แบบนี้เรียก ตรรกะพิการ แล้วครับ
ถูกค่ะ เคยนับถือมากๆ เมื่อหลายปีก่อน ไม่น่าเลย อจ.
Posted 8 January 2013 - 23:37
แบบนี้เรียก ตรรกะพิการ แล้วครับ
Posted 9 January 2013 - 06:08
ผมอ่านบทความของคุณนิธิมาตั้งแต่ปี 96 มั้งครับ ตอนนั้นมาทำงานต่างประเทศ เลยรับมติชนสุดฯทุกอาทิตย์ ปกติจะอ่านของคุณนิธิก่อน ต่อด้วย วาณิช จรุงกิจอนันต์ แล้วจบท้ายด้วยเกจินู๊ด ชอบอ่านคุณนิธิเพราะแกเขียนได้น่าสนใจและทำให้ฉุกคิดเรื่องต่างๆในสังคมได้ แต่หลังๆรู้สึกแกแปลกไป
เรื่องตรรกคนดีคนเลวสองบรรทัดนี่จะแปลความหมายอย่างคุณ Bearfamily ว่าก็ได้นะครับ ลำลึกดีเหมือนกั แต่ถ้าจะแปลแบบง่ายๆมันก็ฟังเพี้ยนยังไงชอบกล เพราะคนดีก็ควรจะเป็นคนที่ผ่านการตรวจสอบมาแล้ว ถึงได้เป็นคนดี เวลาบอกใครดีใครเลว มันก็ควรจะดูจากการกระทำและเจตนา
ไปๆมาๆต้องมานั่งแปลไทยให้เป็นไทยอีกที เขียนให้มันชัดๆง่ายๆก็น่าจะได้ แต่ก็ไม่เขียน เมื่อก่อนแกเขียนเรื่องยากๆให้เข้าใจง่าย ไม่ต้องมานั่งแปลแบบนี้หรอกครับ
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอ่านบทความของคุณนิธิแล้วล่ะครับ เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรเท่าไหร่ แต่ก็ต้องอ่านบ้าง จะได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลง
Posted 9 January 2013 - 06:24
อันนี้จากมติชนเมื่อวานนะครับ บางช่วงก็ดูมีเหตุผลดี บางช่วงก็แปลกจนไม่น่าเชื่อว่าคนๆเดียวกันเขียน
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมไม่คิดว่านโยบายรถคันแรกของรัฐบาลเลวร้ายอย่างที่ทีวีสาธารณะพยายามหยิบประเด็นขึ้นมาบ่อนทำลาย ไม่ได้ถูกต้องนักหรอก แต่ก็ไม่ผิดจนรับไม่ได้ มันก็เหมือนนโยบายของทักษิณโดยทั่วไป คือขาดความชัดเจนในเป้าหมาย และด้วยเหตุดังนั้นจึงขาดมาตรการหลายอย่างที่จะช่วยให้โครงการได้ผลในหลายๆ ด้าน ก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงปรารถนา เพราะไม่เตรียมการรองรับไว้ก่อน
ระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกู้เงินมาแจกกันคนละ 2,000 บาท กับการลดภาษีให้แก่รถคันแรก อย่างไหนถึงจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภายในที่ได้ผลกว่ากัน เมื่อสิบปีที่แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นเคยใช้นโยบายแจกเงินเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายภายในมาแล้ว จนบัดนี้ญี่ปุ่นยังโงหัวไม่ขึ้นเลย
ทำไมถึงต้องเป็นรถยนต์ ก็เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์จ้างงานโดยอ้อมสูงมาก ในการผลิตก็จ้างงานในโรงงานยาง, แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนอีกนานาชนิด ไปจนถึงน้ำมันประเภทต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบรถยนต์ พอเอามาใช้ก็ต้องใช้แรงงานอีกมากนับตั้งแต่ช่างซ่อมบำรุงไปจนถึงแรงงานล้างรถ ทีวีสาธารณะพยายามหานักวิชาการซึ่งขับรถมาเตือนว่า มีรถยนต์ก็ทำให้ต้องเสียเงินอีกมาก แต่นั่นก็ตรงกับนโยบายไงครับ คือเร่งการบริโภคภายใน โดยไม่แจกเงินเฉยๆ แต่กระตุ้นการผลิตภายในไปพร้อมกัน
แม้กระนั้น นโยบายนี้ก็หยาบเกินไป เพราะนอกจากกระตุ้นการบริโภคภายในได้แล้ว รัฐบาลยังผูกนโยบายนี้ไว้กับอีโคคาร์ด้วย โดยกำหนดว่ารถคันแรกต้องประหยัดน้ำมันด้วย (มีอัตราใช้น้ำมันหนึ่งลิตรต่อกี่กิโลเมตร... ซึ่งผมจำไม่ได้) แต่ก็เป็นอัตราที่ใจดีเกินไป
รัฐบาลไทยหลายชุดมาแล้วตั้งเป้าว่า ไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถอีโคคาร์ แต่บริษัทรถยนต์ในประเทศไทยไม่สู้จะตอบสนองต่อนโยบายนี้เท่าไรนัก เพราะไม่มีตลาดภายในรองรับ จนกระทั่งมาถึงนโยบายรถคันแรก จึงเริ่มขยับตัวเข้ามาหากำไรในตลาดใหม่ที่รัฐบาลสร้างขึ้น แม้แต่รถเครื่อง 1500 ซีซี ยังเปลี่ยนมาผลิตใหม่ด้วยตัวถังเดิมให้เป็น 1200 ซีซี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหลังจากที่ตลาดรถคันแรกไม่ได้สิทธิลดภาษีแล้ว คือเมื่อไม่มีตลาดภายในรองรับบริษัทรถยนต์ยังจะผลิตรถยนต์นั่งเครื่องขนาดเล็กต่อไปหรือไม่
จะผลิตต่อไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับตลาดภายนอกจะเข้ามาช่วยเสริมมากน้อยเพียงไร ในช่วงที่ตลาดภายในแข็งแกร่งขึ้นนี้ รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรที่จะสร้างเงื่อนไขจูงใจให้บริษัทรถยนต์พยายามบุกตลาดอีโคคาร์ในต่างประเทศ นับตั้งแต่สร้างการรับรองมาตรฐานซึ่งเป็นที่น่าเชื่อถือ ไปจนถึงช่วยลดต้นทุนด้านการตลาดและอื่นๆ ฉะนั้นการเอานโยบายรถคันแรกไปผูกกับอีโคคาร์ จึงดูจะเป็นการผูกไปโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนอะไรเกี่ยวกับการเป็นศูนย์กลางของการผลิตอีโคคาร์
จะเอานโยบายรถคันแรกไปผูกกับอะไรนั้น ถ้าไม่ประสงค์เพียงแค่หาเสียง มีเรื่องให้คิดและถกเถียงกันมากพอสมควร เช่น หากจะผูกกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ รถคันแรกน่าจะเป็นปิกอัพ ที่ห้ามต่อเติมในระยะเวลา 5 ปี มิฉะนั้นก็จะเรียกเงิน 1 แสนบาทคืนเข้าคลัง เพราะปิกอัพสร้างโอกาสของงานและงานจ้างมากกว่า จริงอยู่มันอาจจะอุ้ยอ้ายเกะกะท้องถนน แต่เราก็จะได้ภาษี (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) เพิ่มจากงานที่ปิกอัพสร้างขึ้น จำเป็นต้องขยายถนนส่วนที่ควรขยาย ก็ทำเลย
