Jump to content


Photo

ช่วยคิดหน่อยครับ จิตวิญญาณ กับ ความคิดด้านมืด ที่ฝังอยู่ในใจ ครับ


  • Please log in to reply
13 replies to this topic

#1 ทรงธรรม

ทรงธรรม

    ต่อให้ต้องเรียนจนแก่ ก็จะเรียนต่อไป คนเราพัฒนาได้ทุกคน

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,157 posts

Posted 21 December 2012 - 09:09

คือเรื่องมันเริ่มที่ ระยะหลังนี่ ผมค่อนข้างคิดมาก นะครับ

 

อาจจะเพราะอายุที่มากขึ้นทุกวัน ผมก็จะ 39 ปี แล้ว และด้วยความเป็นคนที่ พื้นฐานชีวิต ค่อนข้างแห้งแล้ง

คือชีวิตจะจำเจมาก ไม่ค่อยจะมีเรื่อง ที่หวือหวาเลย

 

ตื่นเช้า มาทำงาน กลับบ้าน อ่านหนังสือ แล้วก็นอน แบบนี้ทุกวันเลย

 

และด้วยความที่ไม่มีเงินด้วย ก็เลย ต้องงดกิจกรรม อย่างอื่นไปเลย

 

ตอนนี้ ก็คิดอยู่ ว่าชีวิตที่เหลือนี้ อยากจะทำอะไร(นอกจากอ่านหนังสือ) ก็เลยไปคิดถึงคำพูด ของพระ ตอนที่เคยไปนั่งสมาธิ กับ ชมรม

 

เขาพูดถึงเรื่อง จิตวิญญาณ ของคนที่ไม่มีวันตาย และสิ่งที่คนเราทำทุกวันนี้ จะฝัง พฤติกรรม นั้นไปกับวิญญาณของเรา

 

เจ้านายผม เคยพูดว่า บางที เราก็ไม่มีวิญญาณจริงหรอก ที่เราคิดได้ทุกวันนี้ เพราะเรา มีสมอง ผมก็มานั่งคิดว่า ก็จริงเหมือนกัน เพราะ คนที่เป็น สมองพิการ ก็ดูเหมือนจะไม่ได้คิด เท่าไรนัก

 

แต่ก็มีเหตุการณ์ ที่ผมคิดอยู่ ว่าคนเราอาจมีวิญญาณจริง คือ

 

เพื่อนผมที่เป็น แมสเซนเจอร์ เขาไปกินเหล้ากับเพื่อนที่เป็นยาม ปกติ เขาไม่ค่อยเมาหรอก แต่เมื่อวันนั้น ดูเหมือน เขาจะได้รับยาแปลก ๆ ผสมเข้าไปนะ

 

เขาทำอะไรมากมาย ที่ตอนหลังตัวเอง มาบอกว่า ไม่รู้ตัวเลย เอาอะไรติดมือไป ขี่จักรยานยนต์ กลับบ้านไปได้ยังไง ก็ไม่รู้

 

นี่ ทำให้ผมคิด เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ นะครับ อาจจะงงสักหน่อย ว่าเกี่ยวกันอย่างไร

 

คือ มีหลายครั้ง เหมือนกันนะครับ ที่คนเราทำอะไร ไปโดยสัญชาตญาณ อย่างผมเอง เวลาขี่จักรยานไปทำงาน หลายครั้งเลย ที่เหมือนไม่ต้องบังคับด้วยใจเลย ไปเองได้ตลอด ไม่ชนด้วย

 

ถึงเมื่อไร ก็ไม่รู้ และกิจกรรมอีกหลายอย่าง ที่เป็นไปโดย อัตโนมัติ ทำไปโดยจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าทำลงไป

 

ผมคิดว่า จริง ๆ แล้ว สาเหตุ น่าจะมาจาก สมองของคน ที่จริงอาจคล้าย ๆ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ อย่างหนึ่ง ที่สามารถ ระบุ พฤติกรรม เข้าไปได้ บางครั้ง ก็แสดงออกมา โดยไม่ต้องใช้ใจกำกับ

 

 

มีอีกกรณี หนึ่งนะครับ เมื่อวานผมคิดมากเรื่องแม่ กับความอ้วนที่เกินพอดี ผมคิดไม่ตก อัดอั้นใจ ถึงขนาด ปล่อยให้ความคิดด้านมืด ของตัวเอง ออกมาควบคุม จิตใจ อย่างเอาไม่ออกนะครับ

 

ผมคิดจะทำร้ายแม่ ครับ ที่ไม่เชื่อฟัง กับการลดอาหาร (ปกติผมค่อนข้างกลัวเรื่องการทำร้าย ร่างกายนะครับ)

 

บางครั้งเลย ผมคิดว่า ความคิด กับใจคน นี่มันแบ่งออก เป็นหลายส่วนเลยนะครับ

 

1. สมอง ที่ทำหน้าที่ บรรจุความคิดที่ผ่านเข้ามา และนำมันออกมาใช้ได้

2. จิตใจ ที่คอยควบคุม

3. ความคิดด้านมืด ที่สามารถพุ่งออกมา ได้ตลอดเวลา แม้ปกติ จะดูขัดกับอุปนิสัยทั่วไป แต่ก็มีอยู่จริง และเมื่อออกมาแล้ว บางครั้ง ก็ยากที่จะควบคุมได้ (เมื่อคืน ผมใช้เวลาสงบใจ อยู่ เกือบ 2 ชั่วโมงครับ เกือบควบคุมไม่อยู่ด้วย)

