'อภิสิทธิ์'ลั่นถึงเอาตนไปประหารชีวิตพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ตาย !!
http://fb.me/1mABJETdW
http://www.thannews....knL9rI.facebook
วันนี้ (14 ธ.ค. 55) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel ถึงการไปพบกับพนักงานสอบสวนเพื่อรับฟังข้อกล่าวหาที่ DSI นั้นว่าตน และคุณสุเทพได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ส่วนทางผู้แจ้งก็นัดให้ไปฟังว่าจะมีคำสั่งอย่างไรในวันที่ 29 เมษายนปีหน้า
“ผมในการไปรับแจ้งข้อกล่าวหานั้น ผมก็มีสิทธิในการที่จะซักถามว่า กล่าวหาผมว่าอะไร พอดีเมื่อวานนี้ก็ตั้งแต่เช้าก็มีข่าวออกมาว่าจะต้องแจ้งผมอีกข้อหาหนึ่ง เรื่องของการบริจาคเงินเข้าพรรคประชาธิปัตย์ พอผมไปถึง ผมก็ถามบอกว่า ตกลงที่นัดกันไว้ 1. มีคดีเหตุการณ์ ฆาตกรรม 2. มีคดีที่เชิญผมไปเป็นพยานในกรณีการบริจาคเงินน้ำท่วม 3. ผมสอบถามมานานแล้วว่าอีกคดีหนึ่งนั้นจะเชิญผมมาเมื่อไหร่ ผมไม่อยากมาบ่อย เมื่อเช้าผมก็เห็นให้ข่าวว่าจะแจ้งข้อหาผมเรื่องบริจาคเงินไม่ถูกต้อง แล้วก็พอผมให้คนโทรศัพท์มาถามก็บอกว่าจะแจ้งผมที่นี่ ไม่ได้ส่งหนังสือให้ก่อน พอผมไปถึงเขาบอกเขาไม่พร้อม ผมก็เลยบอกว่าคุณไม่พร้อมได้ยังไง คุณแถลงข่าวไปแล้ว คุณแจ้งมาซะดีๆ เพราะว่าถ้าไม่แจ้งผมก็ขอออกไปแถลงข่าวว่าเขาไม่พร้อมจะแจ้ง เพราะเขาให้ข่าวไปแล้ว สุดท้ายก็เลยบอกว่า แจ้ง”
“เอาเรื่องของคดีฆาตกรรมก่อน เพราะว่าคุณสุเทพเป็นผู้ต้องหาร่วมครับ ข้อกล่าวหานั้นสรุปก็คือว่า ผมกับคุณสุเทพนั้น ร่วมกันทำให้ผู้อื่นตายโดยเจตนา แล้วก็มีการบรรยายประมาณ 10 หน้ากระดาษ ซึ่งตอนแรกก็บอกว่าจะคล้ายๆ กับส่งให้ ผมก็บอกไม่ได้หรอกครับให้อ่านเลย อ่านให้หมด ก็อ่านให้ฟังทั้ง 10 หน้า แล้วก็แจ้งให้ผมทราบว่าสิทธิของผมมีอะไรอย่างไรบ้าง แล้วก็ให้ผมให้การ
ซึ่งผมก็ให้การสั้นๆ ว่าปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แล้วก็มีการให้การเป็นลายลักษณ์อักษรที่เตรียมไว้เกี่ยวกับเรื่องเหตุการณ์ ทั้งหมด แล้วก็เขาก็บอกว่าถ้าจะมีอะไรเพิ่มเติมก็ให้เวลาผมในการที่จะทำคำให้การได้ อีก 45 วัน ส่วนคุณสุเทพนั้นก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยื่นการให้การเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วก็ประกาศบอกว่าไม่ให้การเพิ่ม ส่วนทางผู้แจ้งก็บอกว่านัดให้ไปฟังว่าจะมีคำสั่งอย่างไรในวันที่ 29 เมษายนปีหน้า”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึง การยื่นข้อมุลเพิ่มเติมภายใน 45 วันว่า วันนี้ขอคุยกับทางทนาย แล้วก็ทีมกฎหมายอีกเล็กน้อย เอาข้อกล่าวหาที่เขาแจ้งเมื่อวานมาดูอย่างละเอียดอีกทีหนึ่ง เมื่อวานฟังเฉยๆ แล้วก็จะตัดสินใจว่าจะยื่นหรือไม่ยื่น ถ้าไม่ยื่นก็จะรีบแจ้งกลับไปทางนั้นว่าไม่ยื่นแล้วจะได้ตัดสินใจได้เร็วกว่า 29 เมษา