ผมได้ยินคนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯบ่นมานานแล้วว่า นโยบายรถคันแรกทำให้รถติดหนึบ ผมเห็นใจเสียงบ่นของเขา เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น ก็มีอาชีพขับแท็กซี่ รถติดมากนักจะขนแท็กซี่ขึ้นขนส่งสาธารณะไม่ได้นี่ครับ กระทบต่อทางทำมาหากินโดยตรงเช่นนี้ก็สมควรบ่นอยู่หรอก
แต่เมื่อได้ยินนักวิชาการและคนทำงานทีวีสาธารณะพยายามบ่นนำทางทีวี ก็ให้รู้สึกคันปากอยากถามว่า คุณมีปัญญาจะเลื่อยขารัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่แค่นี้เท่านั้นหรือ
เมื่อมีรถในถนนมากขึ้น ก็ย่อมทำให้รถติดมากขึ้นตามไปด้วยเป็นธรรมดา แต่สาเหตุที่ทำให้รถติดนั้น จะชี้ที่คันนั้นคันนี้ไม่ได้ รถคันแรกของคนจน ก็เป็นเหตุให้รถติดเท่ากับรถคันที่ห้าสิบของคนรวย หากคิดจะเอารถออกจากถนน ไม่ควรเจาะจงเอาแต่รถของคนจนออกไป เพื่อให้คนรวยได้ใช้รถคันที่ห้าสิบได้สะดวกขึ้น ขอประทานโทษ มึงเป็นเจ้าของรถ ไม่ใช่เจ้าของถนน
ปัญหารถติดในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ทั่วประเทศไทยนั้น มีสาเหตุมาจากวิธีคิดอย่างนี้แหละครับ - คนอื่นคือนรก รถยนต์ทั้งถนนทำให้รถติด ยกเว้นรถกูคันเดียว ฉะนั้น อ้ายเบื๊อกที่ไม่ควรขี่รถยนต์ แต่ขี่ได้เพราะนโยบายรถคันแรก จึงต้องรับผิดชอบมากที่สุด อย่างน้อยก็เพราะมันเป็นอ้ายเบื๊อก
ในฐานะประเทศที่ถูกประเมินว่า เป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับบน การที่คนอีกมากควรมีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้ ก็ไม่ใช่ความฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยานเกินไป ผมไม่ปฏิเสธนะครับว่า ไม่มีได้ก็ดี แต่ไม่ใช่เฉพาะคนที่เพิ่งเงยหน้าอ้าปาก ใครๆ ที่สามารถมีชีวิตที่เป็นสุขได้โดยไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ก็ไม่ควรมีทั้งนั้นแหละครับ แม้ว่าจะเป็นเศรษฐี, นักวิชาการ หรือทำงานทีวีสาธารณะ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ เมืองที่มีระบบขนส่งมวลชนดีที่สุดในประเทศ และทำท่าจะดีขึ้นไปกว่านี้อีกมากด้วย
ถ้าไม่คิดเพียงแค่หาเสียง รัฐบาลก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า นโยบายรถคันแรกจะทำให้รถติดมากขึ้น แต่ไม่ควรยกเลิกนโยบายนี้เสียเพราะกลัวรถติด ตรงกันข้าม ควรใช้โอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากนโยบายนี้ ในการจัดการกับรถติดในกรุงเทพฯอย่างเด็ดขาด
สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ สำเหนียกถึงข้อจำกัดของเทคโนโลยีไว้ให้ดี รถติดในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ต่างๆ นั้น เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้าง (ทั้งทางเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม และวัฒนธรรม) ซึ่งไม่มีเทคโนโลยีอะไรในโลกนี้จะช่วยได้ คนชั้นกลางไทยเชื่อเทคโนโลยีเหมือนเชื่อพระอินทร์ เพราะการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีทำให้ไม่ต้องไปรื้อโครงสร้างอำนาจไงครับ เช่น ความเหลื่อมล้ำจะมีมากสักแค่ไหน และจะเพิ่มขึ้นอีกมากแค่ไหน ก็ไม่ต้องไปแตะมัน ขอแต่ให้มีเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้นเป็นพอ สังเกตให้ดีเถิดครับ ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งเชื่อเทคโนโลยีมาก เพราะเทคโนโลยีไม่กระทบต่ออำนาจของเขา
ฉะนั้นเลิกพึ่งเทคโนโลยีอย่างมืดบอดเสียที แต่กล้าทำอะไรที่กระทบต่อคนมีอำนาจบ้าง เพราะการแก้ปัญหารถติดที่ได้ผลที่สุดก็คือ เอารถออกไปจากถนนเสียบ้าง ไม่ว่าจะเป็นรถคันแรกหรือคันที่ห้าสิบ
จะเอารถยนต์ออกจากถนนได้ ก็ต้องพุ่งเป้าไปที่รถส่วนตัว วิธีการคือทำให้การใช้รถส่วนตัวไม่อำนวยความสะดวกเท่ากับการใช้รถสาธารณะ พูดอีกอย่างหนึ่งคือรังแกรถส่วนตัว โดยเพิ่มมาตรการรังแกไปทีละขั้นๆ ตามการพัฒนาของระบบขนส่งมวลชน
มาตรการแรกที่น่าจะทำได้คือ ห้ามจอดในถนนสายหลักและเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนเกือบทั่วเมือง รถยนต์ส่วนตัวแทบหาที่จอดไม่ได้เลยระหว่าง 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นของวันทำการทุกวัน
แล้วจะมีรถคันแรกหรือคันที่ห้าสิบไปทำไม มีไว้ใช้สิครับ ไปช็อปปิ้งหรือไปเที่ยวต่างจังหวัดวันหยุด เมียเจ็บท้องก็สามารถส่งโรงพยาบาลได้เอง (อย่างน้อยในโรงพยาบาลก็น่าจะมีที่จอด) ไปรับพ่อแก่แม่แก่ที่สนามบินหรือสถานีขนส่ง ฯลฯ แต่รถยนต์ไม่ได้มีไว้ทำร้ายกันและกันหรือทำร้ายส่วนรวม