 

อยากทราบว่าเพื่อนสมาชิก คิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ

 


ขอให้พวกเรา ชาวหลากสี และพันธมิตร จงมีชีวิตรอด จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฝีมือปูนา ไปตลอดรอดฝั่งด้วยครับ

 

PEMDAS ย่อมาจาก ลำดับการคำนวณ Parentheses , Exponentials , Multiply , Divide , Add , Subtract

 

FWGHSO ย่อมาจาก ลำดับการประเมินผลของ query  FROM, WHERE, GROUP BY, HAVING, SELECT, ORDER BY


#2 Lilith Tear

Lilith Tear

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 277 posts

Posted 21 December 2012 - 10:58

ความคิด คนเรามันคิดได้ร้อยแปดครับ อยู่ที่จะห้ามการกระทำไม่ให้ตามความคิดเราได้มากขนาดไหน ง่ายๆต้องมีสติ ตลอดแหละครับ

เรื่องบางเรื่อง สติขาดก็มีเรื่องราวชกต่อยกันฆ่ากันยิงกัน

 

ส่วนเรื่องเมา แล้วจำอะไรไม่ได้ ผมเคยเป็นบ่อยครับ เค้าเรียกการทำงานว่าเป็นจิตใต้สำนึก เนื่องจากเราขาดสติในการยับยั้งชั่งใจ

ในวงเพื่อนผมเรียกกันว่า auto-pilot กันเล่นๆ เพราะจำไม่ได้เลยว่าไปทำอะไรมาบ้าง ยังดีที่รอดมาได้จนตอนนี้



#3 asawinee

asawinee

    ปฏิรูป ก่อน เลือกตั้ง

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 9,003 posts

Posted 21 December 2012 - 11:30

ข้อแนะนำสำหรับคนที่คิดว่าชีวิตมีแต่ความแห้งแล้ง แถมไม่ค่อยมีตังค์ไปแสวงหาความสุข

 

นำสมุดมาหนึ่งเล่ม จดบันทึกเฉพาะความสุขที่เรามีในหนึ่งวัน ความสุขอะไรก็ได้ จะเล็กน้อย จะไร้สาระ จะเป็นแค่เรื่องขี้ประติ๋วสำหรับคนอื่น ก็ไม่เป็นไร ขอให้เรารู้สึกเป็นสุขกับเรื่องนั้นก็จดลงไป

ทำทุกวันๆ

 

เป็นสมุดจดความสุขโดยเฉพาะ

 

อย่างตัวเราเอง เรื่องที่จดลงไปในสมุดเป็นเรื่องไร้สาระมาก เช่น

  • วันนี้ดอกประดู่ริมทางแถวบ้าน บานเหลืองอร่ามเป็นทิวแถวตลอดแนวถนน  สังเกตดีๆ จะได้กลิ่นหอมอ่อนๆกระจาย สดชื่นจริงๆ
  • วันนี้ อ่านนิยายเรื่อง....... ฮามาก นางเอกโก๊ะได้ใจจริงๆ
  • คำว่า "ทุ้ย" ของคุณโทนี่ ใน สรท. ใหญ่สะใจ ชอบ ชอบ
  • ขวัญควายโดนศาลอุทรณ์สั่ง จำคุก 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา รอลุ้นฏีกาอย่างเดียว ... ข่าวดีของวันนี้

ฯลฯ

 

บางคนมีลูก เด็กๆทำอะไรน่ารัก น่าเอ็นดู ก็ถือว่าเป็นความสุขขอมพ่อแม่ที่ไม่ต้องเสียเิงินซื้อ

ขี่จักรยานไปทำงาน ก็ถือโอกาสชมวิวข้างทาง เห็นอะไรน่ารักสวยงาม เห็นคนแต่งตัวสวยหล่อ นี่ก็เป็นความสุข เพลินตาเพลินใจ

เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน นี่ก็เป็นความสุข

ดูละคร ตอนอวสาน ได้ลุ้นตื่นเต้น สนุกสนาน ก็เป็นความสุข

 

ความสุขอยู่รอบตัวเรานี่เอง

หยิบมันขึ้นมาแล้วบันทึกไว้

 

 

 

จะสังเกตเห็นว่า เวลาที่เรามีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ กินเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ถ้าเราบันทึกไว้

เมื่อมาอ่านใหม่ ก็อดอมยิ้มไปกับความสุขเดิมๆไม่ได้

 

เราเองเวลาเซ็งๆ ก็เอาสมุดจดบันทึกความสุขมาอ่านเรื่องเก่าๆ ทำให้อารมณ์ดีขึ้นทันตา

จนต้องกลับไปบันทึกเพิ่มว่า วันนี้อ่านสมุดบันทึกความสุขแล้วมีความสุขมากกกกก

 

และการจดบันทึกความสุขนี้เอง ทำให้เรารู้จักแสวงหาความสุขที่เรียบง่ายไม่จำเป็นต้องใช้เงิน จากสิ่งรอบตัว

อีกทั้งเราเองก็ไม่มัวแต่ยึดติดกับความว่างเปล่า ความทุกข์ ความแห้งแล้ง จนมองข้ามความสุขที่เรามีไป



#4 MIRO

MIRO

    Praise the Sun

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,883 posts

Posted 21 December 2012 - 13:56

เรื่องความคิดด้านมืด

 

