบกับ"บทอาเศียรวาท" ของหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ลงตีพิมพ์บทกลอนที่อ่านอย่างไรก็ไม่ใช่บทกลอนถวายพระพร แต่เป็นบทกลอนที่กำกวม สองแง่สามง่าม เรียกว่าอาจแล้วต้อง...ตีความ!!!
สิ่งที่ตามมาคือกระแสโจมตีผ่านโซเชียลมีเดีย พลังเงียบที่ลุกฮือถึงการกระทำที่มิบังควรของ"สื่อสีแดง"ขนาดบางคนเรียกว่าเป็น"ใบปลิวของพรรคเพื่อไทย"
"อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล" นักสื่อสารมวลชน อดีตส.ว.สุพรรณบุรี กล่าวกับ"ไทยอินไซเดอร์"ถึงกรณีนี้อย่างน่าสนใจ โดยมองในแง่ดีว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ห้ามกันไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันมติชนเองจะไปห้ามความคิดของคนที่ตีความบทกลอนไปในทิศทางที่ไม่ดีไม่ได้เช่นกัน!!
ความคิดเห็นของนักสื่อสารมวลชน ที่คร่ำหวอดในวงการสื่อสารมวลชนไทยมานับสิบๆปีผู้นี้ จึงน่าสนใจยิ่ง เพราะนอกจากสะท้อนถึงบทบาทของมติชน ที่เรียกได้ว่าเป็นสื่อสีแดงแล้ว ยังวิพากษ์ไปถึงขบวนการที่จ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีรัฐบาลปัจจุบันที่มีพฤติกรรมลดทอนความสำคัญของสถาบัน เป็นอีแอบที่ไม่กล้าประกาศตัวอย่างเปิดเผย
ในขณะที่"ตัวการใหญ่"ที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังขบวนการ เหตุที่ยังไม่กล้าปรากฎตัวประกาศท้าชนกับคนไทยที่มีความจงรักภักดี เป็นเพราะความอ่อนแอ ไม่มีความกล้าหาญ สุดท้ายก็จะแพ้พ่ายไปเอง
ความเห็นของอ.สมเกียรติครั้งนี้ จึงน่าติดตาม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังมีความคิดไม่ซื่อสัตย์ ซื่อตรงกับสถาบัน ที่ควรต้องอ่านและสำเหนียกไว้ว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์จะไม่มีวันล่มสลาย ไปจากสังคมไทย"อย่างแน่นอน
Q : คิดเห็นอย่างไรกับ"บทอาเศียรวาท" ของหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา?
A : เขียนอย่างไรก็แล้วแต่ ผู้อ่านจะได้ความรู้สึกอย่างที่ผู้เขียนต้องการ หรือรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง คนเขียนคงต้องรับผิดชอบ ส่วนคนอ่านคงคิดไปต่างๆนานา ผมอ่านมัน'เพิ่งจะมาสว่างเอาวันนี้ ไม่รู้ใครทำให้สว่าง' เพราะมันไม่ได้มีบอกไว้ว่าเป็น'พระเจ้าแผ่นดิน'หรืออะไร หมายความว่า'วันนี้เพิ่งสว่าง มันมืดมานาน' ผมเข้าใจแค่นี้ เพราะฉะนั้นใครจะไปกล่าวหาว่าใครทำให้มืดมานาน แล้วเพิ่งมาดีเอาปีนี้ ผมพอเข้าใจตารางเวลาของมติชน กาลานุกรมหรือปฏิทินเวลา...ฟ้าเพิ่งสว่างเหรอ ผมนึกว่าถ้าจะสดุดีพระเจ้าอยู่หัว ก็ต้องสว่างตลอดรัชกาล ไม่ใช่มืดมาตลอดเวลา
Q : การเขียนบทกลอนที่มัน'กำกวม'ในวันที่มีความสำคัญกับคนทั้งชาติ ควรจะมีความชัดเจนมากกว่านี้หรือไม่?
