“นพดล” ทำมึนไม่รู้ “ปึ้ง” บอกมีแต่เจ๊งกับเจ๊าคดีพระวิหาร ปัดขายชาติ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 มกราคม 2556 16:22 น.
“นพดล” โต้ “ชวนนท์” บิดเบือน ยันสมัยตัวเองเป็น รมว.ต่างประเทศ ยุค “สมัคร” ไม่ได้ขายชาติ แต่ปกป้องดินแดน แถลงการณ์ร่วมศาลปกครองก็ตัดสินแล้วว่าเป็นโมฆะนำไปอ้างอิงไม่ได้ ทำมึนไม่รู้ “ปึ้ง” บอกคดีพระวิหารไทยมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง ปัด “รัฐบาลปู” สมยอมเขมร เมินพันธมิตรฯ ไม่ให้รับอำนาจศาลโลก อ้างถ้าไม่สู้คดีเสียเปรียบกัมพูชา เรียกร้องอย่าเอาคดีปราสาทพระวิหารมาจุดกระแสคลั่งชาติ ปฏิเสธที่จะตอบถ้าแพ้คดีรัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร อ้างใช้ทีมกฎหมายที่รัฐบาล ปชป.ตั้ง
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตามที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าปัญหาคดีในศาลโลก กรณีข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร เริ่มเกิดตั้งแต่นายนพดลไปทำคำแถลงการณ์ร่วม ทำให้กัมพูชาได้สิทธิขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น นายชวนนท์ไม่รู้ข้อเท็จจริง พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น อันที่จริง เรื่องปราสาทเขาพระวิหารและข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ทุกฝ่ายควรร่วมกันแก้ปัญหาและรักษาความสัมพันธุ์กับเพื่อนบ้านเอาไว้ให้ดี ไม่ควรนำมาโจมตีกัน ที่ผ่านมา ตนเองเชื่อว่าทุกรัฐบาลรักชาติ และต้องการปกป้องดินแดนเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด นอกจากนี้ ข้าราชการเมืองและข้าราชการประจำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพ หรือกระทรวงการต่างประเทศ ต่างก็ทำดีที่สุดเพื่อปกป้องดินแดนกันทุกคน ขอยืนยันว่านายชวนนท์บิดเบือนและใส่ร้ายตัวตนและพรรคพลังประชาชน จึงขอชี้แจง 3 ประเด็นดังนี้
1. ช่วงก่อนรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ฝ่ายกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลก แต่รัฐบาลนายสมัครและตนเป็นคนเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และให้ขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาท ที่ศาลโลกตัดสินว่าเป็นของกัมพูชาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น รัฐบาลนายสมัครและตนเป็นผู้ปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน ในส่วนของตัวปราสาทพระวิหารนั้นกัมพูชาเป็นเจ้าของ เขาจึงมีสิทธินำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วยตัวของเขาเองอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีคำแถลงการณ์ร่วม
2. คำแถลงการณ์ร่วมนั้น ศาลปกครองได้ตัดสินว่าเป็นโมฆะและไร้ผล รวมทั้งห้ามนำไปใช้อ้างอิงใดๆ
3. มติคณะกรรมการมรดกโลก ปี 2551 ก็ระบุชัดเจนว่าห้ามอ้างอิงและใช้ประโยชน์ในคำแถลงการณ์ร่วมตามที่ศาลปกครองไทยตัดสิน ดังนั้น คำแถลงการณ์ร่วมจึงไม่มีผลใดๆ กับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่อยู่ในศาลโลกในปัจจุบัน
ส่วนในเรื่องคดีที่กัมพูชายื่นตีความเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารที่อยู่ในศาลโลกขณะนี้นั้น รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ใช้ทีมทนายความและทีมกฎหมาย ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งขึ้น โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ โดย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็สนับสนุนการทำงานของทีมกฎหมายอย่างเต็มที่ และไม่มีการสมยอมกับกัมพูชาตามที่นายชวนนท์กล่าวหา