ของคุณสุเทพก็คงจบตรงนี้ ก็มีประเด็นที่เขาบอกว่าเขาก็จะต้องไปประชุมอะไรกันต่างๆ อีกแต่ว่าสุดท้ายผมก็บอกว่าเดี๋ยวจะแจ้งกลับไป เพราะว่าถ้าหากว่าไม่ยื่นอะไรเพิ่ม เผื่อเขาจะทำได้เร็วขึ้น ผมว่าคุณสุเทพวัยรุ่นกว่าผมนะครับ อยากให้มันเร็ว”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้ก็มีประเด็นเพิ่มเติมก็คือว่า ผมก็ขอทราบว่าใครบ้างทำคดีนี้ ซึ่งก็ทางอธิบดีก็ได้ให้คำสั่งแต่งตั้งให้รายชื่อพนักงานสอบสวนมาทั้งหมด ประเด็นที่ 2 นั้น คุณสุเทพกับ ผมก็สอบถามว่าให้ข่าวว่าอัยการ ตำรวจ เห็นฟ้องอะไรด้วยนั้น ตกลงเป็นอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า 1. มีการกระชุมหารือกัน เพราะว่าในการสอบสวนนั้น ทางอัยการได้มีการส่งตัวแทนมาร่วมด้วย ก็ประชุมปรึกษาหารือกัน แต่ว่าไม่ได้มีการลงมติ และความเห็นนี้ก็ไม่ได้ผูกพันอัยการ แต่ทางท่านอัยการที่เข้าไปร่วมก็บอกว่า แต่ท่านก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ท่านว่าอย่างนั้น ขณะเดียวกันก็โดยปกติเขาก็จะต้องถาม ดูเหมือนว่าเขาจะต้องถามว่า ตกลงได้รับทราบ แล้วก็เข้าใจข้อกล่าวหาทั้งหมดหรือยัง ซึ่งผมเข้าใจว่าหลายคนก็พอทราบก็เข้าใจ แต่ผมก็บันทึกในการให้การเอาไว้ว่า ผมทราบ แต่ผมไม่เข้าใจ เหตุผลที่ผมไม่เข้าใจนั้น เพราะว่าผมถามคำถามเขาครับ
ผมก็ถามเขาบอกว่า บรรยายมาทั้งหมดนี้ เพราะว่าที่ผมไปเกี่ยวข้องนั้นเพราะว่าผมเป็นนายกฯ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ผมตั้ง ศอฉ. ผมไปกินนอนอยู่ราบ 11 อะไรทำนองนี้ ผมก็เลยถามว่า อ้าวแล้วทำไมเวลาแจ้งข้อหา มันไม่มีเรื่องที่ว่าผมใช้อำนาจหน้าที่ละเว้น หรือว่าใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตในฐานะเจ้าพนักงาน เขาก็บอกว่า ไม่ได้แจ้งข้อหาผมในฐานะนายกฯ แจ้งข้อหาผมในฐานะที่เป็นนายอภิสิทธิ์ ไปร่วมกันฆาตกรรม ผมก็บอกว่า อ้าวแล้วนายอภิสิทธิ์จะไปตั้ง ศอฉ. ได้ยังไง ถ้านายอภิสิทธิ์ไม่ใช่นายกฯ เขาก็ตอบว่า มันเป็นพฤติการณ์แต่ว่าเขาไม่แจ้งข้อกล่าวหา ผมก็เลยบอกถ้าอย่างนั้นผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจข้อกล่าวหาครับ เพราะว่าไม่เข้าใจว่าผมจะไปร่วมทำในสิ่งซึ่งผมไม่มีอำนาจได้ยังไง ถ้าผมมีอำนาจทำไมจึงไม่แจ้งข้อหาผมในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงาน ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจเกินขอบเขต
ประเด็นที่ 2 เนื่องจากว่าเขาบรรยายว่าเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วก็พูดถึงผู้เสียชีวิต หลายราย แล้วก็รวมไปถึงว่า 1 ในเหตุผลที่เขาบอกว่าผมทำผิดนั้นเพราะว่า นปช. ยอมตกลงที่จะเจรจายกเลิก ยุติการชุมนุม ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาแล้ว แต่ทำไมผมยังไม่ไปยอมรับเข้าสู่การเจรจาอะไรต่างๆ ด้วย ทีนี้ผมก็เลยสงสัยว่า ตกลงที่แจ้งข้อหาเมื่อวานนี้เป็นกรณีเฉพาะคุณพัน คำกอง หรือเป็นทุกกรณี เขาก็บอกว่า เฉพาะคุณพัน คำกอง ผมก็ถามว่า เป็นเฉพาะคุณพัน คำกองแล้ว ทำไมหลังจากคุณพัน เสียชีวิตแล้ว คุณยังมาบรรยายความผิดอะไรผมหลังจากนั้นอีก ก็บอกว่าเป็นการบรรยายพฤติการณ์ในภาพรวม แต่ว่าเจตนาก็คือ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คือว่า ต้องการจะให้ผมอีกหลายคดีครับ แต่ผมก็ยังงงว่า พฤติการณ์ของผมนั้น มันก็ต้องเป็นกรรมเดียวกันทั้งนั้นแหละครับ ถ้าเกิดเขาจะเอาเหตุผลอย่างนี้มา ก็นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจ
เมื่อถามว่ าถ้าฟัง 10 หน้าที่เขาอ่านให้คุณอภิสิทธิ์ได้รับทราบข้อกล่าวหานั้น คำบรรยายประกอบเป็นธรรมกับคุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพแค่ไหน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่ า“ผมก็ยืนยันนะครับว่า ไม่ได้ตรงกับข้อเท็จจริง และผมก็แปลกใจ เมื่อวานนี้ที่บรรยายมานั้น การชุมนุมเมื่อปี 53 เป็นเพียงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรม ไม่ได้เรียกร้องให้ผมยุบสภา จริงๆ ไม่ได้พูดว่า เรียกร้องไปถึงให้องคมนตรีลาออก ก็ไม่พูดถึง แล้วก็ที่สำคัญก็คือพฤติการณ์ของการกระทำผิดกฎหมายในการชุมนุมทั้งหมด ไม่มีการพูดถึงเลยนะครับ ซึ่งที่ผมบอกว่า ที่มันแปลกก็คือว่า เนื่องจากพฤติการณ์เหล่านี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ส่งฟ้องไปเอง ถ้าเป็นคนอื่นไม่พูดถึงผม ยังไม่ค่อยได้ติดใจนะครับ แต่นี่กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีกับเรื่องคดีก่อการร้าย กับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้น แต่เมื่อวานนี้ในคำบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่มี
ที่สำคัญที่สุด แม้แต่คำสั่งศาลที่วินิจฉัยว่าการชุมนุมนั้นเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย ก็ไม่พูดถึง ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายอะไรนะครับ ก็มีการแจ้งข้อหาในคดีนั้นไป แล้วก็คดีอีก 2 คดี ก็มีการแจ้งข้อหาเรื่องการบริจาคเงิน 20,000 บาท 21 เดือน ที่บอกว่าผมไม่ได้ทำเป็นเช็คขีดคร่อม ผิดกฎหมายพรรคการเมือง ผมก็เพิ่งทราบว่าเรื่องแบบนี้ต้องเป็นคดีพิเศษ”
เมื่อถามว่ าคดีเรื่องของเงินบริจาคน้ำท่วม เคยมีนักวิชาการติงไว้ว่าไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ DSI โดย DSI ทำเกินอำนาจตัวเองจริงหรือไม่
“คือทั้ง 2 คดีที่เกี่ยวกับการบริจาคเงินเข้าพรรค กับเรื่องน้ำท่วม ถูกหยิบขึ้นมาเป็นคดีพิเศษโดยมติของคณะกรรมการคดีพิเศษ คือกฎหมายนั้นเปิดช่องเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าคดีไหนที่จะให้เป็นคดีพิเศษ ถ้าคณะกรรมการมีมติให้เป็น มันก็เป็น เพียงแต่ว่าข้อสงสัยก็คือว่า คณะกรรมการชุดนี้ใช้ดุลยพินิจอย่างไร คือจริงอยู่เขาเขียนว่า ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการได้ แต่ตามความเข้าใจผมนั้น การจะใช้อำนาจ มันก็ต้องมีหลักของมัน ที่เขาเขียนไว้นั้น เขากลัวเพียงแค่ว่า ไอ้ความผิดที่เขาระบุไว้ในกฎหมาย ซึ่งมีลักษณะใจความซับซ้อน เช่นทำเป็นกระบวนการสอบสวนไปแล้วจะมีปัญหากับเรื่องนั้น เรื่องนี้ ก็คดีดังต่อไปนี้เป็นคดีพิเศษ เขาก็กลัวว่าเขียนไม่ครบ เขาก็เขียนเป็นเหมือนกับอนุ หรือวงเล็บสุดท้ายเอาไว้ว่า คดีที่คณะกรรมการกำหนดให้เป็น แต่ผมเข้าใจว่ากรรมการก็ควรจะพิจารณาว่า ลักษณะที่จำเป็นต้องเป็นคดีพิเศษนั้น มันก็จะมีแนวของมันอยู่ ผมก็มองไม่เห็นจริงๆ ว่าคดีที่มาพยายามเล่นงานผมกับพรรคประชาธิปัตย์อยู่นี้ มันพิเศษยังไง แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือว่า ทั้ง 2 กรณี เป็นกรณีที่ กกต. เขารักษากฎหมาย แล้วเขาก็สอบเรื่องนี้อยู่แล้วด้วย เพราะคุณเรืองไกร ก็ร้องไปทุกที่ครับ”
เมื่อถามว่า จากทั้ง 2 ข้อกล่าวหานั้น ข้อกล่าวแรกโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต กับข้อกล่าวหาเรื่อง 20,000 บาท 21 เดือน ที่คุณอภิสิทธิ์บริจาคให้พรรค อาจจะนำไปสู่การยุบพรรค หัวหน้าพรรคถูกตัดสินประหารชีวิต พรรคก็ต้องถูกยุบ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ก็ต้องเรียนตรงๆ ว่าเป้าหมายของเขาก็เป็นเป้าหมายในทางการเมืองแบบนั้น ทีนี้เอาตัวผมก่อน แล้วก็ไปเกี่ยวถึงพรรค ผมยืนยันอย่างนี้นะครับ คุณเอาผมไปประหารชีวิต พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังอยู่ คุณเอาผมไปประหารชีวิต คนที่เขาจะต่อสู้ตามอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ยังมีอีกเป็นหมื่นเป็นแสน พรรคประชาธิปัตย์ไม่ตายหรอกครับ ยืนหยัดต่อสู้ แล้วก็อย่างที่ผมบอก ผมกับคุณสุเทพ บอกผม 2 คนว่าจะโดนประหารชีวิต ผมก็ไม่ต่อรอง ยินดี ถ้าศาลตัดสินว่าผมผิดจริง สมควรตาย สมควรประหารชีวิต ผมก็ต้องยอมรับคำตัดสินนั้น ส่วนพรรคนั้นผมก็ยืนยันนะครับว่า ในทั้ง 2 เรื่อง มันไม่มีเหตุอะไรเลยที่จะมาเกี่ยวข้องยุบพรรคประชาธิปัตย์
พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำอะไรผิด คณะกรรมการบริหารพรรคก็ไม่ได้ไปทำอะไรที่ขัดกับกฎหมาย ที่จะมีผลในเรื่องของการยุบพรรคเลย เพราะฉะนั้น เขาก็ต้องพยายามละครับ แล้วผมรู้ว่า พยายามโยนทุกอย่างใส่มา แล้วถึงเวลา สมมติว่าพอผมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ในชั้นศาลบ้าง ในชั้นองค์กรอิสระบ้าง เขาก็จะไปใช้วาทกรรมเดิม 2 มาตรฐาน ประชาธิปัตย์ทำอะไรก็ไม่ผิด อะไรทำนองนี้ คงเคยได้ยินอยู่แล้ว อันนี้คือเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองของเขา
เพราะฉะนั้นอย่าหวั่นไหวครับ พวกผมก็มั่นคง แล้วผมก็ต้องขอบคุณที่มีพี่น้องประชาชน สมาชิกพรรคแล้วก็ประชาชนทั่วไปที่มาให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมาก แล้วก็ไม่ได้ก่อเหตุวุ่นวายอะไรทั้งสิ้น”