เหอๆๆ...ไม่รู้ว่า บทความแบบนี้ ไพร่แดงล้มเจ้ากับเหล่าขี้ข้าทักษิณ
จะอ่านกันหรือเปล่า ยิ่งถ้ารู้ว่า คนเขียนเป็นใคร...
'เสียงทักษิณ'...บทหมิ่นลิงหลอกเจ้า...
ปฏิกิริยาคนเสื้อแดงในสื่อออนไลน์ช่างต่ำช้าสามานย์ หยาบคาย ใส่ร้าย จาบจ้วง ดูหมิ่นชิงชัง “สถาบันสูงสุด” หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อคดี “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” บรรณาธิการบริหารนิตยสารการเมือง “วอยส์ ออฟ ทักษิณ” (เสียงทักษิณ) ที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 10 ปี และ หมิ่น พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อีก 1 ปี รวม 11 ปี ไม่รอลงอาญา
น่าแปลก...กรณีหมิ่นพล.อ.สพรั่ง คนเสื้อแดงไม่แม้แต่จะพูดถึง แต่กับกรณีหมิ่น “ในหลวง” คนเสื้อแดงนำเอาคำพิพากษาไปโจมตีสาดเสียเทเสีย ดึงองค์กรเอกชนและสื่อมวลชนจากต่างชาติเข้าร่วมผสมโรง นักวิชาการเสื้อแดงจุดชนวนท้าตีท้าต่อยกับกระบวนการยุติธรรมของไทย เสื้อแดงทั้งหลายพากันร่ำร้องฟูมฟายว่า “ขาดเสรีภาพในการพูด” และ ชักชวนกันคว่ำ “กม. 112” อีกรอบ
นอกจาก “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” เป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ แล้ว เขายังเป็นแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ด้วย สมยศถูกดีเอสไอออกหมายจับ (เมื่อ 12 ก.พ. 2554) ข้อหาทำผิดกฎหมายตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) อรัญประเทศ ขณะกำลังนำกลุ่ม “เรด ทัวร์”ไปงานรณรงค์แก้ไข กม.112 ที่ประเทศกัมพูชา ครั้งที่ 4 เมื่อ 30 เม.ย.2554
ศาลอาญาใช้เวลาพิจารณาคดีเกืยบ 2 ปี พยานกว่า 50 ปาก พร้อมเอกสารรอบด้าน ก่อนพิพากษาคดีออกมาดังกล่าวข้างต้น และท่ามกลางบ้านเมืองที่แตกแยกในปัจจุบันทำให้ศาลรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังคำพิพากษาจบลง
นักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวเสื้อแดงหน้าเดิม ดาหน้าออกมา “ด่าศาล” ยับเยินตามระเบียบ
เว็บไซต์ประชาไทได้ย่อคำพิพากษาเผยแพร่ว่า โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1–15 มี.ค.2553 จำเลยเป็น บก.วอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย เผยแพร่นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ : เสียงทักษิณ ปีที่ 1 ฉบับที่ 15 ปักษ์หลัง เดือน ก.พ. 2553 ให้แก่ประชาชน โดยได้ลงบทความ คมความคิดของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่อง แผนนองเลือด กับยิงข้ามรุ่น หน้าที่ 45-47 ซึ่งเนื้อหาของบทความได้ก้าวล่วงสถาบันเบื้องสูง
จำเลยให้การปฏิเสธอ้างว่าบทความดังกล่าว “นายจักรภพ เพ็ญแข” ที่ยังหลบหนีอยู่ที่ต่างประเทศเป็นคนเขียน อีกทั้งจำเลยไม่ได้ตรวจสอบบทความก่อนตีพิมพ์
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บทความ คมความคิด ในนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ มีเนื้อหาที่ไม่ได้กล่าวถึงชื่อ บุคคล แต่เขียนโดยมีเจตนาเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีต เมื่อนำมาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีเนื้อหาเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันเบื้องสูง และสมยศเบิกความระบุ “จิตร พลจันทร์” นามแฝงของ “จักรภพ เพ็ญแข” เขียนบทความที่ถูกฟ้อง เขียนมาก่อนเขาเป็นบก. พร้อมแจงอ่านบทความคร่าวๆ เห็นว่าหมายถึง “อำมาตย์” ไม่อาจโยงถึงกษัตริย์ได้
ประเด็นสำคัญในคำพิพากษาคือ ศาลได้อ่านข้อความในบทความ 2 ชิ้นตามฟ้องโดยละเอียดที่ปรากฏในนิตยสาร Voice of Taksin ฉบับเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2553 ชื่อว่า“แผนนองเลือด ยิงข้ามรุ่น” และ “6 ตุลาแห่งพ.ศ.2553” ตามลำดับโดยผู้เขียนใช้นามแฝงว่า “จิตร พลจันทร์” (จักรภพ เพ็ญแข)
ศาลพิจารณาว่า จำเลยมีเจตนาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือไม่นั้น ได้อ้างถึงคำเบิกความของพยานฝ่ายโจทก์หลายปาก อาทิ พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.), พ.อ.พีระ ฉิมปรี ผู้อำนวยการกรมยุทธการทหารบก, นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, นายบวร ยะสินธร เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน ซึ่งล้วนตีความบทความทั้งสองชิ้นว่า สื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงเจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติที่เบิกความเกี่ยวกับพงศาวดารเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) ด้วย
แม้พยานจำเลยเช่น นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ,นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะเบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากอ่านบทความแล้วไม่สามารถระบุได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์ แต่น่าจะหมายถึงอำมาตย์ โดยศาลระบุว่า เมื่อเชื่อมโยงกับพงศาวดารที่ประชาชนรู้กันทั่วไป ประกอบกับการผูกเรื่องว่าผ่านมา 200 กว่าปีนั้น ประชาชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงรัชกาลที่ 1 และทำให้เมื่ออ่านบทความในส่วนอื่นๆ ก็สามารถเชื่อมโยงได้ถึงรัชกาลปัจจุบัน “ซึ่งมีการกล่าวหาว่ามีส่วนในการลอบสังหารทักษิณ ชินวัตร และอยู่เบื้องหลังการสังหารประชาชน”
นอกจากนี้บทความยังกล่าวถึงประวัติศาสตร์ โดยระบุถึงผู้มีอำนาจเหนือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารฝ่ายซ้าย, ผู้มีอำนาจเหนือจอมพลถนอม-ประภาส-ณรงค์ และอยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นการสื่อให้เข้าใจได้ว่า ผู้มีอำนาจเหนือทั้งรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือน ก็คือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” แม้ว่าในบทความจะไม่ได้ระบุชื่อและกล่าวถึงตัวละคร “หลวงนฤบาล” ที่ไม่มีอยู่จริงก็ตาม
ศาลระบุด้วยว่า จำเลยซึ่งจบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์ ทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรสื่อมวลชน การนำเสนอข่าวของจำเลยต้องมีการวิเคราะห์ก่อน โดยเฉพาะตำแหน่ง บก.บห. ต้องมีวิจารณญาณสูงกว่าประชาชนทั่วไป ย่อมต้องรู้ว่าบทความดังกล่าวหมิ่นประมาทกษัตริย์ และไม่มีความจริง แต่จำเลยยังคงลงพิมพ์ เผยแพร่ จึงเป็นการกระทำโดยเจตนา ส่วนที่ต่อสู้ว่ามีเวลาอ่านบทความจำกัดและเมื่ออ่านแล้วเห็นว่าสื่อถึงอำมาตย์ ไม่คิดว่าเป็นพระมหากษัตริย์นั้นก็ฟังไม่ขึ้น
ส่วนท่าทีของสมศักดิ์ เจียมธีระสกุล นักวิชาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านทาง FB มีดังนี้
“ไม่มีประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศสมัยใหม่ มีความอารยะและเจริญทางจิตใจแล้ว จะยังจำคุกคนเป็นสิบปี ด้วยข้อหาหมิ่นฯ ในโลกอารยะและสมัยใหม่ จะบังคับให้คนต้องรักบูชากษัตริย์ไม่ได้ ไม่มีใครเขาทำกัน ไม่มีใครเขาใช้คุกมาสร้างความจงรักภักดีกันแบบนี้แล้ว เอาสั้นๆแค่ว่าการจำคุกคน ด้วยเรื่องแบบนี้ มันป่าเถื่อน BARBARISM มากๆ คนมีปัญญา สังคมที่มีปัญญา ไม่ทำกัน”
นักวิชาการ–นักเคลื่อนไหวปีกเสื้อแดงของทักษิณทุกคนฟูมฟายแนวเดียวกับ “สมศักดิ์” หมด
การสืบพยานที่สำคัญคือ “ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี” ได้เบิกความถึงบทความที่ถูกฟ้องในนิตยสาร Voice of Taksin ว่า
“มี 2 บทความจาก 2 เล่มที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทตามมาตรา112 เห็นว่าฉบับหนึ่งผู้เขียนตั้งใจเท้าความไปถึงประวัติศาสตร์ช่วงรอยต่อระหว่างธนบุรีและรัตนโกสินทร์ โดยทราบว่าเป็นการหมิ่นประมาทเพราะอาศัยการเทียบเคียงกับความรู้ด้านประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ และเทียบเคียงกับพงศาวดารกรุงธนบุรี ของหมอ บลัดเลย์”
ส่วนบทความอีกฉบับหนึ่งที่กล่าวถึง “หลวงนฤบาล” ธงทองระบุว่าไม่สามารถให้ความเห็นได้แน่ชัดว่า ผู้เขียนต้องการหมิ่นประมาทหรือกล่าวถึงใคร”
ธงทองในฐานะพยานไม่สรุปว่า พระมหากษัตริย์แยกออกจากอำนาจรัฐ หรือไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะยังมีคำว่า “รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทั้งเห็นว่าปัจจุบันมาตรานี้กลับมีโทษสูงกว่าในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์เสียอีก และไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำความผิด
อย่างไรก็ตาม ธงทองเห็นว่า การที่รัฐธรรมนูญมาตรา 8บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ทางใดๆมิได้หมายความว่าประชาชนไม่สามารถฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้ไม่ว่าจะโดยทางแพ่งหรือทางอาญา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ซึ่งธงทองอ้างถึงพระราชดำรัสว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสไว้เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2548 ว่าการวิจารณ์พระองค์นั้นทำได้” และบอกว่า การกระทำผิดตามมาตรา 112 นั้น กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ แต่ไม่ถึงกับจะทำให้รัฐไม่ดำรงอยู่เสียทีเดียว ทั้งนี้ “การแก้ไขให้มาตรา 112 ตามแนวทางของกลุ่มนิติราษฎร์ จะทำให้รักษาหลักการของมาตรา 112 ที่แท้กว่าการนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง”
กรณี “สมยศ” ปลุก “กระบอกเสียงแดงของทักษิณ” ระเบ็งเซ็งแซ่ให้ “ล้มเจ้า” อีกรอบ ท่ามกลางความเฉยเมยของรัฐบาลและกระทรวง ICT จึงเกิดการจาบจ้วงขึ้นระลอกใหม่
เหตุเกิดกับละคร “เหนือเมฆ 2” และอีกหลายกรณีในช่อง 3 รวมถึงสื่ออื่นๆ ที่หวาดกลัวอำนาจรัฐจนตัวสั่น ก็ถูกนำมายกให้เห็นภาพว่า การเมืองไทยเลือก “รู้ร้อนหนาว”
กับ “ในหลวง” ในดวงใจ รัฐบาลดูเฉยชากับการจาบจ้วงเสียเหลือเกิน
แต่กับ “ทักษิณ-พี่ชาย” ความกระตือรือร้นในการลากคอคน “หมิ่นแม้ว” มาลงโทษ หรือ ตอบโต้เถียงแทนแบนทิ้ง ช่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม
ล่าสุด “ชัชนี จาติกวณิช” กับ 60 ข้อน่ารังเกียจของทักษิณ ใน FB ส่วนตัวที่แชร์กันมโหฬาร ก็เป็นอีกหนึ่งเหยื่ออารมณ์ที่โดน “นายใหญ่” จิกหัวพวก “ล่ำซำ” ไปเฉ่งปี๋ถึงฮ่องกง และพาลจะพาเอาธุรกิจหลักโดนถล่ม
ทีเรื่องตัวเองถูกวิจารณ์ กลับแสบร้อน ทุรนทุราย
ทีเรื่องในหลวง ปล่อยให้หยาม ปล่อยให้คนหยาบมาจาบจ้วง ล่วงละเมิดจนสุดทน
...ไอ้-อี พี่น้องคู่นี้มันลิงหลอกเจ้า...ชัดๆ
http://www.naewna.co.../columnist/5088
Edited by Suraphan07, 25 มกราคม พ.ศ. 2556 - 11:08.