ในที่สุด พรรคร่วมรัฐบาลก็ค้นพบ ทางออก เกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามข้อเสนอของคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล โดยอาจให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ก่อนที่จะเดินหน้าให้รัฐสภาลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 ที่ยังค้างอยู่ แต่ต้องทำความเข้าใจกับสังคมให้ชัดเจนว่า มิให้เรียกร้องความรับผิดชอบจากคณะรัฐมนตรี ถ้าประชามติไม่ผ่าน
มติของคณะทำงานร่วมพรรครัฐบาล ยังได้ขอทำความเข้าใจกับสังคมอีกด้วยว่า ไม่ว่าผลประชามติจะออกมาในทางใด ทุกฝ่ายต้องยอมรับว่ารัฐสภา ทรงไว้ซึ่งอำนาจที่จะแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่สอดคล้องต่อหลักนิติธรรมตลอดไป แสดงว่าผลของประชามติไม่เป็นเด็ดขาด แต่อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่รัฐสภา
การออกเสียงประชามติเป็นเรื่องใหญ่พอๆกับการเลือกตั้งทั่วไป เพราะจะต้องทำพร้อมกันทั่วประเทศ มีหน่วยเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่รัฐ พอๆกับการเลือกตั้งใหญ่ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลพร้อมที่จะให้มีการลงประชามติ เพื่อถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่มีข้อแม้ว่าถึงประชาชนส่วนใหญ่จะคัดค้าน แต่รัฐสภาก็ยังแก้ไขได้
เงื่อนไขสำคัญอีกประการหนึ่ง คือการที่พรรคร่วมรัฐบาลขอทำความเข้าใจกับประชาชน ขอให้ยกเว้นไม่เรียกร้องความรับผิดชอบจากคณะรัฐมนตรี ถึงแม้เสียงข้างมากจะคัดค้านการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นการยกเว้นกติกามารยาทของระบบรัฐสภา ที่ถือปฏิบัติกันว่า ถ้าร่างกฎหมายหรือญัตติสำคัญที่เกี่ยวกับการบริหารประเทศ ไม่ผ่านรัฐบาลต้องลาออก
เหตุที่พรรคร่วมรัฐบาลขอยกเว้น ไม่ให้คณะรัฐมนตรีลาออก ถ้าเสียงข้างมากของประชาชนไม่ผ่านประชามติให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 165 เขียนไว้ว่า การออกเสียงประชามติเพื่อชี้ขาดเรื่องใด จะต้องตัดสินด้วย “เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง” คือกว่า 23 ล้านเสียงขึ้นไป คาดว่าผู้มีสิทธิ์ออกเสียงคราวนี้ อาจจะเพิ่มเป็น 47 ล้านคน
รัฐบาลจึงหวั่นกลัวว่า อาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนเกิน 23 ล้านคน เพราะเป็นการลงมติสอบถามความเห็นเกี่ยวกับกระดาษเปล่าๆ ยังไม่มีร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นตัวตน แต่ให้ลงมติว่า “เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย” จึงเชื่อว่าจะมีคนมาใช้สิทธิ์น้อย แม้แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคเพื่อไทยก็ได้เพียง 15.7 ล้านเสียง จากผู้ออกเสียง 35.2 ล้านคน
ส่วนการที่พรรคร่วมรัฐบาลสงวนสิทธิที่จะให้รัฐสภาเดินหน้าแก้ไขหรือจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต่อไป ถึงแม้เสียงข้างมากของประชาชนจะไม่ผ่านประชามติ จะทำให้การออกเสียงของประชาชนไร้ความหมาย แม้ประชาชนอาจจะออกเสียงคัดค้านกว่า 23 ล้านเสียง แต่เสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภาแค่กว่า 300 เสียง ใหญ่กว่าเสียงประชาชน เรียกว่าประชาธิปไตยหรือ?
บทบรรณาธิการไทยรัฐ
17 ธ.ค. 2555
0000
ข้อมูลเดิม การลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ 2550
![Posted Image](http://sphotos-e.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/c0.0.403.403/p403x403/382037_122799894551138_79801513_n.jpg)
น่าหนักใจสำหรับพรรคขี้ข้า...
ตอนนั้นรณรงค์ต้านร่างรัฐธรรมนูญเต็มที่ จ่ายหัวละ 50 บาท ก็ได้แค่ 10 ล้านเสียง...
งานใหม่ต้องหาเสียงเพิ่มให้คนมาลงคะแนนเป็น 23 ล้าน ต้องออกแรงมากกว่าเดิม 13 ล้านเสียง....
ก็เหมือนเข็นครกขึ้นเขา!
มองอีกมุมก็แค่ลากเวลาให้รัฐบาลยืนอยู่ต่อป ก่อนที่ ปปช.จะชี้มูลความผิด รัฐบาลโคตรโกง
เท่านั้นเอง
แคน ไทเมือง
![Posted Image](http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-ash4/371919_100004633843224_1323839952_q.jpg)
Suwit Kotasin