การใช้รถส่วนตัวจะมีโสหุ้ยสูงขึ้น เพราะต้องไปเช่าที่จอดของเอกชนซึ่งคงคิดแพงพอสมควร เนื่องจากยังมีอยู่น้อย ซ้ำต้องวนกันหลายรอบกว่าจะหาที่จอดได้ เพียงแค่นี้คนจำนวนมากก็ยินดีทิ้งรถไว้ที่บ้าน แล้วขึ้นรถสาธารณะไปทำงาน เมื่อมีรถในถนนน้อยลง รถสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์หรือแท็กซี่ก็จะวิ่งได้คล่องขึ้น ความอึดอัดในรถเมล์ก็หายไป เพราะรถวิ่งได้คล่อง ระบายผู้โดยสารได้เร็ว รถก็น่าจะแน่นน้อยลง แต่ละป้ายไม่ต้องรอนาน ซ้ำถึงปลายทางในเวลาที่รวดเร็วเสียอีก
ปัญหาที่ตามมาก็คือ การสร้างตึกจอดรถ (parking structure) จะได้กำไรทางธุรกิจ ตึกจอดรถเป็นอสุรกายที่น่าเกลียดในทุกเมืองใหญ่ ต้องเคร่งครัดกับรูปแบบให้มากขึ้น ลดความอุจาดให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในอนาคตธุรกิจรับจอดรถก็จะไม่ค่อยได้ผลตอบแทนคุ้ม เมื่อผู้คนพากันทิ้งรถไว้ที่บ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากระบบขนส่งมวลชนดีขึ้นไปกว่านี้
เมื่อรถบนถนนน้อยลง ก็ขยายทางเท้า การสัญจรขั้นพื้นฐานในเมืองที่ไหนก็ตามทั่วโลก คือการเดินครับ ทำทางเท้าให้เดินได้สะดวก แม้แต่แก่คนตาบอดและพิการ เอาตำรวจที่คอยโบกรถยนต์มาอำนวยความปลอดภัยบนทางเท้า บางคนบอกว่าเมืองไทยแดดร้อน เดินไม่ได้ ในลอนดอน ฝนตกชั่วนาตาปี เราเรียกคนหนีบร่มในลอนดอนว่า ?ผู้ดี? ถ้าคนไทยในเมืองใหญ่จะหนีบร่มกันแดดบ้าง ทำไมจึงกลายเป็น ?ไพร่? ไปได้ล่ะครับ
นอกจากทางเท้าแล้ว สร้างเส้นทางจักรยานที่ปลอดภัยให้ทั่วเมือง ไม่มีพาหนะอันตรายทั้งหลาย นับตั้งแต่แมงกะไซค์ขึ้นไป เข้ามารบกวนในเส้นทางจักรยานได้เลย ถ้าคนไทยในเมืองใหญ่ใช้จักรยานเป็นพาหนะให้มากขึ้น เมืองใหญ่ของไทยจะเป็นเมืองน่าอยู่ติดอันดับโลกแน่นอน... ทุกเมืองด้วย
มลภาวะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ, ทางเสียง, ทางน้ำ ในเมืองใหญ่ทั้งหลายจะลดไปมาก ผมจะไม่พูดถึงล่ะครับ เพราะพูดกันมามากแล้ว แต่ยังมีมลภาวะอีกอย่างหนึ่งซึ่งผมอยากพูดถึง นั่นคือมลภาวะทางสังคม
รถยนต์ทำให้สังคมหายไป ไม่ใช่เพียงแค่เราติดแอร์ปิดกระจกและสร้างโลกส่วนตัวขึ้นในรถของเราเท่านั้น แต่การจราจรที่ติดขัดทำให้เราหดตัวเราเองลงมาเหลือแต่ครอบครัว แม้แต่เพื่อนที่รักกันมากก็ได้พบกันแค่สองหน คือในงานแต่งงานและในงานศพของมันเท่านั้น สังคมมีราคาสูงเกินกว่าใครอยากจะรักษาไว้
อย่าลืมนะครับว่า ในชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่ของโลกปัจจุบัน ทางเท้าและถนนคือพื้นที่สาธารณะที่ใหญ่ที่สุด และครอบงำชีวิตคนมากที่สุด เราสำนึกถึงคนอื่นที่อยู่ร่วมสังคมกับเรา ก็บนทางเท้าและท้องถนนนี่แหละครับ
ท่ามกลางทัศนคตินรกคือคนอื่นของเจ้าของรถยนต์ในเมืองใหญ่ ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ทำได้ในทางการเมืองหรือไม่?
ยากครับ แต่ทำได้ และทำได้ง่ายขึ้นในสมัยคุณยิ่งลักษณ์นี่แหละ เพราะคะแนนเสียงท่วมท้นที่พรรคเพื่อไทยได้มานั้น ไม่ใช่เพราะเขาเชียร์พรรคนี้สุดลิ่มทิ่มประตู จำนวนมากหรืออาจถึงส่วนใหญ่เลือกคุณยิ่งลักษณ์ เพราะกลืนคุณอภิสิทธิ์และคุณเนวินไม่ลงต่างหาก พรรคเพื่อไทยไม่เคยมีสัญญาอะไรกับเรื่องขจัดรถส่วนตัวออกจากถนน ฉะนั้นไม่ทำอะไรเลยก็ได้ แต่ที่สำคัญกว่าคือทำก็ได้
โดยเฉพาะแลกกับการสนับสนุนให้คนไทยเป็นเจ้าของรถยนต์ด้วยนโยบายรถคันแรก การมีรถยนต์เป็นของตนเองนั้นไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่จะเอารถยนต์ไปทำร้ายส่วนรวม และทำร้ายกันและกันนั้นเป็นความชั่วร้ายแน่ ดังนั้น พร้อมกับนโยบายรถคันแรก ก็ประกาศเลยว่า รัฐบาลมีนโยบายขจัดรถส่วนบุคคลออกจากถนน เป้าหมายคือปลดปล่อยถนนคืนแก่ประชาชน ทั้งที่มีรถยนต์และไม่มีรถยนต์ แต่วิธีที่จะค่อยๆ ขจัดออกไปนี้ควรทำอย่างไร รัฐบาลจะใช้กระบวนการปรึกษาหารือ เปิดเวทีสำหรับการโต้เถียงขัดแย้ง และเสนอแนะจากคนทุกฝ่าย แต่ในที่สุด รัฐบาลต้องตัดสินใจ และต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อการตัดสินใจนั้น
นโยบายรถคันแรกก็จะเป็นจุดเริ่มต้นแก่ยุคใหม่ของสังคมเมืองที่สงบสุขในประเทศไทย
นโยบายหลายแหล่ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น มีข้อที่ควรตำหนิติติงทั้งนั้น แต่ติเพื่อจะหาทางเลือกที่สร้างสรรค์ หรือติเพื่อจองล้างจองผลาญด้วยจุดประสงค์จะล้มรัฐบาลนี้ให้ได้ ทีวีสาธารณะควรทำหน้าที่อย่างไหนกันแน่ หรือต้องการเป็นแค่บลูสกายสองเท่านั้น
Posted 9 January 2013 - 10:15
Posted 9 January 2013 - 10:46
เมื่อมีรถในถนนมากขึ้น ก็ย่อมทำให้รถติดมากขึ้นตามไปด้วยเป็นธรรมดา แต่สาเหตุที่ทำให้รถติดนั้น จะชี้ที่คันนั้นคันนี้ไม่ได้ รถคันแรกของคนจน ก็เป็นเหตุให้รถติดเท่ากับรถคันที่ห้าสิบของคนรวย หากคิดจะเอารถออกจากถนน ไม่ควรเจาะจงเอาแต่รถของคนจนออกไป เพื่อให้คนรวยได้ใช้รถคันที่ห้าสิบได้สะดวกขึ้น ขอประทานโทษ มึงเป็นเจ้าของรถ ไม่ใช่เจ้าของถนน
ปัญหารถติดในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ทั่วประเทศไทยนั้น มีสาเหตุมาจากวิธีคิดอย่างนี้แหละครับ - คนอื่นคือนรก รถยนต์ทั้งถนนทำให้รถติด ยกเว้นรถกูคันเดียว ฉะนั้น อ้ายเบื๊อกที่ไม่ควรขี่รถยนต์ แต่ขี่ได้เพราะนโยบายรถคันแรก จึงต้องรับผิดชอบมากที่สุด อย่างน้อยก็เพราะมันเป็นอ้ายเบื๊อก
สุดยอด...
"คนโง่มักจะชอบว่าคนอื่นว่าโง่"
"ถ้าคนเราคิดเหมือนกันหมด ก็ไม่มีเลือกตั้งซิครับ"
"ผมไม่พูด เรื่อง 112 แล้ว นะครับ กรุณาอย่าถาม (17 พค 2012)"
Posted 9 January 2013 - 11:20
จากข้อเขียนของไอ้เบื๊อกนี่ เหมือนคนแก่ที่ลูกหลานไม่เหลียวแล พูดเองตอบเอง
สนับสนุนนโยบายรถคันแรก เมื่อรถเต็มถนน ก็หาทางให้คนที่มีรถเอารถไว้ที่บ้าน ..กินทั้งขึ้นทั้งล่อง
ติดใจ
"แต่เมื่อได้ยินนักวิชาการและคนทำงานทีวีสาธารณะพยายามบ่นนำทางทีวี ก็ให้รู้สึกคันปากอยากถามว่า คุณมีปัญญาจะเลื่อยขารัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่แค่นี้เท่านั้นหรือ"
*ไอ้เบื๊อกนี่คิดอะไรของมัน ข้อเขียนมันก็บอกว่ามีจุดอ่อนมากมาย พอคนอื่นพูดก็บอกว่าเขาคิดเลื่อยขา นส.ปู ..ปูน่ะมี8ขา ขาดไป4ขา ก็ยังเป็นปู อยู่ดี น่าลองนะ ปู4ขาจะเดินตรงไหม
*ไม่รู้ไปซุกกระโปรงใครอยู่ เรื่องนี้ไมใช่เรื่องเดียวที่(ใช้คำว่าเลื่อยขา) ก็ได้ มันมีเรื่องทำนองนี้มาให้เลื่อยทุกวัน ไม่ว่าตัวนส.ปู
พี่ชาย, คนในตระกูล, ครม., สส., แม้แต่หลาน ...ทำในเรื่องที่คนธรรมดาไม่ทำพร้อมกัน เหมือนโดนสะกดจิตหมู่
ไอ้เบื๊อกนี่ คงเห็นว่ามีเรื่องนี้เท่านั้น ที่พอจะแย้งแทน "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ได้ ...นอกนั้นเละเทะจนแก้ต่างแทนไม่ไหว
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
Posted 9 January 2013 - 11:29
เจอคำว่า "คนดี" ทีไร พวก ลัทธินิยม คนดี ป้ายสีคนร้าย จะต้อง ดีดดิ้น...
มีหน้ามาทำ แอ๊บแบ้ว "มีคนเลวที่ไหนควบคุมด้วยกฎหมายได้บ้างครับ?"
แล้วไอ้ืที่อยู่ในคุก ศาลตัดสินว่าผิด... มันเป็น คนดีหรือเลว... กฏหมาย คุมได้หรือไม่...
สิ่งที่เค้าจะสื่อคือ...
มัน อันตราย ที่จะอยู่กับคนดี เพราะ เราคิดว่า เค้าดี... เลยไม่ต้องตรวจสอบ...
เนื่องจาก... วันนี้เค้าดี... ไม่ได้แปลว่าเค้าจะดีตลอดไป... การตรวจสอบต้องทำได้..
จำ ธาริต ได้ไหมครับ.... คนดีหรือป่าว...
จำ นายก เขายายเที่ยงได้หรือป่าว... คนดีหรือป่าว...
ในทรรศนะของผม คนดีคือ คนที่มีศีลธรรมและเคารพกฎหมาย
คนเรามันคงไม่มีใครเป็นคนดีได้ทั้งหมด หรือเป็นคนเลวไปเสียหมด ดังนั้น มันจึงต้องมีกฎหมายมาควบคุมไว้อันเป็นข้อตกลงทางประชาคมที่ทุกคนต้องรู้จัก
เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข จึงจำเป็นต้องควบคุมคนที่เลวหรือไม่ดี แม้ว่ามันจะควบคุมได้ยาก แต่มันก็ต้องทำ
ปัญหาก็คือตรรกะวิบัติของนิธินี่แหล่ะ มันมีที่ไหนครับ คนเลวที่ควบคุมได้? แล้วก็คนดีที่ไร้การตรวจสอบ?
ถ้าคุณมีข้อมูล ช่วยยกตัวอย่างมาหน่อยครับ คนเลวที่ควบคุมได้ หมายได้หมายความว่า พวกที่อยู่ในคุกนะครับ เพราะนั่นมันจนตรอกด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ควบคุมด้วยกฎหมาย
การควบคุมด้วยกฎหมาย หมายความว่า มีอิสระเสรีตราบที่ไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่ใช่ไปอยู่ในคุก ขาดซึ่งอิสระเสรภาพทั้งปวง อย่างนั้นมันไม่ใช่การควบคุมแล้วมันคือการกักขัง
ธาริตไม่ใช่คนดีอะไรเลย มันก็แค่คนขี้ประจบเอาใจนายไปวันๆ แค่นั้นเอง
นายกเขายายเที่ยงนั่น ถ้าเขาไม่ดีจริง คงไม่ได้เป็นองคมนตรีหรอกครับ ผมไม่เห็นเขาจะมีข้อเสียอะไรอื่นๆ ใด นอกจากไปพลาดเรื่องเขายายเที่ยงแค่นั้นแหล่ะ
เฮนไตมีข้อมูลลองยกตัวอย่างมาหน่อยครับ
สิ่งที่ นิธิเขียน... ผมว่า ท่าน ครอบครัวหมี ตอบแทนผมไปแล้วนะครับ...