รวมทั้งไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา อีกด้วย เพราะคงไม่มีใครชั่วพอที่จะสมยอมกับต่างชาติ เพื่อให้ประเทศตัวเองแพ้คดีในศาลโลก ซึ่งรัฐบาลจะชี้แจงข้อเท็จจริงต่อไป แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ การที่ฝ่ายค้านและคนบางกลุ่มหาผลประโยชน์จากกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหารและจุดกระแสคลั่งชาติเพื่อหวังผลการเมืองภายในประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลจะนำข้อมูลและข้อเท็จจริงเสนอให้ประชาชนเจ้าของประเทศได้รับทราบแบบครบทุกด้าน โดยจะทำเอกสารชี้แจงในทุกประเด็นจนทำให้นักโกหกและนักบิดเบือน ไม่มีที่ยืนในสังคม
ส่วนที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ระบุว่าคดีการตัดสินของศาลโลกเรื่องปราสาทพระวิหาร ประเทศไทยมีแต่เจ๊ากับเจ๊งเท่านั้น นายนพดลตอบว่า ไม่ทราบว่านายสุรพงษ์พูดเช่นนั้นจริงหรือไม่ เชื่อว่านายสุรพงษ์ทำงานหนัก และต่อสู้คดีอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องดินแดน สิ่งที่นายสุรพงษ์พูดไม่ได้สะท้อนว่าไม่เอาจริง ยืนยันว่ารัฐบาลเอาจริงเต็มที่
เมื่อถามว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเสนอให้ไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการตัดสินคดี นายนพดลตอบว่า ประเทศไทยเป็นภาคีกฎบัตรสหประชาชาติ จึงต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาล ก่อนหน้านี้สมัยรัฐบาล พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ศาลโลกตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ก็ยอมรับและระบุว่า จำใจต้องปฏิบัติตาม แม้ไม่เห็นด้วย เชื่อว่า 2550 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้ก็เป็นเช่นนั้น อีกทั้งคดีนี้กัมพูชายื่นต่อศาลโลกตีความตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งไทยก็ต่อสู้คดีมาตลอด ถึงวันนี้หากประเทศจะถอนตัวออกมาก็จะทำให้ศาลโลกรับฟังความจากกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว ทำให้ไทยเสียเปรียบ ดังนั้นการเดินทางไปต่อสู้คดีดีกว่าไม่ไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากศาลตัดสินในทางลบ รัฐบาลต้องรับผิดชอบหรือไม่ นายนพดลตอบว่า รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบโดยสนับสนุนทีมกฎหมายที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ตั้งขึ้นมาให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่มีการเปลี่ยนทีมกฎหมายเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงาน และทีมกฎหมายชุดนี้มีความสามารถ เก่งเป็นที่ยอมรับ ไม่อยากให้พูดว่า ถ้าแพ้คดีแล้วรัฐบาลต้องลาออก เรายังหวังว่า ผลคดีที่ออกมาจะออกมาในทางที่ดี ขอเรียกร้องกลุ่มพันธมิตรฯ พูดความจริง อย่าพูดความเท็จ อย่านำประเด็นปราสาทพระวิหารมาจุดกระแสคลั่งชาติเพื่อทำลายรัฐบาล และเพื่อสร้างความแตกแยกในสังคม เชื่อว่าทุกคนรักชาติเท่ากัน ยืนยันรัฐบาลจะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรต้องรอดูเดือนกันยายน
http://www2.manager....D=9560000001229
“มาร์ค” เตือน “ปึ้ง” อธิปไตยแลกสัมพันธ์เพื่อนบ้านไม่ได้ ค้าน พธม.ไม่รับอำนาจศาลโลก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 มกราคม 2556 17:21 น.