ผมก็ห้ามความคิดตัวเองไม่ได้เหมือนกันครับ

มันเป็นเรื่องยากมากที่จะห้ามความคิด คิดดี คิดชั่ว มันคิดไปได้หมดแหละ

 

เคยนั่งสมาธิเหมือนกัน ก็คิดฟุ้งซ่าน จนไม่เกิดสมาธิ

พระท่านเลยแนะนำว่า ถ้ามันจะคิดก็ให้คิดไปเถอะไม่ต้องฝืน..แต่คิดแล้วให้รู้ว่าคิดอยู่ รู้แล้วก็ปล่อยวางไป

มันก็เลยง่ายขึ้นในการทำสมาธิ..เพราะไม่ต้องฝืน แต่ให้พยายามรู้ทันมัน 

 

คือ อะไรที่แว๊บเขามาจนทำให้ฟุ้งซ่าน มันอยู่ไม่นานกว่าอึดใจหรอก

จะเรื่อง สกปรก ซกม๊ก ลามก มันแว๊บมาในหัวได้หมดแหละ แต่ให้รู้ให้ทันมัน ว่ามันมาแล้วเดี๋ยวมันก็ไป

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง แม้แต่ความคิดชั่ววูบ

 

" ตอนไม่รู้ทันความคิดเหล่านี้ เราจะสับสน พอรู้ทันแล้ว จะควบคุมได้"

อันนี้คนที่ชำนาญแล้วบอกมานะ ผมเองยังไม่ชำนาญ ยังมีคิดฟุ้งซ่านอยู่เรื่อยๆ 555

เรื่องความคิดด้านมืด ผมแนะนำให้แก้ไขแบบนี้แหละครับ..ฝึกจนให้รู้เท่าทันมันว่า มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป และไม่มีสาระอะไรเลย

 

เรื่ิองจิตวิญญาณ ส่วนตัวผมเชื่อว่ามีจริง

สมองไม่สามารถสั่งการได้ทุกอย่าง แต่มีอีกส่วนที่ผมคิดว่ามีส่วนผลักดันให้สมองทำงาน เพื่อให้ร่างกายทำงาน

อย่างโจทย์คณิตย์ศาสตร์ยากๆ มันเหนือความสามารถของสมอง แต่มันก็จะมีแรกผลักดันบางอย่าง พยายามให้สมองคิด คิดให้ออกซิว่ะ!

ผมมองว่ามันคือ "เรา" .. เราที่แฝงอยู่ลึกๆในร่างกาย ในขณะที่ระบบต่างๆของร่างกายกำลังทำงานสอดประสานกันไป

มันอาจดูงมงานนะครับ เพราะไม่มีอะไรมายืนยัน ความเชื่อส่วนตัวล้วนๆครับ


Edited by MIRO, 21 December 2012 - 14:48.

The most valuable things in life are not measured in monetary terms.

The really important things are not houses and lands, stocks and bonds, automobiles and real estate,

but friendships, trust, confidence, empathy, mercy, love and faith.


#5 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

Posted 21 December 2012 - 17:09

คนที่ไม่ได้พบเจอกับประสบการณ์เฉพาะตน หรือไม่เจอก็ได้แต่ขอให้ได้ศึกษามาบ้าง..แต่ก็ไม่เคยศึกษา...

ก็จะคิดว่าวิญญาณไม่มี  ทุกอย่างที่สั่งให้เราทำนั่นทำนี่คือ สมอง

 

เขาลืมไปว่า สมองก็มีวันหมดอายุ สามารถดับได้เมื่อถูกทำลาย

แต่ "จิต" หรือตัว spirit ไม่มีวันดับ  แต่เป็นตัว "บันทึกความทรงจำของการกระทำและและความคิดทั้งหมดของเรา" ข้ามภพข้ามชาติไปกับเราด้วย

เพราะจิตเป็น non-linear คือไม่มีกาลเวลาที่ถูกบังคับว่าต้องเรียงลำดับหรือจบลงแค่ภพชาติเดียว

ดังนั้น สมองตายได้ จิตไม่มีวันตาย  สมองดับได้ แต่จิตไม่ดับ

 

สำหรับจิตด้านมืดที่ท่านทรงธรรมว่า ทุกคนมีครับ

เพียงแต่จะเข้มข้นรุนแรงหรือแผ่วเบา  หรือกระทำตามจิตคิด หรือห้ามการกระทำได้ ก็ขึ้นกับ

1. จิตเดิมที่สะสมมา สะสมมาด้านลบหรือบวก กับ 2. การสะสมความกดดันในชาติปัจจุบัน

 

หากจิตเดิมสะสมมาด้านบวก ได้รับความกดดันแค่ไหนก็จุดติดได้ยาก จะข่มใจได้ ไม่กระทำ

แต่จิตเดิมที่สะสมด้านลบมาปานกลาง หากมาเจอความกดดันสะสมมาหนักหนาสาหัสในปัจจุบัน

(แบบที่เรียกว่า "ทนมานานแล้ว")

ก็สามารถสติหลุด เผลอกระทำตามใจคิดไปได้ เรียกว่า "บันดาลโทสะ"นั่นเองครับ

 

