Jump to content


Photo
- - - - -

รถยนต์คันแรก กับพื้นผิวถนนที่ต้องการในกรุงเทพฯ 7,620,000 ตร. เมตร

ยิ่งลักษณ์ เฉลิม อภิสิทธิ์

  • Please log in to reply
3 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 Crime Minister

Crime Minister

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 89 posts

ตอบ 4 มกราคม พ.ศ. 2556 - 16:12

first car 1 copy.jpg

 

รถยนต์คันแรก ความคิดของคนสมองสุนัขปัญญากระบือ ใครได้ใครเสีย?

 

บริษัทผลิตอะไหล่ของสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้แน่นอน ปตท. ขายน้ำมันได้แน่นอน พวกถือหุ้น ปตท. รวยเละในปีนี้ แต่อีกปีสองปี รถมือสองเต็มคาเต็นท์

 

กรุงเทพฯ ต้องการถนน 4 เลนอีก 476 กม.  หรือพื้นผิวจราจร 7,620,000 ตร.เมตร

 

 

ดีไม่ดี ต้องอิมพอร์ต ทักษิณ ชินวัตร "ตาดูดาว เท้าไม่มีดิน" กลับมาแก้ไขปัญหาจราจรกรุงเทพฯ ภายใน 6 เดือน รอบที่ 2 กันอีก อิอิ

 

ไม่มี ด๊อกเท่อร์คนไหน จากธรรมศาสตร์ ออกมาวิพากษ์เรื่องนี้กันเลยหรือ หรือว่ามีสมองข้างเดียว ที่เก่งแต่เรื่องนิติ เรื่อง ๑๑๒ แบบลีบๆๆๆ ตามประสาลูกเจ๊กเนรคุณ

 

ขอบคุณ Jörmungandr ที่เสนอความคิดมา

 

http://www.facebook....&type=1


Edited by Crime Minister, 4 มกราคม พ.ศ. 2556 - 16:46.


#2 Solidus

Solidus

    เลิกเล่น

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 14,367 posts

ตอบ 4 มกราคม พ.ศ. 2556 - 16:23

ถนนมันมีเลนเดียวหรือครับ ถ้า 2 เลน ตัวเลข 1905 ก็ต้องหาร 2 อีก

เวลาใช้รถพร้อมกันไหมครับ ถ้าไม่พร้อมก็ต้องแบ่ง 381000 เป็นช่วงเวลา แล้วไปคำนวณช่วงเวลามากที่สุดเป็นความต้องการของถนนหารด้วยจำนวนเลนถนน


[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]

ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556


#3 Crime Minister

Crime Minister

    น้องเก่า

  • Members
  • PipPip
  • 89 posts

ตอบ 5 มกราคม พ.ศ. 2556 - 03:40

first car 02.jpg

 

รถคันแรก ทำให้ กรุงเทพ จราจรติดขัด ติดหนักเข้าไป ยกระดับไปอยู่ระดับต้นๆ

 

 



#4 isa

isa

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 447 posts

ตอบ 5 มกราคม พ.ศ. 2556 - 07:34

ถนนมันมีเลนเดียวหรือครับ ถ้า 2 เลน ตัวเลข 1905 ก็ต้องหาร 2 อีก
เวลาใช้รถพร้อมกันไหมครับ ถ้าไม่พร้อมก็ต้องแบ่ง 381000 เป็นช่วงเวลา แล้วไปคำนวณช่วงเวลามากที่สุดเป็นความต้องการของถนนหารด้วยจำนวนเลนถนน

ถึงถนนจะมี 2 เลน และเวลาที่มีการใช้รถจะกระจายกัน แต่จริงๆแล้วการใช้รถของคนเมือง
จะมีทิศทางและจำกัดเวลาในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนนะครับ ไม่ได้หมายความว่าจะกระจายรถไปบนพื้นผิวถนนได้ตามชอบใจ
เพราะถนนเป็นทางสัญจร ไม่ใช่ที่จอดรถ