ถ้า นายกเขายายเที่ยง ไม่ได้ พวก คนเลวเสื้อแดง ที่คอยตรวจสอบ... และ ระบบ ที่ อนุญาติให้ ทำการตรวจสอบ คนดี...
ถามว่า ตอนนี้ เค้าจะคืนเขายายเที่ยงไหมครับ....
ประเด็นมีนิดเดียว... เห็นด้วยหรือไม่ที่ ต้องมีการตรวจสอบ... ทุกคน คนดี ก็ต้องไม่โดนละเว้น...
ถ้าคนดีตรวจสอบไม่ได้ แล้วจะมีการร้องเรียนที่เขายายเที่ยงได้อย่างไร เมื่อร้องเรียนแล้ว เขาคืนให้ไหม นี่หรือคนดีที่กฎหมายคุมไม่ได้
กลับกัน จำนำข้าวมีหลักฐาน คนในวงการค้าข้าวก็ออกมาพูดว่าเป็นเรื่องจริง ข้อมูลจริง มีพยานแวดล้อมว่ารัฐบาลโกหก ทั้งเรื่องทุจริตหัวคิว หรือการขายข้าว ซึ่งบอกว่าขายได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานอะไรมาเสนอให้ประชาชนมั่นใจ แต่สภาฝักถั่วก็ยกมือให้ผ่าน พอผ่านก็หน้าด้าน บอกประชาชนชอบนโยบาย ต้องทำต่อ นี่หรือคนเลวที่กฎหมายคุมได้
นอกจากกฎหมาย ยังมีเรื่องมโนธรรม ที่ทำให้กระบวนการเดินไปได้
อย่างหน้าตัวเมียหนีคดี แล้วบอกว่าโดนกลั่นแกล้ง กฎหมายคุมได้มั้ย โทษแค่สองปี
แล้วหน้าไหนที่ยอมรับกระบวนการ ทั้งที่โทษสุงสุดเป็นประหารชีวิต คนทำคดีก็อดีตลูกน้องเก่า ที่ตอนนี้ไปเลียนายใหม่ กฎหมายคุมได้มั้ย
คนดีคนเลว เราวัดกันได้โดยกมลสันดาน แต่ถ้าตรรกวิบัติพิการ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ก็คงมองไม่เห็น วัดไม่ได้
สละชีพเพื่อหลักธรรมคือคำขวัญ
ฆ่าคนเพื่อชิงอำนาจคือวิธีการ
ส่วนลิ่วล้อที่ส่งไปตายก็คือตัวหมากแห่งคุณธรรม
Posted 9 January 2013 - 12:00
จุดต่างๆ ของการวิธีคิดที่ผิด หรือบิดเบือน
ระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกู้เงินมาแจกกันคนละ 2,000 บาท กับการลดภาษีให้แก่รถคันแรก อย่างไหนถึงจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภายในที่ได้ผลกว่ากัน เมื่อสิบปีที่แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นเคยใช้นโยบายแจกเงินเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายภายในมาแล้ว จนบัดนี้ญี่ปุ่นยังโงหัวไม่ขึ้นเลย
- รัฐอภิสิทธิ์ ไม่ได้กู้เงินมาแจกคนละ 2000 บาท แต่นำเงินของผู้จ่ายเงินประกันสังคมอยู่แล้ว มาจ่ายคืนให้ผู้ผู้จ่ายเงินประกันสังคม เพื่อไปใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
- ที่ญี่ปุ่น เศรษฐกิจไม่ดี มันเกี่ยวกับหลายๆ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราเกิดต่ำ ปัญหาการแข็งค่าของเงินเยน ภัยธรรมชาติ เป็นต้น
แค่เอาการแจกเงิน มาเปรียบเทียบกัน แบบนี้มันตรรกะที่ผิดแล้ว
ทำไมถึงต้องเป็นรถยนต์ ก็เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์จ้างงานโดยอ้อมสูงมาก ในการผลิตก็จ้างงานในโรงงานยาง, แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนอีกนานาชนิด ไปจนถึงน้ำมันประเภทต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบรถยนต์ พอเอามาใช้ก็ต้องใช้แรงงานอีกมากนับตั้งแต่ช่างซ่อมบำรุงไปจนถึงแรงงานล้าง รถ ทีวีสาธารณะพยายามหานักวิชาการซึ่งขับรถมาเตือนว่า มีรถยนต์ก็ทำให้ต้องเสียเงินอีกมาก แต่นั่นก็ตรงกับนโยบายไงครับ คือเร่งการบริโภคภายใน โดยไม่แจกเงินเฉยๆ แต่กระตุ้นการผลิตภายในไปพร้อมกัน
การกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบนี้ จะเป็นการดึ่งเอากำลังซื้อในอนาคต มากระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบัน
แต่มันก็ทำให้เกิดการดึงเงินที่จะไปใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจอื่น มาลงกระตุ้นอีกส่วนแทน
ถ้ามองในแง่มุมเศรษฐกิจมหภาค เงินจะหมุนเวียนสูง GDP ดูดี
แต่ถ้ามามองในเศรษฐกิจครัวเรื่อน จะมีปัญหาเรื่องรายจ่าย เพราะกลางเป็นหนี้เงินกู้ซื้อรถยนต์
เมื่อมีรถในถนนมากขึ้น ก็ย่อมทำให้รถติดมากขึ้นตามไปด้วยเป็นธรรมดา แต่สาเหตุที่ทำให้รถติดนั้น จะชี้ที่คันนั้นคันนี้ไม่ได้ รถคันแรกของคนจน ก็เป็นเหตุให้รถติดเท่ากับรถคันที่ห้าสิบของคนรวย หากคิดจะเอารถออกจากถนน ไม่ควรเจาะจงเอาแต่รถของคนจนออกไป เพื่อให้คนรวยได้ใช้รถคันที่ห้าสิบได้สะดวกขึ้น ขอประทานโทษ มึงเป็นเจ้าของรถ ไม่ใช่เจ้าของถนน
ปัญหารถติดในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ทั่วประเทศไทยนั้น มีสาเหตุมาจากวิธีคิดอย่างนี้แหละครับ - คนอื่นคือนรก รถยนต์ทั้งถนนทำให้รถติด ยกเว้นรถกูคันเดียว ฉะนั้น อ้ายเบื๊อกที่ไม่ควรขี่รถยนต์ แต่ขี่ได้เพราะนโยบายรถคันแรก จึงต้องรับผิดชอบมากที่สุด อย่างน้อยก็เพราะมันเป็นอ้ายเบื๊อก
คนมีรถมีสิทธิใช้ถนน แต่การเอารถออกจากถนนคือการ สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ดี ไม่ใช่สนับสนุนให้มีรถในถนนเพิ่มขึ้น
ในประเทศที่เจริญหลายประเทศ ใครจะมีรถได้ ต้องมีเงื่อนไขหลายอย่าง เช่น มีที่จอดรถหรือไม่ ใบขับขี่ที่ทดสอบยากกว่าไทยหลายเท่า การเก็บภาษีคนที่มีรถยนต์สูงๆ เพราะเป็นตัวการสร้างมลพิษ เป็นต้น
นโยบายรถคันแรกก็จะเป็นจุดเริ่มต้นแก่ยุคใหม่ของสังคมเมืองที่สงบสุขในประเทศไทย
ตรงไหนฟะ
นโยบายหลายแหล่ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น มีข้อที่ควรตำหนิติติงทั้งนั้น แต่ติเพื่อจะหาทางเลือกที่สร้างสรรค์ หรือติเพื่อจองล้างจองผลาญด้วยจุดประสงค์จะล้มรัฐบาลนี้ให้ได้ ทีวีสาธารณะควรทำหน้าที่อย่างไหนกันแน่ หรือต้องการเป็นแค่บลูสกายสองเท่านั้น
ทีวีไทย นักวิชาการ เค้าเตือนรัฐบาลว่านโยบายนี้มันสร้างปัญหา แต่รัฐบาลไม่สามารถจัดการปัญหาที่ตามมาของนโยบาย
รัฐบาลก็ต้องถูกตำหนิ ซึ่งเป็นการแสดงออกที่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย อยู่แล้ว
Posted 9 January 2013 - 12:36
กา่รแชร์เมียกะเพื่อนก็เป็นสิ่งที่กฎหมายควบคุมได้คือ..
