มู้นี้ตรงกว่า... มู้ก่อนขออภัย...
งานนี้ ต้องนี่...
ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวได้บันทึกการสนทนาระหว่าง พิธีกรและท่าน ว.วชิรเมธี โดยพิธีกรได้ถามว่า"จริงหรือไม่ ถ้ามนุษย์นั่งสมาธิขั้นสูงแล้ว จะเหาะได้ ลอยได้" ทางท่าน ว.วชิรเมธี ตอบว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในแวดวงศาสนา แต่เขาไม่พูดกันเพราะมันไม่มีราคา เมื่อสมัยก่อนมนุษย์ไม่ได้เดินเท้า หรือใช้เครื่องบิน แต่อย่างใด เขาใช้วิธีเหาะเหินเดินหาว เพราะจิตเขามีวิวัฒนาสูงสุด เขาไม่ได้มีวัตถุมารองรับกาย เพราะเป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้วว่า จิตมีอำนาจมากขนาดนั้น
...เรื่องบรรลุพลังจิตขั้นสูงแล้วเหาะได้หรือไม่ เรื่องนั้นเป็นอีกเรื่อง...
ลองมาดูคลิปนี้กัน
คลิปนี้ไม่ใช่การเหาะนะครับ แต่เป็นการวิ่งที่เรียกว่า Free Running เป็นเหมือนสตั๊นต์กลายๆ
แต่ที่ให้ดูก็คือ นี่เป็นอีกแนวคิดหนึ่งของการวิ่ง ที่ไม่ใช่เป็นการใช้กล้ามเนื้อล้วนๆอย่างการจ๊อกกิ้ง
หรือการสปรินท์ หรือวิ่งมาราธอนที่เราคุ้นเคยกัน แต่เป็นการวิ่งโดยอาศัยการ Flow ของพลังงานจลน์
การฝึกกล้ามเนื้อนั้น เน้นไปที่การควบคุมกล้ามเนื้อให้เลื่ือนไหลตามการเคลื่อนไหวได้โดยไม่เกิดการขัดขวาง
ซึง่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บ ฉีกขาด เรียกว่าใช้พลังกล้ามเนื้อน้อยมาก จะเห็นว่าพวกนี้กระโดดข้ามตึก
หรือกระโจนลงมาจากความสูงระดับตึกสามชั้นได้โดยไม่เป็นอันตรายเลย
นอกจากสนใจเรื่องพุทธ ผมก็สนใจเรื่องชี่กง หรือกังฟูจีนอยู่บ้าง ในแง่ของสุขภาพ และเคยข้องใจเรื่องของวิชาตัวเบา
ว่ามีจริงหรือ แต่พอเห็นฟรีรันนิ่งเข้า ผมก็ถึงบางอ้อว่าที่แท้วิชาตัวเบามันก็น่าจะเป็นแบบนี้นี่เอง
ขณะที่ในเชิงวิทยาศาสตร์ ระบุว่าการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่สมองสั่งไปที่ประสาท และประสาทสั่งต่อไปที่กล้ามเนื้อ
แต่วิชากังฟูจีนสอนว่า การเคลื่อนไหวเริ่มที่เจตจำนง (อี้) ที่จะไปควบคุมชี่ (ผมคิดว่าในเชิงตะวันออกชี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าธาตุลม)
และเมื่อธาตุลมหรือชี่เคลื่อน ร่างกายจึงเคลื่อนตาม นักกังฟูหรือคนที่ฝึกกายกรรม หรือพวกนักเต้นรำที่ฝึกฝนไปถึงขั้นหนึ่ง
จะสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ และสามารถเคลื่อนไหวกายได้อย่างที่คนธรรมดาไม่อาจทำได้
มอริเฮย์ อุยาชิบะ ปรมาจารย์ไอกิโด ในวัยเก้าสิบกว่า ต้องหามไปโรงฝึก แต่พอถึงโรงฝึก แกก็ลุกขึ้น จับลูกศิษย์ทุ่มเป็นว่าเล่น
แล้วขากลับก็ให้ลูกศิษย์หามกลับ นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
ผมเอง ฝึกชี่กงเล่นๆ ในแง่ของรักษาสุขภาพมากกว่า แต่ก็ทำอะไรเล่นๆได้นิดหน่อย เช่นสมัยทำเสิร์ฟอยู่ญี่ปุ่นก็แบกถังขยะร้านสุกี้
หนักร่วมร้อยกว่าโลวิ่งขึ้นบันไดให้เด็กญี่ปุ่นเหวอเล่นบ่อยๆ
ก็เลยเข้าใจโลกในแง่ที่ว่า โลกนี้อยู่ที่มุมมองของคุณ ถ้าคุณมองมันแง่หนึ่ง คุณก็จะจำกัดตัวเองอยู่ในแง่นั้น และด้วยข้อบังคับนั้นๆ
แต่ถ้าคุณมองมันในแง่อื่น ในทฤษฎีอื่น โลกก็อาจจะตอบสนองในแง่มุมที่ต่างออกไปที่อาจทำให้คนอื่นๆตาค้าง ทั้งๆที่มันก็คือ
กฎธรรมชาติอีกกฎหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้ฝืนธรรมชาติตรงไหน
ถ้าคนที่อาศัยเจตจำนงระดับหนึ่ง ควบคุมการโฟลวของพลังงานจลน์ได้ระดับหนึ่งทำได้แค่นี้ ผมก็อยากรู้อยู่เหมือนกันว่าถ้าคนที่มีสมาธิในระดับฌาณ
ที่ควบคุมธาตุลมแล้วเล่นกับมันได้อย่างใจคิด จะทำอะไรแปลกๆที่มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ ได้แค่ไหน
...โลกนี้ไม่ได้มีแค่ที่ตาคุณเห็นหรอกครับ....
Edited by isa, 18 December 2012 - 13:50.