ดังนั้นในถนนย่านธุรกิจ ในเวลา 7 โมงถึง 9 โมง ก็จะมีปริมาณรถมากมายไปกระจุกอยู่ด้านเดียวของถนน ขณะที่อีกด้านแทบจะโล่ง
และในทางกลับกัน ในช่วงตอนเย็นประมาณ 4 โมงครึ่งถึง 3 ทุ่ม รถก็จะประดังกันไปอยู่ในฟากตรงกันข้ามที่เป็นเส้นทางกลับบ้าน
ขณะที่เส้นทางอีกฝั่งก็โล่ง

ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเช้า รถส่วนใหญ่จะเป็นรถบ้าน แต่พอสายๆก็จะเป็นรถส่งของหรือที่เกี่ยวกับธุรกิจมากขึ้น แต่ในช่วงกลางคืน รถที่จะ
อยู่บนถนนดึกกว่าน่าจะเป็นรถบ้าน เพราะมีรถที่ไปโอ้เอ้อยู่ตามห้างหรือแหล่งบันเทิงเยอะ ความเข้มข้นในการจราจรช่วงชั่วโมงเร่งด่วนที่จะเพิ่มขึ้น
ก็เพราะปริมาณรถบ้านที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายนี้แหละ อาจจะได้เห็นคนตื่นตีห้าไปส่งลูกเรียก นั่งกินข้าวเช้าในรถกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน

อย่างไรก็ดี ในบางเส้นทาง อย่างแถวชานเมืองแถวบางนา หรือสมุทรปราการ ที่มีนิคมอุตสาหกรรม รูปแบบอาจจะเป็นติดขัดทั้งเข้าทั้งออก
เพราะในชุมชนมีทั้งคนที่เดินทางเข้าไปทำงานในเมือง และคนที่เดินทางออกไปทำงานนอกเมือง

แต่ถ้าเป็นในตัวเมือง รูปแบบการเดินทางน่าจะเป็นรถติดฟากเดียวแบบแรกมากกว่าครับ

และในการเดินทางไปทำงาน บางครั้งถนนบางเส้นก็แทบจะไม่มีคนใช้ ขณะที่บางเส้นแน่นขนัด บางครั้งอาจเกิดจากเส้นทางนั้นไม่ใช่เส้นทางหลัก
หรือไม่สะดวกที่จะใช้เดินทาง แต่บางครั้งก็เกิดจากปรากฎการณ์ "ใจตรงกัน" ที่คนแห่ไปใช้เส้นทางลัดเดียวกันโดยมิได้นัดหมายเพราะคาดผิดว่าคนส่วนใหญ่
จะใช้เส้นทางอีกเส้นทาง ปรากฎการณ์นี้ก็เกิดบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อระบบรายงานการจราจรในรถส่วนตัวส่วนใหญ่ก็ยังไม่มี ขณะที่แท็กซี่จำนวนมากจะ
เปิดฟังจส.100 กัน และหลีกเลี่ยงกันแบบนกรู้ได้

นี่ยังไม่นับรวมถึงพื้นที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมิเนียม ที่เพิ่มจำนวนขึ้นมากมายตามถนนเส้นหลักๆ แต่ละแห่งมีรถไม่ต่ำกว่า 500 คัน ลองนึกภาพคอนโด
ใกล้ถนนใหญ่ ที่มีรถทะลักออกมาทีละ 2-300 คันต่ออาคารในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน คอนโดแต่ละแห่งอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึง 1 กม.ดูครับ
ว่ามันจะทำให้เกิดการชะลอตัวติดสะสมขนาดไหน แถมยังมีพื้นที่คอขวดสำคัญๆ อย่างช่วงข้ามสะพานหลักๆระหว่างฝั่งธนกับกรุงเทพ
หรือปากทางที่จะขึ้นทางด่วน ที่จะมีรถชะลอตัวติดสะสมออกมากระทบพื้นที่ถนนใหญ่อีก

ดังนั้นการเอาแค่พื้นผิวจราจรกับปริมาณรถมาหารเฉลี่ยกัน ผมว่ายังคิดไม่ลึกซึ้งพอครับ

Edited by isa, 5 มกราคม พ.ศ. 2556 - 07:47.





ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน