ตอนแรกไม่ค่อยชอบเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะค่าแรงขึ้นแบบกระชากมาก
แต่ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ สำหรับข้อเสียสำหรับหลายท่านที่เป็นเจ้าของกิจการ
ก็คงอาจจะพอรับรู้กันบ้าง ผมเลยขออนุญาตให้อีกมุมมองอีกมุมมองหนึ่ง
ซึ่งเป็นข้อดีที่ได้รับจากการขึ้นค่าแรง 300 บาทนะครับ ซึ่งผมคนกลางเอง
ได้สัมผัสเข้ากับตัวเอง
1. ทำให้เราเข้ามาตรวจสอบเรื่องต้นทุนอย่างจริงจังกันมากขึ้น ก่อนหน้านี้ผมยอมรับว่า
เราปล่อยปละละเลยเรื่องต้นทุนและค่าใช้จ่ายมาก ใครจะใช้อะไร จะซื้ออะไร
ไม่ค่อยรับใบเสร็จ ทำบัญชีก็ทำแบบหละหลวม ขอไปที ตอนนี้มันเหมือนบังคับให้เรา
ต้องทำงานอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเราอาจพบรอยโหว่บางจุดที่ใหญ่กว่า
เรื่องค่าแรง ก็ได้นะครับ
2. คนงานหรือพนักงานมีความภักดีกับบริษัทมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ประมาณสัก 6 ถึง 8 เดือน หลายท่านที่เป็นผู้ประกอบการก็คงทราบดีครับว่า
พนักงานโดยเฉพาะระดับล่างนั้นหายากเพียงใด แต่ในปัจจุบันเมื่อใครได้งานแล้วมักไม่
ออกไปทำที่อื่นครับ เพราะถ้าออกไปก็แน่นอนว่ามีความเสี่ยงเรื่องการตกงานสูงมาก
ช่วง 6 ถึง 8 เืดือนที่ผ่านมาผมได้ลูกน้องประเภทเช้าชามเย็นชาม ทำงานไปเรื่อย ๆ
บอกให้ยกของหน่อยก็บ่น บอกให้ทำงานที่มีกลิ่นหน่อยก็บ่น แต่ปัจจุบันให้ทำอะไรเขา
ทำหมดครับ ขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้เขาออก
3. มีความใกล้ชิดกับพนักงานมากขึ้น
เมื่อนายจ้างมีความจำเป็นจะต้องตรวจสอบพนักงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้งานที่คุ้มค่ากับต้นทุนที่ต้องเสียไป
แน่นอนครับพอใกล้ชิด ความเป็นพี่เป็นน้อง ความเป็นเพื่อนกัน ความรู้สึุกในการเป็นคนในครอบครัวมัน
เพิ่มขึ้นมา จากเดิมที่นายจ้างอาจจะจ้างผู้จัดการแล้วให้ผู้จัดการคุม หรือหัวหน้างานคุม เราเข้ามาดูแล
อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ไถ่ถามปัญหางานทำให้ทราบปัญหาของงานได้ดีขึ้น และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
ยิ่งขึ้น ดีกว่าจ้างแล้วก็ปล่อยให้พนักงานทำแบบตามมีตามเกิด ถ้าสมมติเราจ้างหัวหน้างานที่มีความเป็นผู้นำ
ก็ดีไป แต่ถ้าไปจ้างหัวหน้างานประเภทวางกล้าม หรือ เอาเปรียบลูกน้อง เอาผลงานตัวเองเป็นหลัก
แบบนั้นอาจเกิดปัญหาลาออกทั้งกะเบอะได้นะครับ
สรุปนะครับ : ทุกปัญหามีทางแก้ผมเองก็อาจจะนโยบายนี้เท่าไร แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีทั้งดีทั้งเสียในตัวของมัน
สรุปคือคุณจะไม่รู้ว่าคุณได้อะไร เมื่อคุณไม่ยอมที่จะเสียสิ่งหนึ่งไป
ขอบคุณครับ
Edited by คนกลาง, 4 มกราคม พ.ศ. 2556 - 14:31.