สำหรับคุณแม่ของท่านทรงธรรม... ท่านเลือกแล้วว่าจะทำร้ายตนเองครับ

ท่านทรงธรรมโกรธหรือเจ็บปวดกับ"ทางเลือก"ของคุณแม่ไปก็เปลี่ยนคุณแม่ไม่ได้

ศาสนาพุทธของเราสอนมาดีมาก  "ทุกคนต่างต้องรับผิดชอบการเลือกของตน"

จิตเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แปลว่า..เราเลือกเหตุการณ์ไม่ได้ แต่เรามีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร

เรียกว่า เจตจำนงอิสระ หรือ Freewill

เมื่อคุณแม่เลือกแล้วว่าจะทำร้ายตนเองด้วยการกิน ท่านต้องยอมรับผลที่ตามมาจากทางเลือกของท่าน

ท่านทรงธรรมทำอะไรกับเจตจำนงอิสระของแม่ไม่ได้จริงๆครับ เกินความสามารถ

ส่วนท่านทรงธรรมก็ได้เลือกแล้วว่าจะไม่ทำร้ายแม่

จากนี้ไป ท่านทำได้แค่..ยอมรับว่า...แม่ก็เลือกแล้วว่าจะทำร้ายตนเอง หรือไม่ยอมรับ

 

ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้  แล้วบริหารทางเลือกเฉพาะตนครับ

 

สำหรับความคิดด้านมืด  วิธีแบบพุทธธิเบตคือห้ามข่มครับ

"ปล่อยให้เราระลึกได้ แล้วปล่อยมันไป ไม่ให้มีอิทธิพลในจิตเราอีก"

กลวิธีนี้เป็นการชำระล้างจิตด้านลบที่ดีมากครับ เรียกว่า spiritual cleansing

คือเจริญสมาธิ "ระลึกได้ แล้วปลดปล่อยไป จากนั้นชำระล้างจิตวิญญาณให้สะอาด"

ก็เหมือนที่ ท่าน MIRO ว่าไว้  "ความคิดเกิดได้ ตั้งอยู่ได้ มันก็ดับไปได้ เป็นธรรมดา" ครับ

 

สำหรับคำถามเรื่องการใช้ชีวิตแบบจำเจมาก ไม่มีความสนุกอะไรเลย

วิธีของ คุณอัศวินี เป็นวิธีปลูกฝังความสุขลงในทุกขณะจิตของชีวิตครับ  

พุทธธิเบตจะสนับสนุนการทำแบบนี้มากๆ

คือหัดมีความสุขทุกขณะจิตกับสิ่งเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน

 

ของผมเริ่มฝึกมีความสุขทุกขณะตอนไม่มีเงินเหมือนท่านทรงธรรมเลยครับ

ตอนนั้นทำงานใช้หนี้อย่างเดียว น้ำดื่มผมยังต้องต้มน้ำก๊อกเลยเพราะไม่มีเงินซื้อน้ำเปล่ากินครับ

แต่ผมมีความสุขที่สุดเลย เพราะเรื่องเรียบง่ายนี่แหละ

ผมจะมีสมุดไว้วาดการ์ตูนบ้าง หรือเวลาได้กินกาแฟหอมๆ หรือกินข้าวร้อนๆ ฯลฯ

พุทธธิเบตกับพุทธเซนจะสอนให้เรา "ดื่มด่ำกับความสุขที่อยู่ตรงหน้า"

ตอนนั้น "ตัวรู้"มันจะเกิดครับ

เช่น กลิ่นหอมของกาแฟ ชา  หรือภาวะจิตที่นิ่งและปิติยามวาดการ์ตูน ฯลฯ

ของผมโชคดีหน่อยตรงที่ได้อยู่ตึกสูง ผมใช้เวลาดูพระอาทิตย์ขึ้นกับตกที่ระเบียงแล้วก็มีความสุขครับ

มองลงไปถนนขางล่างเห็นคนไปทำงานกันมากมาย...ดูแล้วมีความสุข แบบไม่ต้องใช้เงินเลย

 

ข้อดีที่ผมฝึกจากการนี้คือ ปกติผมเป็นคนใจร้อ โมโหง่าย แล้วก็ขี้เครียด

ไม่ค่อยมีความสุขกับอะไรง่ายๆ หรือสิ่งเล็กๆ

ต้องทำอะไรใหญ่โต อลังการเสมอถึงจะมีความสุข

ผมดีขึ้นมากเพราะการฝึกแบบนี้เลยครับ  เดี๋ยวผมเห็นลมพัดใบไม้ก็มีความสุขได้ง่ายๆ

 

เมื่อวานนั่งรถไปทำงานตอนเช้า ผมรถติดอยู่ตรงก่อนถึงแยกอโศกอยู่ชั่วโมงเป๊ะ

ใช่แล้ววว ชม.นึงเป๊ะ...กับแยกๆเดียว

แต่ผมเห็นน้องหมาข้างถนนสองตัวเค้าวิ่งไล่กันหูตั้งไปตามฟุตปาธ

เค้าวิ่งเล่นกันน่ะครับ หน้าตาและท่าทางเค้าดูเอ็นจอยมากกับการวิ่งเล่น

ได้เห็นแล้วมีความสุขมากเลย :D

 

แต่เราต้องฝึกนะครับ มันเกิดขึ้นเองไม่ได้ถ้า"จิตเดิม"เราไม่ชิน  เราก็ต้องฝึก ต้องเติมง่ะครับท่าน :)

 

 

 

มาเพิ่มปล.

ท่านทรงธรรมเขียนระบายมาแบบนี้ดีแล้วครับ ถือว่าปลดปล่อยความอัดอั้นออกมาได้

ก็จะโล่งขึ้นนะครับ


Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 21 December 2012 - 17:18.

gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#6 ypk

ypk

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,173 posts

Posted 23 December 2012 - 00:13

เหอ เหอ เหอ  อ่านที่น้าทรงธรรมเล่าแล้ว น้าน่าจะกำลังอยู่ในอาการ เบื่อ นะน้า

เบื่อความซ้ำซากจำเจในชีวิตประจำวันนั่นแหละ เวลาเราเบื่อขึ้นมามันก็จะเริ่มคิด

คิดมาก ๆ มันก็เหมือนกับจะฟุ้งซ่านเลย เพราะคิดไปร้อยแปดพันเก้า  555

 

อันดับแรกน้าก็หาวิธีแก้เบื่อก่อนเลย เบื่ออ่านหนังสือ ลองปลูกต้นไม้เล่น หรือเล่นเน็ต

อย่างทีน้าทำอยู่เนี่ยะ แต่ถ้ามันไม่หายเบื่อ ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ละครับ เพราะชีวิตของน้า

นี่มันก็ดูไม่ค่อยแตกต่างกับคนอีกมากมายนะครับที่วันหนึ่ง ๆ จะมีชีวิตจำเจซ้ำซากอยู่

อย่างเนี๊ยะ 555 ส่วนกิจกรรมที่น้าบอกต้องงดเพราะไม่มีเงินนั้น ความจริงถ้าจะว่าไปแล้ว

มันเป็นส่วนเกินของชีวิตนั่นแหละ เพราะไม่มีกิจกรรมเหล่านั้นชีวิตเราก็อยู่ได้ ตรงกันข้าม

ถ้าเราไปมีกิจกรรมแก้เบื่อ มันอาจทำให้เราเบื่อหนักขึ้นไปอีก เพราะจากเงินไม่ค่อยมีมันอาจ

เปลี่ยนเป็นไม่มีเงินเลยก็ได้นะน้า เก็บเงินไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นดีกว่าน้า 555

 

พระที่บอกน้าเรื่องวิญญาน ผมเข้าใจว่า ท่านพูดถึงวิญญานสุดท้ายนะ คือก่อนตายนั่นแหละ

เพราะคนเราตายแล้วเกิดนะครับ ที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดน้าคงเคยได้ยิน แต่ปัญหามันก็คือ

จะไปเกิดเป็นอะไรนี่ซี มันอยู่ที่จิตสุดท้ายคือเรานึกหรือหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอะไร และกรรมที่เรา

ทำไว้ในชีวิตนี้เป็นอย่างไรนั่นแหละที่จิตสุดท้ายจะนำเราไปเกิดเป็นอะไร 555

 

ส่วนวิญญานที่หัวหน้า น้าบอกนั้น น่าจะเป็นเรื่องของ "การรับรู้"  พระพุทธเจ้าตรัสว่าวิญญาน

เกิดดับตลอดเวลา วิญญานเกิดที่ไหนดับที่นั่น ซึ่งหมายถึงการรับรู้ทางประสาทสัมผัส คือ

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราเห็นภาพทางตา ได้ยินเสียงทางหู ได้กลิ่นทางจมูก รู้รสชาติทางลิ้น

รู้ถึงการสัมผัสทางกาย แล้วมันส่งไปให้ใจ หรือ จิต หรือสมอง หรือประสาท จะเรียกอะไรก็ตาม

ไปปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึก ที่เรียกว่าเป็นอารมณ์ นั่นแหละ มันอยู่ที่เรารับรู้จากประสาททั้งห้า

แล้วเราเอามาปรุงแต่งให้มัน สุข หรือ ทุกข์ หรือ เฉย ๆ  555 

 

น้าลองสังเกตดูนะครับว่า เรารับรู้อะไรเข้ามา มันทำให้อารมณ์ความรู้สึกเราดีหรือไม่ดี อย่างไร

แล้วลองฝึกแก้ไข โดยการกดข่มอารมณ์ก่อนในเบื้องต้น เช่น น้าถูกสัมผัสเพราะมีคนซุ่มซ่ามเดิน

มาเหยียบหัวแม่เท่า แล้วทำเฉยไม่ขอโทษขอโพยอะไร เรารู้สึก จี๊ด ขึ้นมาทันที แต่ถ้าเรามีสตินึกขึ้น

ได้ก็ต้องพยายามข่มความโกรธ ไว้ เพราะความโกรธมันจะนำไปสู่ หายนะอีกหลายอย่างเพราะฉะนั้น

อย่าโกรธ มันเหมือนกับการฝึกจับอารมณ์ความรู้สึกของเราแล้วรีบแก้ไขนั่นแหละฝึกบ่อย ๆ มันก็จะ

เป็นไปได้โดยอัตโนมัติเอง  555

 

ส่วนเพื่อนน้าที่กินเหล้าแล้วขี่รถกลับบ้านได้โดยจำอะไรไม่ได้เลย แต่กลับบ้านได้ ทางธรรมน่าจะ

เรียกว่าเกิดจาก "สัญญา"  สัญญา หมายถึงความรู้สึก หรือความจำได้ หมายรู้ เพื่อนน้าเมาจนสัญญา

