

จากเพจของสมจิตต์ นวเครือสุนทร
6 ปี แห่งมายาภาพ ทักษิณ พ่อพระคนจน
ทั้งที่ทำลายฐานราก ละเลงภาษี ก่อหนี้ประชาชน
(ขอบคุณ Jerksak ที่รวบรวมข้อมูลในเวปไซด์)
http://www.fringer.o.../wholetruth.pdf
ในยุคทักษิณมีการปั่นกระแสจนคนรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ความจริงแล้วเศรษฐกิจไทยระหว่าง 2545-2548 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.8 ใกล้เคียงกับประเทศอื่นในอาเศียน อีกทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศที่ ทักษิณ อ้างว่าเพิ่มจาก 32661 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น 58,000 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น ข้อเท็จจริงคือ การเพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เกิดจาก ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือ ธปท. เข้าไปดูแลค่าเงินถึงแม้จะเสียไปจากการดูดซับสภาพคล่องบ้าง ซึ่งหากจะใช้เรื่องเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นเกณฑ์วัดความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจแล้ว ยุคพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ รัฐบาลที่มาจาก คมช. ซึ่งถูกปั่นกระแสว่าทำให้เศรษฐกิจไทยล้าหลังจนมีวลีโฆษณาชวนเชื่ออกมาทำลาย รัฐบาลขิงแก่ว่า “จน เครียด คิดถึงทักษิณ” นั้นตัวเลขสุงกว่ารัฐบาลทักษิณ จาก 6 หมื่นล้านเป็น 9 หมื่นล้าน USD คือเพิ่มขึ้นถึง 3 หมื่นล้าน กระทั่งในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เงินทุนสำรองเพิ่มสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท จาก 110,000 ล้านเป็น 190,000 ล้านUSD
อีกทั้งมูลค่าการส่งออกที่รัฐบาลทักษิณคุยโม้ว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 นั้น เกือบครึ่่งหนึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่เกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ซึ่งหากไม่มีผลจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็จะพบว่าการส่งออกเพิ่มเพียงร้อยละ 8.9 ในเดือนกรกฎาคม 2549 มิหนำซ้ำอัตราการเติบโตของการส่งออกตั้งแต่ต้ปี 2549 กลับมีแนวโน้มละลงเรื่อย ๆ ด้วยโดยตั้งต่ปี 2548 ไทยมีดุลการค้าเป็นบวกเพียง 2 เดือนเท่านั้น ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาดโลกของสินค้าเกษตรไทยก็ลดลงจากยุครัฐบาลชวน 2 ในปี 2543 จากร้อยละ 2.2 เหลือร้อยละ 2.08 ในปี 2547 ขณะเดียวกันพบว่าการกู้ยืมเงินของรัฐสูงขึ้นแย้งเม็ดเงินลงทุนของภาคเอกชนด้วยโดยในปี 2548 ไทยมีหนี้สาธารณะรวมตราสารหนี้กองทุนน้ำมัน 22,000 ล้านบาท และหนี้กองทุนพื้นฟู 900,000 ล้านบาท
ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ภาคธุรกิจอ่อนแอลงมีแต่ธุรกิจในระบบอุปถัมภ์ที่เป็นเครือข่ายของรัฐบาลทักษิณเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะ SHIN และ ADVANCE รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ผูกขาด หรือสัมปทาน ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจตัวจริงคือนักการเมืองในรัฐบาลนั่นเอง
ที่น่าสนใจคือ ทักษิณ มักจะโอ้อวดว่าเป็นคนเข้ามากวาดล้างความยากจนออกจากประเทศไทยซึ่งล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงก็คือในยุคทักษิณ ตั้งแต่ปี 44-47 หนี้ครัวเรือนเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 10.3 ต่อปี ในขณะที่รายได้เพิ่มเฉลี่ยเพียงร้อยละ 4.4 ต่อปีเท่านั้น ผลพวงดังกล่าวทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนลดลงด้วย โดยสัดส่วนหนี้ต่อรายได้พุ่งจาก 5.5 เท่าในปี 44 เป็น 7.1 เท่าในปี 47 และเพิ่มเป็น 9-10 เท่าในปี 49 ขณะที่สถิติการออมในประเทศต่ำลงอย่างน่าใจหาย ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาเงินจากต่างชาติมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางไม่ยั่งยืน
ทั้งนี้เป็นเพราะนโยบายประชานิยมที่ ทักษิณ ใช้ภาษีประชาชนไปสร้างหนี้บุญคุณกับชาวบ้านด้วยการแจกเงินกู้ผ่านกองทุนฯต่าง ๆ นั้นทำให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยโดยเฉพาะการใช้จ่ายไปกับโทรศัพท์มือถือ และการซื้อรถจักรยานยนต์ รวมถึงรถยนต์ ซึ่งล้วนแต่เป็นธุรกิจที่นักการเมืองในรัฐบาลเป็นเจ้าของทั้งสิ้น โดยพบว่าค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ามือถือจากปี 2543 อยู่ที่ 14.9% เพิ่มเป็น 21.7% ในปี 47 ในขณะที่การออมลดลงอย่างต่อเนื่องโดยระหว่างปี 2544-2546 การออมทั้งประเทศติดลบ 5.1% หากแยกภาคครัวเรือนออกมาจะพบว่าติดลบถึง 5.4% ขณะเดียวกันฐานะทางการคลังของรัฐบาลก็มีปัญหาเรื่องงบกระแสเงินสดในเดือน พ.ย.47 แสดงการขาดุลกว่า 57,000 ล้านบาท แต่การรายงานฐานะทางการคลังของรัฐบาลกลับอันตรธานหายไปตั้งแต่ พ.ย. 47 โดยไม่มีการรายงานจากเว็บกระทรวงการคลังอีกเลยในช่วงที่ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นแล้วว่าความจริงทางเศรษฐกิจในยุคทักษิณนั้น มีแต่การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจากนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนให้ประชาชนเป็นหนี้ผ่านประชานิยมผลาญภาษีประเทศ ประเภทที่เรียกว่าทำให้ประชาชนอ่อนแอ อยู่ในสภาพ แบมือขอ รอของแจก แบกหนี้สิน แต่การปั่นกระแสผ่านสื่อมวลชนกลับสร้างความเชื่อมากลบเกลื่อนความจริงที่ว่าประชาชนเป็นหนี้มากขึ้นในยุคทักษิณ เป็นยุคทักษิณทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ ซึ่งผู้เขียนมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า หากไม่เกิดการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 ปล่อยให้ ทักษิณ บริหารประเทศต่อไปความอ่อนแอทางเศรษฐกิจไทยจะเพิ่มมากขึ้น จนคนไทยตื่นรู้เท่าทันได้ว่า ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่มายาภาพ แต่ของจริงคือ รัฐบาลทักษิณนอกจากไม่ได้เก่งในการบริหารเศรษฐกิจแล้ว ยังขาดธรรมาภิบาลที่ดีในการสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของไทยอ่อนแอลงด้วย
ถ้าไม่มีการรัฐประหาร เศรษฐกิจไทยอาจพังคามือทักษิณ