ทักษิณ..พ่อพระคนจน !!!!!
#1
ตอบ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:12
จากเพจของสมจิตต์ นวเครือสุนทร
6 ปี แห่งมายาภาพ ทักษิณ พ่อพระคนจน
ทั้งที่ทำลายฐานราก ละเลงภาษี ก่อหนี้ประชาชน
(ขอบคุณ Jerksak ที่รวบรวมข้อมูลในเวปไซด์)
http://www.fringer.o.../wholetruth.pdf
ในยุคทักษิณมีการปั่นกระแสจนคนรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ความจริงแล้วเศรษฐกิจไทยระหว่าง 2545-2548 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.8 ใกล้เคียงกับประเทศอื่นในอาเศียน อีกทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศที่ ทักษิณ อ้างว่าเพิ่มจาก 32661 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น 58,000 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น ข้อเท็จจริงคือ การเพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เกิดจาก ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือ ธปท. เข้าไปดูแลค่าเงินถึงแม้จะเสียไปจากการดูดซับสภาพคล่องบ้าง ซึ่งหากจะใช้เรื่องเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นเกณฑ์วัดความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจแล้ว ยุคพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ รัฐบาลที่มาจาก คมช. ซึ่งถูกปั่นกระแสว่าทำให้เศรษฐกิจไทยล้าหลังจนมีวลีโฆษณาชวนเชื่ออกมาทำลาย รัฐบาลขิงแก่ว่า “จน เครียด คิดถึงทักษิณ” นั้นตัวเลขสุงกว่ารัฐบาลทักษิณ จาก 6 หมื่นล้านเป็น 9 หมื่นล้าน USD คือเพิ่มขึ้นถึง 3 หมื่นล้าน กระทั่งในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เงินทุนสำรองเพิ่มสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท จาก 110,000 ล้านเป็น 190,000 ล้านUSD
อีกทั้งมูลค่าการส่งออกที่รัฐบาลทักษิณคุยโม้ว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 นั้น เกือบครึ่่งหนึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่เกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ซึ่งหากไม่มีผลจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็จะพบว่าการส่งออกเพิ่มเพียงร้อยละ 8.9 ในเดือนกรกฎาคม 2549 มิหนำซ้ำอัตราการเติบโตของการส่งออกตั้งแต่ต้ปี 2549 กลับมีแนวโน้มละลงเรื่อย ๆ ด้วยโดยตั้งต่ปี 2548 ไทยมีดุลการค้าเป็นบวกเพียง 2 เดือนเท่านั้น ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดโลกของสินค้าเกษตรไทยก็ลดลงจากยุครัฐบาลชวน 2 ในปี 2543 จากร้อยละ 2.2 เหลือร้อยละ 2.08 ในปี 2547 ขณะเดียวกันพบว่าการกู้ยืมเงินของรัฐสูงขึ้นแย้งเม็ดเงินลงทุนของภาคเอกชนด้วยโดยในปี 2548 ไทยมีหนี้สาธารณะรวมตราสารหนี้กองทุนน้ำมัน 22,000 ล้านบาท และหนี้กองทุนพื้นฟู 900,000 ล้านบาท
ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ภาคธุรกิจอ่อนแอลงมีแต่ธุรกิจในระบบอุปถัมภ์ที่เป็นเครือข่ายของรัฐบาลทักษิณเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะ SHIN และ ADVANCE รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ผูกขาด หรือสัมปทาน ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจตัวจริงคือนักการเมืองในรัฐบาลนั่นเอง
ที่น่าสนใจคือ ทักษิณ มักจะโอ้อวดว่าเป็นคนเข้ามากวาดล้างความยากจนออกจากประเทศไทยซึ่งล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงก็คือในยุคทักษิณ ตั้งแต่ปี 44-47 หนี้ครัวเรือนเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 10.3 ต่อปี ในขณะที่รายได้เพิ่มเฉลี่ยเพียงร้อยละ 4.4 ต่อปีเท่านั้น ผลพวงดังกล่าวทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนลดลงด้วย โดยสัดส่วนหนี้ต่อรายได้พุ่งจาก 5.5 เท่าในปี 44 เป็น 7.1 เท่าในปี 47 และเพิ่มเป็น 9-10 เท่าในปี 49 ขณะที่สถิติการออมในประเทศต่ำลงอย่างน่าใจหาย ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาเงินจากต่างชาติมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางไม่ยั่งยืน