หน.ปชป. เตือน รมว.ต่างประเทศ ระวังคำพูดคดีปราสาทพระวิหาร ชี้มีผลต่อรูปคดี โยน “รัฐบาลสมัคร” ยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก อ้างสกัดทุกวิถีทางสำเร็จ ซัดไร้รับผิดชอบโทษเพียงทีมทนายความชุดเดิม ไม่เอาใจใส่สู้คดี ยันอธิปไตยแลกกับความสัมพันธ์เพื่อนบ้านไม่ได้ ไม่วายดื้อตาใสไม่หยุด ออกโรงค้านพันธมิตรฯ ไม่รับคำตัดสินของศาลโลก อ้างกลัวกระทบตัวคดี
วันนี้ (4 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ออกมาระบุในทำนองว่าคดีพิพาทไทย-กัมพูชา ในเรื่องปราสาทเขาพระวิหารมีแต่แพ้กับเสมอตัวว่า อยากให้ระวังการใช้คำพูดเพราะอาจมีผลต่อรูปคดี ซึ่งตนเห็นว่าท่าทีของรัฐบาลมีความสำคัญในการสู้คดี เนื่องจากตลอดปีเศษที่ผ่านมายังไม่เห็นความเอาจริงเอาจังที่จะรักษาสิทธิ์ของประเทศทั้งที่มีการอ้างมาโดยตลอดว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำกัมพูชา แต่ก็ไม่เคยใช้ความสัมพันธ์นั้นเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและคนไทย
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลไม่เอาจริงเอาจังทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าจะชนะคดีหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการบิดเบือนข้อมูลโดยพยายามที่จะโยนความรับผิดชอบให้กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่สาเหตุที่ทำให้กัมพูชานำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกก็เพราะใช้สิทธิตามธรรมนูญของศาลโลกเพื่อให้ศาลอธิบายคำพิพากษาเดิมที่เคยตัดสินไปเมื่อปี 2505 ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยเป็นภาคศาลโลก ดังนั้นแม้ว่ารัฐบาลที่แล้วจะไม่ไปขึ้นศาลโลก แต่คดีนี้ก็จะเดินหน้าต่ออยู่ดี เนื่องจากเป็นคดีเก่า และจะเป็นการไต่สวนโดยฟังกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับไทยในการต่อสู้เพื่อรักษาปกป้องอธิปไตย จึงจำเป็นต้องเข้าไปต่อสู้คดี ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลชุดที่แล้ว อยู่ดีๆ เอาเรื่องไปขึ้นศาลโลกอย่างที่มีการกล่าวหา
นอกจากนี้ ในข้อเท็จจริงที่พยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทำให้สถานการณ์ลุกลามจนกัมพูชาใช้เป็นข้ออ้างนำเรื่องขึ้นสู้ศาลโลกนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สถานการณ์ที่ลุกลามเพราะรัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช ไปยินยอมให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดดโลก ด้วยการออกแถลงการร่วม เป็นการเปิดประตูให้กัมพูชาเดินสาย เพื่อให้ได้รับอนุญาตเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารที่เป็นอธิปไตยของไทย รัฐบาลชุดที่แล้วจึงต้องทำทุกวิถีทางสกัดกั้นไม่ให้กัมพูชาประสพความสำเร็จ จึงเป็นเหตุผลว่าตลอด3 ปีที่รัฐบาลของตนบริหารประเทศ กัมพูชาไม่สามารถทำให้เรื่องนี้คืบหน้าในกรรมการมรดกโลกได้ และไทยสามารถยันเอาไว้ได้ในเวทีมรดกโลก แต่เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามา กลับสนับสนุนให้กัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดประชุมกรรมการมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่คัดค้าน จึงต้องติดตามว่าจะมีผลต่อการผลักดันเรื่องการบริหารพื้นที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหารให้มีความก้าวหน้าจนกระทบพื้นที่ของไทยหรือไม่