เพื่อนของ นิธิ กลัวติดคุกเพราะฆ่าหรือทำร้ายร่างกายนิธิ
เลยยกเมียให้นิธิไปเลย
ทฤษฎีใช้ได้สำหรับคนแก่มีเมียสาวเท่านั้นครับท่าน
มีนัย อะไรหรือเปล่า ...ไวอากร้า3เม็ด ยังฉี่ไม่พ้นหัวแม่เท้าเลย ...เสียของ(คห.ที่2)
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
Posted 9 January 2013 - 13:33
......... ตรรกะแบบนี้ผมว่าเลิกเป็นอาจารย์แล้วไปเรียน ม. ต้นใหม่เถอะครับ
ตาแก่นิธิ คงประชดอะไรสักอย่างที่อยู่สูง ไม่รู้สิผมรู้สึกอย่างนั้นความคิดคงแบบเดียวกับ สมสากเจียม
"เราไม่สามารถ ทำทุกคนให้เป็นคนดีได้ แต่เราไม่ควรให้คนชั่วมาบริหารบ้านเมือง"
ประโยชน์สูงสุดของประชาชน คือกฏหมายสูงสุดของประเทศ ...วิชา มหาคุณ
Posted 9 January 2013 - 13:37
ไม่น่าเชื่อว่า คนทีได้ชื่อว่าเป็น อาจารย์ ตรรกะ จะเพี้ยนถึงขนาดนี้
ถึงตรูจะเลวยังไง ตรูก้อไม่ได้ขายชาติ เหมือนเสื้อแดงว่ะ เข้าใจนะ
Posted 11 January 2013 - 09:42
เจอคำว่า "คนดี" ทีไร พวก ลัทธินิยม คนดี ป้ายสีคนร้าย จะต้อง ดีดดิ้น...
มีหน้ามาทำ แอ๊บแบ้ว "มีคนเลวที่ไหนควบคุมด้วยกฎหมายได้บ้างครับ?"
แล้วไอ้ืที่อยู่ในคุก ศาลตัดสินว่าผิด... มันเป็น คนดีหรือเลว... กฏหมาย คุมได้หรือไม่...
สิ่งที่เค้าจะสื่อคือ...
มัน อันตราย ที่จะอยู่กับคนดี เพราะ เราคิดว่า เค้าดี... เลยไม่ต้องตรวจสอบ...
เนื่องจาก... วันนี้เค้าดี... ไม่ได้แปลว่าเค้าจะดีตลอดไป... การตรวจสอบต้องทำได้..
จำ ธาริต ได้ไหมครับ.... คนดีหรือป่าว...
จำ นายก เขายายเที่ยงได้หรือป่าว... คนดีหรือป่าว...
ในทรรศนะของผม คนดีคือ คนที่มีศีลธรรมและเคารพกฎหมาย
คนเรามันคงไม่มีใครเป็นคนดีได้ทั้งหมด หรือเป็นคนเลวไปเสียหมด ดังนั้น มันจึงต้องมีกฎหมายมาควบคุมไว้อันเป็นข้อตกลงทางประชาคมที่ทุกคนต้องรู้จัก
เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข จึงจำเป็นต้องควบคุมคนที่เลวหรือไม่ดี แม้ว่ามันจะควบคุมได้ยาก แต่มันก็ต้องทำ
ปัญหาก็คือตรรกะวิบัติของนิธินี่แหล่ะ มันมีที่ไหนครับ คนเลวที่ควบคุมได้? แล้วก็คนดีที่ไร้การตรวจสอบ?
ถ้าคุณมีข้อมูล ช่วยยกตัวอย่างมาหน่อยครับ คนเลวที่ควบคุมได้ หมายได้หมายความว่า พวกที่อยู่ในคุกนะครับ เพราะนั่นมันจนตรอกด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ควบคุมด้วยกฎหมาย
การควบคุมด้วยกฎหมาย หมายความว่า มีอิสระเสรีตราบที่ไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่ใช่ไปอยู่ในคุก ขาดซึ่งอิสระเสรภาพทั้งปวง อย่างนั้นมันไม่ใช่การควบคุมแล้วมันคือการกักขัง
ธาริตไม่ใช่คนดีอะไรเลย มันก็แค่คนขี้ประจบเอาใจนายไปวันๆ แค่นั้นเอง
นายกเขายายเที่ยงนั่น ถ้าเขาไม่ดีจริง คงไม่ได้เป็นองคมนตรีหรอกครับ ผมไม่เห็นเขาจะมีข้อเสียอะไรอื่นๆ ใด นอกจากไปพลาดเรื่องเขายายเที่ยงแค่นั้นแหล่ะ
เฮนไตมีข้อมูลลองยกตัวอย่างมาหน่อยครับ
สิ่งที่ นิธิเขียน... ผมว่า ท่าน ครอบครัวหมี ตอบแทนผมไปแล้วนะครับ...
ถ้า นายกเขายายเที่ยง ไม่ได้ พวก คนเลวเสื้อแดง ที่คอยตรวจสอบ... และ ระบบ ที่ อนุญาติให้ ทำการตรวจสอบ คนดี...
ถามว่า ตอนนี้ เค้าจะคืนเขายายเที่ยงไหมครับ....
