ผู้ไม่กลัว โทษประหาร
สำเริง คำพะอุ
นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาร้ายแรง ของ ดีเอสไอ เมื่อวานนี้ กลับออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม บอกกับผู้มาให้กำลังใจว่า “ ผมไม่หนีไปไหน ไม่หนีไปต่างประเทศ เพราะโทษก็มากสักเท่าไร แค่ประหารชีวิต ถ้าศาลตัดสินประหารก็ยินดีให้ประหาร เพื่อรักษากฎหมาย รักษาขื่อแปของบ้านเมือง”
เหตุที่ต้องตกเป็นผู้ต้องหานั้นมาจาก การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อต้นเดือนมีนาคม ต่อไปถึงเมษายน พฤษภาคม ๒๕๕๓ จากราชดำเนินแล้วไปปักหลักที่ สีแยกราชประสงค์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ลาออก หรือยุบสภา เลือกตั้งใหม่
ระหว่างที่ชุมนุมที่ราชดำเนิน รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เห็นว่า ผู้ชุมนุมเนื้อที่ในการชุมนุมมากไป สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน จึงขอคืนพื้นที่บางส่วนของราชดำเนิน
เรียกกันว่า กระชับพื้นที่
เอาทหารมือเปล่าไปกระชับพื้นที่
ในที่ สุด พันเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม ถูกระเบิด หรือกระสุนปืน ก็ไม่รู้ละ เสียชีวิต นายทหารหลายคนบาดเจ็บ ทหารระดับล่างๆ เจ็บระนาว
รัฐบาลอภิสิทธิ์เงียบไปหลายวัน ทหารตั้งอยู่ในกรมกอง หลายวัน เศรษฐกิจ ธุรกิจการค้า การท่องเที่ยว ย่านราชประสงค์และที่อื่นๆ เสียหายไปหลายวัน
ประชาชนบางส่วนเริ่มด่ารัฐบาลว่าอ่อนแอ ไม่ดำเนินการใดๆกับผู้ชุมนุม ซึ่งขณะนั้นศาลพิจารณาแล้วว่า เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย เนื่องจาก มีผู้ชุมนุมบางคนมีอาวุธ มีปืนซึ่งชัดเจนว่า ยิงไปที่วัดพระแก้ว มีระเบิดซึ่งพลตรีขัตยะ หนึ่งในแนวร่วมของผู้ชุมนุม ฝึกอาวุธให้กับผู้ชุมนุม คุยให้นักข่าวฟังเองว่า มีพี่เอ็ม ซึ่งไม่กินข้าว ไม่บ่น ไม่เรื่องมาก และได้ใช้พี่เอ็มมาแล้วในการจัดการกับกลุ่มพนธมิตร และนักรบศรีวิชัย
พี่เอ็มของ พลตรีขัตติยะ หมายถึง เอ็ม ๗๙ หมายถึงระเบิดชนิดต่างๆ
หลัง จากสงบนิ่งอยู่หลายวันจากที่ พันเอกร่มเกล้าเสียชีวิต รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงขอกระชับพื้นที่ราชประสงค์ วิธีกระชับพื้นที่คือตั้งด่านในทิศทางต่าง ไม่ให้ประชาชนเข้าไปสมทบกับผู้ชุมนุม โดยหวังว่าในที่สุด ผู้ชุมนุมจะเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ
รัฐบาลได้บทเรียนจากวันที่ พันเอกร่มเกล้าเสียชีวิตมาแล้ว จึงไม่ปล่อยให้ทหารไปมือเปล่า
ส่วน จะสั่งให้ทหารไปฆ่าคนนั้นคนนี้อย่างที่ ดีเอสไอ ตั้งข้อหานายอภิสิทธิ์ หรือ นายสุเทพ หรือไม่ เป็นเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะต้องไปสู้คดีในศาลเอง
ผมไม่ใช่ทนายความของท่านทั้งสอง
แต่ยังไงก็ตาม ผมเชื่อว่า ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ น่าจะไม่รู้จักนายพัน คำกอง โชเอร์รถแท็กซี่ที่เสียชีวิตซึ่งศาลบอกว่า การสียชีวิตของเขาเกิดจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
แต่เป็นเจ้าหน้าที่คนไหนก็ไม่รู้
ซึ่ง ก็คงจะต้องสืบหากันต่อไปว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งก็คือ ทหาร คนใดบ้างที่ถูกสั่งการให้ไปปฏิบัติหน้าที่ตรงที่อาณาบริเวณที่นายพัน คำกอง เสียชีวิต
หาตัวได้แล้วก็ต้องถามอีกนั่นแหละว่า นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ นายกรัฐนตรี และรองนายก ออกคำสั่งให้ไปฆ่านายพัน คำกองหรือไม่
ซึ่ง น่าจะไม่ถึงขนาดนั้น เพราะฟังจาก พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด ซึ่งป็นโฆษกของ ศอฉ. หน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาการชุมนุม ก็พูดเหมือนท่องบทอาขยานอยู่ตลอดว่า ทหารปฏิบัติการตามหลักสากล จากเบาไปหาหนัก
ซึ่ง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับข้อหาที่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ได้รับอยู่ขณะนี้ คือ ออกคำสั่งเล็งเห็นผลว่าจะต้องเสียชีวิต (ถ้าสั่งได้ขนาดนั้นทำไมไม่สั่งให้ไปจัดการกับบางคนที่ไม่ใช่นายพัน คำกอง ครับ คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ)
นี่ หากมีใครทนไม่ได้กับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ จัดการชุมนุมขึ้น แล้วก็ใช้อาวุธยิงตำรวจ ยิงทหาร นางสาวยิ่งลักษณ์จจะกล้าออกคำสั่งเหมือนอย่างที่นายอภิสิทธิ์ออกคำสั่ง ไหม จะให้ตำรวจ ทหาร มือเปล่าสู้กับประชาชนที่มีอาวุธไหม ?
ก็ไม่เพียง แค่เขาเดินทางจะเข้าไปในที่ชุมนุมที่เขาประกาศไว้ก่อนแล้วว่า จะใช้เป็นที่ชุมนุมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ คุณก็สั่งให้ใช้แก้สน้ำตาแล้ว คุณก็เล่นหนักกับประชาชนแล้ว เพราะคุณคิดว่า ตำรวจ ทหาร อัยการ ดีเอสไอ อยู่ในอำนาจคุณ อยู่ใต้กระโปรงคุณ
นาย อภิสิทธิ์ นายสุเทพ จะรอดจากโทษประหารหรือไม่ ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆก็คือ ใครที่หวังว่าจะเอาเหตุนี้มาสร้างความประนีประนอม หวังว่าจะเอาเรื่องนี้มาต่อรองเพื่อให้เกิดการปรองดอง
เลิกหวังได้แล้วครับ.
http://chaoprayanews...กลัว-โทษประหาร/
หลักการที่ทักษิณ นักโทษหนีคุก ขี้ข้าทักษิณ ไม่มีและไม่กล้าคิด ปฏิบัติตามอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ.....
“ ผมไม่หนีไปไหน ไม่หนีไปต่างประเทศ
เพราะโทษก็มากสักเท่าไร แค่ประหารชีวิต....
"ถ้าศาลตัดสินประหารก็ยินดีให้ประหาร....
เพื่อรักษากฎหมาย รักษาขื่อแปของบ้านเมือง"