เริ่มเลอะเลือนเพราะฤทธิ์แอลกอร์ฮอ มากกว่า แต่ยังไม่ถึงกับ ความรู้สึกมันดับไปเลยเหมือนคนหมด

สติ ก็เลยยังขี่รถได้ แต่ก็เลอะ ๆ เลือน ๆ จำอะไรไม่ค่อยได้นั่นแหละ ความรู้สึกยังมีครับแต่มันน้อย

เต็มทน ซึ่งจะต่างกับกรณีของน้าที่ขี่รถไปทำงานแต่จำอะไรไม่ได้ เพราะของน้านี่เข้าข่าย "ใจลอย"

ความรู้สึกอะไรมีครบ แต่อาจขี่รถไปคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ดูสองข้างทาง มันก็เลยเหมือนจำ

อะไรไม่ได้  แต่สรุปได้เลยว่า "อันตรายทั้งสองแบบ แต่แบบแรกนี่ อันตรายสุด ๆ"  555

 

กรณีแม่ของน้านี่ น้าต้องเลิกเลยนะครับ เพราะแค่คิดก็ผิดแล้วน้า น้าบอก น้าเตือนได้ครับ แต่ถ้าท่าน

ไม่เชื่อ น้าต้องปล่อยครับ ถ้าเป็นผม ผมจะใช้ความพยายามบอกเตือนท่านทุกวันครับ เพราะเป็นการ

ตอบแทนบุญคุณท่านนะครับที่พยายามบอกท่านให้รู้จักรักษาสุขภาพร่างกาย เท่ากับน้าได้ทำบุญให้

แม่ทุกวันเลยนะครับ เตือนด้วยใจที่บริสุทธิและปรารถนาดีครับ แต่อย่าไปตำหนิ หรือทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ

เพราะน้าจะได้สะสมบุญทุกวัน มากกว่าคนอื่น ๆ เลยนะครับ 555555

 

สุดท้ายครับน้า ถ้าน้าเป็นคนชอบอ่านหนังสือ น้าลองหาหนังสือธรรมของท่านพุทธทาส หรือของท่าน

ปยุต มาลองอ่านดูบ้างครับ เพราะสองท่านนี่จะเขียนเรื่องธรรมที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายอ่ะครับ 5555



#7 comma

comma

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 61 posts

Posted 14 January 2013 - 13:57

ผมเชื่อว่าวิญญาณมีอยู่จริง เพราะเรามีความรู้สึกทำอะไรก็มีตัวจับ คือตัวเราที่มีตัวตนอยู่ มิฉะนั้นก็จะเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานไป แต่ไม่ได้มีตัวรู้มาจับว่าทำอะไรอยู่บ้าง
เลยค่อนข้างเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เพราะขนาดร่างกายเรายังรีไซเคิ้ลมาจากดินหรือสิ่งต่าง ๆ เลย เพราะฉะนั้นวิญญาณก็น่าจะต้องเวียนกลับมาใหม่



#8 เคนอิจิ-นามิ

เคนอิจิ-นามิ

    สมาชิกขั้นสูง

  • Banned
  • PipPipPipPip
  • 4,447 posts

Posted 17 January 2013 - 23:19

อืมม
เรื่องจิตวิญญาน ต้องแยกให้ดีว่า หมายถึงอะไร

ขันธ์ 5 มี กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จิต ก็คือ จิต
วิญญาณ คือตัวตน ที่ถูกสร้างขึ้น
การที่เราตั้งใจ(ก็คือจิตนั่นแหละ) ทำอะไรสักอย่าง ด้วยการรู้ตัวว่า ทำอยู่นะ นั่นก็คือเกิดจิตขค้นมาละ
การขี่จักรยาน โดยคิดไปที่อื่น ก็คือ กาย มันทำหน้าที่มันไป
เรายังขี่มันได้ นั่นคือความจำ ความเคยชิน

สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกกันไม่ค่อยออก มันละเอียด
สัญญาคือความจำได้ หมายรู้ *ก็จำ นั่นแหละ
สังขาร คือองค์ความรู้ที่มี ก็ก่อให้เกิดตัวตน *เหมือนอีโก้
วิญญาณ ก็คือ ก็คือเข้าใกล้ระดับจิต ก็คือการเป็นตัวตนเรานี้ เป็นคนชื่อนั้นชื่อนี้ มีนิสัยแบบนี้ มีความจำแบบนี้
โดยทุกสิ่งอย่างที่เกิดแต่ขันธ์ 5 ไม่ผ่านกระบวนการคิด

เราตื่นมา ล้างหน้า แปรงฟัน ขณะนั้น เราคิดถึงรถจะติดไหม วันนี้จะทำอะไร กินกาแฟดีไหม
เคยมีรายการโทรทัศน์บอกว่า (เป็นการแก้โรคนอนไม่หลับด้วยนะ)

เวลาแปรงฟัน มองแก้วน้ำ ให้เป็นแก้วน้ำ
มองอ่างล้างหน้าให้เป็นอ่าง
มองกระจก ให้เห็นหน้าตัวเอง
ไม่ใช่มองกระจก แล้ว ตาเห็นตัวเองโทรมๆ แต่ใจ ใส่สูทเสร็จเรีบยร้อยแล้ว
หรือแปรงฟันอยู่ แต่มองไม่เห็นมือ ที่แยงแปรงเข้าออก
ไปเห็น(มโนกรรม) อย่างอื่นแทน

ฝึกมองแก้วน้ำ ให้เป็นแก้วน้ำ ชีวิต จะเปลี่ยนไปจากเดิม
โดยที่ไม่ต้องทำอะไร :)

ถ้ายังทำไม่ได้ ให้ลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ๆ

ศาสตร์ทางฮวงจุ้ย ถือว่า อะไรที่อยู่ในห้องนอน ควรเปลี่ยน ยักย้าย
หรือจัดห้องใหม่ เพื่อทำลายพลังงานเก่าๆ ที่สะสมมาตลอดปี

ถ้าเร


อ้อ ส่วนเรื่องจิต ที่ไม่ใช่ความคิดนะ เคยเป็นไหม สมัยเด็ก
หลับบนรถเมล์ พอถึงป้ายแล้วตื่นทุกที
มันคือฟลุค งั้นหรือ? :)

ตรรกของผมที่แตกต่างจากสมาชิกคนอื่นใน สรท นิ๊ดเดียว  :D http://webboard.seri...e-3#entry634878

รอแมงวันหน้าสันขวานดิ้นดุ๊กดิ้กมาขอขมาอยู่นะ http://webboard.seri...-แวร์/?p=609037

ความตอแหลขอไอ้แมงวัน  http://webboard.seri...-แวร์/?p=609177

 


#9 kittikron

kittikron

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 18 posts

Posted 19 April 2013 - 20:21

มีหลายแนวคิดเลยนะครับ ดีจัง


Tag:: เปิดให้บริการเล่น Gclub ใน Holiday Palace สถานที่ที่ดีที่สุด


#10 phoosana

phoosana

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 7,687 posts

Posted 19 April 2013 - 23:14

ขันธ์ 5

 

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

 

วิญญาณ ในที่นี้ผมเข้าใจว่าเป็น วิญญาณ 6 การรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

 

เช่น ตา กระทบ รูป จะเกิดผ้สสะขึ้น เมื่อเกิด ผัสสะ ก็เกิดขันธ์ ๆ หนึ่งเรียกว่า จักษุวิญญาณขันธ์


We love fender.

#11 เคนอิจิ-นามิ

เคนอิจิ-นามิ

    สมาชิกขั้นสูง

  • Banned
  • PipPipPipPip
  • 4,447 posts

Posted 23 April 2013 - 16:51

ขันธ์ 5

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

วิญญาณ ในที่นี้ผมเข้าใจว่าเป็น วิญญาณ 6 การรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เช่น ตา กระทบ รูป จะเกิดผ้สสะขึ้น เมื่อเกิด ผัสสะ ก็เกิดขันธ์ ๆ หนึ่งเรียกว่า จักษุวิญญาณขันธ์


ตามความเข้าใจของผม
เมื่อมีกาย คือ อายตนะทั้ง 6 จึงเกิดเวทนา (ความรู้สึก)
เมื่อรู้สึก จึงเกิดการจำได้หมายรู้ (ว่านี่คืออะไร)
เมื่อเกิดความจำ จึงเป็นเป็นความรู้ (ประมวลผล ตรรกะ ฟุ้ง เพ้อ)
เมื่อเกิดความรู้แล้ว จึงเกิด "เรา" ขึ้นมา (อัตตา ยึดติด ตัวตน)

ก็เหมือนวิญญาณ หรือผีนั่นแหละ
แต่ผี คือความเข้าใจของคนโบราณ ที่ไม่ได้พูดถึงขันธ์

ตรรกของผมที่แตกต่างจากสมาชิกคนอื่นใน สรท นิ๊ดเดียว  :D http://webboard.seri...e-3#entry634878

รอแมงวันหน้าสันขวานดิ้นดุ๊กดิ้กมาขอขมาอยู่นะ http://webboard.seri...-แวร์/?p=609037

ความตอแหลขอไอ้แมงวัน  http://webboard.seri...-แวร์/?p=609177

 


#12 tonythebest

tonythebest

    สมาชิกขั้นสูง 178 เซนติเมตร

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,595 posts

Posted 23 April 2013 - 23:06

จะเชื่อมั๊ยครับว่า เล่นเสรีไทยมาหลายปี

พึ่งจะเจอว่าห้องนี้ก็มีการพูดคุยและแสดงความเห็นกัน

เพราะผมตั้งหน้าเปิดไว้เป็นสภากาแฟเลย

 

ขออนุญาตตอบคุณทรงธรรมในมุมของผมดูครับ

 

ผมเรียนรู้ตัวเองมาพอสมควร และพยายามแยกแยะว่าอารมณ์ไหนคือด้านมืดและด้านปกติ

ผมพบว่า ทุกเมื่อเชื่อวัน เรามักแวบความคิดด้านมืดออกมาเสมอ

บางครั้ง อาจมีเล็กน้อยและหายไป บางครั้งจริงจังชัดเจน

มันทำให้รู้ว่า การเป็นคนดีๆ ไม่ใช่เพราะเราคิดแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ แต่เพียงด้านเดียว

แต่มันหมายถึง การรู้จักควบคุมด้านไม่ดี หรือด้านมืด ไว้ให้อยู่ในระดับที่ไม่เกินกำลังจะบังคับ

 

ผมเคยอยากฆ่าคน เคยอยากกระทืบบางคน เคยอยากตบหัวเด็ก เคยอยากด่าแม่คนบางคน

มันเป็นเรื่องของอารมณ์ ซึ่งผมยกให้อารมณ์ เป้นเรื่องชั้นผิว

ซึ่งหมายความว่า มันจะได้รับการกระทบได้ง่าย และมีขึ้นมีลงได้ง่าย

 