ประเด็นมีนิดเดียว... เห็นด้วยหรือไม่ที่ ต้องมีการตรวจสอบ... ทุกคน คนดี ก็ต้องไม่โดนละเว้น...
การตรวจสอบต้องไม่มีละเว้นอยู่แล้วครับ แต่แล้วไอ้ที่ นิธิ พูด เขาหมายถึงคนไหนล่ะครับ ใครคือ คนดีที่ควบคุมไม่ได้ล่ะครับ ถ้าคนดี ในความหมายของ ศีลธรรม ก็คือมีศีลธรรมควบคุมครับ ส่วนไอ้คนไม่ดีที่ควบคุมได้น่ะ มันหมายถึงยังไง ถ้า ควบคุมได้ คือ ควบคุมตนเอง ให้อยู่ในกรอบ กฎหมายได้ แม้ความคิดจะเป็นอย่างไร ผมก็เรียกได้ว่าคนดี อย่างน้อยก็ดีพอจะอยู่ในสังคมว่ะ ฟังแล้ว คำนี้ มันก็แค่คำที่คิดขึ้น เพื่อพูดให้กระทบถึงเบื้องสูง ก็แค่นั้นว่ะ ไม่ได้มีตรรกะ บ้าบอ ห่าเหว อะไรทั้งสิ้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว ถ้าควบคุมได้ มันก็เป็นคนดีในระดับนึงอยู่แล้วว่ะ เช่น ถ้าควบคุมได้ ไม่ไปปล้นใคร แม้ใจอยากปล้น เรียกคนดีหรือคนไม่ดีล่ะ หรือ ถ้าควบคุมได้ว่าไม่ไปโกงชาติ แม้อยากจะโกงเต็มที แบบนี้เรียกดีหรือเลว เพราะงั้น ผมว่า ไอ้คำของ นิธิ มันไม่มีค่า ไม่มีความหมายไรเลย คำตอบนี้ Quote ถึง Bear Family ด้วยนะ ไม่ใช่จะมา แอ๊บแบ๊ว บอกว่า คนไม่ดีก็ถูกควบคุมอยู่แล้ว หรอกนะ แต่มันเป็นความหมายในทางกลับกันว่ะ
คือตามที่ผมได้บอกไปแล้วว่าผมมองจากมุมผู้เขียนเพื่อจะได้แปลมาตรงตามความหมายของเขา
คนดีในที่นี้คือแบบนี้ครับ
"ความนิยมที่คุณทักษิณเคยได้รับอย่างท่วมท้นมาจากไหน
โพลสำนักต่างๆ สำรวจแล้วได้ผลตรงกันว่า ประชาชนนิยมคุณทักษิณที่ความเด็ดขาด และกล้าตัดสินใจ แปลออกมาให้เข้าใจง่ายกว่านั้นคือ แก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการตัดสินใจแต่ผู้เดียว แล้วใช้อำนาจเด็ดขาดดำเนินการ
อำนาจนั้นจำเป็นแน่ครับในการจัดการ แต่อำนาจที่เด็ดขาดของเถ้าแก่ไม่เปิดโอกาสให้มีการไตร่ตรองจากหลายฝ่าย ใครโดนเหยียบเท้าก็ร้องบอกไม่ได้ หรือถึงบอกได้ก็จะได้รับแค่คำปลอบโยนว่าทนไป แล้วจะดีเอง
ไม่ดีแก่ลื้อ ก็ดีแก่บริษัทของอั๊ว
และด้วยเหตุดังนั้น คนอย่างคุณทักษิณจึงไม่ยอมรับการตรวจสอบ ไม่ว่าจะตรวจสอบโดยองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรภาคประชาชน อำนาจที่ถูกตรวจสอบทัดทานได้ ทำให้ไม่อาจจัดการอะไรด้วยอำนาจเด็ดขาดได้
นั่นคือที่มาของเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญของการฆาตกรรมในสงครามยาเสพติด (ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมสืบมา เพียงแต่สื่อไม่ปล่อยให้เสียงบ่นเล็ดลอดออกมามากเกินไปเท่านั้น) แม้แต่นักวิชาการระดับเคยบริหารสำนักวิจัยใหญ่บางแห่งยังเคยสรรเสริญเอฟทีเอกับจีนและอินเดีย ซึ่งทำกันขึ้นอย่างรวบรัดแบบกล้าตัดสินใจและเด็ดขาดที่อยู่ในวัฒนธรรมคนแบบทักษิณนี่แหละครับ
การมองแต่อำนาจเป็นหนทางแก้ปัญหาทุกอย่างไปหมด จึงไม่ได้จำกัดอยู่กับทักษิณ แต่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมของคนชั้นกลางไทย ซึ่งเคยชินแต่กับการเมืองเผด็จการมาตลอด และผมคิดว่าเราต้องล้มวัฒนธรรมนี้ ซึ่งในปัจจุบัน คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุด แต่ล้มคุณทักษิณคนเดียว ไม่กระเทือนอะไรกับวัฒนธรรมนี้เลย เดี๋ยวคนอย่างคุณทักษิณก็กลับมาใหม่"
ถ้าใช้เวลาเพียงซักนิดศึกษางานของเค้า เราจะได้เข้าใจว่าเขาต้องการหมายความว่าอย่างไร บางอย่างมีความหมายซ่อนอยู่ ถ้าได้อ่านแล้วคิดตามซักนิด อย่าเพิ่งด่วนสรุปครับ แล้วท่านจะรู้ว่า ที่เค้าเขียนเป็นการเขียนเสียดสีพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก อาจจะกระทบคนอื่นบ้างแต่ที่สำคัญ มันเป็นความจริง คนดีในสังคม เราพิจารณากันที่ไหนครับ? คะแนนนิยม ความชื่นชอบ แม้ว่าคนส่วนน้อยจะคิดอย่างไร ถ้าคนส่วนใหญ่ว่าดี ดูว่าดี เห็นดีด้วย คนนั้นก็คือคนดี ซึ่งต่อให้ทักกี้มันเลวแค่ไหน แต่ขี้ข้าเค้าว่าดี ฐานเสียง15ล้านเค้าว่าดี เค้าก็คือคนดีในสายตาของคนส่วนใหญ่ที่มาออกเสียง
ดังนั้นผู้เขียนจึงบอกว่าคนเลวที่ควบคุมได้ (ซึ่งในที่นี้ถ้าจะเอาให้ง่ายนะครับ เอามาร์คก็ได้ ที่ถูกหาว่าเป็นคนฆ่า 100ศพโดยเหล่าเสื้อแดงที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ในตอนนี้)
นั้นยังดีกว่า
คนดีที่ตรวจสอบและควบคุมไม่ได้ (ซึ่งจากบทความข้างต้นนั้นซึ่งเป็นงานเก่าของผู้เขียน ได้เอ่ยถึงทักกี้ครับ)
รบกวนช่วยพิจารณาก่อนจะบอกว่าผมแอ๊บแบ๊วครับ
พอดีผมไม่เคยมีตรรกะว่า คนดี = ทักษิณ เลยไม่เคยคิดว่าเขาจะพูดถึงว่าทักษิณตรวจสอบไม่ได้
อีกอย่าง เวลามันล่วงมาก็หลายปีดีดักแล้ว วลีนี้ เลยไม่น่าจะสื่อไปได้ถืง ทักษิณ ในฐานะ คนดีที่ตรวจสอบไม่ได้เลย
เพราะงั้น ถ้ายังไม่มีการออกมาระบุ ในแนวความหมายของ คนดี ในที่่นี้แล้ว ผมก็ยังรับไม่ได้ เหมือนเดิมครับ
Posted 11 January 2013 - 12:15
Edited by annykun, 11 January 2013 - 12:47.
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ชนะสงคราม คือ ความแข็งแกร่ง และ อุดมการณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
คุณธรรมที่พร้ำสอน ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นรองลงมา ส่วน ประชาธิปไตยน่ะรึ เอาเข้าจริงๆ สำคัญอันใด??
Posted 24 February 2013 - 06:10
ถ้าเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งมันมีการตรวจสอบจากฝ่ายค้านและประชาชนอยู่ตลอดเวลานี้ แต่กลุ่มคนที่ได้อำนาจจากการทำรัฐประหาร(บรรดาคนดีทั้งหลาย)มันไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบได้ เราจะรู้ได้ไงว่าคนพวกนั้นจะไม่โกง
Posted 24 February 2013 - 07:18
ตกลง มันเข้าใจความหมายของคำว่า คนดี คนเลว หรือเปล่า
ถ้าทั้งสังคมมีแต่คนดีไม่มีคนแลวกฏหมายก็ไม่จำเป็นต้องมี
ถ้าทั้งสังคมมีแต่คนเลวไม่มีคนดี..มันจะเกิดอะไรขึ้นจะปกครองกันยังไงแบบใหน
เข้าขั้นแก่แล้วเลอะเลือน
" รัฐธรรมนูญไม่มีมาตราใด อนุญาติให้รัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย โกงบ้านกินเมืองได้โดยไม่ผิดกกหมาย "
Posted 24 February 2013 - 09:59
คำถามของผมก็คือ...
มีคนเลวที่ไหนควบคุมด้วยกฎหมายได้บ้างครับ?
มีดนดีๆ ที่ไหนไม่เคารพกฎหมายบ้าง?
ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วคนดีถูกควบคุมโดยคุณธรรมในใจเขาอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร หากจะควบคุมไม่ได้ เพราะอย่างไร เขาก็ไม่ไปทำเลวๆ แน่นอน
แต่..
คนเลวๆ ต่อให้มีกฎหมายรัดกุมขนาดไหน มันก็จะหาช่องทำเลวๆ ได้เสมอ
แล้วกฎหมายที่ไหนจะคุมคนเลวได้ล่ะครับ
ตรรกะแบบนี้ผมว่าเลิกเป็นอาจารย์แล้วไปเรียน ม. ต้นใหม่เถอะครับ
"เขา"เพี้ยนตั้งแต่พูดถึง"คนดี"แล้ว....
รัฐบาลมีธรรมาภิบาลนับถือ"คนดี"ทั้งนั้น...
มีคุกไว้ขังคนเลว คนชั่ว คนทำผิดกฏหมาย....
ไม่มีคุกไว้ขัง"คนดี"หรอกจะบอกให้......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
Posted 24 February 2013 - 12:00
“People shouldn't be afraid of their government. Governments should be afraid of their people.”
Posted 26 February 2013 - 11:03
คำถามของผมก็คือ...
มีคนเลวที่ไหนควบคุมด้วยกฎหมายได้บ้างครับ?
มีดนดีๆ ที่ไหนไม่เคารพกฎหมายบ้าง?
ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วคนดีถูกควบคุมโดยคุณธรรมในใจเขาอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร หากจะควบคุมไม่ได้ เพราะอย่างไร เขาก็ไม่ไปทำเลวๆ แน่นอน
แต่..
คนเลวๆ ต่อให้มีกฎหมายรัดกุมขนาดไหน มันก็จะหาช่องทำเลวๆ ได้เสมอ
แล้วกฎหมายที่ไหนจะคุมคนเลวได้ล่ะครับ
ตรรกะแบบนี้ผมว่าเลิกเป็นอาจารย์แล้วไปเรียน ม. ต้นใหม่เถอะครับ
ที่ๆคนเลวอยู่กัน แล้วควบคุมได้ด้วยกฎหมาย ก็ต้องอยู่ใน เรือนจำสิ นะครับ คนบ้าไรฟะ อยากไปอยู่ในคุก
Posted 26 February 2013 - 11:24
ทุกวันนี้ยังสงสัยไม่หาย
ว่าทำไมพวกควายนับถือศาสนาชินวัตร และพวกล้มเจ้า ถึงมักไม่พอใจเวลาได้ยินคำว่า "คนดี" หรือ "ความดี"
ประชาธิปไตยก็เหมือนส้วมสาธารณะแบบนั่งเต็มตูด ควายนับถือศาสนาชินวัตรใช้แล้วสกปรกชิบเป๋ง
Posted 26 February 2013 - 11:28
คำถามของผมก็คือ...
มีคนเลวที่ไหนควบคุมด้วยกฎหมายได้บ้างครับ?
มีดนดีๆ ที่ไหนไม่เคารพกฎหมายบ้าง?
ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วคนดีถูกควบคุมโดยคุณธรรมในใจเขาอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร หากจะควบคุมไม่ได้ เพราะอย่างไร เขาก็ไม่ไปทำเลวๆ แน่นอน
แต่..
คนเลวๆ ต่อให้มีกฎหมายรัดกุมขนาดไหน มันก็จะหาช่องทำเลวๆ ได้เสมอ
แล้วกฎหมายที่ไหนจะคุมคนเลวได้ล่ะครับ
ตรรกะแบบนี้ผมว่าเลิกเป็นอาจารย์แล้วไปเรียน ม. ต้นใหม่เถอะครับ
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
แก่แล้วเริ่มเลอะเลือนนะ
ปู่นะ ไม่ไหวแล้ว เข้าวัดฟังธรรมมั้งเถอะ
ถ้าเริ่มคิดไม่ถูกต้องแล้ว จะปฏิบัติถูกต้องได้อย่างไร ผลจะถูกต้องก็คงไม่ได้
ปรัชญากระบือแบบนี้ สมแล้ว ที่ชาวบ้านเค้าต่อว่า ฟายเอ๋ย
Posted 26 February 2013 - 16:34
แกเคยสอนผมตอนสมัยผมเรียนมหาวิทยาลัยด้วย ไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันจะหลุดไปได้ถึงขนาดนี้
Posted 26 February 2013 - 19:25
0 members, 2 guests, 0 anonymous users