ทั้งนี้ ยังเห็นว่าการที่กัมพูชาพยายามก่อเหตุให้เกิดการปะทะในช่วงปี 53-54 ที่ผ่านมาก็มุ่งหวังให้เรื่องขึ้นสู่ศาลโลกทำให้ไทยไม่มีทางเลือก เพราะเมื่อกัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทยก็ต้องตอบโต้ จะให้รัฐบาลชุดที่แล้วอยู่เฉยๆ โดยยินยอมให้ใครเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ในประเทศไทยก็ได้ หรือยอมให้ประเทศเพื่อนบ้านยิงระเบิดเข้ามาใส่ประชาชนคนไทยตามแนวชายแดน เราทำไม่ได้ ก็ต้องปกป้อง จึงไม่มีส่วนใหนที่จะมากล่าวหารัฐบาลที่แล้วว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากรัฐบาลของตนเพราะที่มาที่ไปชัดเจน ขณะเดียวกันการต่อสู้ในคดี รัฐบาลที่แล้วก็ประสบความสำเร็จ เพราะเดิมกัมพูชาขอให้ศษลโลกมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทเพียงฝ่ายเดียว แต่เราต้อสู้คดีจนศาลสั่งให้ถอนทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่ ซึ่งครอบคลุม 2 ประเทศตามสันปันน้ำชัดเจน นี่คือความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลชุดที่แล้ว
“แต่วันนี้ถ้ารัฐบาลจะยืนยันเพียงแต่ทีมทนายความชุดเดิมรัฐบาลเก่าต้องรับผิดชอบ ถือเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุด เพราะถ้าเห็นว่าทีมทนายชุดเดิมทำหน้าที่ไม่ได้ ก็เปลี่ยนไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้ทนายชุดเก่า แต่ปัญหาที่ต้องถามรัฐบาลคือมีความเอาใจใส่เพียงพอหรือไม่ใจการต่อสู้คดี เพราะสมัยตนร่วมประชุมทั้งฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายกฏหมาย รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องกับงานมรดกโลกตลอดเวลาเพื่อประสานงานว่า การต่อสู้ให้เป็นไปในแนวเดียวกัน แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำ อีกทั้งการแสดงออกทุกครั้งที่มีความเกี่ยวข้องต่อพื้นที่ดังกล่าวที่มีความหมายและมีผลต่อคดี รัฐบาลก็ไม่เคยแสดงท่าทีแสดงความเป็นเจ้าของในพื้นที่ที่มีความพิพาทเหมือนที่กัมพูชาทำ ทั้งที่เป็นพื้นที่ของไทย จึงเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลชุดนี้ที่ต้องต่อสู้คดีอย่างจริงจัง ไม่ใช่พูดว่าไม่มีโอกาสชนะ มีแต่แพ้กับเสมอ รวมทั้งไม่มีสิทธิ์โยนความรับผิดชอบให้คนอื่นด้วย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าตลอดปีเศษที่ผ่านมา ท่าทีของรัฐบาลมีผลดีผลเสียอย่างไรต่อการพิจารณาของศาลโลก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่ามีหลายกรณีที่กัมพูชาแสดงออกเพื่อแสดงสิทธิ์ของตนเอง รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่โต้แย้ง อีกทั้งไม่มีการต่อสู้จริงจังในเวทีประชุมมรดกโลกเมื่อรัฐบาลของตนทำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่เหมือนมาสานต่อแนวทางที่รัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช ทำไว้ด้วยการต่อการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าตรงนี้คือที่มาของปัญหาทั้งหมด เพราะรัฐบาลไปแสดงออกเสมือนกับยอมรับที่จะให้กัมพูชาเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่รอบประสาทพระวิหาร ตนก็หวังว่ารัฐบาลจะมทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่ออธิปไตยของประเทศ ซ้ำรอยรัฐฐาลสมัคร จึงย้ำมาโดยตลอดว่ารัฐบาลมีหน้าที่ต่อสู้คดีให้ดีที่สุด และอย่ามาคิวด่าจะโยนความผิดให้กับรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยอ้างเป็นความต่อเนื่องเพราะขณะนี้รัฐบาลมีอำนาจในการบริหารเต็มที่จึงเป็นความรับผิดชอบในการต่อสู้คดีเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ อย่างไรก็ตามเห็นว่าความสนิทสนมของรัฐบาลที่มีต่อผู้นำกัมพูชายังไม่เคยแปลงมาเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ อีกทั้งตั้งแต่นายกฯลงมาก็มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่พยายามจะรื้อฟื้นเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์พื้ที่ยางทะเลเพราะผู้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลนี้มีความสนใจที่จะประกอบธุรกิจนี้ หากเรื่องนี้เป็นเป้าหมายของรัฐบาลจนกำหนดมาเป็นนโยบายย่มกระทบต่ออธิปไตยของประเทศ ทำให้การรักษาอธิปไตยในพื้นที่บริเวณดังกล่าวอ่อนแอลง
เมื่อถามว่ากำลังตั้งข้อสงสัยว่ารัฐบาลกำลังเอาพื้นที่ทางบอกไปแลกกับผลประโยชน์ทางทะเลเพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐฒนตรี หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น แต่รัฐบาลต้องมีความชัดเจนและต้องจริงจังในการต่อสู้คดี เพราะก่อนหน้านี้พ.ต.ท.ทักษิณก็เคยระบุว่าไทยเสียเปรียบในคดีนี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลไม่มีความจริงจังในเรื่องนี้ เพราะการเสียเปรียบที่เกิดขึ้นก็มาจากแถลงการณ์ร่วมไทย กัมพูชา โดยรัฐบาลที่แล้วได้แก้ไขไปเยอะ เพียงแค่รัฐบาลชุดนี้สานต่อและ ยืนหยัดในจุดยืนอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้การต่อสู้มีความหนักแน่น
“ผมหวังว่าจะไม่มีการสมยอมในเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องของอธิปไตย ซึ่งบทพิสูจน์ว่ารัฐบาลชุดนี้สมยอมกัมพูชาหรือไม่ คงต้องรอดูท่าทีว่าการต่อสู้คดีเอาจริงเอาจังแค่ไหนอย่างไร และในขณะนี้รัฐบาลมีหน้าที่ต้องพิจารณาว่าผลประโยชน์ของประเทศอยู่ตรงไหน โดยพิจารณาทุกช่องทางโดยไม่ควรพูดล่วงหน้าว่าจะรับหรือไม่รับคำตัดสินของศาลโลก โดยควรศึกษาช่องทางต่างๆว่าหากคำพิพากษาออกมาในแนวทางไหนจะต้องทำอย่างไร และไม่จำเป็นต้องประกาศล่วงหน้าเพราะจะมีผลต่อรูปคดี จึงขอเตืนอรมว.ต่างประเทศที่ระบุว่าต้องปฏิบัติตามคำตัดสินของศษลโลกนั้นเป้นปัญหาที่สะท้อนชัดเจนว่ารัฐบาลไม่มีความจริงจังในการรักษาผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติ จึงอยากให้ระวังคำพูดและทบทวนท่าทีเสียใหม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ยังไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ให้ไปประกาศล่วงหน้าในวันแถลงปิดคดีว่าจะไม่รับคำตัดสินของศาลโลก เพราะการแสดงออกที่จะมีผลกระทบต่อตัวคดี ส่วนเมื่อผลออกมาแล้วท่าทีควรจะเป็นอย่างไรก็มากำหนดแนวทางได้ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาทุกแนวทางเอาไว้ เพราะมีหลายทางเลือกซึ่งรัฐบาลควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญกฏหมายด้านต่างประเทศและเตรียมความพร้อมเอาไว้ ส่วนท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่ระบุว่าจะปฏิบีติตามนโยบายของรัฐบาลก็เป็นเรื่องปกติเพราะกองทัพต้องปฏิบัติตามนโยบายอยู่แล้ว แต่รัฐบาลต้องมีความเข้มแข็งในการรักษาอธิปไตย รวมทั้งอยากให้ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายกฏหมายรวมถึงผู้ที่ดูแลพื้นที่กระตุ้นให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งในการต่อสู้ ทั้งนี้เป้นหน้าที่ของกองทัพที่ต้องรักษาอธิปไตยของประเทศ จึงเชื่อว่ากองทัพมีความจริงจังเพราะ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและสูญเสียกับการต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาพื้นที่นี้มายาวนาน และรัฐบาลคงจะมีนโยบายใดๆที่กระทบต่ออธิปไตยของชาติไม่ได้ หากมีนโยบายเช่นนั้นก็คงไม่มีใครปฏิบัติได้ พร้อมย้ำว่ารัฐบาลต้องจริงจังกว่านี้ในการต่อสู้คดีเพื่อให้คนไทยและทุกฝ่ายมั่นใจว่าจะสามารถรักษาอธิปไตยในพื้นที่ของไทยได้
“ผมย้ำว่าจะเอาอธิปไตยของประเทศไปแลกกับความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านไมได้ เพราะการยืนยันหลักอธิปไตยหรือแสวงหาทางออกร่วมกัน ไม่เป้นต้องกระทบความสัมพันธ์เสมอไป แต่อย่าไปสร้างปมเงื่อนไขขึ้นมาเองเหมือนกับที่ไปออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาในเรื่องมรดกโลก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
http://www2.manager....D=9560000001260
ไอ้สองพรรคนี้ประสานเสียงรับอํานาจศาลโลก ชัดๆ ต่อให้เล่นคําเพื่อดูให้ต่างกันแบบไหนมีอย่างเดียวคือเกาะศาลโลกให้แน่นอย่าปล่อยเพื่อรอประเคนดินแดนให้เขมรผ่านศาลโลก
หรือที่เรียกว่าลับหน้าตีกันเอาเป็นเอาตายแต่ลับหลังแอบจับมือสมประโยชน์กัน
Edited by phat21, 4 มกราคม พ.ศ. 2556 - 18:48.