ลึกลงไปจากอารมณ์ นั่นคือเหตุผล

เมื่อเรามีอารมณ์ แต่สามารถยับยั้งให้เหตุผลได้เข้ามาทบทวน ไตร่ตรอง

และเกิดการตัดสินใจ ที่พอจะเชื่อได้ว่า มันคือเหตุผล

การตัดสินใจหลังจากนั้น ผมจะให้ความเคารพมันเสมอครับ

แม้ว่าคำตอบตอนนั้นจะบอกให้ผมทนก้มหน้านิ่ง หรือลุกขึ้นต่อยใครบางคน

(แต่ต้องหมายความว่า เราต้องเชื่อมั่นเต็มร้อยว่า มันเป็นเหตุผลที่สมควร)

 

ในฐานะที่ยังเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้ตัดขาดจากกิเลส ตัณหา

ผมไม่พยายามปฏิเสธการมีอยู่ของด้านมืดในตัวของผมครับ

เพราะวันนี้ ตอนนี้ ผมคิดว่า ผมรู้แน่แล้ว ว่าตอนไหน เวลาไหน คืออารมณ์ ตอนไหนคือเหตุผล

บางเวลา ผมก็ปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่านมันระเบิด กระเจิดกระเจิงอยู่ในใจไปเลย

จนถึงที่สุด มันก็จะถูกตบกลับมาเองด้วยเหตุผลที่เราจะต้องคิดได้เองในภายหลัง

เพียงแต่ต้องรู้ว่า สิ่งที่มันพลุ่งพล่านอยู่ในใจ มันถูกควบคุมการแสดงออกไว้แล้ว

เท่านั้น ผมก็เต็มที่ได้ครับ

 

มันอาจไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนัก บางครั้งก็เคยมีเหมือนกันที่เก็บไว้ไม่อยู่

และระเบิดความพลุ่งพล่านนั้นไปบ้าง ในวัยที่ผมยังไม่มีวุฒิภาวะได้เพียงพอ

แต่ไม่ใช่วันนี้ครับ

 

ผมแอบไม่เชื่อ หากใครบอกกับผมว่า เขาเป้นคนดี เลิศเลอ สมบูรณ์ทั้งกายและใจ

ผมเชื่อว่าด้านมืดในใจเรามีกันทุกคน

ก่อนที่คุณจะยอมให้อภัยคนที่มาทำร้ายคุณ ผมเชื่อว่าแวบนึง คุณก็อยากทำมันกลับแรงๆ

คุณก็อยากเอามันเข้าคุก หรืออื่นๆ แต่คุณกลับมาจากด้านมืดนั้นได้ ด้วยการยับยั้งจากหัวใจคุณเท่านั้น

ดังนั้น ผมจึงเคารพการมีอยู่ของมัน ไม่ต่างกีับที่ผมเคารพในเหตุผลครับ


ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ

 

 

 

เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน

จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน


#13 RiDKuN_user

RiDKuN_user

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,167 posts

Posted 23 April 2013 - 23:34

ถ้าเอาแค่ที่คนเราสามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์

วิญญาณก็คือกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมอง เป็นปรากฎการณ์มากกว่าจะเป็นอะไรที่จับต้องได้

 

แต่คนเราก็ไม่มีทางรู้ว่า มีอะไรที่ควบคุมกฎทางวิทยาศาสตร์

คือมีอะไรที่อยู่เหนือกฎฟิสิกส์ทั้งปวงหรือไม่

ดังนั้นการจะสรุปว่าวิญญาณมีหรือไม่มีไปเลยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ถ้าจะสรุปว่าตัวเราจริงๆก็แค่สัญญาณไฟฟ้าในสมองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับกันแน่ๆ

เพราะมันก็ขัดกับการรับรู้ที่สมองสั่งว่าตัวเรานั้นมีอยู่จริง หรือที่เรียกว่า ego

 

แต่ถ้าจะสรุปว่าวิญญาณมีจริง ในแง่ว่าหากร่างตายสมองตายวิญญาณยังอยู่

ก็หาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ไม่ได้เลย


" ชีวิตผมไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น ผมกลัวอย่างเดียว...กลัวจะถูกมองว่า 'ขายชาติ' " - The Last Tycoon

~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~

#14 Lucy Van Pelt

Lucy Van Pelt

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 525 posts

Posted 24 April 2013 - 00:29

เพื่อน messenger ของคุณทรงธรรมทำอะไรแล้วจำไม่ได้นี่ผมว่าขาดสติมากกว่าครับ แต่เผอิญได้ทำในสิ่งที่ทำเป็นประจำอยู่แล้ว ความเคยชินก็เลยพาไป

 

หลายคนให้ความเห็นเรื่องจิตไปแล้ว คงไม่มีอะไรเสริมครับ

 

แต่ขอแสดงความเป็นห่วงเรื่องสติไว้ครับ ความคิดด้านมืดถ้ามีบ้างคงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเรามีสติคอยหยุดมันไว้ก็ถือว่าดี เพราะฉนั้นพยามหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆที่จะทำให้เราขาดสติก็จะช่วยได้เยอะครับ






0 user(s) are reading this topic

0 members, 0 guests, 0 anonymous users