A : มันเป็น'เสรีภาพ' คุณจะไปบังคับเขาไม่ได้หรอก คุณจะเขียนกลอนเมื่อไหร่ก็ได้ เขียนวันไหนก็ได้ แต่อันนี้เมื่อเขาบอกว่าเป็น'บทอาเศียรวาท'ก็เขียนเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา อันนี้เป็นสิทธิของสื่อมวลชน นักเขียน นักคิดอยู่แล้ว ส่วนเขาจะเขียนกำกวมหรือไม่กำกวมมันก็เป็น'ศิลปะ'ของเขา อันนี้ห้ามไม่ได้ และที่ห้ามไม่ได้ต่อไปคือ 'ห้ามไม่ให้คนคิดตามที่ตีความเอาเอง'...ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนเขียนและมติชนก็จะต้องยอมรับว่าเขียนแล้วคนเขาไปต่างๆนานา แต่จะห้ามคงไม่ได้ เป็นเสรีภาพ จะห้ามให้คิด ห้ามไม่ให้ปฏิวัติ ห้ามไม่ให้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง อันนี้ห้ามไม่ได้หรอก ความคิดของมนุษย์แต่ละคน
"ขึ้นอยู่กับมติชนจะมีจุดยืนอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง ขณะนี้มติชนเขียนบทอาเศียรวาทเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทำให้ประชาชนคิดว่ามติชนกล่าวหาว่ามันมีความมืดมานาน แล้วเพิ่งมาสว่างเอาปีนี้ อันนี้เป็นความเห็นของผมที่อ่าน ส่วนมติชนซึ่งเป็นผู้ให้เขียน ไม่มีชื่อคนเขียน เขาไม่ลงก็แสดงว่าเขารับผิดชอบโดยองค์กร เมื่อเขาเขียนอย่างนี้ คนอ่านต้องคิดเอาเอง ผมอ่านแล้วคิดว่าเขากำลังบอกว่าเพิ่งมาสว่างเอาปีนี้ แล้วก็มืดมาเป็นเวลายาวนาน อันนี้เป็นความคิดของผม มติชนจะชี้แจงยังไง ก็เป็นสิทธิ์ของเขา เป็นบทเรียนของเขาที่จะต้องรู้ว่าคนอื่นเขาก็คิดเป็น แล้วเขาคิดไม่เหมือนกัน ก้ต้องรับผิดชอบต่อปฏิกิริยาของผู้คน เพราะว่าเขาเป็นสื่อสารมวลชนสาธารณะ ไม่ใช่สื่อเฉพาะกลุ่มแดง"
"แน่นอนมติชนเป็นสื่อของพวกแดง แต่ว่าขณะนี้เขาอยู่ในสื่อกระแสหลัก คนอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มแดง อย่างเช่นผมก็ยังติดตามเขาอยู่ แม้ว่าจะไม่เสียตังค์ซื้อเขา ผมก็ต้องคิด มันทำให้ผมเข้าใจมติชนมากยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง"
Q : ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยวิพากษ์ถึงบทบาทการทำหน้าที่สื่อมวลชนของมติชนที่ค่อนข้างเอนเอียงเข้าข้างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จนถึงเวลานี้ วันนี้เป็นอย่างไร?
A : มากขึ้น ดูในเว็บก็จะเห็น ผมดูมติชนออนไลน์ ไม่ได้ซื้อหนังสือกระดาษ ก็มากขึ้นและ'ชัดเจนแบบไม่รู้จักอับอายมากขึ้น'(หัวเราะ) แต่มติชนก็ต้องรู้ ปัญญาชนคนคิด คนมีการศึกษาเขามีเยอะในเมืองไทย เขารู้จัก เพราะฉะนั้นมติชนเขาคงไม่ได้ปิดบังอะไร เพียงแต่ว่าก็คงสู้กันหน่อยในความคิดของมติชนที่จะ'เปลี่ยนแปลงประเทศไปตามแนวทางของคุณทักษิณ' กลุ่มคนหัวเก่าอย่างผม ก็สู้กันไป ไม่เป็นไรหรอกเป็นสิทธิเสรีภาพ ส่วนจะมาเคาะ จะมาชี้แจง อ้างว่าไม่ได้ตั้งใจเขียนอย่างนั้นก็ว่าไป แต่ว่าเขียนไปแล้วนะ(หัวเราะ) เขียนไปแล้ว ผมก็คิดไปแล้ว
Q : กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาใช่หรือไม่?
A : ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ก็เขาเจตนาจะเขียนอย่างนี้ว่าฟ้ามันมืด มันเพิ่งมาสว่างเอาปีนี้ มันไม่ได้มีอะไรกำกวมนะ มันชัดเจนนะ ไม่มีอะไรกำกวม ชัดเจน อ่านไม่ยากหรอก
Q : จากการติดตามการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯของรัฐบาล รู้สึกอย่างไรบ้าง?
A : คนที่มามันเป็นการเกณฑ์มานะ ต้องเข้าใจ คือผมอยากให้ทางการประกาศป่าวร้อง ใครอยากมาก็มา อันนี้มันเป็นการกะเกณฑ์ ทุกครั้งเลยไม่ว่าจะเป็นงานใด งานนายกฯ งานรัฐมนตรี ก็จะบอกไปทางจังหวัด จังหวัดบอกไปทางอำเภอ อำเภอบอกไปทางตำบล หมู่บ้าน เทศบาลว่าต้องการกี่คน เหมือนการขนคนมาด้วยกระบวนการจัดการ มันไม่ได้สะท้อนธรรมชาติ แต่แน่นอนคนเขาเต็มใจมา ถ้าเป็นไปได้ต่อไปนี้ ถึงเวลาก็ไม่ต้องเกณฑ์ ไม่ต้องมีคนมาเยอะแยะ ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติเหมือนสมัยก่อน ผมคิดว่าหน่วยราชการไม่ต้องไปเดือดร้อน ผมไม่ได้ไปนะ แล้วผมไม่เคยไปเลยในชีวิต ก็ไม่ได้แปลว่าผมไม่มีความจงรักภักดี ผมก็นั่งเขียนบทความเกี่ยวกับในหลวง ผมเขียน 1บทความ คนเข้ามาดู 50-60 คน เกือบ 100คน ก็ถือว่าผมพาคนไป 100คน ไปสู่ห้วงแห่งความคิด อย่างในเฟซบุ๊คที่ผมเขียน'พระเจ้าอยู่หัวกับหนัง ผู้กำกับหนัง 80วันรอบโลก' จะเห็นว่าการจงรักภักดีไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อเหลือง ไม่จำเป็นต้องเกณฑ์กันไป อันนี้เขาเกณฑ์กันไป แต่เขาไม่ได้จ่ายเงิน เชคดูแล้วไม่ได้จ่ายเงิน ถ้าจ่ายก็ยิ่งน่าเกลียด
"คือไม่ต้องการภาพใหญ่ขนาดนั้น ผมคิดว่าภาพที่มีคราวที่แล้วก็พอแล้ว คือ'สถาบันพระมหากษัตริย์'ไม่ได้มีพลังอ่อนลง ไม่มีปัญหา ไม่ต้องเกณฑ์มาโชว์ฟอร์ม ไม่ต้องห่วง ผมรับประกันได้ว่า'อยู่ยาว' และผมก็จะอยู่ปกป้องในเชิงภูมิปัญญา ไม่ได้มีปัญหาเลย ส่วน'มติชน'เขาคิดอย่างไรก็เป็นเสรีภาพของสื่อมวลชนนะ 'ไทยอินไซเดอร์'ก็เหมือนกันก็มีเสรีภาพ แต่เขาต้องรู้ว่าเขาสู้กับอะไร"
Q : มีความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีการจุดพลุหรือไม่จุดพลุอย่างไร จริงๆแล้วมันเป็นประเด็นที่สำคัญหรือไม่?