ทั้งนี้เป็นเพราะนโยบายประชานิยมที่ ทักษิณ ใช้ภาษีประชาชนไปสร้างหนี้บุญคุณกับชาวบ้านด้วยการแจกเงินกู้ผ่านกองทุนฯต่าง ๆ นั้นทำให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยโดยเฉพาะการใช้จ่ายไปกับโทรศัพท์มือถือ และการซื้อรถจักรยานยนต์ รวมถึงรถยนต์ ซึ่งล้วนแต่เป็นธุรกิจที่นักการเมืองในรัฐบาลเป็นเจ้าของทั้งสิ้น โดยพบว่าค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ามือถือจากปี 2543 อยู่ที่ 14.9% เพิ่มเป็น 21.7% ในปี 47 ในขณะที่การออมลดลงอย่างต่อเนื่องโดยระหว่างปี 2544-2546 การออมทั้งประเทศติดลบ 5.1% หากแยกภาคครัวเรือนออกมาจะพบว่าติดลบถึง 5.4% ขณะเดียวกันฐานะทางการคลังของรัฐบาลก็มีปัญหาเรื่องงบกระแสเงินสดในเดือน พ.ย.47 แสดงการขาดุลกว่า 57,000 ล้านบาท แต่การรายงานฐานะทางการคลังของรัฐบาลกลับอันตรธานหายไปตั้งแต่ พ.ย. 47 โดยไม่มีการรายงานจากเว็บกระทรวงการคลังอีกเลยในช่วงที่ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นแล้วว่าความจริงทางเศรษฐกิจในยุคทักษิณนั้น มีแต่การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจากนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนให้ประชาชนเป็นหนี้ผ่านประชานิยมผลาญภาษีประเทศ ประเภทที่เรียกว่าทำให้ประชาชนอ่อนแอ อยู่ในสภาพ แบมือขอ รอของแจก แบกหนี้สิน แต่การปั่นกระแสผ่านสื่อมวลชนกลับสร้างความเชื่อมากลบเกลื่อนความจริงที่ว่าประชาชนเป็นหนี้มากขึ้นในยุคทักษิณ เป็นยุคทักษิณทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ ซึ่งผู้เขียนมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า หากไม่เกิดการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 ปล่อยให้ ทักษิณ บริหารประเทศต่อไปความอ่อนแอทางเศรษฐกิจไทยจะเพิ่มมากขึ้น จนคนไทยตื่นรู้เท่าทันได้ว่า ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่มายาภาพ แต่ของจริงคือ รัฐบาลทักษิณนอกจากไม่ได้เก่งในการบริหารเศรษฐกิจแล้ว ยังขาดธรรมาภิบาลที่ดีในการสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของไทยอ่อนแอลงด้วย
ถ้าไม่มีการรัฐประหาร เศรษฐกิจไทยอาจพังคามือทักษิณ
- idolation and อาวุโสโอเค like this
"กูจะสู้แม้รู้ว่าพวกกูน้อย สู้ไม่ถอยแม้รู้ว่าจะดับสลาย แผ่นดินนี้พ่อกูอยู่ปู่กูตาย กูสุดอายถ้าเสียทีไพรีครอง"
#2
ตอบ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:17
เหมาะกับพี่น้องเสื้อแดงที่ไม่ชอบอ่านหนังสือที่เกิน3บรรทัด
"กูจะสู้แม้รู้ว่าพวกกูน้อย สู้ไม่ถอยแม้รู้ว่าจะดับสลาย แผ่นดินนี้พ่อกูอยู่ปู่กูตาย กูสุดอายถ้าเสียทีไพรีครอง"
#4
ตอบ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:26
#6
ตอบ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:29
Edited by อู๋ ฮานามิ, 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:30.
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#7
ตอบ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:35
#8
ตอบ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 18:45
ทั้งที่เราก็เห็นแทบจะทั่วโลกยอมรับที่จะเปิด bibf กัน
มันจะทำให้เราคิดก่อนพูดได้ดีขึ้น เมื่อเชื่อว่าคำพูดที่ออกไปเหล่านั้นคือคำที่เราจะได้ยินเองในอนาคต
และถ้าเราจะทำดีได้มากขึ้น เมื่อเชื่อว่าเราจะได้เจอสิ่งดีๆในอนาคต
แม้ว่าวันนี้เราจะยังไม่เห็นว่ามันดีอย่างไรแต่อย่างน้อยทำให้เราผ่านวันนี้ไปได้อย่างราบรื่น
#9
ตอบ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 19:11
#11
ตอบ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 22:48
ติดคุกสักสองปีเป็นอย่างน้อย
ลูกสมุนคงตรึม
#12
ตอบ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 08:00
#13
ตอบ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 08:06
นช.ทักษิณ แปรรูปปตท.เพื่อให้ประชาชนคนยากคนจนได้ใช้ในราคาที่ถูกลง
เงินมืด 3 ล้าน ล้านบาทที่ได้จากน้ำมันเถื่อนไม่ผ่านมิเตอร์ก็เอาไปช่วยคนจน
Tam-mic-ra ฟันธง! คำว่า "โดนพริกไทยมั๊ง" น่ะ แค่นี่เอามาเป็นหลักฐาน ได้ยังไงครับ ..... คิดครับคิด จากกระทู้แก้ข่าวหน้า 2 qoute #96 ใครยิงวสันต์-ภู่ทอง แอลพีจีทำมาจากซี2ซี3
#15
ตอบ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 08:14
Edited by redfrog53, 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 08:15.
#17
ตอบ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 08:26
หากมันกลับเมืองไทย
ติดคุกสักสองปีเป็นอย่างน้อย
ลูกสมุนคงตรึม
ลูกสมุน หรือ ผัว
" ประกาศบอยคอต ช่อง 3 ไม่ว่าจะข่าว ละคร หรือการ์ตูนลูก กรูไม่ดู !!! "
ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน