ตะกี้นี่ผมดูข่าวภาคค่ำช่อง 9 มีสกู๊ปข่าวเรื่องการทุบศาลฎีกา ที่อยู่ตรงข้ามกับสนามหลวงนี่แหละ
ผมมีข่าวมาแปะด้วย โฆษกศาลยุติธรรมออกมาชี้แจง
http://www.komchadlu...ml#.UNMHW-T0Bdc
'ศาลฎีกา' แจงโครงการทุบทิ้งอาคาร เริ่มตั้งแต่ 2516 ยันกลุ่มอาคารเก่าไม่เคยจดทะเบียนเป็นโบราณสถาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 20 ธ.ค. 55 นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม และนายนิกร ทัสสโร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะผู้พิพากษาหัวหน้าคณะประจำกองผู้ช่วยศาลฎีกา ในฐานะคณะกรรมการแก้ไขปัญหาและข้อขัดข้องการสร้างอาคารใหม่ศาลฎีกา ร่วมกันแถลงข่าว ชี้แจงความเป็นมาโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลฎีกา โดยนายสิทธิ์ศักดิ์ ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2516 ซึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขณะนั้นเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และได้มีการตั้งคณะกรรมการรวม 2 ชุดขึ้นมาพิจารณา โดยคณะกรรมการดังกล่าวเห็นว่าเพื่อโครงสร้างที่มั่นคง ปลอดภัย และเพื่อความเหมาะสมกับผู้พิพากษาผู้ใหญ่ จึงมีความเห็นให้ก่อสร้างอาคารใหม่ได้ โดยให้อาคารมีความสัมพันธ์สอดรับความสง่างามของพระบรมมหาราชวัง และให้เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครด้วย ต่อมาวันที่ 19 ก.ค. 2531 ครม.ก็มีมติอนุมัติการสร้างอาคารใหม่ดังกล่าว ที่ความสูงจะต้องไม่เกิน 32 เมตร ที่คำนวณจากความสูงโดยเฉลี่ยของกลุ่มอาคารบริเวณพระบรมมหาราชวัง
นายสิทธิศักดิ์ กล่าวย้ำว่า การเสนอสร้างอาคารใหม่ศาลฎีกาเน้น 2 หลัก คือ อนุรักษ์ควบคู่การพัฒนา ซึ่งการร่างแบบได้มีการหารือกับ ม.ร.ว.มิตรารุณ เกษมศรี สถาปนิกหลวงเพื่อให้แบบนั้นเป็นไปตามโบราณราชประเพณี ขณะที่แบบอาคารใหม่นั้นก็เป็นแบบไทยประเพณี ตามที่คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกแบบ ขอยืนยันว่า การก่อสร้างนั้นผ่านกระบวนการแสดงความคิดเห็นหลายฝ่ายถึง 14 ครั้ง ทั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่มีมา ฝ่ายกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งไม่มีฝ่ายใดคัดค้าน และยืนยันว่ากลุ่มอาคารเก่าของศาลฎีกานั้นยังไม่มีเคยจดทะเบียนขึ้นเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากรอย่างที่บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตคัดค้าน
นายสิทธิศักดิ์ ระบุอีกว่า การก่อสร้างนั้น จะเก็บอาคารศาลยุติธรรม ด้านหลังพระรูปพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ที่ก่อสร้างเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2484 มูลค่า 300,000 บาท ซึ่งเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดไว้ 1 หลัง ตามข้อตกลงในการก่อสร้าง เพราะอาคารดังกล่าวแสดงความระลึกถึงเอกราชทางศาลโดยสมบูรณ์ของไทย ส่วนไม้เก่า เช่น ไม้สักที่ถูกรื้อจากอาคารจะนำไปเก็บในพิพิธภัณฑ์เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นมา อย่างไรก็ดีการก่อสร้างจะต้องเดินหน้าต่อไปตามมติ ครม. ที่เคยมีมา รวมทั้งตามสัญญาว่างจ้างบริษัท ซิโน-ไทย ส่วนจะมีองค์การใดมาหยุดยั้งการก่อสร้างได้หรือไม่ ตนตอบแทนองค์กรอื่นนั้นไม่ได้ ซึ่งการก่อสร้างนี้ดำเนินมาอย่างรอบคอบแล้ว และมีการวางศิลาฤกษ์ไปตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 35 แล้ว เพียงแต่การดำเนินการก่อสร้างยังไม่ได้ทำทันทีขณะนั้น เนื่องจากเมื่อ ครม.อนุมัติวงเงินก่อสร้าง 2,285,930 ล้านบาทแล้ว แต่ช่วงปี 2535-2537 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ นายประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฎีกาขณะนั้น จึงได้ส่งมอบเงินคืนให้รัฐบาลเพื่อไปใช้บริหารราชการแผ่นดิน
ด้านนายนิกร กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาใดๆ เรื่องการก่อสร้าง กับกรมศิลปากร ซึ่งตนได้เคยพูดคุยกับกรมศิลปากรหลายครั้ง และเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 54 กรมศิลปากรยังมีหนังสือแจ้งมาและก็ไม่ได้คัดค้านใดๆ ตนก็ไม่เข้าใจที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการก่อสร้างนี้เกิดจากสาเหตุใด อย่างไรก็ดีสำหรับการก่อสร้างตามสัญญาจ้างกับเอกชนนั้นเซ็นไว้วันที่ 28 ก.ย. 2555 โดยระยะเวลาสร้างเสร็จจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 กว่าวัน หรือ 3 ปี แต่เนื่องจากศาลได้ส่งมอบพื้นที่ให้กับเอกชนล่าช้าไปจากวันที่ลงนามในสัญญา ดังนั้นจึงอาจเป็นได้ว่าการก่อสร้างเสร็จจะไม่เกิน 5 ปี ซึ่งขณะนี้ได้มีการมอบพื้นที่อาคารศาลอาญากรุงเทพใต้ บริเวณคลองหลอดให้เอกชนเริ่มดำเนินการรื้อถอนแล้ว เพราะอาคารอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก สร้างตั้งแต่ปี 2486 ซึ่งอาคารศาลฎีกาที่อยู่ตรงข้าม ม.ธรรมศาสตร์ จะขอให้รื้อถอนเป็นอาคารสุดท้าย เพราะขณะนี้ยังใช้ดำเนินการอยู่ สำหรับเก็บคำพิพากษาและเป็นที่ทำงานของผู้พิพากษา เขียนคำพิพากษาคดีต่างๆ ที่จะให้เสร็จภายใน 16 ม.ค.56
......................................................................................................................................................................
สำนักข่าวอิศราได้นำข้อความในเฟซบุ๊คของชาตรี ประกิตนนทการ นักวิชาการเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมที่โปรคณะราษฎร์(เพราะผมเคยอ่านงานเขียนของแกในเรื่องสถาปัตยกรรมหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 พอดูสำนวนการเขียนและเนื้อหาที่สื่อออกไป ถึงรู้ว่าเป็นเช่นนั้น)
http://www.isranews....ึก-ศาลฎีกา.html
ผู้ใช้ชื่อ "Chatri Prakitnonthakan" ได้เขียนบันทึกผ่านเฟซบุ๊กไว้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ในหัวข้อ "เหตุผลที่ควรระงับการรื้อกลุ่มอาคารศาลฎีกา (โดยทันที)" เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า ขณะที่ทุกท่านกำลังอ่านข้อความนี้อยู่ กลุ่มอาคารศาลฎีกา กำลังถูกรื้อถอนทำลายลงอย่างเงียบๆ เพื่อสร้างเป็นอาคารศาลฎีการูปทรงสถาปัตยกรรมไทยประเพณีขนาดใหญ่ขึ้นแทนที่
กลุ่มอาคารชุดนี้เริ่มสร้างในปี 2482 (สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม) เพื่อเป็นอนุสรณสถานในการระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยได้รับ “เอกราชทางการศาล” คืนอย่างสมบูรณ์ในปี 2481 นับจากที่ต้องสูญเสียไปตั้งแต่เมื่อครั้งทำสนธิสัญญาเบาริ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 นอกจากนี้ตัวอาคารยังถูกออกแบบก่อสร้างขึ้นด้วยรูปแบบทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่สะท้อนแนวคิดและอุดมคติอย่างใหม่ของสังคมไทยในยุคประชาธิปไตยตามนิยามของ “คณะราษฎร” ซึ่งหลงเหลืออยู่ไม่มากนักในปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุป กลุ่มอาคารศาลฎีกา มิได้มีสถานะเป็นเพียงแค่ตึกอาคารราชการที่เอาไว้ให้เจ้าหน้าที่ศาลนั่งทำงานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองสมัยใหม่ของไทย และมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์พัฒนาการทางศิลปะและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย
...................................................................................................................................................................
ผมมองว่าไม่ควรที่จะรื้อถอน เพราะเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ทางการศาล