A : อันนี้พวกเราซึ่งเป็นนักข่าวมานั่งถกเถียงกันเองอยู่ เป็นประเด็นว่าใคร อย่างไร ซึ่งเท่าที่ผมคุยกับนักข่าวแล้วมันก็ไม่มีใครไปค้นให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนสั่งห้าม เพราะฉะนั้นก็เป็นประเด็นเงียบๆ ปล่อยมันไป แต่ว่าถ้ารัฐบาลไม่ได้สั่ง ก็ออกข่าวชัดๆไปเลยมันก็จบ ไม่อย่างนั้นรัฐบาลก็จะถูกกล่าวหาว่าห้ามจุดพลุ
"ปีที่แล้วก็ให้ลดความยิ่งใหญ่ลง แต่ถ้าจะเกิดรัฐบาลจะลดความฟุ่มเฟือย เพราะว่ารัฐบาลแถลงบอกว่าประหยัด แต่ประเทศไทยรวยนะ สถานภาพทางเศรษฐกิจมีเงินอยู่ในอันดับที่3 เศรษฐกิจของอาเซียน เรามีเงินเอาไปใช้ฟุ่มเฟือยเรื่องจำนำข้าว แท็บเล็ต เรามีเงินเอาไปทิ้งๆขว้างๆได้ เงินซื้อพลุไม่กี่ตังค์หรอก เพราะฉะนั้นไม่ใช่ประเด็นประหยัด แต่ถ้าเกิดรัฐบาลคิดว่ายังไงก็ประหยัด ถือว่าเป็นการรณรงค์ในหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว ก็ต้องทำทั้งระบบ เป็นcampaign(รณรงค์)ทั้งประเทศทุกเรื่อง ไม่ใช่อยู่ๆมาประหยัดแค่พลุ พลุนี่เศรษฐีคนเดียวก็ซื้อได้นะ เพราะงานนี้เป็นงานเอกชนจัดนะ มูลนิธิ 5 ธันวามหาราชจัด เพราะฉะนั้นไม่ใช่ประเด็นประหยัด ไม่เชื่อหรอก"
Q : มีเสียงวิจารณ์ตามมาว่าอาจจะไปตัดตอน'พระบารมี'?
A : อย่างที่บอก ต่างคนเชิญตีความเอาเอง ไม่มีปัญหา อยากตีความก็ตีความ เพียงแต่ว่าถ้ารัฐบาลบอกว่าสั่งให้ลดความฟุ่มเฟือย เพราะไม่มีตังค์...ก็ไม่มีเหตุผล ถ้าจะทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงหรือประหยัดก็ต้องทำทั้งประเทศ แต่ถ้ารัฐบาลทำเพื่อ'ลดทอนความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์' ก็ทำได้นะ เพราะว่าเป็นเจตนารมย์ของรัฐบาลชุดนี้ 'รัฐบาลแดง'...ทำได้ เพราะว่าเขาแดง เขาต้องการลดความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เขาไม่บอก เขาไม่กล้า ก็แค่นั้น ก็ทำได้ ก็เป็นสิทธิ์ของเขา เป็นการต่อสู้กันทางการเมือง ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่แท้จริง ก็สู้กัน เดี๋ยวประชาธิปัตย์ขึ้นมาก็ฉลองเต็มที่ ประชาชนก็ต้องเลือกเอา
Q : คิดเห็นอย่างไรกับข้อเสนอที่ให้ใช้'วันพ่อ'เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความ'ปรองดอง'?
A : ผมว่าไม่ต้องปรองดอง มันไม่มีความจำเป็นต้องปรองดองอะไร การขัดแย้งทะเลาะกัน ผมไม่เห็นมันยั่งยืน ก็เห็นเงียบกันไป ถ้าทะเลาะต้องทะเลาะไม่หยุด แล้วก็รุนแรงไม่หยุด ก็ไม่มี ช่วงนี้มันไม่มี แล้วถ้าเกิดมีความขัดแย้งทางการเมืองก็ไม่ต้องปรองดอง เพราะมันเป็นธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย ผมไม่คิดว่าประเทศนี้มีปัญหาต้องปรองดอง คุณจะให้ 2กลุ่มการเมือง 2พรรคการเมือง มาปรองดองกันเพื่ออะไร ความคิดเขาไม่เหมือนกัน เขาก็ต้องต่อสู้กันไปตลอดชีวิต ถ้าใครผิดกฎหมาย ใครมีความรุนแรงก็ถูกจับ ตอนนี้ก็โดนตามไล่จับกันไปเรื่อยๆตามคดี ไม่ต้องปรองดอง เพราะว่าเป็นธรรมชาติของประชาธิปไตยที่ต้องมีความเห็นขัดแย้ง ต้องถกเถียงต่อสู้ รณรงค์เพื่อให้กลุ่มตัวเองชนะเลือกตั้ง ถ้ากลุ่มหนึ่งจะลดทอนความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เชิญ เพราะเขาได้อำนาจอยู่ เขามีอำนาจก็ทำไป แล้วเดี๋ยวเลือกตั้งอีก 3 ปีข้างหน้าก็ลองดู ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการแบบนี้ มันก็เป็นแบบนี้ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการกลับเข้าสู่ความจงรักภักดีเต็มที่ก็ได้ ก็สู้กันไป
Q : แต่การที่รัฐบาลไม่ยอมเปิดเผยตัวตนแท้จริงถึงความพยายามในการลดทอนความสำคัญของสถาบันฯ เลือกตั้งกี่ครั้งเข้ามาก็ชนะเลือกตั้งทุกครั้ง เหตุเพราะประชาชนยังไม่รู้เท่าทันก็จะต้องเป็นแบบนี้ต่อไปใช่หรือไม่?
A : ก็'แพ้'ไปเรื่อยๆไง คุณก็ต้องแพ้เพราะคุณไม่รู้เท่าทัน ถ้าคุณรู้เท่าทัน คุณเป็นสื่อมวลชนคุณก็ต้องบอกเลยว่ามันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องตีความไปเป็นอย่างอื่น ตีความเอาเองเลยเพื่อให้ประชนเข้าใจ จะได้ไม่กลับมาเลือกพรรคนี้ อันนี้มันเป็นประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศปกครองแบบไหนก็ได้ แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่กับเสียงส่วนน้อยขัดแย้งกัน แล้วก็ทนไม่ไหวด้วยระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องสู้กัน เช่นปฏิวัติ ยึดอำนาจ สงครามกลางเมือง ก็เป็นได้ ก็เหมือนฝรั่งเศส ถึงตอนนั้นเราก็สู้กัน ตายกันเยอะหน่อย อันนี้เป็นธรรมชาติจริงๆ ไม่ต้องไปขวางทางมันหรอก คือสมมติว่าเขาคิดว่าเขาชนะอยู่เรื่อยๆแล้วเขาลดทอนๆ คนที่คิดว่าแพ้อยู่ตลอดมันไม่ไหว ก็ต้องใช้กำลังก็คือ'ปฏิวัติ' และจริงๆไม่ใช่ทหารยึดอำนาจอย่างเดียว ปฏิวัติเป็น'สงครามกลางเมือง' อันนั้นก็แบบฝรั่งเศส
Q : เหตุใดอาจารย์จึงเชื่อมั่นว่าสถาบันจะอยู่ยาว?
A : เพราะว่าประชาชนจงรักภักดีเยอะ ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องออกไปที่ถนนราชดำเนิน ลานพระรูป แบบวันพ่อ มันไม่จำเป็นไง มันเป็นประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่ในประเทศมีความจงรักภักดี เขาอยู่กับบ้าน มันเป็นความรู้สึกของผม ผมไม่ได้รู้สึกห่วงใยสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะว่ามีความเข้มแข็งอยู่ และไม่ได้เป็นองค์กรหรือสถาบันที่ทำให้ประเทศล่มจม เสียหาย มันไม่ได้มีปัญหา ไม่ได้เป็นคนสร้างปัญหา ที่มันมีปัญหาทุกวันนี้คือรัฐบาลปัจจุบันนี้ ที่บริหารประเทศไม่ดี ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น แล้วมีนโยบายบางอย่างเช่นจำนำข้าว ที่ในข้อมูลทางวิชาการชี้ชัดว่าเรากำลังสูญเสีย ในเมื่อช้าเราก็จะหมดเงิน อันนี้เราได้สูญเสียการส่งออกไปแล้ว แชมป์หรือการเป็นผู้นำของการส่งออกและการผลิตข้าวในโลก เราสูญเสียไปแล้วไม่ต้องมาเถียง เพราะตัวเลขมีอยู่
"เพราะฉะนั้นเป็นนโยบายของรัฐบาลนี้ที่ไม่ดี ถ้าจะโทษประเทศนี้ ต้องโทษรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทำอะไรให้ประเทศเสียหาย ไม่ได้กดขี่ข่มเหงประชาชนชาวไร่ชาวนา เพราะว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ปกครองประเทศ เป็นองค์กรที่เป็นสัญญลักษณ์ ไม่มีอะไรที่ต้องถูกตำหนิเลย เพราะไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบอะไร คุณยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบ คือถ้าจะล้มรัฐบาลนี้ ด้วยเหตุที่ว่ารัฐบาลนี้ทำให้ชีวิตเราไม่ดีขึ้นหรือเลวลง แต่ถ้าเรายังคิดว่าเรายังโอเคอยู่ก็อย่าไปล้ม ผมว่าประชาธิปไตยมัน..มองง่ายๆอย่างนี้ ผมจะบอกว่าคุณไม่สามารถจะล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ด้วยเหตุผลอะไรเลย เพราะว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทำอะไรให้ประเทศเสียหาย มีแต่ทำให้ประเทศมีความสุข มีสติ เข้าใจในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม และมีตัวอย่างงานวิจัยเป็นศูนย์พัฒนาโครงการในพระราชดำริเยอะแยะเป็นพันแห่ง ไม่มีเหตุอันใดที่คุณจะต้องไปล้มสถาบันที่ดี ถ้าคุณจะล้ม คุณต้องสู้กับคนที่เขาสนับสนุนซึ่งเป็นเสียง..เต็มประเทศ...ยาก แต่ถ้าจะสู้กันก็สู้ จะทำสงครามกลางเมืองก็ทำ ก็รบกันฆ่ากัน เอาสักปี 2ปีก็ได้ ถ้าอยากทำนะ"
Q : สื่อมวลชนจะมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงบทบาทที่แท้จริงของสถาบันได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะการทำความเข้าใจถึงบทบาทที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง?
A : ก็ช่วยได้เรื่อยๆ อย่างถ้าคุณเห็นด้วยคุณก็ไปลงคะแนน คือประชาธิปไตยเป็นขบวนการพัฒนาความคิดไปเรื่อยๆ ก็ต้องคิด ต้องรู้จักคิด ได้ข้อมูลจากสื่อมวลชนให้มาก ให้ถูกต้อง หลากหลาย ประชาชนจะได้เข้มแข็ง ไม่ได้ถูกหลอกง่ายๆ
Q : คิดเห็นอย่างไรกับคนที่ตั้งคำถามว่าทำไมคนไทยต้องร้องไห้เมื่อเห็น'ในหลวง'?
A : ทำไมต้องถามว่า'ทำไม' ไม่เห็นมีคำถาม ก็คนเขาจะร้องไห้ เขาร้องได้ คือคุณไปกวนประสาทคนเขาร้องไห้ทำไม คือคนไทยที่ทราบซึ้ง มีความรู้สึกผูกพัน ตื้นตันใจ เมื่อเห็นพระเจ้าอยู่หัวทรงพระพลานามัยที่ไม่แข็งแรง ก็คิดถึง ก็รัก...คุณรักใคร แล้วคนที่คุณรักอยู่ในวัยที่กำลังชราภาพ แล้วก็ยังคงมีความห่วงใยประเทศอยู่ คุณก็ร้องไห้ได้ ไม่ต้องไปถามว่าทำไมคนไทยต้องร้องไห้ ก็คนไทยบางคนเขาก็ไม่ได้ร้องไห้ ผมก็ไม่ได้ร้อง มันเป็นความรู้สึกอ่อนไหวของแต่ละคน เป็นความรู้สึกที่ดี ไม่ต้องตั้งคำถามต่อความดีของคนไทยเลย
Q : อาจารย์จะบอกคนที่มีเจตนาร้ายล้มล้างสถาบันอย่างไร?
A : เชิญตามสบาย...เชิญตามสบาย..สู้กัน ให้รู้ว่าใครเป็นยังไง ไม่มีปัญหาหรอกครับ จะสู้ จะด่า จะทำร้าย จะทำลาย จะกัดกร่อน ก็สู้กัน อันนี้มันเป็นประชาธิปไตยที่ต้องสู้กัน ไม่ต้องบันยะบันยัง ก็สู้กัน แล้วถ้ามีความกล้าหาญพอ ก็สู้อย่างเปิดเผย เพราะว่าการต่อสู้จะได้จริงจัง แต่ถ้าสู้แบบไม่เปิดเผย ทำนิดทำหน่อย แอบแฝง หลบอยู่หลังเว็บไซต์ ไม่มีพลัง สู้ไปเรื่อยๆก็แพ้ เพราะมันไม่กล้าที่จะสู้ตรงๆไง ฝรั่งเศสเขาออกมาปฏิวัติกันทันที ถ้าจะสู้ก็ต้องสู้อย่างเปิดเผย ในที่สุดก็จะต้องสู้อย่างเปิดเผย
"ที่เขาไม่กล้าวันนี้ แสดงว่าเขาอ่อนแอ ไม่ต้องไปบอก ไม่ต้องไปท้า เขายังอ่อนแออยู่ เขายังไม่มีเหตุผลที่จะเปิดเผยตัว เพราะเขาสู้ไม่ไหว"
Q : อาจารย์มองว่ามันเป็นการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งจะต้องถูกเปิดเผยออกมา?
A : ก็ต้องเปิดเผย ไม่อย่างนั้นจะรู้หรือว่า'รบกับใคร' อันนี้เราก็รบกับคนที่คิดว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ สมมติว่าเราสู้กับคนที่กัดกร่อนสถาบัน เขาก็ต้องไปนั่งคิดของเขาเองก่อนว่าเขามีเหตุผลมั๊ย ถ้าเขาไม่มีเหตุผลเขาแพ้อยู่แล้ว แล้วเขากล้ามั๊ยที่จะสู้ ถ้ากล้าเขาก็เปิดเผย ถ้าไม่กล้าเขาก็ยังไม่สู้ เขาก็หลบๆ มันก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ ทั่วโลกก็เป็นอย่างนี้ 'คนไม่กล้า'ก็แพ้อยู่แล้ว คนกล้าก็พูด อย่างผมก็นั่งพูดอยู่นี่ ไม่ต้องไปห่วง ถ้าเราคิดว่าโลกนี้มันเป็นประชาธิปไตย แพ้ชนะก็สู้กันด้วยเสียงส่วนใหญ่ จะสู้กันแบบไหนก็ได้
Q : สื่อมวลชนจะกลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญสำหรับการต่อสู้ในอนาคตด้วยใช่หรือไม่?
A : อันนี้เป็นเรื่องของสื่อมวลชนที่ต้องทำตัวตามใจชอบ มันเป็นสิทธิเสรีภาพ สื่อมีตั้งเยอะแยะ คุณอยากจะทำตัวเป็น'สื่อเลือกข้าง' เป็น'กระบอกเสียง' เป็น'สื่อสะท้อนสังคม' ก็เชิญตามสบาย มันมีเป็นร้อยเป็นพัน หลบอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง เช่น'มติชน' มันก็หลบไม่มิด เพราะเขาก็เห็น อันนี้เป็นเสรีภาพอีกแหละ อย่าไปห่วง
http://thaiinsider.i...-12-07-07-53-33
รอน้ำท่วมหลังเป็ดนั่นแหล่ะ
มันถึงจะออกมาเปิดเผย สู้ซึ่งหน้า...
หรือไม่ก็ สำนักพิมพ์มันคงเจ๊งไปก่อน... ว่ามั๊ย
![;)](http://static.serithai.net/webboard/public/style_emoticons/default/wink.png)